ต่อจาก หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 อนุสสติ 5 ตอนที่ 1.1 https://ppantip.com/topic/43254914
อนุสสติ 5 ตอนที่ 1.2
![](https://f.ptcdn.info/038/087/000/m709fibziwL6K0rolFf-o.jpg)
เราจะไปนิพพานได้ทางไหน
1.
ตัดราคะ ความรักในร่างกายของบุคคลอื่นที่เต็มไปด้วยความสกปรก และเต็มไปด้วยความทุกข์ เห็นร่างกายของชาวบ้าน ร่างกายของเรา มันมีสภาพเหมือนกับส้วมเดินได้
ประการที่ 2.
ตัดโลภะ ความโลภ ความทะเยอทะยาน เพราะว่าคนรวยเศรษฐีมหาเศรษฐี ทุกท่านตายแล้วแบกอะไรไปไม่ได้เลย
3.
ตัดความโกรธความพยาบาท คิดจองล้างจองผลาญกัน เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นปัจจัยบันดาลความสุข เป็นปัจจัยบันดาลความทุกข์ เริ่มโกรธอารมณ์ก็กลุ้ม ถ้าเราไปทำร้ายเขา เขาก็จะทำร้ายเราบ้าง เราจะฆ่าเขา เขาก็จะฆ่าเราบ้าง มันเป็นความสุขหรือความทุกข์ในเมื่อเรามีศัตรู ถ้าเราจะคิดให้เขาตาย มันก็ไม่ยาก คนทั้งโลกเราจะแช่งให้ตายเสียทั้งหมดก็ได้ ไม่ต้องไปเรียนวาคาคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน เราแช่งเขาหรือเราไม่แช่งเขาก็ตาย เราต้องการให้เขามีความทุกข์ เราจะบันดาลหรือไม่บันดาล เขาก็มีความทุกข์ ทุกข์เพราะความหิว ความกระหาย ความป่วยไข้ไม่สบาย การพลัดพรากจากของรักของขอบใจ ทุกข์เพราะร่างกายของตนจะต้องตาย แล้วก็จะไปนั่งโกรธทำอะไร เลิกโกรธเสีย ใครจะเลวก็เชิญเลว เชิญเลวไปแต่ผู้เดียว ฉันไม่ยอมเลวด้วย
4.
โมหะ ความหลง ปลงลงไปว่าโลกทั้งโลกไม่มีอะไรเป็นของจีรังยั่งยืน สิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต แม้แต่อารมณ์ใจที่เราคิดมันก็ยังไม่ทรงตัว ถ้าเราติดอยู่ในโลกีย์วิสัย โยนทิ้งมันไป ขึ้นชื่อว่าโลกจะเกาะใจของเราไม่ได้ เป็นอันอันว่าตัดโลภะได้ ตัดราคะได้ ตัดโทสะได้ ตัดโมหะได้ ได้มากได้น้อยก็ช่างมัน ตัดมันทุกวัน ไม่ช้ามันก็หมด ภูเขาลูกใหญ่เราใช้ฆ้อนมีกำลังสักครึ่งตันไปนั่งทุบทุกวัน เราไม่เลิกทุบ ในที่สุดภูเขามันก็พัง ฉันใด กิเลสทั้งหลายที่มีในใจก็เหมือนกัน
นี่ถ้าบังเอิญท่านจะไม่ภาวนาเลย ท่านพิจารณาอย่างนี้ทุกวัน ทุกลมหายใจเข้าออก ผมจะพอใจมาก ถ้าจะย้อนมาถามว่า ทำไมถึงพอใจ ก็จะตอบได้ทันทีว่า ท่านกำลังจะเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านจะย้อมมาภาวนาทำไม อารมณ์ที่พูดเมื่อกี้นี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ หากว่าจิตใจของท่านทรงอารมณ์อย่างนี้ละก็ ท่านไม่ต้องไปนั่งคอยพระโสดา สกิทาคา อนาคา สิ่งที่จะเข้ามาถึงท่านเร็วที่สุด ก็คือความเป็นพระอรหันต์ จำไว้นะครับ ถ้าจิตมันอยากจะคิด เราก็คิดในมุมนี้ให้มาก
ต่อมาก็หันมาพูดกันถึงอนุสสติทั้ง 3 ว่าถ้าเราจะภาวนา กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ก็ภาวนาว่าพุทใธ หรือว่าธัมโม หรือว่าสังโฆ ทรงอารมณ์จิตให้สบาย ได้ฌานอะไรก็ช่าง ได้หรือไม่ได้ก็ช่าง ต้องการอย่างเดียวคืออารมณ์เป็นสุข นี่จุดหนึ่ง
ประการที่ 2 การพิจารณาถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำความดีเป็นเอนกประการ เราจะนับเราจะประมาณไม่ได้ แต่ทว่าการปฏิบัติคราวนี้เราต้องการพระนิพพาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราตัองการเป็นพระโสดาบัน หรือว่าพระสกิทาคามี และของทั้งหลายเหล่านี้ กำลังวางอยู่ข้างตักของเรา
นี่การเจริญพระกรรมฐานหมวดนี้แหละท่านเอ๋ย กำไรจริง ๆ เป็นกำไรมหาศาล ถ้าฉลาดสักหน่อยเดียว ผมให้โอกาสแก่ท่านเพียง 1 เดือนเป็นอย่างช้า แต่ใครรักษาอารมณ์ใจเกินเดือนนี่ ผมจะถือว่าเลวที่สุด มันบุคคลที่ที่สุดของความเลว แล้วก็จงอย่าเอาดีกันเลย เมื่อเลวขนาดนั้นก็จงอย่าหาความดี กล้วยสุกที่เขาปอกแล้ววางอยู่ใกล้ปาก ห่างปากไปเส้นขนเดียว แต่ไม่สามารถจะกินได้นี่ มันก็จอมเลวแล้ว ผมไม่คบ ไม่คบคนแล้วประเภทนี้ จะดีกันตรงไหนเอากันเสียเลยวันนี้เป็นยังไง ล่อพระนิทพาน คือเป็น พระโสดา สกิทาคา เสียเลยเป็นยังไง ได้หรือไม่ได้ก็ช่าง ผมจะพูดอีก 6 นาที
เป็นอันว่าใจของเราก็ตั้งจิตว่า โอหนอ.. องค์สมเด็จพระชินสีห์ที่บำเพ็ญบารมีมาถึง 4 อสงไชยกับแสนกัป ต้องการรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ จุดที่จะบันดาลความสุข ตัดอบายภูมิอันดับแรก ก็คือความเป็นพระโสดาบัน เราจะเป็นอย่างไรหนอ ดูกฎพระโสดาบัน ถ้าฆราวาสจะเป็นพระโสดาบัน ก็มีจิตใจมั่นคงในศีล 5 เป็นปกติ หมายความว่าจิตรักศีล 5 เป็นปกติ ไม่ยุ่งกับอารมณ์ใดที่เข้ามาทำลายศีล 5 เห็นไหม นิดเดียว สำหรับสามเณรต้องทรงศีล 10 เป็นปกติ สำหรับพระจะต้องมีศีล 227 เป็นปกติ จำได้ไหมครับ เป็นอันว่าตอนนี้ศีลมาจากไหน ศีลนี่เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรียกกันว่าพระวินัย แล้วใครนำมา พระสงฆ์ พระอริยสงฆ์ มีพระมหากัสสปเป็นต้น รวบรวมเข้ามาในสมัยปฐมสังคายนา นี่พิจารณาทีเดียวล่อสามไตร ล่อทั้งสามอนุสสติ ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
แล้วก็นั่งดูศีล การที่เราปฏิบัติศีลบริสุทธิ์ เป็นปัจจัยให้เกิดความสุขอย่างยิ่ง อย่างศีล 5 เราไม่อยากจะฆ่าเขา เราไม่อยากให้เขาฆ่าเรา เราก็ไม่ฆ่าเขา แทนที่จะคิดร้ายต่อกัน มีจิตรักในอำนาจพรหมวิหาร 4 คือเมตตา เมื่อรักกันอารมณ์ก็มีความสุข การคิดฆ่ากันไม่มี
ผมพูดย่อ ๆ การลักการขโมยของซึ่งกันและกันก็เหมือนกัน ไม่ได้เกิดประโยชน์ของที่ขโมยมา ไม่ได้สร้างให้เรามีความสุขตลอดซาติ เรามีพริกกินพริก มีเกลือกินเกลือ มีผ้าขาดนุ่งผ้าขาด มีผ้าดีนุ่งผ้าดี หมดเรื่อง อยู่กระต๊อบ อยู่ตึก มันก็แก่ มันก็เจ็บ มันก็ตายเหมือนกัน ทะเยอทะยานไปทำไม ของเราเรารัก ของเขาเขาไม่รักหรือ เราลักเราขโมยของเขา เราก็เป็นศัตรูกับเขา เราจะหาความสุขไม่ได้
ต่อไปกาเมสุมิฉาจาร เรื่องเล็ก มันก็แค่นั้นแหละ ไอ้ผัวกันเมียกัน มันก็แค่นั้น ไม่มีใครสร้างความสุข มันสร้างแต่ความทุกข์ ฉะนั้นจะไปทำทำไม
มุสาวาท เราต้องการความจริงจากคนอื่นเขาพูด เรารักคนพูดจริง แต่เราพูดไม่จริง ใครเขาจะรัก เขาก็เกลียดน้ำหน้า ก็เป็นอันว่าเราก็ไม่พูดความไม่จริงเสีย เราก็พูดคำจริงเสีย มันก็หมดเรื่อง
การดื่มสุราเมรัย ยุใจของตนให้เป็นคนบ้า มันจะเกิดประโยชน์อะไร
เป็นอันว่าฆราวาสทรงศีล 5 ให้บริสุทธิ์ คิดอย่างนี้ทบทวนไป ๆ มา ๆ และนี่ ผมจะไม่อธิบายรายละเอียด เพราะเรื่องมันง่ายๆ ของกล้วยๆ
พอเข้ามาจับศีลเข้าตอนนี้เรียกว่า
สีลานุสสติกรรมฐาน เมื่อจิตเรามั่นคงในคุณพระพุทธเจ้า มั่นคงในพระธรรม มั่นคงในพระสงฆ์ จิตปลงลงไปด้วยอาการของความจริงว่า โอหนอ... ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ประเดี๋ยวมันก็พัง ประเดี๋ยวมันก็ตาย ไม่ได้เกิดประโยชน์ มันไม่มีความที่รังยั่งยืน อย่าคบหาสมาคมกับมันต่อไป แต่ว่าการที่จะสละมันได้จริง ๆ ยากอยู่สักหน่อย ในตอนต้นขอเกาะกระแสพระนิพพานไว้ก่อน คืออารมณ์พระนิพพานทรงไตรสรณาคมน์ทั้ง 3 ประการ คือ รักในพระพุทธเจ้า รักในพระธรรม รักในพระอริยสงฆ์ คำว่ารักในที่นี้ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ด้วย พระองค์บอกว่าถ้ารักฉัน ต้องการให้ฉันเป็นที่พึ่ง จงรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เราก็รักษาศีลบริสุทธิ์ เมื่อศีลทรงตัว อารมณ์รักพระพุทธเจ้า มีความไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าจะตายไว้เสมอ
ต่ออารมณ์อีกนิด เราเอาจิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์
ถ้าจิตของบรรดาท่านทั้งหลายทรงไว้ได้อย่างนี้เป็นปกติ ท่านเองเขาเรียกกันว่าพระโสดาบัน หรือว่าพระสกิทาคามี สำหรับอารมณ์พระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี อยากจะรู้ละเอียด ก็จงหันไปดูอานาปานุสสติกรรมฐาน ที่ว่าด้วยพระโสดาบันกับสกิทาคามี ยากหรือง่ายท่าน ยากไหม ถ้าบอกว่ายากละก็ พระกับเณรทั้งหลายศีลขาดไปหมดแล้ว ไม่มีความเป็นพระ ไม่มีความเป็นเณร เป็นสัตว์นรกไปหมด เพราะปกติเราเป็นผู้รักษาศีลอยู่แล้ว และเราก็ประกาศตนว่า เราจะเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราลืมพระพุทธเจ้า ลืมพระธรรม ลืมพระสงฆ์ มันก็เป็นเดียรถีย์ ความดีที่เราจะพึงได้ก็คืออเวจีมหานรก นี่มันของไม่ยาก
เป็นอันว่าจุดนี้ขอสรุปไว้ย่อ ๆ เพียงแค่นี้ จะไม่อธิบายมาก เพราะมันเป็นของธรรมดา เป็นอันว่าสำหรับวันนี้มองดูเวลาเลยไป 1 นาที สำหรับเวลาที่จะพูดแค่ 29 นาที ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอทุกท่านต่อไปนี้ตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก จับอารมณ์พระโสดา สกิทาคา ตามที่กล่าวมาให้ได้ จิตใจของท่านจะเข้าถึงซึ่งกระแสพระนิพพาน แล้วก็ขอทุกท่านจงพยายามพิจารณาและภาวนาไว้เป็นปกติจนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร
สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 อนุสสติ 5 ตอนที่ 1.2
อนุสสติ 5 ตอนที่ 1.2
เราจะไปนิพพานได้ทางไหน
1. ตัดราคะ ความรักในร่างกายของบุคคลอื่นที่เต็มไปด้วยความสกปรก และเต็มไปด้วยความทุกข์ เห็นร่างกายของชาวบ้าน ร่างกายของเรา มันมีสภาพเหมือนกับส้วมเดินได้
ประการที่ 2. ตัดโลภะ ความโลภ ความทะเยอทะยาน เพราะว่าคนรวยเศรษฐีมหาเศรษฐี ทุกท่านตายแล้วแบกอะไรไปไม่ได้เลย
3. ตัดความโกรธความพยาบาท คิดจองล้างจองผลาญกัน เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นปัจจัยบันดาลความสุข เป็นปัจจัยบันดาลความทุกข์ เริ่มโกรธอารมณ์ก็กลุ้ม ถ้าเราไปทำร้ายเขา เขาก็จะทำร้ายเราบ้าง เราจะฆ่าเขา เขาก็จะฆ่าเราบ้าง มันเป็นความสุขหรือความทุกข์ในเมื่อเรามีศัตรู ถ้าเราจะคิดให้เขาตาย มันก็ไม่ยาก คนทั้งโลกเราจะแช่งให้ตายเสียทั้งหมดก็ได้ ไม่ต้องไปเรียนวาคาคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน เราแช่งเขาหรือเราไม่แช่งเขาก็ตาย เราต้องการให้เขามีความทุกข์ เราจะบันดาลหรือไม่บันดาล เขาก็มีความทุกข์ ทุกข์เพราะความหิว ความกระหาย ความป่วยไข้ไม่สบาย การพลัดพรากจากของรักของขอบใจ ทุกข์เพราะร่างกายของตนจะต้องตาย แล้วก็จะไปนั่งโกรธทำอะไร เลิกโกรธเสีย ใครจะเลวก็เชิญเลว เชิญเลวไปแต่ผู้เดียว ฉันไม่ยอมเลวด้วย
4.โมหะ ความหลง ปลงลงไปว่าโลกทั้งโลกไม่มีอะไรเป็นของจีรังยั่งยืน สิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต แม้แต่อารมณ์ใจที่เราคิดมันก็ยังไม่ทรงตัว ถ้าเราติดอยู่ในโลกีย์วิสัย โยนทิ้งมันไป ขึ้นชื่อว่าโลกจะเกาะใจของเราไม่ได้ เป็นอันอันว่าตัดโลภะได้ ตัดราคะได้ ตัดโทสะได้ ตัดโมหะได้ ได้มากได้น้อยก็ช่างมัน ตัดมันทุกวัน ไม่ช้ามันก็หมด ภูเขาลูกใหญ่เราใช้ฆ้อนมีกำลังสักครึ่งตันไปนั่งทุบทุกวัน เราไม่เลิกทุบ ในที่สุดภูเขามันก็พัง ฉันใด กิเลสทั้งหลายที่มีในใจก็เหมือนกัน
นี่ถ้าบังเอิญท่านจะไม่ภาวนาเลย ท่านพิจารณาอย่างนี้ทุกวัน ทุกลมหายใจเข้าออก ผมจะพอใจมาก ถ้าจะย้อนมาถามว่า ทำไมถึงพอใจ ก็จะตอบได้ทันทีว่า ท่านกำลังจะเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านจะย้อมมาภาวนาทำไม อารมณ์ที่พูดเมื่อกี้นี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ หากว่าจิตใจของท่านทรงอารมณ์อย่างนี้ละก็ ท่านไม่ต้องไปนั่งคอยพระโสดา สกิทาคา อนาคา สิ่งที่จะเข้ามาถึงท่านเร็วที่สุด ก็คือความเป็นพระอรหันต์ จำไว้นะครับ ถ้าจิตมันอยากจะคิด เราก็คิดในมุมนี้ให้มาก
ต่อมาก็หันมาพูดกันถึงอนุสสติทั้ง 3 ว่าถ้าเราจะภาวนา กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ก็ภาวนาว่าพุทใธ หรือว่าธัมโม หรือว่าสังโฆ ทรงอารมณ์จิตให้สบาย ได้ฌานอะไรก็ช่าง ได้หรือไม่ได้ก็ช่าง ต้องการอย่างเดียวคืออารมณ์เป็นสุข นี่จุดหนึ่ง
ประการที่ 2 การพิจารณาถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำความดีเป็นเอนกประการ เราจะนับเราจะประมาณไม่ได้ แต่ทว่าการปฏิบัติคราวนี้เราต้องการพระนิพพาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราตัองการเป็นพระโสดาบัน หรือว่าพระสกิทาคามี และของทั้งหลายเหล่านี้ กำลังวางอยู่ข้างตักของเรา
นี่การเจริญพระกรรมฐานหมวดนี้แหละท่านเอ๋ย กำไรจริง ๆ เป็นกำไรมหาศาล ถ้าฉลาดสักหน่อยเดียว ผมให้โอกาสแก่ท่านเพียง 1 เดือนเป็นอย่างช้า แต่ใครรักษาอารมณ์ใจเกินเดือนนี่ ผมจะถือว่าเลวที่สุด มันบุคคลที่ที่สุดของความเลว แล้วก็จงอย่าเอาดีกันเลย เมื่อเลวขนาดนั้นก็จงอย่าหาความดี กล้วยสุกที่เขาปอกแล้ววางอยู่ใกล้ปาก ห่างปากไปเส้นขนเดียว แต่ไม่สามารถจะกินได้นี่ มันก็จอมเลวแล้ว ผมไม่คบ ไม่คบคนแล้วประเภทนี้ จะดีกันตรงไหนเอากันเสียเลยวันนี้เป็นยังไง ล่อพระนิทพาน คือเป็น พระโสดา สกิทาคา เสียเลยเป็นยังไง ได้หรือไม่ได้ก็ช่าง ผมจะพูดอีก 6 นาที
เป็นอันว่าใจของเราก็ตั้งจิตว่า โอหนอ.. องค์สมเด็จพระชินสีห์ที่บำเพ็ญบารมีมาถึง 4 อสงไชยกับแสนกัป ต้องการรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ จุดที่จะบันดาลความสุข ตัดอบายภูมิอันดับแรก ก็คือความเป็นพระโสดาบัน เราจะเป็นอย่างไรหนอ ดูกฎพระโสดาบัน ถ้าฆราวาสจะเป็นพระโสดาบัน ก็มีจิตใจมั่นคงในศีล 5 เป็นปกติ หมายความว่าจิตรักศีล 5 เป็นปกติ ไม่ยุ่งกับอารมณ์ใดที่เข้ามาทำลายศีล 5 เห็นไหม นิดเดียว สำหรับสามเณรต้องทรงศีล 10 เป็นปกติ สำหรับพระจะต้องมีศีล 227 เป็นปกติ จำได้ไหมครับ เป็นอันว่าตอนนี้ศีลมาจากไหน ศีลนี่เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรียกกันว่าพระวินัย แล้วใครนำมา พระสงฆ์ พระอริยสงฆ์ มีพระมหากัสสปเป็นต้น รวบรวมเข้ามาในสมัยปฐมสังคายนา นี่พิจารณาทีเดียวล่อสามไตร ล่อทั้งสามอนุสสติ ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
แล้วก็นั่งดูศีล การที่เราปฏิบัติศีลบริสุทธิ์ เป็นปัจจัยให้เกิดความสุขอย่างยิ่ง อย่างศีล 5 เราไม่อยากจะฆ่าเขา เราไม่อยากให้เขาฆ่าเรา เราก็ไม่ฆ่าเขา แทนที่จะคิดร้ายต่อกัน มีจิตรักในอำนาจพรหมวิหาร 4 คือเมตตา เมื่อรักกันอารมณ์ก็มีความสุข การคิดฆ่ากันไม่มี
ผมพูดย่อ ๆ การลักการขโมยของซึ่งกันและกันก็เหมือนกัน ไม่ได้เกิดประโยชน์ของที่ขโมยมา ไม่ได้สร้างให้เรามีความสุขตลอดซาติ เรามีพริกกินพริก มีเกลือกินเกลือ มีผ้าขาดนุ่งผ้าขาด มีผ้าดีนุ่งผ้าดี หมดเรื่อง อยู่กระต๊อบ อยู่ตึก มันก็แก่ มันก็เจ็บ มันก็ตายเหมือนกัน ทะเยอทะยานไปทำไม ของเราเรารัก ของเขาเขาไม่รักหรือ เราลักเราขโมยของเขา เราก็เป็นศัตรูกับเขา เราจะหาความสุขไม่ได้
ต่อไปกาเมสุมิฉาจาร เรื่องเล็ก มันก็แค่นั้นแหละ ไอ้ผัวกันเมียกัน มันก็แค่นั้น ไม่มีใครสร้างความสุข มันสร้างแต่ความทุกข์ ฉะนั้นจะไปทำทำไม
มุสาวาท เราต้องการความจริงจากคนอื่นเขาพูด เรารักคนพูดจริง แต่เราพูดไม่จริง ใครเขาจะรัก เขาก็เกลียดน้ำหน้า ก็เป็นอันว่าเราก็ไม่พูดความไม่จริงเสีย เราก็พูดคำจริงเสีย มันก็หมดเรื่อง
การดื่มสุราเมรัย ยุใจของตนให้เป็นคนบ้า มันจะเกิดประโยชน์อะไร
เป็นอันว่าฆราวาสทรงศีล 5 ให้บริสุทธิ์ คิดอย่างนี้ทบทวนไป ๆ มา ๆ และนี่ ผมจะไม่อธิบายรายละเอียด เพราะเรื่องมันง่ายๆ ของกล้วยๆ
พอเข้ามาจับศีลเข้าตอนนี้เรียกว่า สีลานุสสติกรรมฐาน เมื่อจิตเรามั่นคงในคุณพระพุทธเจ้า มั่นคงในพระธรรม มั่นคงในพระสงฆ์ จิตปลงลงไปด้วยอาการของความจริงว่า โอหนอ... ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ประเดี๋ยวมันก็พัง ประเดี๋ยวมันก็ตาย ไม่ได้เกิดประโยชน์ มันไม่มีความที่รังยั่งยืน อย่าคบหาสมาคมกับมันต่อไป แต่ว่าการที่จะสละมันได้จริง ๆ ยากอยู่สักหน่อย ในตอนต้นขอเกาะกระแสพระนิพพานไว้ก่อน คืออารมณ์พระนิพพานทรงไตรสรณาคมน์ทั้ง 3 ประการ คือ รักในพระพุทธเจ้า รักในพระธรรม รักในพระอริยสงฆ์ คำว่ารักในที่นี้ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ด้วย พระองค์บอกว่าถ้ารักฉัน ต้องการให้ฉันเป็นที่พึ่ง จงรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เราก็รักษาศีลบริสุทธิ์ เมื่อศีลทรงตัว อารมณ์รักพระพุทธเจ้า มีความไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าจะตายไว้เสมอ
ต่ออารมณ์อีกนิด เราเอาจิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์
ถ้าจิตของบรรดาท่านทั้งหลายทรงไว้ได้อย่างนี้เป็นปกติ ท่านเองเขาเรียกกันว่าพระโสดาบัน หรือว่าพระสกิทาคามี สำหรับอารมณ์พระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี อยากจะรู้ละเอียด ก็จงหันไปดูอานาปานุสสติกรรมฐาน ที่ว่าด้วยพระโสดาบันกับสกิทาคามี ยากหรือง่ายท่าน ยากไหม ถ้าบอกว่ายากละก็ พระกับเณรทั้งหลายศีลขาดไปหมดแล้ว ไม่มีความเป็นพระ ไม่มีความเป็นเณร เป็นสัตว์นรกไปหมด เพราะปกติเราเป็นผู้รักษาศีลอยู่แล้ว และเราก็ประกาศตนว่า เราจะเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราลืมพระพุทธเจ้า ลืมพระธรรม ลืมพระสงฆ์ มันก็เป็นเดียรถีย์ ความดีที่เราจะพึงได้ก็คืออเวจีมหานรก นี่มันของไม่ยาก
เป็นอันว่าจุดนี้ขอสรุปไว้ย่อ ๆ เพียงแค่นี้ จะไม่อธิบายมาก เพราะมันเป็นของธรรมดา เป็นอันว่าสำหรับวันนี้มองดูเวลาเลยไป 1 นาที สำหรับเวลาที่จะพูดแค่ 29 นาที ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอทุกท่านต่อไปนี้ตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก จับอารมณ์พระโสดา สกิทาคา ตามที่กล่าวมาให้ได้ จิตใจของท่านจะเข้าถึงซึ่งกระแสพระนิพพาน แล้วก็ขอทุกท่านจงพยายามพิจารณาและภาวนาไว้เป็นปกติจนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics