จิตรวม หรือ จิตตกภวังค์ หรือ จิตวูบหาย แล้วกลับมาเป็นปกติ ในการปฏิบัติธรรม มีความหมายทั้งใน สมถะ และ วิปัสสนา แต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนว่าเป็น ฌาน หรือ วิปัสสนาญาณ
ปฏิบัติสมถะ จะเป็นอย่างนี้ เมื่อกำหนดภาวนารูปบัญญัติ(กสิน 10 หรือ อานาปานแบบพุทธ-โธ) อารมณ์บัญญัติ(พรหมวิหาร 4) จิตหรือใจหรือวิญญาณ จะกำหนดตั้งมั่นเพื่อความเป็นหนึ่ง ตามรูปบัญญัติหรืออารมณ์บัญญัติตามที่กำหนดภาวนา ก็คือการมี วิตกวิจารย์ ตามบัญญัติที่กำหนดภาวนานั้น เมื่อประกอบด้วยความศรัทธาและความเพียร(อาศัยความ ศรัทธาและความเพียรเป็นหลักใหญ่)
ก็ย่อมเกิดมี ปีติ สุข อุเบกขา(เอกัคคตาเป็นหนึ่ง) เจริญขึ้นตามลำดับ ก็คือมี วิตก วิจารย์ ปีติ สุข อุเบกขา คลุกเคล้ากันอยู่ในอารมณ์หรือใจหรือจิตนั้น ที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ ก็ย่อมยังไม่สามารถตัด นิวรณ์ 5 หมดจากใจยังปะปนอยู่บางครั้งบางคราว
จน อุปจารสมาธิแก่กล้า แนบแน่นเป็นที่สุด มีแต่องค์ฌาน 5 อย่างสมบูรณ์ในใจหรือจิตหรือวิญญาณ จนจิตรวมกันในช่วงขณะหนึ่ง นั้นแหละบรรลุ ฌาน 1 เป็นครั้งแรกในชีวิต (ต้องประกอบด้วย องค์ฌาน 5 อย่างสมบูรณ์ ไม่มีอารมณ์อย่างอื่นใดปน แล้วจิตรวมเป็น อัปปนาสมาธิ ขณะหนึ่ง)
ภายหลังเมื่อเข้า ผลสมาบัติได้ ก็จะไม่เกิดสภาวะแนบแน่นเหมือนดังได้ บรรลุฌานใหม่ๆ ครั้งแรก ดังนั้นสภาวะจิตรวมขณะบรรลุฌานครั้งแรก จึงติดตราตรึงชัดเจนไปทั้งชีวิตไม่ลืมเลือนไปได้ ก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับการบรรลุฌาน 2 3 4 จนถึง 8 เป็นครั้งแรก ก็จะชัดเจนตราตรึงเช่นกัน
แต่ยุคสมัยนี้ ผู้หลงฌาน มีเยอะเสียเหลือเกิน มีบางส่วนมีสมาธิแค่ อุปจารสมาธิ องค์ฌาน 5 (วิตก วิจารย์ ปีติ สุข อุเบกขา)ยังไม่บริสุทธิ์สมบูรณ์ ยังมีนิวรณ์ 5 อย่างใดอย่างหนึ่งปนอยู่ ก็หลงผิดฌานไปว่าตนบรรลุฌานเสียแล้ว
ที่หนักไปกว่านั้นอีกก็คือ เกิดสมาธิเพียงแค่อุปจารสมาธิ ที่เข้าออกได้เพียงเท่านั้น พอมีองค์ฌานใดเด่นขึ้นมาก็หลงปลุงแต่งไปว่า ตนบรรลุฌานนั้นฌานโน้นไปแล้ว เช่น พอมี ปิติ เด่นขึ้นมาก็หลงไปว่า ตนบรรลุฌาน 2 ไปแล้ว พอมี สุข เด่นขึ้นมาก็หลงไปว่า ตนบรรลุฌาน 3 ไปแล้ว พอมี อุเบกขา เด่นขึ้นมาก็หลงว่า ตนบรรลุฌาน 4 ไปแล้ว ทั้งที่ยังวนอยู่ในสมาธิระดับอุปจาระเท่านั้น เพราะขาดสติปัญญาพิจารณาอย่างรอบครอบว่า การบรรลุฌานแต่ละระดับ ต้องมีองค์ฌานของระดับฌานนั้นอย่างสมบูรณ์บริสุทธิ์ไม่มีอย่างอื่นใดปนแม้แต่นิดเดียว
เช่นบรรลุฌาน 2 ครั้งแรกต้องมี ปิติ สุข อุเบกขา บริสุทธิ์ ไม่มี นิวรณ์ 5 หรือ วิตก วิจารย์ ปนอยู่แม้แต่นิดเดียว
และเช่นเดียวกันกับการบรรลุฌาน 3 ครั้งแรกต้องมี สุข กับ อุเบกขา บริสุทธิ์ ไม่มี นิวรณ์ 5 หรือ วิตก วิจารย์ ปิติ ปนอยู่แม้แต่นิดเดียว
หวังว่า ผู้ที่มีสมาธิระดับ อุปจาร หรือบรรลุฌาน 1 แล้วแต่หลงฌานอยู่นำไปพิจารณาให้รอบคอบ อย่าไปโมเมหลงหรือคิดว่าไปก่อนว่า ได้ฌานโน้นฌานนี้ โดยสภาวะบรรลุฌานเกิดขึ้นอย่างชัดแจ้งเสียก่อน อุตริมนุษย์ธรรมอันเป็นฌานนั้นไม่ใช่ไปโมเมคิดไปว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะขณะบรรลุนั้นต้องมีสถาวะที่ชัดแจ้งสมบูรณ์ และในแต่การบรรลุฌานใหม่แต่ละครั้งของชีวิตนั้นจะชัดแจ้งสมบูรณ์ตราตรึงจดจำได้ทั้งชีวิต
การบรรลุฌานได้นั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดีเป็นมหากุศลจิต การได้เกิดเป็นพระพรหมก็ถือว่าประเสริฐ มีข้อเสียนิดเดียวเมื่อบรรลุฌาน 4 แต่ขาดสัมมาทิฏฐิและสัมมาสติ แล้วหลงผิดเพ่งไม่เอาปฏิเสธเวทนาไม่เอาโลกจะดับสิ้นเสียจนสิ้นชีวิตก็จะไปเกิดเป็น พระพรหมมีแต่รูปไม่ปรากฏนาม แต่ในพระพุทธศาสนาเมื่อศึกษาปฏิบัติอย่างดีแล้วย่อมมีสัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องต้นย่อมแทบไม่มีที่เกิดเช่นนั้น ยังเว้นผู้ที่มีทิฏฐิเห็นผิดไปจริงๆ เท่านั้น
ดังน้น ผู้รังเกิยดฌานไม่เอาฌานกลัวที่จะบรรลุฌาน ก็คือผู้ที่ยังไม่เกิดมีปัญญาทางธรรม นั้นเอง เพราะผู้ที่มีปัญญาทางธรรมแม้จะไม่ปฏิบัติสมถะก็ตามเพียงแต่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ย่อมผ่านลักขณูฌาน ที่โพธิปักขิยธรรม 37 ปรการประชุมกันรวมเป็นหนึ่งที่เรียกว่า มัคสมังคี บรรลุมรรคผละนิพพาน
ปฏิบัติวิปัสสนา จะเป็นอย่างนี้ กำหนดภาวนาทุกข์ หรือ รู้ทุกข์ ซึ่งทุกข์หรือตัวทุกข์ก็คือกายใจ หรือรูป-นาม(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นี้แหละ พระพุทธเจ้าทรงสอนการปฏิบัติธรรมกรรมฐานสรุปลงเป็นทางเอก ก็คือการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 (พิจารณ 1.กายในกาย 2.เวทนาในเวทนา 3.จิตในจิต 4.ธรรมในธรรม) ตามความเป็นจริงที่ปรากฏเป็นปัจจุบันๆ จนรู้จัดของ รูป-นาม หรือสติปัฏฐาน 4 อันเป็นไตรลักษณ์(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) จนรู้ชัดรูป-นามหรือสติปัฏฐาน 4 อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์ วิปัสสนาญาณจึงเจริญขึ้นไปตามลำดับ
1.นามรูปปริเฉทญาณ (แยกรูป แยกนามได้)
2.ปัจจัยคหญาณ (เห็นรูป-นาม ต่างเป็นเหตุปัจจัยกัน เช่น รูปเกิดก่อนนามเกิดตามที่หลัง หรือ นามเกิดก่อนรูปเกิดตามทีหลัง หรือนาม1 เกิดก่อนนาม 2 เกิดตามที่หลัง)
3.สัมนสนญาณ (เริ่มรู้ เข้าใจ มีความเห็น รูป-นาม เป็นไปตามไตรลักษณ์ ที่เป็นปัจจุบันและเป็นปัจจุบันขณะขึ้น) ตรงส่วนญาณนี้แหละ ผู้ที่บรรลุฌานมาก่อนได้เปรียบ กว่าผู้ปฏิบัติวิปัสสนาล้วนๆ เพราะการที่จิตรวมมาก่อน เมื่อเจริญสติสามารถยกเป็นวิปัสสนาได้ ก็จะแจ้งชัดใน สมนาสนญาณแทบจะทันที เกิดวิปัสสนูกิเลสขึ้น ถ้าผู้ใดเกิดหลงวิปัสสนูกิเลส ก็จะทำให้หลงวนเวียนระหว่าง วิปัสสนาญาณที่ 1-3 จนเห็นผิดไปว่า ตนเองบรรลุธรรมเป็นพระอริยะบ้าง เป็นพระอรหันต์บ้าง หรือมีอิทธิฤท อย่างใน้นอย่างนี้ เพราะเสมือนทำได้จริงปะปนกันไป จนสิ้นชีวิตไปก็มี และวิปัสสนาญาณที่ 3 นี้ผู้ที่ปฏิบัติถึงได้ย่อมมีหลักประกันเบื้องต้น เมื่อรักษาไว้ได้ก่อนสิ้นชีวิต ย่อมเกิดเป็นเทวดาปิดอบายภูมิได้เพียงชาติเดียวเรียกวา จูฬโสดาบัน แต่หลังจากนั้นไม่แน่นอนตามกรรมและวิบากต่อไป.
4.อุทยัพยญาณ (เห็นแจ้งชัดของ รูป-นาม เกิด-ดับ ไปจริงๆ ไม่ใช่การไปรู้อารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ที่เป็นเช่น รู้อารมณ์โกรธสักพักอารมณ์โกรธคลายเปลี่ยนไป อย่างนี้ยังไม่ใช้ อุทยัพยญาณ จัดอยู่ใน สมนสนญาณที่ 3 คือเห็นชัดถึงการ เกิด-ดับ จริงๆ ในช่วงขณะปัจจุบันนั้นๆ แต่ไม่ใช่ว่าต้อง เกิด-ดับ อยู่ตลอด เพียงแต่จะเกิด-ดับชัดเจน เมื่อกำหนดสติปัญญาอันเหมาะสม ) และเมื่อ อุทยัพยญาณเกิดบ่อยๆ วิปัสสนาญาณย่อมเจริญขึ้น
5.ภังคญาณ(กำหนดภาวนา รูป-นาม ก็จะเห็นว่าเสื่อมไปพังไปโดยตลอด เหมือนกำหดภาวนาอะไรก็เลือนหายสิ้นไปหมด ดังตั้งสติกำหนดอะไรก็ไม่ได้)
ก็จะขอจบแค่ วิปัสสนาญาณที่ 5 แต่ความจริงวิปัสสนาญาณมีถึง 16 ญาณ เพราะเพียงชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างกันของ ฌาน กับ ญาณ เบื้องต้นเพียงเท่านั้น.
ความต่างกันเรี่อง จิตรวม หรือ จิตตกภวังค์ หรือ จิตวูบหาย แล้วกลับมาเป็นปกติ ในการปฏิบัติธรรม ของสมถะ กับ วิปัสสนา
ปฏิบัติสมถะ จะเป็นอย่างนี้ เมื่อกำหนดภาวนารูปบัญญัติ(กสิน 10 หรือ อานาปานแบบพุทธ-โธ) อารมณ์บัญญัติ(พรหมวิหาร 4) จิตหรือใจหรือวิญญาณ จะกำหนดตั้งมั่นเพื่อความเป็นหนึ่ง ตามรูปบัญญัติหรืออารมณ์บัญญัติตามที่กำหนดภาวนา ก็คือการมี วิตกวิจารย์ ตามบัญญัติที่กำหนดภาวนานั้น เมื่อประกอบด้วยความศรัทธาและความเพียร(อาศัยความ ศรัทธาและความเพียรเป็นหลักใหญ่)
ก็ย่อมเกิดมี ปีติ สุข อุเบกขา(เอกัคคตาเป็นหนึ่ง) เจริญขึ้นตามลำดับ ก็คือมี วิตก วิจารย์ ปีติ สุข อุเบกขา คลุกเคล้ากันอยู่ในอารมณ์หรือใจหรือจิตนั้น ที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ ก็ย่อมยังไม่สามารถตัด นิวรณ์ 5 หมดจากใจยังปะปนอยู่บางครั้งบางคราว
จน อุปจารสมาธิแก่กล้า แนบแน่นเป็นที่สุด มีแต่องค์ฌาน 5 อย่างสมบูรณ์ในใจหรือจิตหรือวิญญาณ จนจิตรวมกันในช่วงขณะหนึ่ง นั้นแหละบรรลุ ฌาน 1 เป็นครั้งแรกในชีวิต (ต้องประกอบด้วย องค์ฌาน 5 อย่างสมบูรณ์ ไม่มีอารมณ์อย่างอื่นใดปน แล้วจิตรวมเป็น อัปปนาสมาธิ ขณะหนึ่ง)
ภายหลังเมื่อเข้า ผลสมาบัติได้ ก็จะไม่เกิดสภาวะแนบแน่นเหมือนดังได้ บรรลุฌานใหม่ๆ ครั้งแรก ดังนั้นสภาวะจิตรวมขณะบรรลุฌานครั้งแรก จึงติดตราตรึงชัดเจนไปทั้งชีวิตไม่ลืมเลือนไปได้ ก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับการบรรลุฌาน 2 3 4 จนถึง 8 เป็นครั้งแรก ก็จะชัดเจนตราตรึงเช่นกัน
แต่ยุคสมัยนี้ ผู้หลงฌาน มีเยอะเสียเหลือเกิน มีบางส่วนมีสมาธิแค่ อุปจารสมาธิ องค์ฌาน 5 (วิตก วิจารย์ ปีติ สุข อุเบกขา)ยังไม่บริสุทธิ์สมบูรณ์ ยังมีนิวรณ์ 5 อย่างใดอย่างหนึ่งปนอยู่ ก็หลงผิดฌานไปว่าตนบรรลุฌานเสียแล้ว
ที่หนักไปกว่านั้นอีกก็คือ เกิดสมาธิเพียงแค่อุปจารสมาธิ ที่เข้าออกได้เพียงเท่านั้น พอมีองค์ฌานใดเด่นขึ้นมาก็หลงปลุงแต่งไปว่า ตนบรรลุฌานนั้นฌานโน้นไปแล้ว เช่น พอมี ปิติ เด่นขึ้นมาก็หลงไปว่า ตนบรรลุฌาน 2 ไปแล้ว พอมี สุข เด่นขึ้นมาก็หลงไปว่า ตนบรรลุฌาน 3 ไปแล้ว พอมี อุเบกขา เด่นขึ้นมาก็หลงว่า ตนบรรลุฌาน 4 ไปแล้ว ทั้งที่ยังวนอยู่ในสมาธิระดับอุปจาระเท่านั้น เพราะขาดสติปัญญาพิจารณาอย่างรอบครอบว่า การบรรลุฌานแต่ละระดับ ต้องมีองค์ฌานของระดับฌานนั้นอย่างสมบูรณ์บริสุทธิ์ไม่มีอย่างอื่นใดปนแม้แต่นิดเดียว
เช่นบรรลุฌาน 2 ครั้งแรกต้องมี ปิติ สุข อุเบกขา บริสุทธิ์ ไม่มี นิวรณ์ 5 หรือ วิตก วิจารย์ ปนอยู่แม้แต่นิดเดียว
และเช่นเดียวกันกับการบรรลุฌาน 3 ครั้งแรกต้องมี สุข กับ อุเบกขา บริสุทธิ์ ไม่มี นิวรณ์ 5 หรือ วิตก วิจารย์ ปิติ ปนอยู่แม้แต่นิดเดียว
หวังว่า ผู้ที่มีสมาธิระดับ อุปจาร หรือบรรลุฌาน 1 แล้วแต่หลงฌานอยู่นำไปพิจารณาให้รอบคอบ อย่าไปโมเมหลงหรือคิดว่าไปก่อนว่า ได้ฌานโน้นฌานนี้ โดยสภาวะบรรลุฌานเกิดขึ้นอย่างชัดแจ้งเสียก่อน อุตริมนุษย์ธรรมอันเป็นฌานนั้นไม่ใช่ไปโมเมคิดไปว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะขณะบรรลุนั้นต้องมีสถาวะที่ชัดแจ้งสมบูรณ์ และในแต่การบรรลุฌานใหม่แต่ละครั้งของชีวิตนั้นจะชัดแจ้งสมบูรณ์ตราตรึงจดจำได้ทั้งชีวิต
การบรรลุฌานได้นั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดีเป็นมหากุศลจิต การได้เกิดเป็นพระพรหมก็ถือว่าประเสริฐ มีข้อเสียนิดเดียวเมื่อบรรลุฌาน 4 แต่ขาดสัมมาทิฏฐิและสัมมาสติ แล้วหลงผิดเพ่งไม่เอาปฏิเสธเวทนาไม่เอาโลกจะดับสิ้นเสียจนสิ้นชีวิตก็จะไปเกิดเป็น พระพรหมมีแต่รูปไม่ปรากฏนาม แต่ในพระพุทธศาสนาเมื่อศึกษาปฏิบัติอย่างดีแล้วย่อมมีสัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องต้นย่อมแทบไม่มีที่เกิดเช่นนั้น ยังเว้นผู้ที่มีทิฏฐิเห็นผิดไปจริงๆ เท่านั้น
ดังน้น ผู้รังเกิยดฌานไม่เอาฌานกลัวที่จะบรรลุฌาน ก็คือผู้ที่ยังไม่เกิดมีปัญญาทางธรรม นั้นเอง เพราะผู้ที่มีปัญญาทางธรรมแม้จะไม่ปฏิบัติสมถะก็ตามเพียงแต่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ย่อมผ่านลักขณูฌาน ที่โพธิปักขิยธรรม 37 ปรการประชุมกันรวมเป็นหนึ่งที่เรียกว่า มัคสมังคี บรรลุมรรคผละนิพพาน
ปฏิบัติวิปัสสนา จะเป็นอย่างนี้ กำหนดภาวนาทุกข์ หรือ รู้ทุกข์ ซึ่งทุกข์หรือตัวทุกข์ก็คือกายใจ หรือรูป-นาม(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นี้แหละ พระพุทธเจ้าทรงสอนการปฏิบัติธรรมกรรมฐานสรุปลงเป็นทางเอก ก็คือการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 (พิจารณ 1.กายในกาย 2.เวทนาในเวทนา 3.จิตในจิต 4.ธรรมในธรรม) ตามความเป็นจริงที่ปรากฏเป็นปัจจุบันๆ จนรู้จัดของ รูป-นาม หรือสติปัฏฐาน 4 อันเป็นไตรลักษณ์(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) จนรู้ชัดรูป-นามหรือสติปัฏฐาน 4 อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์ วิปัสสนาญาณจึงเจริญขึ้นไปตามลำดับ
1.นามรูปปริเฉทญาณ (แยกรูป แยกนามได้)
2.ปัจจัยคหญาณ (เห็นรูป-นาม ต่างเป็นเหตุปัจจัยกัน เช่น รูปเกิดก่อนนามเกิดตามที่หลัง หรือ นามเกิดก่อนรูปเกิดตามทีหลัง หรือนาม1 เกิดก่อนนาม 2 เกิดตามที่หลัง)
3.สัมนสนญาณ (เริ่มรู้ เข้าใจ มีความเห็น รูป-นาม เป็นไปตามไตรลักษณ์ ที่เป็นปัจจุบันและเป็นปัจจุบันขณะขึ้น) ตรงส่วนญาณนี้แหละ ผู้ที่บรรลุฌานมาก่อนได้เปรียบ กว่าผู้ปฏิบัติวิปัสสนาล้วนๆ เพราะการที่จิตรวมมาก่อน เมื่อเจริญสติสามารถยกเป็นวิปัสสนาได้ ก็จะแจ้งชัดใน สมนาสนญาณแทบจะทันที เกิดวิปัสสนูกิเลสขึ้น ถ้าผู้ใดเกิดหลงวิปัสสนูกิเลส ก็จะทำให้หลงวนเวียนระหว่าง วิปัสสนาญาณที่ 1-3 จนเห็นผิดไปว่า ตนเองบรรลุธรรมเป็นพระอริยะบ้าง เป็นพระอรหันต์บ้าง หรือมีอิทธิฤท อย่างใน้นอย่างนี้ เพราะเสมือนทำได้จริงปะปนกันไป จนสิ้นชีวิตไปก็มี และวิปัสสนาญาณที่ 3 นี้ผู้ที่ปฏิบัติถึงได้ย่อมมีหลักประกันเบื้องต้น เมื่อรักษาไว้ได้ก่อนสิ้นชีวิต ย่อมเกิดเป็นเทวดาปิดอบายภูมิได้เพียงชาติเดียวเรียกวา จูฬโสดาบัน แต่หลังจากนั้นไม่แน่นอนตามกรรมและวิบากต่อไป.
4.อุทยัพยญาณ (เห็นแจ้งชัดของ รูป-นาม เกิด-ดับ ไปจริงๆ ไม่ใช่การไปรู้อารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ที่เป็นเช่น รู้อารมณ์โกรธสักพักอารมณ์โกรธคลายเปลี่ยนไป อย่างนี้ยังไม่ใช้ อุทยัพยญาณ จัดอยู่ใน สมนสนญาณที่ 3 คือเห็นชัดถึงการ เกิด-ดับ จริงๆ ในช่วงขณะปัจจุบันนั้นๆ แต่ไม่ใช่ว่าต้อง เกิด-ดับ อยู่ตลอด เพียงแต่จะเกิด-ดับชัดเจน เมื่อกำหนดสติปัญญาอันเหมาะสม ) และเมื่อ อุทยัพยญาณเกิดบ่อยๆ วิปัสสนาญาณย่อมเจริญขึ้น
5.ภังคญาณ(กำหนดภาวนา รูป-นาม ก็จะเห็นว่าเสื่อมไปพังไปโดยตลอด เหมือนกำหดภาวนาอะไรก็เลือนหายสิ้นไปหมด ดังตั้งสติกำหนดอะไรก็ไม่ได้)
ก็จะขอจบแค่ วิปัสสนาญาณที่ 5 แต่ความจริงวิปัสสนาญาณมีถึง 16 ญาณ เพราะเพียงชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างกันของ ฌาน กับ ญาณ เบื้องต้นเพียงเท่านั้น.