อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 2.1
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปขอบรรดาท่านทุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับเรื่องราวของอสุภกรรมฐานต่อไป สำหรับการเจริญอสุภกรรมฐานนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนี มีความประสงค์จะให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเปลื้อง ราคจริต คือว่าจิตที่ติดอยู่ในความสวยสดงดงาม คือว่าความสวยสดงดงามในโลกนี้ ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสารก็คือว่าไม่มีอะไรจะงามจริงนั่นเอง แต่ก่อนที่จะอธิบาย ก็จะขอนำบุคคลตัวอย่างที่ประสบมากับเรื่อง ราคจริต
ในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระธรรมสามิสรสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่ในสมัยนั้นองค์สมเด็จพระบรมครู ได้ทรงสั่งสอนบรรรดาท่านพุทธบริษัท และทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้บรรลุมรรคผลมากมาย แต่ว่าคนสมัยนั้นกับคนสมัยนี้ก็คล้ายคลึงกัน มีอารมณ์เสมอกัน กล่าวคือมีจริต 6 ประการ เหมือนกันหมด ย่อมมีความรู้สึกคล้ายคลึงกัน รู้จักรัก รู้จักเกลียด รู้จักโลภ รู้จักโกรธ รู้จักหลง รู้จักทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่อารมณ์ฟุ้งซ่านก็รู้จัก
ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายที่รับฟัง ฟังแล้วก็จงใคร่ครวญตาม อย่าฟังปล่อยไปเฉย ๆ การศึกษาในสถานที่นี้ ไม่น่าจะมีอะไรเป็นที่สงสัย รักษากำลังใจของเราให้มั่นคงเป็นสำคัญ ถ้าหากว่าจิตใจของท่านยังไขว้เขวอยู่ ไม่ทรงกำลังจิตให้มั่นคง พระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่มีความหมาย ฟังเรื่องราวนี้ต่อไป
ในสมัยนั้นยังมีหญิงคนหนึ่ง มีนามว่า
นางสิริมา คำว่าว่า สิริมา ถ้าแปลเป็นภาษาไทย ก็แปลว่า เป็นผู้มีมิ่งขวัญ หรือว่าเป็นที่ชอบใจของบรรดาคนทั้งหลาย นางสิริมานี่มีอาชีพอยู่อย่างหนึ่งคือ เป็นหญิงโสเภณี ตามภาษาบาลีท่านกล่าวว่า
นคร โสเภณี แปลว่า
หญิงงามเมือง หรือว่าหญิงที่ทำเมืองให้งาม เป็นหญิงขายตัวประเภทศักดิ์ศรีสูง หรือที่เรียกกันว่าเป็นคนชั้นสูงของใสเกณี เป็นที่สำหรับรับแขกเมือง เมื่อใครต้องการจะอยู่ร่วมกับนาง 1 คืน สมัยนั้นต้องเสียค่าตัวให้แก่นาง 1 พันกหาปณะ 1 พันกหาปณะ ก็เท่ากับ 4 พันบาท แต่ว่า 4 พันบาทสมัยนั้นกับสมัยนี้เห็นจะเทียบกันยาก เพราะสมัยนั้นทองคำบาทหนึ่งมีค่าประมาณ 16 บาท เดี๋ยวนี้ทองคำบาทหนึ่งมีมูลค่า 2 พันบาทเศษ เทียบเป็นราคาเงินกันแล้วมากกว่ากันมาก สำหรับนางสิริมานี้เป็นคนสวยมาก เป็นที่ชอบใจของบรรดาบุคคลทั้งหลายและก็ในสมัยนั้นเอง ก็มีกุลบุตรท่านหนึ่งเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา เห็นเขาเป็นพระอรหันต์กันก็อยากจะเป็นพระอรหันต์บ้าง แต่ทว่าเมื่อท่านเป็นพระบวชใหม่ ในวันหนึ่งไปบิณฑบาดที่บ้านนางสิริมา วันนั้นปรากฏว่า นางสิริมาป่วย ทั้ง ๆ ที่ป่วยและเป็นหญิงโสเภณี แต่นางสิริมานี้ตามประวัติท่านกล่าวว่า เป็นน้องสาวของ
หมอชีวกโกมารภัจ ถ้าว่าถึงกันโดยตระกูลแล้ว นางก็มีตระกูลไม่ต่ำ แต่ทว่าเป็นกฎของกรรม ที่ไปกล่าวติเตียนนางภิกษุณี ซึ่งเป็นพระอรหันต์ ว่าอีหญิงแพศยาคนไหนนะบ้วนน้ำหมากให้ละอองน้ำหมากมาเปื้อนผ้าของเรา แต่ความจริงละอองน้ำหมาก มันเปื้อนนิดเดียว นี่ถอยหลังไปกี่ชาติก็ไม่ทราบ กรรมอันนั้นปัจจัยปัจจัยบันดาลให้นางเกิดมาในชาติหลังต้องเป็นหญิงใสเภณี นี่เพราะไปด่านางภิกษุณีเข้า
เมื่อนางเป็นโลเกณี แล้วก็มีรูปงาม ทั้ง ๆ ที่นางป่วยไข้ไม่สบายในวันนั้น เมื่อพระบวชใหม่ไปบิณฑบาตกับพระเก่า นางถึงแม้ว่าจะเป็นหญิงโสเภณี แต่ว่านางก็มีคนรับใช้ เพราะร่ำรวยมาก จึงให้คนรับใช้ถือภาชนะอาหารมาถวาย แก่พระที่ไปบิณฑบาด นางยื่นใส่บาตรด้วยการทรงตัวไม่สู้จะดีนัก แต่ว่าขึ้นชื่อว่าคนสาย ถึงแม้ว่าจะป่วยก็ยังสวยอยู่นั่นแหละ
เมื่อพระใหม่องค์นั้นเห็นนางสิริมาเข้าก็เกิดความรัก กลับมาวัดไม่เป็นอันกินไม่เป็นอันนอน ข้าวปลาไม่กินครุ่นคิดถึงแต่นางสิริมา ปล่อยให้ข้าวบูดอยู่ในบาตรจนกระทั่งแห้ง ความจริงองค์สมเด็จทระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบ ก็อยู่ในสำนักของพระองค์ อยู่ที่ไหนพระองค์ก็ทราบ แต่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เคยว่าอะไร ปล่อยเฉย ๆ ทำเสมือนไม่รู้
ต่อมาเวลาผ่านไปสองสามวัน นางสิริมาวันนั้นที่พระเห็นเธอป่วยมากแล้ว ก็ปรากฏว่านางสิริมาตาย พระเจ้าพิมพิสารจึงได้กราบทูลให้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทราบว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า เวลานี้นางสิริมาตายเสียแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจะให้ทำเป็นประการใด สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงตรัสว่า ให้เก็บศพนางสิริมาไว้ก่อน ปล่อยไว้ตามสภาพปกติ คือว่าอย่าทำการป้องกันไม่ให้เน่า ปล่อยไปตามธรรมดา ความจริงพี่ชายท่านเป็นหมอใหญ่ อาจจะป้องกันน้องสาวไม่ให้เน่าก็ได้ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงสั่งไปอย่างนั้น
ครั้นเมื่อนางสริมาเน่าขึ้นอืด น้ำเหลืองไหล ตาปลิ้น ลิ้นจุก น้ำเหลืองเดือดปุด ๆ ออกทางปาก พระเจ้าพิมพิสารก็กราบทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงทราบ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้มีพระพุทธบัญชา ให้พระเจ้าพิมพิสารนำศพนางสิริมาไปที่พระลานหลวง วางไว้บนเตียงโดยไม่มีอะไรปิด แล้วสมเด็จพระธรรมสามิสร จึงได้มีพระพุทธบัญชาตรัสแก่พระอานนท์ ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ วันนี้เราจะไปเยี่ยมนางสิริมา เธอจงประกาศพระว่าใครจะไปกับตถาคตบ้างก็ไปได้ เมื่อองค์ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเสด็จ พระทุกองค์ก็ไป
สำหรับพระองค์ที่หลงรักนางสิริมาอยู่นั้นดีใจมาก ว่าที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพาไปให้เห็นนางสิริมา ไอ้ข้าวที่แห้งอยู่ในบาตร ก็ลุกขึ้นล้างบาตร เช็ดบาตร มีกำลังวังชาดี นุ่งสบง ทรงจีวรด้วยดีแล้ว ก็ตามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไป ครั้นไปถึงพระลานหลวง บรรดาประชาชนทั้งหลายทราบว่าพระมหากษัตริย์จะเสด็จ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยสาวกทั้งหมดจะไปที่นั่น จึงให้พากันมาอออยู่ที่พระลานหลวงแล้ว
ครั้นไปถึง องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้มีรับสั่งพระพุทธบัญชา ให้พระเจ้าพิมพิสารประกาศแก่บรรคาคนทั้งหลายว่า ใครต้องการนางสีริมาบ้าง ถ้าใครต้องการก็จะยกให้ แต่ว่าเอาเงินมา 1 พันกหาปณะ ในครั้งก่อน ๆ นั้นเช่าไป 1 คืน ต้องเสียพันกหาปณะ แต่ว่าคราวนี้ไม่ต้องเช่า ยกให้เลย แต่ว่าเอาเงิน 1,000 กหาปณะเท่านั้น คนทั้งพระลานหลวงเงียบ จะมีใครเขาต้องการล่ะ เน่าอืดแบบนั้น ไม่อีดอย่างเดียว น้ำเหลืองไหล ตาปลิ้น ลิ้นจุก
เมื่อบุคคลทั้งหลายเงียบ ไม่มีใครแสดงความต้องการ สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงตรัสต่อไป ให้พระเจ้าพิมพิสารประกาศว่า ใครต้องการนางสิริมาบ้างเราให้ จะยกให้เปล่า ๆ ให้เป็นสมบัติของท่าน คนทุกคนก็ไม่มีใครต้องการ ต่อมาองค์สมเด็จพระพิชิตมาร จึงได้ทรงตรัสอีกวาระหนึ่ง ให้พระเจ้าพิมพิสารประกาศว่า ใครต้องการนางสิริมาบ้าง จะยกศพของนางให้เป็นสมบัติของท่าน แล้วมอบเงินให้พันกหาปณะ ก็ไม่มีใครต้องการอีก
ตอนนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้แสดง
อสุภสัญญา ให้แก่บรรดาพระและบรรดาประชาชนทั้งหลายทราบว่า ขึ้นชื่อว่าขันธ์ 5 ที่ประกอบไปด้วยธาตุ 4 แบ่งเป็นอาการ 32 มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ตับไต ไส้ปอดเป็นต้น ที่เรียกว่าอยู่ในร่างกายของคนนี่ มันไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน แล้วก็ไม่เป็นของถาวร ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรามันไม่ใช่ของเรา มันรวมเข้ามาเป็นอาการของธาตุ 4 คือมีธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ แล้วแบ่งออกไปเป็นอาการ 32 คือแบ่งเป็น 32 ชิ้นด้วยกัน ภายในประกอบขึ้นมาเป็นกาย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีความสวยสดงดงาม ถึงแม้ว่ามีชีวิตอยู่ ก็ไม่งาม เมื่อตายไปแล้วก็หาความงามอะไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร ดูตัวอย่างนางสิริมาเป็นสำคัญ ที่องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงชี้ให้เห็น ว่าดูตัวอย่างนางสิริมานี่ สมัยเมื่อนางสิริมายังมีชีวิตอยู่ เธอเป็นที่รักของบรรดาประชาชนทั้งหลาย เพราะอาศัยมองผิวกายเป็นสำคัญ มองทรวดทรงเป็นสำคัญ
เวลานั้นร่างกายยังสมบูรณ์ บริบูรณ์ไปด้วยธาตุ 4 คือว่า ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ยังประชุมพร้อมกัน ธาตุดินเมื่อจะทรงตัวอยู่ได้ก็ต้องอาศัยธาตุน้ำเป็นเครื่องประดับประคอง แต่ว่าถ้าธาตุน้ำมาเอิบอาบอยู่ในร่างกาย ถ้ามากเกินไปธาตุดินก็ละสาย ฉะนั้นจึงจะต้องมีธาตุไฟ สร้างความอบอุ่น สร้างกำลังของธาตุดินให้มีความพอดีกับธาตุน้ำ จึงจะสามารถทรงตัวอยู่ได้ แต่ไฟที่จะทรงตัวอยู่ได้ที่ใดที่นั่นต้องมีลม เหตุทั้ง 4 ประการนี้จะห่างกันไม่ได้ จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ เมื่ออาการธาตุอย่างหนึ่งอย่างใด ขาดความสมบูรณ์บริบูรณ์นั่นก็หมายความว่า ถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งบกพร่องลงไป ขณะนั้นร่างกายของเราก็ชื่อว่ามีโรค
มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 2.2 https://ppantip.com/topic/43202744
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 2.1
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปขอบรรดาท่านทุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจสดับเรื่องราวของอสุภกรรมฐานต่อไป สำหรับการเจริญอสุภกรรมฐานนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนี มีความประสงค์จะให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเปลื้อง ราคจริต คือว่าจิตที่ติดอยู่ในความสวยสดงดงาม คือว่าความสวยสดงดงามในโลกนี้ ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสารก็คือว่าไม่มีอะไรจะงามจริงนั่นเอง แต่ก่อนที่จะอธิบาย ก็จะขอนำบุคคลตัวอย่างที่ประสบมากับเรื่อง ราคจริต
ในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระธรรมสามิสรสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่ในสมัยนั้นองค์สมเด็จพระบรมครู ได้ทรงสั่งสอนบรรรดาท่านพุทธบริษัท และทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้บรรลุมรรคผลมากมาย แต่ว่าคนสมัยนั้นกับคนสมัยนี้ก็คล้ายคลึงกัน มีอารมณ์เสมอกัน กล่าวคือมีจริต 6 ประการ เหมือนกันหมด ย่อมมีความรู้สึกคล้ายคลึงกัน รู้จักรัก รู้จักเกลียด รู้จักโลภ รู้จักโกรธ รู้จักหลง รู้จักทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่อารมณ์ฟุ้งซ่านก็รู้จัก
ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายที่รับฟัง ฟังแล้วก็จงใคร่ครวญตาม อย่าฟังปล่อยไปเฉย ๆ การศึกษาในสถานที่นี้ ไม่น่าจะมีอะไรเป็นที่สงสัย รักษากำลังใจของเราให้มั่นคงเป็นสำคัญ ถ้าหากว่าจิตใจของท่านยังไขว้เขวอยู่ ไม่ทรงกำลังจิตให้มั่นคง พระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่มีความหมาย ฟังเรื่องราวนี้ต่อไป
ในสมัยนั้นยังมีหญิงคนหนึ่ง มีนามว่า นางสิริมา คำว่าว่า สิริมา ถ้าแปลเป็นภาษาไทย ก็แปลว่า เป็นผู้มีมิ่งขวัญ หรือว่าเป็นที่ชอบใจของบรรดาคนทั้งหลาย นางสิริมานี่มีอาชีพอยู่อย่างหนึ่งคือ เป็นหญิงโสเภณี ตามภาษาบาลีท่านกล่าวว่า นคร โสเภณี แปลว่า หญิงงามเมือง หรือว่าหญิงที่ทำเมืองให้งาม เป็นหญิงขายตัวประเภทศักดิ์ศรีสูง หรือที่เรียกกันว่าเป็นคนชั้นสูงของใสเกณี เป็นที่สำหรับรับแขกเมือง เมื่อใครต้องการจะอยู่ร่วมกับนาง 1 คืน สมัยนั้นต้องเสียค่าตัวให้แก่นาง 1 พันกหาปณะ 1 พันกหาปณะ ก็เท่ากับ 4 พันบาท แต่ว่า 4 พันบาทสมัยนั้นกับสมัยนี้เห็นจะเทียบกันยาก เพราะสมัยนั้นทองคำบาทหนึ่งมีค่าประมาณ 16 บาท เดี๋ยวนี้ทองคำบาทหนึ่งมีมูลค่า 2 พันบาทเศษ เทียบเป็นราคาเงินกันแล้วมากกว่ากันมาก สำหรับนางสิริมานี้เป็นคนสวยมาก เป็นที่ชอบใจของบรรดาบุคคลทั้งหลายและก็ในสมัยนั้นเอง ก็มีกุลบุตรท่านหนึ่งเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา เห็นเขาเป็นพระอรหันต์กันก็อยากจะเป็นพระอรหันต์บ้าง แต่ทว่าเมื่อท่านเป็นพระบวชใหม่ ในวันหนึ่งไปบิณฑบาดที่บ้านนางสิริมา วันนั้นปรากฏว่า นางสิริมาป่วย ทั้ง ๆ ที่ป่วยและเป็นหญิงโสเภณี แต่นางสิริมานี้ตามประวัติท่านกล่าวว่า เป็นน้องสาวของหมอชีวกโกมารภัจ ถ้าว่าถึงกันโดยตระกูลแล้ว นางก็มีตระกูลไม่ต่ำ แต่ทว่าเป็นกฎของกรรม ที่ไปกล่าวติเตียนนางภิกษุณี ซึ่งเป็นพระอรหันต์ ว่าอีหญิงแพศยาคนไหนนะบ้วนน้ำหมากให้ละอองน้ำหมากมาเปื้อนผ้าของเรา แต่ความจริงละอองน้ำหมาก มันเปื้อนนิดเดียว นี่ถอยหลังไปกี่ชาติก็ไม่ทราบ กรรมอันนั้นปัจจัยปัจจัยบันดาลให้นางเกิดมาในชาติหลังต้องเป็นหญิงใสเภณี นี่เพราะไปด่านางภิกษุณีเข้า
เมื่อนางเป็นโลเกณี แล้วก็มีรูปงาม ทั้ง ๆ ที่นางป่วยไข้ไม่สบายในวันนั้น เมื่อพระบวชใหม่ไปบิณฑบาตกับพระเก่า นางถึงแม้ว่าจะเป็นหญิงโสเภณี แต่ว่านางก็มีคนรับใช้ เพราะร่ำรวยมาก จึงให้คนรับใช้ถือภาชนะอาหารมาถวาย แก่พระที่ไปบิณฑบาด นางยื่นใส่บาตรด้วยการทรงตัวไม่สู้จะดีนัก แต่ว่าขึ้นชื่อว่าคนสาย ถึงแม้ว่าจะป่วยก็ยังสวยอยู่นั่นแหละ
เมื่อพระใหม่องค์นั้นเห็นนางสิริมาเข้าก็เกิดความรัก กลับมาวัดไม่เป็นอันกินไม่เป็นอันนอน ข้าวปลาไม่กินครุ่นคิดถึงแต่นางสิริมา ปล่อยให้ข้าวบูดอยู่ในบาตรจนกระทั่งแห้ง ความจริงองค์สมเด็จทระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบ ก็อยู่ในสำนักของพระองค์ อยู่ที่ไหนพระองค์ก็ทราบ แต่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เคยว่าอะไร ปล่อยเฉย ๆ ทำเสมือนไม่รู้
ต่อมาเวลาผ่านไปสองสามวัน นางสิริมาวันนั้นที่พระเห็นเธอป่วยมากแล้ว ก็ปรากฏว่านางสิริมาตาย พระเจ้าพิมพิสารจึงได้กราบทูลให้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทราบว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า เวลานี้นางสิริมาตายเสียแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจะให้ทำเป็นประการใด สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงตรัสว่า ให้เก็บศพนางสิริมาไว้ก่อน ปล่อยไว้ตามสภาพปกติ คือว่าอย่าทำการป้องกันไม่ให้เน่า ปล่อยไปตามธรรมดา ความจริงพี่ชายท่านเป็นหมอใหญ่ อาจจะป้องกันน้องสาวไม่ให้เน่าก็ได้ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงสั่งไปอย่างนั้น
ครั้นเมื่อนางสริมาเน่าขึ้นอืด น้ำเหลืองไหล ตาปลิ้น ลิ้นจุก น้ำเหลืองเดือดปุด ๆ ออกทางปาก พระเจ้าพิมพิสารก็กราบทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงทราบ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้มีพระพุทธบัญชา ให้พระเจ้าพิมพิสารนำศพนางสิริมาไปที่พระลานหลวง วางไว้บนเตียงโดยไม่มีอะไรปิด แล้วสมเด็จพระธรรมสามิสร จึงได้มีพระพุทธบัญชาตรัสแก่พระอานนท์ ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ วันนี้เราจะไปเยี่ยมนางสิริมา เธอจงประกาศพระว่าใครจะไปกับตถาคตบ้างก็ไปได้ เมื่อองค์ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเสด็จ พระทุกองค์ก็ไป
สำหรับพระองค์ที่หลงรักนางสิริมาอยู่นั้นดีใจมาก ว่าที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพาไปให้เห็นนางสิริมา ไอ้ข้าวที่แห้งอยู่ในบาตร ก็ลุกขึ้นล้างบาตร เช็ดบาตร มีกำลังวังชาดี นุ่งสบง ทรงจีวรด้วยดีแล้ว ก็ตามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไป ครั้นไปถึงพระลานหลวง บรรดาประชาชนทั้งหลายทราบว่าพระมหากษัตริย์จะเสด็จ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยสาวกทั้งหมดจะไปที่นั่น จึงให้พากันมาอออยู่ที่พระลานหลวงแล้ว
ครั้นไปถึง องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้มีรับสั่งพระพุทธบัญชา ให้พระเจ้าพิมพิสารประกาศแก่บรรคาคนทั้งหลายว่า ใครต้องการนางสีริมาบ้าง ถ้าใครต้องการก็จะยกให้ แต่ว่าเอาเงินมา 1 พันกหาปณะ ในครั้งก่อน ๆ นั้นเช่าไป 1 คืน ต้องเสียพันกหาปณะ แต่ว่าคราวนี้ไม่ต้องเช่า ยกให้เลย แต่ว่าเอาเงิน 1,000 กหาปณะเท่านั้น คนทั้งพระลานหลวงเงียบ จะมีใครเขาต้องการล่ะ เน่าอืดแบบนั้น ไม่อีดอย่างเดียว น้ำเหลืองไหล ตาปลิ้น ลิ้นจุก
เมื่อบุคคลทั้งหลายเงียบ ไม่มีใครแสดงความต้องการ สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงตรัสต่อไป ให้พระเจ้าพิมพิสารประกาศว่า ใครต้องการนางสิริมาบ้างเราให้ จะยกให้เปล่า ๆ ให้เป็นสมบัติของท่าน คนทุกคนก็ไม่มีใครต้องการ ต่อมาองค์สมเด็จพระพิชิตมาร จึงได้ทรงตรัสอีกวาระหนึ่ง ให้พระเจ้าพิมพิสารประกาศว่า ใครต้องการนางสิริมาบ้าง จะยกศพของนางให้เป็นสมบัติของท่าน แล้วมอบเงินให้พันกหาปณะ ก็ไม่มีใครต้องการอีก
ตอนนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้แสดง อสุภสัญญา ให้แก่บรรดาพระและบรรดาประชาชนทั้งหลายทราบว่า ขึ้นชื่อว่าขันธ์ 5 ที่ประกอบไปด้วยธาตุ 4 แบ่งเป็นอาการ 32 มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ตับไต ไส้ปอดเป็นต้น ที่เรียกว่าอยู่ในร่างกายของคนนี่ มันไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน แล้วก็ไม่เป็นของถาวร ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรามันไม่ใช่ของเรา มันรวมเข้ามาเป็นอาการของธาตุ 4 คือมีธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ แล้วแบ่งออกไปเป็นอาการ 32 คือแบ่งเป็น 32 ชิ้นด้วยกัน ภายในประกอบขึ้นมาเป็นกาย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีความสวยสดงดงาม ถึงแม้ว่ามีชีวิตอยู่ ก็ไม่งาม เมื่อตายไปแล้วก็หาความงามอะไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร ดูตัวอย่างนางสิริมาเป็นสำคัญ ที่องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงชี้ให้เห็น ว่าดูตัวอย่างนางสิริมานี่ สมัยเมื่อนางสิริมายังมีชีวิตอยู่ เธอเป็นที่รักของบรรดาประชาชนทั้งหลาย เพราะอาศัยมองผิวกายเป็นสำคัญ มองทรวดทรงเป็นสำคัญ
เวลานั้นร่างกายยังสมบูรณ์ บริบูรณ์ไปด้วยธาตุ 4 คือว่า ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ยังประชุมพร้อมกัน ธาตุดินเมื่อจะทรงตัวอยู่ได้ก็ต้องอาศัยธาตุน้ำเป็นเครื่องประดับประคอง แต่ว่าถ้าธาตุน้ำมาเอิบอาบอยู่ในร่างกาย ถ้ามากเกินไปธาตุดินก็ละสาย ฉะนั้นจึงจะต้องมีธาตุไฟ สร้างความอบอุ่น สร้างกำลังของธาตุดินให้มีความพอดีกับธาตุน้ำ จึงจะสามารถทรงตัวอยู่ได้ แต่ไฟที่จะทรงตัวอยู่ได้ที่ใดที่นั่นต้องมีลม เหตุทั้ง 4 ประการนี้จะห่างกันไม่ได้ จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ เมื่ออาการธาตุอย่างหนึ่งอย่างใด ขาดความสมบูรณ์บริบูรณ์นั่นก็หมายความว่า ถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งบกพร่องลงไป ขณะนั้นร่างกายของเราก็ชื่อว่ามีโรค
มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 2.2 https://ppantip.com/topic/43202744