(ต่อจาก หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 อนุสสติ 5 ตอนที่ 2.1 https://ppantip.com/topic/43261973 )
อนุสสติ 5 ตอนที่ 2.2

นี่การศึกษาของท่านทั้งหลายต้องจับไว้ทั้ง 2 ประการ แต่การสอนของผมในระดับนี้ ไม่ประสงค์ทิพพจักขุญาณ ประสงค์อย่างเดียวคือขั้นสุกขวิปัสสโก แต่ทว่าบังเอิญท่านทั้งหลายจะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นผู้ได้ทิพพจักขุญาณ หรือมโนมยิทธิ ผมก็สนับสนุน ถ้าต้องการอย่างนั้น ให้หันไปสนใจกับหลักสูตรวิชชาสามซึ่งมีอยู่แล้ว ที่แนะนำแบบนี้ก็เป็นจุดหนึ่ง แทนที่ท่านจะไปเถียงกับใครเขา จะได้รู้ไว้ว่า แม้แต่เราตั้งใจภาวนาว่า
พุทโธ หรือว่า
ธัมโม สังโฆ โดยไม่กำหนดจิตคิดว่าจะเห็นภาพ ภาพก็สามารถจะเกิดให้ ถ้าอารมณ์ใจของเราควรจะเข้าถึงเป็นผู้ได้ทิพพจักขุญาณ จำไว้ให้ดีนะครับ นี่เป็นจุดหนึ่ง
สำหรับอีกจุดหนึ่ง ในการใช้พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ นั่นก็คือ ถ้าจิตของเราไม่ต้องการความสงัด คืออารมณ์สงบโดยเฉพาะ แต่ว่าจิตต้องการอารมณ์คิด ยิ่งจริยาคือยาการของจิตนี่ ท่านจะต้องศึกษากันไห้ดี อย่าให้มันตรงเกินไป ตรงเกินไปจะถือว่าฉันศึกษาพุทธานุสสติ ต้องการอารมณ์หยุด แต่ถ้าจิตจะคิดเข้ามาถึงด้านพิจารณาความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราไม่เอา เราฝืนอารมณ์จิตแบบนี้ แทนที่จะเป็นผลดี กลับจะกลายเป็นอาการของผลกลุ้มไป กลุ้มอารมณ์จิตมันก็เสีย มีความเร่าร้อน ฉะนั้นจงใช้อารมณ์ให้มันถูกกับจังหวะของอารมณ์จิตที่ต้องการ ถ้าจิตอยากจะคิดก็เชิญคิด คิดตอนไหน คิดถึงพุทธานุสสติ
คำว่าพุทธานุสสตินี้ แปลว่า ตามนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็มานั่งพิจารณาว่าพระพุทธเจ้าท่านดีอย่างไร น้อมเข้าไปถึงความดีของพระองค์ พระองค์เป็นกษัตริย์ ถ้าพระองค์จะแสวงหาความสุขส่วนพระองค์ เป็นกษัตริย์สบายกว่าที่จะต้องเดินป่าเดินดง นอนกลางดินกินกลางทราย เป็นพระพุทธเจ้าเที่ยวสอนคนซึ่งไม่มีรางวัล รางวัดใด ๆ ไม่มี นี่ตอนหนึ่ง
หรือว่าอีกตอนหนึ่ง องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วเป็นพระอรหันท์ มีความสุข สามารถจะไปนิพพานได้แบบสบาย ถ้าไม่สอนใคร ไม่คบใคร ใจก็มีแต่ความสุข ไม่มีทุกข์ หากว่าพระองค์จะเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่สอนพวกเราเสีย ใครจะไปบังคับท่านเพราะว่าไม่มีใครเป็นนายท่าน การจะบังคับให้ท่านเป็นอรหันต์ เป็นครูไม่มี
แต่ทว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์ใม่ทำอย่างนั้น กลับมีพระมหากรุณาธิคุณ ทนต่อความยากลำบากต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ต้องต่อสู้กับบรรดาลัทธิทั้งหลาย นอกพุทธศาสนาที่สอนผิด จนองค์สมเด็จพระธรรมสามิสรมีความลำบาก บางคราวต้องพักถึง 15 วัน นี่ชื่อว่าเป็นความดีขององค์สมเด็จพระภควันต์ที่มีพระมหากรุณาธิคุณต่อพวกเรา เป็นความดีของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นความดีส่วนพระองค์
ความดีอีกจุดหนึ่งที่พระองค์ทรงสอนพวกเรา ที่เราเรียกกันว่า
พระธรรม สำหรับพระธรรมนั้นมีถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ แต่ว่าตอนนี้เราจะมาหยุดอยู่ เฉพาะความเป็นพระโสดาบันของเรา เราตั้งใจไว้ว่าเราจะเป็นพระโสดาบัน เราก็ตั้งขอบเขตไว้โดยเฉพาะความเป็นพระโสดาบัน ถ้าก้าวเกินไปมันจะลำบาก เอากันแบบง่าย ๆ การเจริญกรรมฐานกลุ่มนี้ เป็นกำไรพิเศษ
เราก็หันมาดูคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ที่มีพระมหากรุณาธิคุณให้เราสนใจกับศีล นี่เราย่องเอาสีลานุสสติกรรมฐานเข้ามาแทรกเลย ไม่ใช่ต้องไปนั่งไล่เบี้ยว่า คำสอนของพระองค์ที่มีความสำคัญ ในขั้นที่จะเข้าถึงพระโสดาบันนี่คือศีล จับจุดลงเฉพาะแบบนี้ อย่าให้มันเปะปะไป
สำหรับพระ พิจารณาวินัย สิกขาบท 227 สิกขาบทอย่าให้บกพร่อง
สำหรับสามเณร อย่าให้ศีล 10 บกพร่องและก็ต้องศึกษาเสขิยวัตรอีก 75 เป็นอันว่าสามเณรจะต้องมีสิกขาบท ปฏิบัติจริง ๆ 85 ด้วยกัน
สำหรับฆราวาส สนใจศีล 5 เป็นสำคัญ
จำเพาะพระกับเณรผมจะไม่พูดถึง เพราะศีลบังคับท่านอยู่แล้ว ถ้าหากว่าท่านพลาดสิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่ง จงทราบว่าท่านหมดสภาพจากความเป็นพระ พอหมดสภาพจากความเป็นพระมันก็เป็นเถน เถนะ เขาแปลว่า หัวขโมย ขโมยเอาภาพของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามาใช้หลอกลวงชาวบ้าน รู้สึกตัวไว้ด้วย
สำหรับฆราวาสเราก็มาพิจารณาศีลว่า ที่พระพุทธเจ้าแนะนำไว้ดีตอนไหนเอาศีล 5
ข้อที่ 1 พระองค์ให้มีความรักซึ่งกันและกัน ไม่พิฆาตเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน ความรักมันดีหรือว่ามันชั่ว คิดเอา ใช้ปัญญา เราเป็นเพื่อนกัน เรารักกันมันดีไหม มันเป็นสุขหรือเป็นความทุกข์ ใช้ปัญญาเอาเองนะ
ข้อที่ 2 ให้มีความสันโดษ พอใจเฉพาะทรัพย์ของเราที่เป็นสิทธิโดยเฉพาะ ไม่ยื้อแย่งไม่ลักขโมยทรัพย์ของใคร อันนี้ดีหรือชั่ว คิดเอา
ข้อที่ 3 สามีภรรยาเป็นที่รัก เรารักเราก็ไม่ละเมิดความรักของบุคคลอื่น ไม่ละเมิดสามี ภรรยา บุตรธิดา ข้าทาสหญิงชาย คนในปกครอง โดยที่ท่านเจ้าของไม่อนุญาต ดีหรือไม่ดี คิดเอา
ข้อที่ 4 วาจาไม่จริง วาจาหยาบ วาจาที่พูดส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน วาจาสำรากไร้ประโยชน์ มันเป็นของไม่ดี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เว้น ถ้าเราเว้น ถ้าเขาเว้น เว้นด้วยกันทั้งสองฝ่าย ดีหรือไม่ดี คิดเอา
ข้ยที่ 5 สุราเมรัยเป็นฐานะที่ตั้งแห่งความเป็นคนบ้า ผมไม่พูดว่าความเป็นคนประมาท พระบาลีท่านบอกว่าสุราและเมรัย เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ผมขอพูดว่าตั้งอยู่ในความเป็นคนบ้า ตามปกติเราก็บ้ากิเลสตัณหา อุปาทานอยู่แล้ว แต่ในบางขณะหน้ายังบางไม่หนามากนัก แต่พอดื่มสุราเมรัยเข้าไปแล้ว หน้าของคนคนนั้นหนายิ่งกว่าส้นเท้าเสียอีก สามารถจะพูดเลวทำเลวยังไงก็ได้ มันดีหรือไม่ดีนี่ ผมเปรียบเทียบเท่านี้ ผมยังเกรงใจนะ ยังเกรงใจ
เป็นอันว่าเรามานั่งพิจารณาศีล 5 ว่าเราควรจะรักษาหรือว่าควรจะละเมิด ถ้าเราต้องการเป็นพระโสดาบัน ศีลของฆราวาส ศีลของเณร ศีลของพระ ก็ควรจะปฏิบัติให้เคร่งครัด
ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด อย่างนี้ ถ้าจิตทรงศีลได้มีอารมณ์เป็นปกติโดยไม่ต้องระวัง ถ้ากำลังใจคิดว่าจะทำลายศีลนั้นมันไม่มี แต่ถ้าจะพลาดพลั้งไป เหยียบเอาสัตว์ตายโดยไม่มีเจตนา หรือใช้วาจาที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง แต่เพื่อรักษาประโยชน์ของบุคคลผู้รับฟัง อันนี้ไม่ชื่อว่าศีลขาด เหยียบสัตว์ตายไม่เจตนา ศีลไม่ขาด พูดรักษาประโยชน์ถ้าเขาจะแตกร้าวกัน เราก็หานโยบายใด ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง มาแนะนำให้เขามีความสามัคคีกัน อย่างนี้ไม่ใช่มุสา เป็นเมตตา
สิ่งที่ระวังยากมีอยู่ 2 ข้อเท่านั้น นอกนั้นระวังง่าย หากว่าจิตเราทรงได้อย่างนี้ ก็ชื่อว่ามีความเป็นพระโสดาบัน จงจำไว้ว่าองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงสอนไว้ในอุทุมพริกสูตร ว่า
1. เราจะไม่ตั้งใจทำลายศีลด้วยตนเอง
2. จะไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล
3. เราจะไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว
คุมใจของเราไว้แบบนี้ ถ้าจิตทรงอยู่อย่างนี้เป็นอารมณ์ แสดงว่าท่านทรงสีลานุสสติกรรมฐานได้เป็นปกติ
สำหรับสังฆานุสสติกรรมฐาน นั่นให้นึกถึงความดีของพระสงฆ์ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วทรงทรมานพระกาย สอนพวกเราอยู่ถึง 45 พรรษา เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาปรินิพพานแล้ว สาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็รวมกัน 500 รูป มีพระมหากัสสปเป็นประธาน รวบรวมคำสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร ที่ต่างคนต่างฟัง ต่างคนต่างศึกษา ให้เอาเข้าเป็นหมวดเป็นหมู่ เอาไว้เป็นครูสอนสำหรับเรา แล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้น ก็ติดตามสอนบุคคลทั้งหลาย โดยไม่คิดกับค่าจ้างรางวัลไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย
ความจริงท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านมีความสุข หากว่าท่านไม่สอนเรา ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ใครจะไปว่าอะไร แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นปฏิบัติตามเยี่ยงอย่างองค์สมเด็จพระจอมไตรไม่มีผิด สมเด็จพระธรรมสามิสรติดตามสอนคนด้วยความเมตตาฉันใด บรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลายก็ติดตามสอนพวกเราเช่นเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะอาศัยที่ท่านฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วได้ปฏิบัติตาม ท่านได้เป็นอรหันต์ และเราล่ะ เห็นความดีของพระสงฆ์ไหม ว่าท่านดีขนาดไหน
นี่เป็นอันว่าจิตใจของเรา พอใจในพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง พอใจในพระธรรมคำสั่งสอนคือศีลของพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง พอใจในพระอริยสงฆ์แล้วหรือยัง ถ้าพอใจแล้วก็ดูคำแนะนำ ขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วอีกจุดหนึ่งว่า โลกมันเป็นทุกข์ มนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่เป็นแดนหมดทุกข์ แดนที่มีความสุขเป็นเอกัคคตา คือเป็นสุขฝ่ายเดียว ไม่มีทุกข์เจือปนคือพระนิพพาน อันนี้ก็ได้แก่ อุปสมานุสสติกรรมฐาน จิตของเราน้อมยอมรับพระนิพพาน ใจของเราแยกจากความต้องการความเป็นมนุษย์ แยกความต้องการเป็นเทวดา แยกความต้องการเป็นพรหมด้วยความจริงใจ ทรงอารมณ์ใจของเราให้มั่น คิดว่าพระนิพพานเท่านั้นเป็นที่ไปของเรา
ถ้าเอาจิตของเราตั้งมั่นแบบนี้ ก็ชื่อว่าท่านทั้งหลายเป็น
พระโสดาบัน นี่ได้ชื่อว่าเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น อบายภูมิทั้ง 4 ประการคือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่ทางไปของเรา
ถ้าจะพูดต่อไปเวลามันหมดแล้วขอรับ เห็นว่าเท่านี้ควรจะเป็นที่พอใจของท่านทั้งหลายแล้ว รู้ว่าความเป็นพระสดาบันเป็นของไม่ยาก ฉะนั้นขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ศึกษาแล้วจงอย่าโยนทิ้งเสีย ใช้อิทธิบาท 4 เข้าควบคุมอารมณ์ใจ คิดว่าอย่างเลวที่สุด ภายในระยะเวลา 1 เดือน ความเป็นพระโสดาบันก็จะถึงท่าน นี่ความจริงเขาศึกษากันแบบนี้นะ เดือนเดียวเขาเป็นอรหันต์หมด
ต่อแต่นี้ไป ขอสาวกของสมเด็จพระบรมสุคต ตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร
สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 อนุสสติ 5 ตอนที่ 2.2
อนุสสติ 5 ตอนที่ 2.2
นี่การศึกษาของท่านทั้งหลายต้องจับไว้ทั้ง 2 ประการ แต่การสอนของผมในระดับนี้ ไม่ประสงค์ทิพพจักขุญาณ ประสงค์อย่างเดียวคือขั้นสุกขวิปัสสโก แต่ทว่าบังเอิญท่านทั้งหลายจะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นผู้ได้ทิพพจักขุญาณ หรือมโนมยิทธิ ผมก็สนับสนุน ถ้าต้องการอย่างนั้น ให้หันไปสนใจกับหลักสูตรวิชชาสามซึ่งมีอยู่แล้ว ที่แนะนำแบบนี้ก็เป็นจุดหนึ่ง แทนที่ท่านจะไปเถียงกับใครเขา จะได้รู้ไว้ว่า แม้แต่เราตั้งใจภาวนาว่า พุทโธ หรือว่า ธัมโม สังโฆ โดยไม่กำหนดจิตคิดว่าจะเห็นภาพ ภาพก็สามารถจะเกิดให้ ถ้าอารมณ์ใจของเราควรจะเข้าถึงเป็นผู้ได้ทิพพจักขุญาณ จำไว้ให้ดีนะครับ นี่เป็นจุดหนึ่ง
สำหรับอีกจุดหนึ่ง ในการใช้พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ นั่นก็คือ ถ้าจิตของเราไม่ต้องการความสงัด คืออารมณ์สงบโดยเฉพาะ แต่ว่าจิตต้องการอารมณ์คิด ยิ่งจริยาคือยาการของจิตนี่ ท่านจะต้องศึกษากันไห้ดี อย่าให้มันตรงเกินไป ตรงเกินไปจะถือว่าฉันศึกษาพุทธานุสสติ ต้องการอารมณ์หยุด แต่ถ้าจิตจะคิดเข้ามาถึงด้านพิจารณาความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราไม่เอา เราฝืนอารมณ์จิตแบบนี้ แทนที่จะเป็นผลดี กลับจะกลายเป็นอาการของผลกลุ้มไป กลุ้มอารมณ์จิตมันก็เสีย มีความเร่าร้อน ฉะนั้นจงใช้อารมณ์ให้มันถูกกับจังหวะของอารมณ์จิตที่ต้องการ ถ้าจิตอยากจะคิดก็เชิญคิด คิดตอนไหน คิดถึงพุทธานุสสติ
คำว่าพุทธานุสสตินี้ แปลว่า ตามนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็มานั่งพิจารณาว่าพระพุทธเจ้าท่านดีอย่างไร น้อมเข้าไปถึงความดีของพระองค์ พระองค์เป็นกษัตริย์ ถ้าพระองค์จะแสวงหาความสุขส่วนพระองค์ เป็นกษัตริย์สบายกว่าที่จะต้องเดินป่าเดินดง นอนกลางดินกินกลางทราย เป็นพระพุทธเจ้าเที่ยวสอนคนซึ่งไม่มีรางวัล รางวัดใด ๆ ไม่มี นี่ตอนหนึ่ง
หรือว่าอีกตอนหนึ่ง องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วเป็นพระอรหันท์ มีความสุข สามารถจะไปนิพพานได้แบบสบาย ถ้าไม่สอนใคร ไม่คบใคร ใจก็มีแต่ความสุข ไม่มีทุกข์ หากว่าพระองค์จะเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่สอนพวกเราเสีย ใครจะไปบังคับท่านเพราะว่าไม่มีใครเป็นนายท่าน การจะบังคับให้ท่านเป็นอรหันต์ เป็นครูไม่มี
แต่ทว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์ใม่ทำอย่างนั้น กลับมีพระมหากรุณาธิคุณ ทนต่อความยากลำบากต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ต้องต่อสู้กับบรรดาลัทธิทั้งหลาย นอกพุทธศาสนาที่สอนผิด จนองค์สมเด็จพระธรรมสามิสรมีความลำบาก บางคราวต้องพักถึง 15 วัน นี่ชื่อว่าเป็นความดีขององค์สมเด็จพระภควันต์ที่มีพระมหากรุณาธิคุณต่อพวกเรา เป็นความดีของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นความดีส่วนพระองค์
ความดีอีกจุดหนึ่งที่พระองค์ทรงสอนพวกเรา ที่เราเรียกกันว่า พระธรรม สำหรับพระธรรมนั้นมีถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ แต่ว่าตอนนี้เราจะมาหยุดอยู่ เฉพาะความเป็นพระโสดาบันของเรา เราตั้งใจไว้ว่าเราจะเป็นพระโสดาบัน เราก็ตั้งขอบเขตไว้โดยเฉพาะความเป็นพระโสดาบัน ถ้าก้าวเกินไปมันจะลำบาก เอากันแบบง่าย ๆ การเจริญกรรมฐานกลุ่มนี้ เป็นกำไรพิเศษ
เราก็หันมาดูคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ที่มีพระมหากรุณาธิคุณให้เราสนใจกับศีล นี่เราย่องเอาสีลานุสสติกรรมฐานเข้ามาแทรกเลย ไม่ใช่ต้องไปนั่งไล่เบี้ยว่า คำสอนของพระองค์ที่มีความสำคัญ ในขั้นที่จะเข้าถึงพระโสดาบันนี่คือศีล จับจุดลงเฉพาะแบบนี้ อย่าให้มันเปะปะไป
สำหรับพระ พิจารณาวินัย สิกขาบท 227 สิกขาบทอย่าให้บกพร่อง
สำหรับสามเณร อย่าให้ศีล 10 บกพร่องและก็ต้องศึกษาเสขิยวัตรอีก 75 เป็นอันว่าสามเณรจะต้องมีสิกขาบท ปฏิบัติจริง ๆ 85 ด้วยกัน
สำหรับฆราวาส สนใจศีล 5 เป็นสำคัญ
จำเพาะพระกับเณรผมจะไม่พูดถึง เพราะศีลบังคับท่านอยู่แล้ว ถ้าหากว่าท่านพลาดสิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่ง จงทราบว่าท่านหมดสภาพจากความเป็นพระ พอหมดสภาพจากความเป็นพระมันก็เป็นเถน เถนะ เขาแปลว่า หัวขโมย ขโมยเอาภาพของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามาใช้หลอกลวงชาวบ้าน รู้สึกตัวไว้ด้วย
สำหรับฆราวาสเราก็มาพิจารณาศีลว่า ที่พระพุทธเจ้าแนะนำไว้ดีตอนไหนเอาศีล 5
ข้อที่ 1 พระองค์ให้มีความรักซึ่งกันและกัน ไม่พิฆาตเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน ความรักมันดีหรือว่ามันชั่ว คิดเอา ใช้ปัญญา เราเป็นเพื่อนกัน เรารักกันมันดีไหม มันเป็นสุขหรือเป็นความทุกข์ ใช้ปัญญาเอาเองนะ
ข้อที่ 2 ให้มีความสันโดษ พอใจเฉพาะทรัพย์ของเราที่เป็นสิทธิโดยเฉพาะ ไม่ยื้อแย่งไม่ลักขโมยทรัพย์ของใคร อันนี้ดีหรือชั่ว คิดเอา
ข้อที่ 3 สามีภรรยาเป็นที่รัก เรารักเราก็ไม่ละเมิดความรักของบุคคลอื่น ไม่ละเมิดสามี ภรรยา บุตรธิดา ข้าทาสหญิงชาย คนในปกครอง โดยที่ท่านเจ้าของไม่อนุญาต ดีหรือไม่ดี คิดเอา
ข้อที่ 4 วาจาไม่จริง วาจาหยาบ วาจาที่พูดส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน วาจาสำรากไร้ประโยชน์ มันเป็นของไม่ดี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เว้น ถ้าเราเว้น ถ้าเขาเว้น เว้นด้วยกันทั้งสองฝ่าย ดีหรือไม่ดี คิดเอา
ข้ยที่ 5 สุราเมรัยเป็นฐานะที่ตั้งแห่งความเป็นคนบ้า ผมไม่พูดว่าความเป็นคนประมาท พระบาลีท่านบอกว่าสุราและเมรัย เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ผมขอพูดว่าตั้งอยู่ในความเป็นคนบ้า ตามปกติเราก็บ้ากิเลสตัณหา อุปาทานอยู่แล้ว แต่ในบางขณะหน้ายังบางไม่หนามากนัก แต่พอดื่มสุราเมรัยเข้าไปแล้ว หน้าของคนคนนั้นหนายิ่งกว่าส้นเท้าเสียอีก สามารถจะพูดเลวทำเลวยังไงก็ได้ มันดีหรือไม่ดีนี่ ผมเปรียบเทียบเท่านี้ ผมยังเกรงใจนะ ยังเกรงใจ
เป็นอันว่าเรามานั่งพิจารณาศีล 5 ว่าเราควรจะรักษาหรือว่าควรจะละเมิด ถ้าเราต้องการเป็นพระโสดาบัน ศีลของฆราวาส ศีลของเณร ศีลของพระ ก็ควรจะปฏิบัติให้เคร่งครัด ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด อย่างนี้ ถ้าจิตทรงศีลได้มีอารมณ์เป็นปกติโดยไม่ต้องระวัง ถ้ากำลังใจคิดว่าจะทำลายศีลนั้นมันไม่มี แต่ถ้าจะพลาดพลั้งไป เหยียบเอาสัตว์ตายโดยไม่มีเจตนา หรือใช้วาจาที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง แต่เพื่อรักษาประโยชน์ของบุคคลผู้รับฟัง อันนี้ไม่ชื่อว่าศีลขาด เหยียบสัตว์ตายไม่เจตนา ศีลไม่ขาด พูดรักษาประโยชน์ถ้าเขาจะแตกร้าวกัน เราก็หานโยบายใด ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง มาแนะนำให้เขามีความสามัคคีกัน อย่างนี้ไม่ใช่มุสา เป็นเมตตา
สิ่งที่ระวังยากมีอยู่ 2 ข้อเท่านั้น นอกนั้นระวังง่าย หากว่าจิตเราทรงได้อย่างนี้ ก็ชื่อว่ามีความเป็นพระโสดาบัน จงจำไว้ว่าองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงสอนไว้ในอุทุมพริกสูตร ว่า
1. เราจะไม่ตั้งใจทำลายศีลด้วยตนเอง
2. จะไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล
3. เราจะไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว
คุมใจของเราไว้แบบนี้ ถ้าจิตทรงอยู่อย่างนี้เป็นอารมณ์ แสดงว่าท่านทรงสีลานุสสติกรรมฐานได้เป็นปกติ
สำหรับสังฆานุสสติกรรมฐาน นั่นให้นึกถึงความดีของพระสงฆ์ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วทรงทรมานพระกาย สอนพวกเราอยู่ถึง 45 พรรษา เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาปรินิพพานแล้ว สาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็รวมกัน 500 รูป มีพระมหากัสสปเป็นประธาน รวบรวมคำสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร ที่ต่างคนต่างฟัง ต่างคนต่างศึกษา ให้เอาเข้าเป็นหมวดเป็นหมู่ เอาไว้เป็นครูสอนสำหรับเรา แล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้น ก็ติดตามสอนบุคคลทั้งหลาย โดยไม่คิดกับค่าจ้างรางวัลไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย
ความจริงท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านมีความสุข หากว่าท่านไม่สอนเรา ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ใครจะไปว่าอะไร แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นปฏิบัติตามเยี่ยงอย่างองค์สมเด็จพระจอมไตรไม่มีผิด สมเด็จพระธรรมสามิสรติดตามสอนคนด้วยความเมตตาฉันใด บรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลายก็ติดตามสอนพวกเราเช่นเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะอาศัยที่ท่านฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วได้ปฏิบัติตาม ท่านได้เป็นอรหันต์ และเราล่ะ เห็นความดีของพระสงฆ์ไหม ว่าท่านดีขนาดไหน
นี่เป็นอันว่าจิตใจของเรา พอใจในพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง พอใจในพระธรรมคำสั่งสอนคือศีลของพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง พอใจในพระอริยสงฆ์แล้วหรือยัง ถ้าพอใจแล้วก็ดูคำแนะนำ ขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วอีกจุดหนึ่งว่า โลกมันเป็นทุกข์ มนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่เป็นแดนหมดทุกข์ แดนที่มีความสุขเป็นเอกัคคตา คือเป็นสุขฝ่ายเดียว ไม่มีทุกข์เจือปนคือพระนิพพาน อันนี้ก็ได้แก่ อุปสมานุสสติกรรมฐาน จิตของเราน้อมยอมรับพระนิพพาน ใจของเราแยกจากความต้องการความเป็นมนุษย์ แยกความต้องการเป็นเทวดา แยกความต้องการเป็นพรหมด้วยความจริงใจ ทรงอารมณ์ใจของเราให้มั่น คิดว่าพระนิพพานเท่านั้นเป็นที่ไปของเรา
ถ้าเอาจิตของเราตั้งมั่นแบบนี้ ก็ชื่อว่าท่านทั้งหลายเป็น พระโสดาบัน นี่ได้ชื่อว่าเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น อบายภูมิทั้ง 4 ประการคือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่ทางไปของเรา
ถ้าจะพูดต่อไปเวลามันหมดแล้วขอรับ เห็นว่าเท่านี้ควรจะเป็นที่พอใจของท่านทั้งหลายแล้ว รู้ว่าความเป็นพระสดาบันเป็นของไม่ยาก ฉะนั้นขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ศึกษาแล้วจงอย่าโยนทิ้งเสีย ใช้อิทธิบาท 4 เข้าควบคุมอารมณ์ใจ คิดว่าอย่างเลวที่สุด ภายในระยะเวลา 1 เดือน ความเป็นพระโสดาบันก็จะถึงท่าน นี่ความจริงเขาศึกษากันแบบนี้นะ เดือนเดียวเขาเป็นอรหันต์หมด
ต่อแต่นี้ไป ขอสาวกของสมเด็จพระบรมสุคต ตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics