(ต่อจาก คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 อนุสสติ 5 ตอนที่ 5.1 https://ppantip.com/topic/43304508)
อนุสสติ 5 ตอนที่ 5.2

และก็ในเมื่อเราจะตายแล้ว เรามีอะไรเป็นที่พึ่ง พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระธรรมวินัย พระวินัยเป็นคำสั่ง พระธรรมเป็นคำสอน ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งและก็สอน ให้เราละชั่ว ประพฤติดีน่ะ เราทรงตัวได้แล้วหรือยัง ฝ่าฝืนพระธรรมวินัยตอนไหนบ้าง ค้นคว้าในจิตของตัว ถอยหน้าถอยหลัง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศีลของเราบริสุทธิ์พร้อมมูลแล้วหรือยัง นี่เรื่องของพระโสดาบัน
ก้าวไปถึงพระสกิทาคามี โลภะ ความโลภของเรานี่มันลดตัวไปจริง ฯ หรือเปล่า หรือว่ายังมีความทะเยอทะยานอยู่ โทสะ ความโกรธมีกำลังหนักหรือว่ามีกำลังเบา ถ้าหากว่าโลภะ ความโลภยังมี โทสะ ความโกรธยังหนักใช้ไม่ได้ โลภะความโลภในจิตของพระสกิทาคามี คือความอยากรวยมันต้องน้อย เรามีความรู้สึกว่ามียังไงกินยังงั้น มีแบบไหนใช้อย่างงั้น การประกอบอาชีพเป็นของปกติ ในเมื่อร่างกายยังมีชีวิต มันก็ต้องหากินหาใช้ ได้มากพอใจ ได้น้อยพอใจ แล้วก็คิดขึ้นว่าของที่ได้มาทั้งมากทั้งน้อย ตายแล้วเอาไปไม่ได้เลย จิตมีความสุข
โทสะ ความโกรธ โกรธเขาทำไม เรามัน

เกิดมาให้เขาด่า

เกิดมาให้เขานินทา

เกิดมาให้เขาใช้

เกิดมาเพื่อความป่วยไข้ไม่สบาย

เกิดมาเพื่อความแก่

เกิดมาเพื่อความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ

เกิดมาเพื่อตาย ในเมื่ออาการอย่างนี้มันปกติ ที่เราจะพึงรับ ทำไมเราจะไปสนใจในมัน ถ้าเราตายเมื่อไหร่นั่นเราจะมีความสุข คือเรามีหวังพระนิพพาน เราจะไปนิพพานแดนอมตะที่หาความทุกข์มิได้ นี่ทวนถอยหลังอารมณ์ของเราเข้าไว้ ให้จิตมันทรงตัว
ด้านสมาธิก็ฝึกซ้อมไว้เป็นปกติ เวลาฝึกซ้อมไม่ต้องไปนั่งหลับตา หลับตามันไม่เก่ง ลืมตาอยู่อย่างนี้แหละให้จิตมันทรงสมาธิ ลืมตาอยู่อย่างนี้แหละให้จิตมันทรงยอมรับนับถือกฎของธรรมดาและความเป็นจริง เห็นอะไรเข้าตายหมด เห็นคนคนตาย เห็นสัตว์สัตว์ตาย เห็นวัตถุธาตุ วัตถุธาตุพัง แล้วก็นึกถึงว่าเราจะต้องตายเหมือนกัน นี่ต้องถอยหน้าถอยหลัง จะก้าวไปแต่ข้างหน้า แล้วก็ไม่เหลียวหลัง ท่านทั้งหลายที่ระงับความวุ่นวายของจิตไม่ได้นั้นน่ะ เขาเรียกว่า
สีลัพพตปรามาส เป็นผู้ลูบคลำในศีล
จิตปรามาส ลูบคลำในสมาธิ
ปัญญาปรามาส ลูบคลำในวิปัสสนาญาณ ทำเท่าไร ๆ ก็ไม่พ้นความวุ่นวายของจิต มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น โฉงเฉงโวยวายปราศจากเหตุผล คนประเภทนี้ทำกี่แสนกัปก็ลงนรก เพราะสักแต่ว่าปฏิบัติ สักแต่ว่าประพฤติ ไม่รู้จักที่จะพิจารณาจิตของตัวเองว่ามันดีหรือมันชั่ว นี่ถอยหลังไปถอยหลังมากันแค่นี้แหละ
ความจริงเขาถอยกันเป็นปกติ ย้อนไปย้อนมา สิ่งที่เราละได้แล้ว มันละจริงหรือไม่ อารมณ์สมาธิที่ทรงได้แล้วทรงจริงหรือไม่ อย่าไปหาที่สงัดเสียง อย่าไปหาที่สงัดความวุ่นวาย จงหาความสงัดใจ คือใจสงัดจากกิเลส นี่มันถึงจะถูก
เป็นอันว่าต่อนี้ไป เหลือเวลาอีก 8 นาที ก็มานั่งคุยกันถึงเรื่อง
ความจะเป็นพระอนาคามี ไม่ยาก ไม่เห็นมีอะไรยาก กามฉันทะ เราเบามาจากพระสกิทาคามีแล้ว และก็ฌานสมาบัติ อารมณ์ฌาน การที่จะก้าวเข้าถึงพระสกิทาคามี อย่างน้อยกำลังจิตของเราจะต้องทรงฌาน 3 หรือว่าดีไม่ดีก็ทรงฌาน 4 ไม่ยาก
ต่อนี้ไปเราก็มาเอากันจริงจัง กามฉันทะความใคร่ในรูปสวย นั่งนึกซีว่ารูปใครเขามันสวย ที่ว่ารูปสวย สวยจริงหรือไม่จริง สะอาดหรือว่าสกปรก เสียงเพราะ เสียงสร้างคนให้ไม่แก่ไม่ตายได้ไหม กลิ่นหอม กลิ่นกันความทรุดโทรมของร่างกาย กันความตายได้หรือเปล่า รสอร่อยของอาหาร อาหารที่ว่าดีวิเศษ มีวิตามินดี ไอ้อย่างโน้นก็ดี อย่างนี้ก็วิเศษ ที่หมอเขาแนะนำ แล้วไปดูหมอที่แนะนำเราซิ ว่าหมอน่ะแก่เป็นไหม หมอป่วยเป็นไหม หมอตายเป็นไหม ถ้าหมอมีความรู้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามคำแนะนำของหมอ หมอก็ต้องไม่แก่ หมอก็ต้องไม่ป่วย หมอก็ต้องไม่ตาย แต่ตามข่าวที่ทราบมา หมอในประเทศไทยตายไปแล้วนับล้าน ๆ คน นั่นเพราะอะไร เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันดีน่ะ มันอาจจะดีจริงเพียงแค่ประทังชีวิตให้ทรงอยู่ แต่ทว่าเปล่า จะกันแก่กันตายน่ะมันไม่ได้
ในเมื่ออาหารทุกอย่างไม่สามารถจะยับยั้งให้คนทรงชีวิตอยู่ได้ ร่างกายของคนแต่ละคนเต็มไปด้วยความสกปรก เมื่อนอกจากสกปรกแล้ว ก็ยังจะหาทางสลายตัวไปในที่สุด เป็นอันว่ามันสกปรกด้วย มันก็ไม่ใช่เราด้วย เอาจิตน้อมมาอย่างนี้ เราสกปรก เขาสกปรก และมานั่งดูคำว่าเราว่าเขาอยู่ที่ไหน ร่างกายนี้เป็นเรารึร่างกายโน้นเป็นของเขารึ
เป็นอันว่าร่างกายทั้งสองประการนี้ ไม่มีเรา ไม่มีเขา มันเป็นบ้านเช่าที่แสนจะสกปรก เป็นบ้านเช่าที่มีแต่ความผุพังไปตามปกติ ไม่ช้าเรากับมันก็จากกัน แล้วจิตใจของเรานั้นจะไปผูกพันด้วยโลกีย์วิสัย กามราคะปรารถนาความเป็นคู่ครองซึ่งกันและกัน มันจะเกิดประโยชน์ตรงไหน คนที่รักจะเริ่มรักใคร ตั้องเริ่มรักคนสวย เริ่มรักคนงาม มีการเยื้องกรายกิริยาวาจาดีทุกอย่าง แต่ไอ้ตัวดีตัวนั้นน่ะมันดีนานไหม ไม่นาน ร่างกายก็สวยไม่นาน จริยาวาจาของแต่ละบุคคล มันก็ไม่อ่อนหวานไม่อ่อนช้อยจริง ๆ มันยังมีโมโหโทโส มีความเลวประจำอยู่ในจิต มีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง
ตัวทั้งหลายเหล่านี้เป็นปัจจัยของความทุกข์ ถ้าเราอยากก็คือตัณหา อยากได้มา เราก็อยากได้ทุกข์ เราก็ต้องตัด ตัดด้วยกำลังของศีลบริสุทธิ์ ตัดด้วยกำลังของอารมณ์สมาธิ ที่เห็นว่าร่างกายของคนและสัตว์สกปรก และมีการสลายตัวไปในที่สุด ให้จิตมันทรงตัวแบบนี้ ในที่สุดจิตมันก็จะเบื่อเห็นคนเป็นซากศพ
ทีนี้มาด้านความโกรธ ในสมัยเป็นพระสกิทาคามี เราโกรธหน่อยหนึ่ง แล้วก็ให้อภัย มาด้านถึงอนาคามี ก็ตัดให้มันพังสลายไปเสียเลย วิธีตัดทำยังไง ใช้กสิณ 4 กสิณ สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมตตาพรหมริหาร 4 นั้นดีที่สุด เพราะมีอารมณ์เบา นั่งคิดไว้เสมอว่าเรากับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร่างการมันไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร ถ้าเราจะโกรธคนที่โกรธเรา เราก็จะเลวกว่าเขา ตามที่พระพุทธเจ้าว่า และการโกรธมันทำให้เราหนุ่มขึ้นหรือปล่า การโกรธทำให้เราสวยขึ้นไหม ความโกรธทำให้เราอิ่มเอิบขึ้นหรือเปล่า ความโกรธทำให้จิตเราเป็นสุขหรือเป็นทุกข์
เป็นอันว่าความโกรธ
โทสัคคิ ไฟคือโทสะ สร้างความเร่ารัอนให้แก่จิต โกรธง่ายแก่เร็ว โกรธบ่อยแก่บ่อย มันแก่ลงไปทุกวัน ๆ ในที่สุดมันก็พัง และความโกรธมันเผาผลาญร่างกาย เผาทั้งกาย เผาทั้งใจ ใจก็มีแต่ความเร่าร้อน เมื่อโกรธเขาใจเร่าร้อน ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่ช้ามันก็โทรม ไม่ช้ามันก็ตาย แล้วคนที่เราจะโกรธ เราโกรธทำไม อยากจะฆ่าเขายังงั้นหรือ ถ้าเราไม่ฆ่าเขาตายไหม เป็นอันว่าเราไม่ฆ่าเขาก็ตาย ถ้าเราจะแกล้งให้มีทุกข์ ถ้าเราไม่แกล้งเขา เขาจะมีทุกข์ไหม เขาก็มีทุกข์อยู่แล้ว และในที่สุดเขาจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ความปรารถนาจะไม่สมหวัง ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ เราจะโกรธเพื่อประโยชน์อะไร เราต้องการปัจจัยของความสุข ความโกรธเป็นปัจจัยเข้าสู่อบายภูมิ
ฉะนั้น เราก็ยึดมั่นในพรหมวิหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมตตา ความรัก
กรุณา ความสงสาร เห็นใครเขาโกรธเรา เราก็สงสาร ว่าพิโธ่เอ๋ย ไม่น่าจะโง่เลย มาโกรธเราเข้า เขาก็หมดมิตรที่ดีคือเราไปคนหนึ่ง แล้วก็นอกจากเรา เพื่อนของเรา ญาติของเรา ลูกของเรา หลานของเรา ก็เป็นศัตรูเขาไปด้วย ช่วยให้เขามีความทุกข์ใจมากที่สุด ฉะนั้นเรื่องความโกรธ เมื่อเขาโกรธมันไม่ดี เราก็ไม่โกรธเขาเช่นเดียวกัน เราจะโกรธมาช่างเขา เราไม่โกรธไป
จงดูตัวอย่าง องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ที่นางมาคันฑิยาจ้างคนด่า พระพุทธเจ้าก็ไม่โกรธ พราหมณ์มาด่าต่อหน้าธารกำนัล พระพุทธเจ้าก็ไม่โกรธ นางจิญจมาณวิกาแกล้งกล่าวหาว่า พระองค์ทำให้เธอท้อง พระพุทธเจ้าก็ไม่โกรธ พระเทวทัตทำอันตรายพระพุทธเจ้าทุกอย่าง พระพุทธเจ้าก็ไม่โกรธ เพราะว่าพระองค์ไม่โกรธ อารมณ์พระองค์จึงมีความสุข แล้วก็พระองค์ไปนิพพาน คนที่โกรธพระพุทธเจ้า ยั่วให้พระพุทธเจ้าโกรธ ทุกท่านไปอเวจีทั้งหมด
เอาละบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต ความจริงการศึกษาเข้ามาระดับนี้ มันสบาย ๆ ไม่มีอะไรมาก เพราะเข้าถึงจุดจะเข้าถึงพระนิพพานอยู่แล้ว วันนี้หมดเวลา ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วทุกท่าน จงตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น อยู่ในอิริยาบถที่ท่านเห็นว่าสบาย กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนา และพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าท่านจะเห็นว่าเวลานั้นควรจะเลิก
สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics
คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 อนุสสติ 5 ตอนที่ 5.2
อนุสสติ 5 ตอนที่ 5.2
และก็ในเมื่อเราจะตายแล้ว เรามีอะไรเป็นที่พึ่ง พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระธรรมวินัย พระวินัยเป็นคำสั่ง พระธรรมเป็นคำสอน ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งและก็สอน ให้เราละชั่ว ประพฤติดีน่ะ เราทรงตัวได้แล้วหรือยัง ฝ่าฝืนพระธรรมวินัยตอนไหนบ้าง ค้นคว้าในจิตของตัว ถอยหน้าถอยหลัง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศีลของเราบริสุทธิ์พร้อมมูลแล้วหรือยัง นี่เรื่องของพระโสดาบัน
ก้าวไปถึงพระสกิทาคามี โลภะ ความโลภของเรานี่มันลดตัวไปจริง ฯ หรือเปล่า หรือว่ายังมีความทะเยอทะยานอยู่ โทสะ ความโกรธมีกำลังหนักหรือว่ามีกำลังเบา ถ้าหากว่าโลภะ ความโลภยังมี โทสะ ความโกรธยังหนักใช้ไม่ได้ โลภะความโลภในจิตของพระสกิทาคามี คือความอยากรวยมันต้องน้อย เรามีความรู้สึกว่ามียังไงกินยังงั้น มีแบบไหนใช้อย่างงั้น การประกอบอาชีพเป็นของปกติ ในเมื่อร่างกายยังมีชีวิต มันก็ต้องหากินหาใช้ ได้มากพอใจ ได้น้อยพอใจ แล้วก็คิดขึ้นว่าของที่ได้มาทั้งมากทั้งน้อย ตายแล้วเอาไปไม่ได้เลย จิตมีความสุข
โทสะ ความโกรธ โกรธเขาทำไม เรามัน
ด้านสมาธิก็ฝึกซ้อมไว้เป็นปกติ เวลาฝึกซ้อมไม่ต้องไปนั่งหลับตา หลับตามันไม่เก่ง ลืมตาอยู่อย่างนี้แหละให้จิตมันทรงสมาธิ ลืมตาอยู่อย่างนี้แหละให้จิตมันทรงยอมรับนับถือกฎของธรรมดาและความเป็นจริง เห็นอะไรเข้าตายหมด เห็นคนคนตาย เห็นสัตว์สัตว์ตาย เห็นวัตถุธาตุ วัตถุธาตุพัง แล้วก็นึกถึงว่าเราจะต้องตายเหมือนกัน นี่ต้องถอยหน้าถอยหลัง จะก้าวไปแต่ข้างหน้า แล้วก็ไม่เหลียวหลัง ท่านทั้งหลายที่ระงับความวุ่นวายของจิตไม่ได้นั้นน่ะ เขาเรียกว่า สีลัพพตปรามาส เป็นผู้ลูบคลำในศีล จิตปรามาส ลูบคลำในสมาธิ ปัญญาปรามาส ลูบคลำในวิปัสสนาญาณ ทำเท่าไร ๆ ก็ไม่พ้นความวุ่นวายของจิต มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น โฉงเฉงโวยวายปราศจากเหตุผล คนประเภทนี้ทำกี่แสนกัปก็ลงนรก เพราะสักแต่ว่าปฏิบัติ สักแต่ว่าประพฤติ ไม่รู้จักที่จะพิจารณาจิตของตัวเองว่ามันดีหรือมันชั่ว นี่ถอยหลังไปถอยหลังมากันแค่นี้แหละ
ความจริงเขาถอยกันเป็นปกติ ย้อนไปย้อนมา สิ่งที่เราละได้แล้ว มันละจริงหรือไม่ อารมณ์สมาธิที่ทรงได้แล้วทรงจริงหรือไม่ อย่าไปหาที่สงัดเสียง อย่าไปหาที่สงัดความวุ่นวาย จงหาความสงัดใจ คือใจสงัดจากกิเลส นี่มันถึงจะถูก
เป็นอันว่าต่อนี้ไป เหลือเวลาอีก 8 นาที ก็มานั่งคุยกันถึงเรื่อง ความจะเป็นพระอนาคามี ไม่ยาก ไม่เห็นมีอะไรยาก กามฉันทะ เราเบามาจากพระสกิทาคามีแล้ว และก็ฌานสมาบัติ อารมณ์ฌาน การที่จะก้าวเข้าถึงพระสกิทาคามี อย่างน้อยกำลังจิตของเราจะต้องทรงฌาน 3 หรือว่าดีไม่ดีก็ทรงฌาน 4 ไม่ยาก
ต่อนี้ไปเราก็มาเอากันจริงจัง กามฉันทะความใคร่ในรูปสวย นั่งนึกซีว่ารูปใครเขามันสวย ที่ว่ารูปสวย สวยจริงหรือไม่จริง สะอาดหรือว่าสกปรก เสียงเพราะ เสียงสร้างคนให้ไม่แก่ไม่ตายได้ไหม กลิ่นหอม กลิ่นกันความทรุดโทรมของร่างกาย กันความตายได้หรือเปล่า รสอร่อยของอาหาร อาหารที่ว่าดีวิเศษ มีวิตามินดี ไอ้อย่างโน้นก็ดี อย่างนี้ก็วิเศษ ที่หมอเขาแนะนำ แล้วไปดูหมอที่แนะนำเราซิ ว่าหมอน่ะแก่เป็นไหม หมอป่วยเป็นไหม หมอตายเป็นไหม ถ้าหมอมีความรู้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามคำแนะนำของหมอ หมอก็ต้องไม่แก่ หมอก็ต้องไม่ป่วย หมอก็ต้องไม่ตาย แต่ตามข่าวที่ทราบมา หมอในประเทศไทยตายไปแล้วนับล้าน ๆ คน นั่นเพราะอะไร เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันดีน่ะ มันอาจจะดีจริงเพียงแค่ประทังชีวิตให้ทรงอยู่ แต่ทว่าเปล่า จะกันแก่กันตายน่ะมันไม่ได้
ในเมื่ออาหารทุกอย่างไม่สามารถจะยับยั้งให้คนทรงชีวิตอยู่ได้ ร่างกายของคนแต่ละคนเต็มไปด้วยความสกปรก เมื่อนอกจากสกปรกแล้ว ก็ยังจะหาทางสลายตัวไปในที่สุด เป็นอันว่ามันสกปรกด้วย มันก็ไม่ใช่เราด้วย เอาจิตน้อมมาอย่างนี้ เราสกปรก เขาสกปรก และมานั่งดูคำว่าเราว่าเขาอยู่ที่ไหน ร่างกายนี้เป็นเรารึร่างกายโน้นเป็นของเขารึ
เป็นอันว่าร่างกายทั้งสองประการนี้ ไม่มีเรา ไม่มีเขา มันเป็นบ้านเช่าที่แสนจะสกปรก เป็นบ้านเช่าที่มีแต่ความผุพังไปตามปกติ ไม่ช้าเรากับมันก็จากกัน แล้วจิตใจของเรานั้นจะไปผูกพันด้วยโลกีย์วิสัย กามราคะปรารถนาความเป็นคู่ครองซึ่งกันและกัน มันจะเกิดประโยชน์ตรงไหน คนที่รักจะเริ่มรักใคร ตั้องเริ่มรักคนสวย เริ่มรักคนงาม มีการเยื้องกรายกิริยาวาจาดีทุกอย่าง แต่ไอ้ตัวดีตัวนั้นน่ะมันดีนานไหม ไม่นาน ร่างกายก็สวยไม่นาน จริยาวาจาของแต่ละบุคคล มันก็ไม่อ่อนหวานไม่อ่อนช้อยจริง ๆ มันยังมีโมโหโทโส มีความเลวประจำอยู่ในจิต มีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง
ตัวทั้งหลายเหล่านี้เป็นปัจจัยของความทุกข์ ถ้าเราอยากก็คือตัณหา อยากได้มา เราก็อยากได้ทุกข์ เราก็ต้องตัด ตัดด้วยกำลังของศีลบริสุทธิ์ ตัดด้วยกำลังของอารมณ์สมาธิ ที่เห็นว่าร่างกายของคนและสัตว์สกปรก และมีการสลายตัวไปในที่สุด ให้จิตมันทรงตัวแบบนี้ ในที่สุดจิตมันก็จะเบื่อเห็นคนเป็นซากศพ
ทีนี้มาด้านความโกรธ ในสมัยเป็นพระสกิทาคามี เราโกรธหน่อยหนึ่ง แล้วก็ให้อภัย มาด้านถึงอนาคามี ก็ตัดให้มันพังสลายไปเสียเลย วิธีตัดทำยังไง ใช้กสิณ 4 กสิณ สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมตตาพรหมริหาร 4 นั้นดีที่สุด เพราะมีอารมณ์เบา นั่งคิดไว้เสมอว่าเรากับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร่างการมันไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร ถ้าเราจะโกรธคนที่โกรธเรา เราก็จะเลวกว่าเขา ตามที่พระพุทธเจ้าว่า และการโกรธมันทำให้เราหนุ่มขึ้นหรือปล่า การโกรธทำให้เราสวยขึ้นไหม ความโกรธทำให้เราอิ่มเอิบขึ้นหรือเปล่า ความโกรธทำให้จิตเราเป็นสุขหรือเป็นทุกข์
เป็นอันว่าความโกรธ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ สร้างความเร่ารัอนให้แก่จิต โกรธง่ายแก่เร็ว โกรธบ่อยแก่บ่อย มันแก่ลงไปทุกวัน ๆ ในที่สุดมันก็พัง และความโกรธมันเผาผลาญร่างกาย เผาทั้งกาย เผาทั้งใจ ใจก็มีแต่ความเร่าร้อน เมื่อโกรธเขาใจเร่าร้อน ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่ช้ามันก็โทรม ไม่ช้ามันก็ตาย แล้วคนที่เราจะโกรธ เราโกรธทำไม อยากจะฆ่าเขายังงั้นหรือ ถ้าเราไม่ฆ่าเขาตายไหม เป็นอันว่าเราไม่ฆ่าเขาก็ตาย ถ้าเราจะแกล้งให้มีทุกข์ ถ้าเราไม่แกล้งเขา เขาจะมีทุกข์ไหม เขาก็มีทุกข์อยู่แล้ว และในที่สุดเขาจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ความปรารถนาจะไม่สมหวัง ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ เราจะโกรธเพื่อประโยชน์อะไร เราต้องการปัจจัยของความสุข ความโกรธเป็นปัจจัยเข้าสู่อบายภูมิ
ฉะนั้น เราก็ยึดมั่นในพรหมวิหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร เห็นใครเขาโกรธเรา เราก็สงสาร ว่าพิโธ่เอ๋ย ไม่น่าจะโง่เลย มาโกรธเราเข้า เขาก็หมดมิตรที่ดีคือเราไปคนหนึ่ง แล้วก็นอกจากเรา เพื่อนของเรา ญาติของเรา ลูกของเรา หลานของเรา ก็เป็นศัตรูเขาไปด้วย ช่วยให้เขามีความทุกข์ใจมากที่สุด ฉะนั้นเรื่องความโกรธ เมื่อเขาโกรธมันไม่ดี เราก็ไม่โกรธเขาเช่นเดียวกัน เราจะโกรธมาช่างเขา เราไม่โกรธไป
จงดูตัวอย่าง องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ที่นางมาคันฑิยาจ้างคนด่า พระพุทธเจ้าก็ไม่โกรธ พราหมณ์มาด่าต่อหน้าธารกำนัล พระพุทธเจ้าก็ไม่โกรธ นางจิญจมาณวิกาแกล้งกล่าวหาว่า พระองค์ทำให้เธอท้อง พระพุทธเจ้าก็ไม่โกรธ พระเทวทัตทำอันตรายพระพุทธเจ้าทุกอย่าง พระพุทธเจ้าก็ไม่โกรธ เพราะว่าพระองค์ไม่โกรธ อารมณ์พระองค์จึงมีความสุข แล้วก็พระองค์ไปนิพพาน คนที่โกรธพระพุทธเจ้า ยั่วให้พระพุทธเจ้าโกรธ ทุกท่านไปอเวจีทั้งหมด
เอาละบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต ความจริงการศึกษาเข้ามาระดับนี้ มันสบาย ๆ ไม่มีอะไรมาก เพราะเข้าถึงจุดจะเข้าถึงพระนิพพานอยู่แล้ว วันนี้หมดเวลา ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วทุกท่าน จงตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น อยู่ในอิริยาบถที่ท่านเห็นว่าสบาย กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนา และพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าท่านจะเห็นว่าเวลานั้นควรจะเลิก สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics