Chapter 17 : Take care แปลว่าดูแล....หรือลาก่อน
.
.
อ่านย้อนหลังได้ในสปอยล์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Ch 1 ที่นี่ไม่มี - 2 ห้ามให้ใครรู้
https://ppantip.com/topic/43274104
Ch 3 สวยไม่สวย - 4 ชอบดูหนัง
https://ppantip.com/topic/43275062
Ch 5 ติด
https://ppantip.com/topic/43276252
Ch 6 ข้อจำกัด
https://ppantip.com/topic/43277958
Ch 7 turning point
https://ppantip.com/topic/43279100
Ch 8 ไกล
https://ppantip.com/topic/43280746
Ch 9 อีกสักครั้ง
https://ppantip.com/topic/43282675
Ch 10 ธรรมชาติ กาแฟ และแสงดาว
https://ppantip.com/topic/43283324
Ch 11 กำเริบเสิบสาน
https://ppantip.com/topic/43284565
Ch 12 Found then lost
https://ppantip.com/topic/43287549
Ch 13 So be it...
https://m.ppantip.com/topic/43292913
Chapter 14 : อัปปรีย์ชีเอท
https://ppantip.com/topic/43294971
Chapter 15 : This is the end...... ?
https://ppantip.com/topic/43297240
Chapter 16 : การทดลอง
https://ppantip.com/topic/43297961
.
.
ผมลืมตาตื่นตั้งแต่ตีห้าด้วยความตื่นเต้นที่น้องพีชเป็นฝ่ายโทรมาหาผม ทั้งที่ผมกลับมาถึงและกว่าจะได้นอนก็ตีหนึ่ง ความหวังในใจกลับมามีอีกครั้ง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีครั้งไหนที่น้องพีชเป็นฝ่ายนัดเจอผม แต่ครั้งนี้เธอโทรหาผมและขอให้ผมพาไปทานข้าวด้วยตัวเอง
.
ผมอาบน้ำแต่งตัว กินกาแฟ เสร็จแล้วพยายามดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อล้างกลิ่นกาแฟที่อาจติดในทางเดินหายใจ ผมขับรถไปจอดรอน้องที่ใต้คอนโดตั้งแต่หกโมงครึ่งเผื่อเธอมาถึงเร็ว
.
พอเจ็ดโมงรถตู้ที่น้องนั่งก็เข้ามาจอดเหมือนนัดกันไว้ ผมนั่งมองน้องอยู่บนรถผ่านกระจกมองหลัง เห็นน้องใส่กางเกงยืนส์ขายาวหลวมๆ เหมือนเดิมที่เธอชอบใส่ กับแจ็กเก็ตสีดำและหมวกแก๊บพร้อมรองเท้าผ้าใบสีขาวที่น้องใส่ประจำ น้องดูกระฉับกระเฉงและร่าเริง มีเป้ใบเล็กๆ สีดำติดตัวกับกระเป๋าถือที่ผู้หญิงนิยมใช้อีกใบ คนขับรถเดินอ้อมมาท้ายรถตู้ เปิดออกและยกถุงพลาสติกสีรุ้งที่น้องใส่ของที่ดูท่าทางหนักลงมา น้องบอกขอบคุณคบขับรถ แล้วมองไปรอบๆ จนมาหยุดสายตาที่รถผมแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทร
“ฮัลโหล” ผมกดรับสาย
“พี่มาช่วยหนูยกของได้มั้ยคะ หนูยกของหนักไม่ได้” เธอบอกผมตั้งแต่เจอกันที่ร้านครั้งสุดท้ายแล้ว ว่าหมอห้ามยกของหนัก
ผมกดวางสายแล้วลงจากรถเดินเข้าไปหาเธอ พีชมองผมยิ้มๆ
“สวัสดีค่ะ” เธอทักทายผม
“เป็นไง เหนื่อยมั้ย” ผมถามเมื่อเดินมาถึง
“ค่ะ หลับไม่ค่อยสนิท” เธอดูเพลีย แต่รู้สึกได้ว่ามีความผ่อนคลาย ผมรวบหูหิ้วของถุงพลาสติกหลากสีของเธอขึ้นมาสะพายไหล่
“หนักนะ” เธอบอกตอนผมยกถุงเธอขึ้นมา แต่ผมไม่พูดอะไรและยิ้มให้เธอ
“เอารถเข็นก็ได้นะ เดี๋ยวหนูเอาขึ้นห้องเอง”
“....ละพอเข้าห้อง ก็ต้องยกลงรถเข็นอีก” ผมบอก “ไป.... นำค่ะ”
พีชคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนออกเดินนำผมเข้าไปในตึก หยิบคีย์การ์ดขึ้นมาสแกนเปิดประตู และลิฟท์กดไปยังชั้นที่ตัวเองอยู่ ความรู้สึกผมได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนพอสมควรที่พยายามที่สุดที่จะไม่ขึ้นไปบนตึกกับเธอเพราะคิดว่ามันจะนำไปสู่ปัญหายุ่งยากได้ แต่ ณ ตอนนี้เราไม่ได้มีสถานะแบบคนที่คิดอะไรกันแบบนั้นแล้ว ผมจึงคิดว่าผมสามารถขึ้นไปส่งเธอถึงหน้าห้องได้ตามความจำเป็น เพราะค่อนข้างมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจที่ทั้งผมและเธอมีให้กัน แม้ผมจะยังรู้สึกดีกับเธออยู่มาก แต่ก็มีความชัดเจนว่าเราเป็นกันได้แค่ไหน เมื่อมาถึงหน้าห้องเธอเอานิ้วชี้ขึ้นมาทาบปากให้เราพูดเบาๆ
“มีคนอยู่เหรอ” ผมถามเสียงเบา
“ไม่รู้ค่ะ” เธอตอบ ผมยังคงไม่มีความคิดที่จะก้าวเข้าไปในห้องเธอ เพราะมันไม่ใช่ห้องของเธอ แต่ก็ไม่อยากให้เธอยกของหนัก และการที่เธอบอกว่าไม่รู้ว่าเค้าอยู่ห้องมั้ย มันแปลว่าเธอไม่ได้โทรหา หรือไม่คือเค้าอาจจะมาโดยไม่ได้บอกเธอเหมือนที่เคยทำ ผมจึงวางถุงลงที่ข้างผนังตรงประตูห้องเธอนั่นเอง ไม่คิดจะเหยียบเท้าเข้าไปในห้องเธอหรือแม้แต่จะมองเข้าไป
“แล้วจะเอาเข้าไปยังไง” ผมถาม
“เดี๋ยวลากเข้าไปก็ได้ค่ะ”
เธอหยิบกุญแจห้องขึ้นมาไขเปิดประตูเบาๆ ขณะที่เธอค่อยๆ แง้มประตูมองเข้าไปในห้อง ผมหมุนตัวเดินผละออกมาจากบริเวณหน้าห้องเธอ เดินไปจนสุดทางเดินที่มีกระจกที่สามารถมองออกไปเห็นทิวทัศน์หน้าคอนโดได้ ผมมองออกไปข้างนอกไกลๆ ผ่อนสายตามองทัศนีย์ภาพของกรุงเทพตอนเช้าที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ ไม่นานพีชก็ปิดประตูห้องเดินมาหาผม
.
“วันนี้อยากทำอะไรบ้าง” ผมถามตอนเราอยู่ด้วยกันบนลิฟท์ลงมาข้างล่าง
“อยากกิน mk” เธอตอบ
“ยังไม่มีร้านไหนเปิดเลย” ผมคิดอึดใจหนึ่งก่อนจะยื่นข้อเสนอ “เอางี้ เดี๋ยวพี่พาไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็นข้าวเช้า กินอะไรร้อนๆ จะได้สบายตัว ละเดี๋ยวพาไปนวดร้านประจำพี่ ละถ้าสายๆ หิว พี่พาไปกินสุกี้ต่อ โอเคมั้ย”
“ค่ะ” พีชตอบ
การที่เธอบ่นปวดไหล่ปวดคอบ่อยๆ และยังเคยมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดจากการไปนวดแล้วเจอหมอนวดมือหนัก ทำให้เธอลังเล แต่ก็อยากหาทางผ่อนคลาย ผมจึงรอวันที่จะพาเธอไปมาตลอด
.
วันนี้เธอดูผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เหมือนตอนเราเจอกันวันแรกๆ ที่เราคบหากัน แม้ผมรู้ดีว่าในใจเธอคงไม่ได้คิดกับผมแบบนั้นแล้วก็ตาม แต่การที่เธอเข้าหาผมเองครั้งนี้ มันชัดว่าเธอยินดีที่จะให้ผมอยู่ในชีวิต ผมแปลได้ว่าที่เธอเคยพูดว่า ‘ไม่เอาแล้ว’ มันมาจากอารมณ์เธอเองที่ถูกความเครียดรุมเร้า เมื่อเธอผ่อนคลาย ความต้องการของเธอก็แสดงตัวออกมา
“กลับบ้านมาใช่มั้ย” ผมถามขณะเลี้ยวรถออกจากคอนโดเธอ….เธอพยักหน้า ผมยิ้มให้ขณะพูดต่อ “จริงๆ เราบอกพี่ได้นะ มีครั้งไหนด้วยเหรอที่พี่ไม่ให้สิ่งที่เราต้องการ”
พีชนิ่งไปนิดนึง ก่อนพูดออกมา “หนูไม่อยากให้พี่เป็นห่วง”
“หนูห้ามไม่ได้หรอก พี่ยังห้ามตัวเองไม่ให้ห่วงเราไม่ได้เลย แล้วพี่ไม่รู้อะไรเลย มันทำให้พี่เป็นห่วงมากกว่าอีกนะ” ผมบอกแบบไม่ดุหรือตำหนิ “แล้วเป็นไง กลับไปละดีมั้ย”
“ค่ะ แต่เหนื่อย หนูเดินทางไปสองวันหนึ่งคืน นอนที่บ้านได้สองคืน ก็ต้องกลับมา”
“แล้วปัญหาที่บ้านที่เราบอก โอเคมั้ย” น้องพยักหน้าแต่ไม่พูดอะไร ผมจึงเลือกที่จะไม่ถามอะไรต่อ
“พ่อแม่หนูก็ดีใจนะ ที่เห็นหน้าหนู หนูกลับไปก็ไม่ได้บอกเค้าก่อน” เธอเริ่มเล่า “พ่อนึกว่าหนูจะกลับไปเลย ไม่กลับมาที่นี่”
“แปลว่าพ่อเค้าเป็นห่วงและคิดถึงเรามากน่ะสิ” ผมพูด
“ตอนหนูกลับมาหนูก็ไม่ได้บอกเค้า”
“หนีมาเหรอ” ผมพูดติดตลก เธอพยักหน้ายิ้มๆ ผมอดขำไม่ได้ในความสัมพันธ์ของคนบ้านนี้ พ่อเธออายุแก่กว่าผมเพียงแค่ไม่กี่ปี มันจึงไม่ยากที่ผมจะคาดเดาความคิดของพ่อเธอ พ่อเธอมีปัญหาการดื่มและจะอารมณ์รุนแรงลงไม้ลงมือกับแม่เสมอ เป็นหนึ่งในปัญหาที่เธอเล่าให้ผมฟังตั้งแต่วันแรกที่เจอกันซึ่งมันทำให้เธอเครียดและกังวล และไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังไง ผมได้แต่สอนให้เธอยอมรับว่าสถานะเราไปแก้ปัญหาให้พ่อแม่ไม่ได้ และเรายังไม่โตพอที่ความคิด คำพูดเราจะมีอิทธิพลกับพ่อได้
“แล้วสบายใจขึ้นมั้ย”
“ค่ะ ไปอยู่นู่น ไม่ต้องกลัว ต้องกังวลอะไรเลย“ เธอเล่า ผมรู้สึกได้จากน้ำเสียงว่าตอนนี้เธอหายเครียดไปเยอะ แม้ร่างกายจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
”งั้นพี่จะพาไปกินไกลหน่อยก็แล้วกันนะ จะได้ไม่กังวลว่าใครจะมาเจอ..... ที่นู่นอากาศเป็นไง หนาวมั้ย“ ผมสงสัยว่าเธอได้พกผ้าห่มที่ผมให้ไปมั้ย แต่ไม่ได้ถามออกไป
“หนาวนิดหน่อยค่ะ หนูใส่เสื้อพี่ด้วยนะ” พีชบอกพลางดึงคอเสื้อของเสื้อคอเต่าฮีทเทคที่ผมเคยให้เธอไว้มาอวด แน่นอนว่ามันทำให้ผมดีใจที่เห็นเธอใช้ของที่ผมให้ไป
.
ผมพาเธอขับรถห่างออกไปจากร้านและที่พักเธอเป็นระยะทางขับรถเกือบชั่วโมงหนึ่ง ผมเลี้ยวเข้าตลาด ผ่านประตูกั้นที่เปิดออกหลังจากกดปุ่มอัตโนมัติเพื่อรับบัตรเข้าลานจอดรถในร่ม เวลานี้เพิ่งจะแปดโมงกว่าและเป็นวันหยุด ทำให้ตลาดยังมีร้านเปิดไม่มาก และผู้คนก็ยังไม่เยอะ ผมพาเธอเดินไปยังรานก๋วยเตี๋ยวที่อยู่กลางตลาด เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมาหลายสิบปีที่คนเยอะทุกวัน แต่เวลาแปดโมงเช้าแบบนี้ที่ร้านเพิ่งเปิด ทำให้ยังไม่มีลูกค้าแม้สักโต๊ะ
.
ผมพาเธอนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งริมผนัง เรานั่งข้างกันเหมือนที่เคยนั่งทานข้าวด้วยกัน ต่างกันที่เราไม่ได้จับมือกันแบบนั้นแล้ว เมื่อใจเราเปลี่ยน พฤติกรรมเราก็เปลี่ยน
.
เธอสั่งก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่เหมือนเคย ส่วนผมสั่งเส้นเล็ก พอสั่งอาหารเสร็จผมก็ลุกไปหยิบกระดาษเช็ดปากมาให้เธอ ร้านนี้ไม่ได้มีกระดาษเช็ดปากประจำที่โต๊ะ ต้องเดินไปหยิบจากจุดวางที่กระจายอยู่รอบๆ ร้าน 2-3 จุด
“แล้วเมื่อคืนรู้ได้ไงว่าโทรหาพี่ได้ ว่าพี่อยู่คนเดียว” ผมถาม
“ไม่รู้ค่ะ เสี่ยงเอา” เธอตอบ ทำให้ผมขำ
”แล้วอยู่บ้านได้ทำอะไรบ้าง“ ผมถาม
”ไม่ค่อยได้ทำอะไรหรอกค่ะ มีเวลาอยู่แค่วันเดียว“ เธอตอบ ”จริงๆ หนูคิดตอนนั่งรถไปนะ ว่าอาจจะไม่กลับมาแล้ว ถึงได้ขนของไปเยอะ“
”เลยต้องเหนื่อยขนกลับมาเลยนะ“ ผมแซวเธอยิ้มๆ ไม่อยากให้บทสนธนาพาเครียด เธอยิ้มๆ
“ช่าย แต่พอนอนไปได้คืนนึง หนูเสียดายเวลา….”
ผมพยายามคิดตามว่าเธอหมายถึงอะไร…. เสียดายเวลา…. ที่ทำงานมาตั้งนาน หรือเวลาที่คบกับผมมา คำนี้มันเหมือนเป็นคำที่ใช้กับเรื่องความสัมพันธ์มากกว่าเรื่องงาน
“…. ทำงานที่นี่มาตั้งนาน” เธอพูดขึ้นในที่สุด ผมรู้สึกโหวงๆ ในใจเล็กน้อยที่เธอไม่ได้หมายถึงผม
“แล้วหนูก็อยากเจอพี่ด้วย”
แน่นอนว่าคำนี้ทำให้ผมยิ้มขึ้นได้ ผมคิดกับตัวเองว่า…. แค่นี้ก็พอแล้ว
.
เรากินก๋วยเตี๋ยวเสร็จออกมาก็ยังไม่เก้าโมง กว่าร้านนวดจะเปิดก็ 10 โมง ทั้งผมและเธอเราต่างเพลีย ผมก็นอนน้อย เธอก็เดินทางมาทั้งคืน ผมเลยชวนเธอไปร้านกาแฟ
“หากาแฟกินมั้ย ต้องรออีกชั่วโมงนึงกว่าร้านนวดจะเปิด” ผมชวนตอนขับออกมาจากตลาด
“ก็ได้ค่ะ”
“ตรงนี้มีร้านเบเกอรี่ขายขนมปังเกลือสไตล์เกาหลีอยู่ เคยกินมั้ย” ผมชวนเธอคุย
“ไม่เคยค่ะ มันเป็นยังไง“ เธอถาม
”ขนมปัง ‘เกลือ’ ก็จะเค็มๆ นิดนึง อร่อยนะ“ ผมโฆษณาให้เธอสนใจ ร้านอยู่ห่างจากตลาดเพียง 10 นาที ผมจอดรถแล้วพาเธอเดินเข้าไปในร้านที่ขนาดไม่ใหญ่ อยู่ในอเวนิวที่มีบ่อทรายให้เด็กเล่นได้อยู่ตรงกลาง และมีร้านตั้งอยู่รอบๆ เป็นห้องๆ
.
ผมพาเธอเดินเข้ามาในร้านแล้วหยิบถาดสำหรับใส่ขนมปังกับที่คืบอันหนึ่ง พาเธอเดินดูชั้นวางขนาดไม่ใหญ่ ร้านนี้ใช้ตะกร้าใส่ขนมปังวางเรียงรายบนโต๊ะ มันยังเช้าอยู่ทำให้มีขนมปังครบทุกแบบที่ปกติถ้ามาหลังเที่ยงตัวขายดีๆ อย่างขนมปังเกลือมักจะหมด ผมคีบขนมปังเกลือขึ้นมาชิ้นหนึ่งใส่ในถาด
”อยากได้อันไหนมั้ย“ ผมหันไปถาม พีชมองไปที่ขนมปัง ดูออกเลยว่าเธอไม่ได้สนใจมากนัก โดยเฉพาะเมื่อป้ายชื่อขนมปังแต่ละอันเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรบ้าง แต่เธออยากรู้ว่าผมหยิบอะไรมา ”อันนี้ขนมปังเกลือที่พี่บอก“ มันเป็นขนมปังหน้าตาเป็นม้วนเกือบเหมือนครัวซอง แค่ไม่มีความโค้งและมนกว่าหน่อย มีเกลือเป็นเกล็ดๆ โรยอยู่บนหน้า ดูเรียบๆ แต่น่าทาน
“มันมีอะไรบ้างคะ” เธอถามขึ้น
“ก็มีใส้ผักโขม ข้าวโพด อันนี้เนยกับอัลม่อน” ผมบอกเธอไล่ไปทีละอัน
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ”
ผมเอื้อมไปคีบขนมปังเกลือมาเพิ่มอีกก้อนหนึ่งก่อนจะถือถาดเดินไปที่เคาเตอร์เพื่อสั่งกาแฟและจ่ายเงิน
”เอาลาเต้เย็น ไม่หวานครับ พีชเอาไรคะ“
”มีกาแฟใส่น้ำผึ้งมั้ย“ เธอถาม เมนูเป็นภาษาอังกฤษอีกเหมือนกัน
“มีค่ะ” พนักงานตอบกลับมา
“เอาแก้วนึง” ผมส่งถาดขนมปังให้น้องพีช แล้วบอกให้เธอเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ แล้วก็หันหน้าไปจ่ายค่าขนมปังและกาแฟ
ประสบการณ์ตรงคบกับเด็กร้านนวดปู๋ Chapter 17 : Take care แปลว่าดูแล....หรือลาก่อน
.
.
อ่านย้อนหลังได้ในสปอยล์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
.
.
ผมลืมตาตื่นตั้งแต่ตีห้าด้วยความตื่นเต้นที่น้องพีชเป็นฝ่ายโทรมาหาผม ทั้งที่ผมกลับมาถึงและกว่าจะได้นอนก็ตีหนึ่ง ความหวังในใจกลับมามีอีกครั้ง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีครั้งไหนที่น้องพีชเป็นฝ่ายนัดเจอผม แต่ครั้งนี้เธอโทรหาผมและขอให้ผมพาไปทานข้าวด้วยตัวเอง
.
ผมอาบน้ำแต่งตัว กินกาแฟ เสร็จแล้วพยายามดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อล้างกลิ่นกาแฟที่อาจติดในทางเดินหายใจ ผมขับรถไปจอดรอน้องที่ใต้คอนโดตั้งแต่หกโมงครึ่งเผื่อเธอมาถึงเร็ว
.
พอเจ็ดโมงรถตู้ที่น้องนั่งก็เข้ามาจอดเหมือนนัดกันไว้ ผมนั่งมองน้องอยู่บนรถผ่านกระจกมองหลัง เห็นน้องใส่กางเกงยืนส์ขายาวหลวมๆ เหมือนเดิมที่เธอชอบใส่ กับแจ็กเก็ตสีดำและหมวกแก๊บพร้อมรองเท้าผ้าใบสีขาวที่น้องใส่ประจำ น้องดูกระฉับกระเฉงและร่าเริง มีเป้ใบเล็กๆ สีดำติดตัวกับกระเป๋าถือที่ผู้หญิงนิยมใช้อีกใบ คนขับรถเดินอ้อมมาท้ายรถตู้ เปิดออกและยกถุงพลาสติกสีรุ้งที่น้องใส่ของที่ดูท่าทางหนักลงมา น้องบอกขอบคุณคบขับรถ แล้วมองไปรอบๆ จนมาหยุดสายตาที่รถผมแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทร
“ฮัลโหล” ผมกดรับสาย
“พี่มาช่วยหนูยกของได้มั้ยคะ หนูยกของหนักไม่ได้” เธอบอกผมตั้งแต่เจอกันที่ร้านครั้งสุดท้ายแล้ว ว่าหมอห้ามยกของหนัก
ผมกดวางสายแล้วลงจากรถเดินเข้าไปหาเธอ พีชมองผมยิ้มๆ
“สวัสดีค่ะ” เธอทักทายผม
“เป็นไง เหนื่อยมั้ย” ผมถามเมื่อเดินมาถึง
“ค่ะ หลับไม่ค่อยสนิท” เธอดูเพลีย แต่รู้สึกได้ว่ามีความผ่อนคลาย ผมรวบหูหิ้วของถุงพลาสติกหลากสีของเธอขึ้นมาสะพายไหล่
“หนักนะ” เธอบอกตอนผมยกถุงเธอขึ้นมา แต่ผมไม่พูดอะไรและยิ้มให้เธอ
“เอารถเข็นก็ได้นะ เดี๋ยวหนูเอาขึ้นห้องเอง”
“....ละพอเข้าห้อง ก็ต้องยกลงรถเข็นอีก” ผมบอก “ไป.... นำค่ะ”
พีชคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนออกเดินนำผมเข้าไปในตึก หยิบคีย์การ์ดขึ้นมาสแกนเปิดประตู และลิฟท์กดไปยังชั้นที่ตัวเองอยู่ ความรู้สึกผมได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนพอสมควรที่พยายามที่สุดที่จะไม่ขึ้นไปบนตึกกับเธอเพราะคิดว่ามันจะนำไปสู่ปัญหายุ่งยากได้ แต่ ณ ตอนนี้เราไม่ได้มีสถานะแบบคนที่คิดอะไรกันแบบนั้นแล้ว ผมจึงคิดว่าผมสามารถขึ้นไปส่งเธอถึงหน้าห้องได้ตามความจำเป็น เพราะค่อนข้างมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจที่ทั้งผมและเธอมีให้กัน แม้ผมจะยังรู้สึกดีกับเธออยู่มาก แต่ก็มีความชัดเจนว่าเราเป็นกันได้แค่ไหน เมื่อมาถึงหน้าห้องเธอเอานิ้วชี้ขึ้นมาทาบปากให้เราพูดเบาๆ
“มีคนอยู่เหรอ” ผมถามเสียงเบา
“ไม่รู้ค่ะ” เธอตอบ ผมยังคงไม่มีความคิดที่จะก้าวเข้าไปในห้องเธอ เพราะมันไม่ใช่ห้องของเธอ แต่ก็ไม่อยากให้เธอยกของหนัก และการที่เธอบอกว่าไม่รู้ว่าเค้าอยู่ห้องมั้ย มันแปลว่าเธอไม่ได้โทรหา หรือไม่คือเค้าอาจจะมาโดยไม่ได้บอกเธอเหมือนที่เคยทำ ผมจึงวางถุงลงที่ข้างผนังตรงประตูห้องเธอนั่นเอง ไม่คิดจะเหยียบเท้าเข้าไปในห้องเธอหรือแม้แต่จะมองเข้าไป
“แล้วจะเอาเข้าไปยังไง” ผมถาม
“เดี๋ยวลากเข้าไปก็ได้ค่ะ”
เธอหยิบกุญแจห้องขึ้นมาไขเปิดประตูเบาๆ ขณะที่เธอค่อยๆ แง้มประตูมองเข้าไปในห้อง ผมหมุนตัวเดินผละออกมาจากบริเวณหน้าห้องเธอ เดินไปจนสุดทางเดินที่มีกระจกที่สามารถมองออกไปเห็นทิวทัศน์หน้าคอนโดได้ ผมมองออกไปข้างนอกไกลๆ ผ่อนสายตามองทัศนีย์ภาพของกรุงเทพตอนเช้าที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ ไม่นานพีชก็ปิดประตูห้องเดินมาหาผม
.
“วันนี้อยากทำอะไรบ้าง” ผมถามตอนเราอยู่ด้วยกันบนลิฟท์ลงมาข้างล่าง
“อยากกิน mk” เธอตอบ
“ยังไม่มีร้านไหนเปิดเลย” ผมคิดอึดใจหนึ่งก่อนจะยื่นข้อเสนอ “เอางี้ เดี๋ยวพี่พาไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็นข้าวเช้า กินอะไรร้อนๆ จะได้สบายตัว ละเดี๋ยวพาไปนวดร้านประจำพี่ ละถ้าสายๆ หิว พี่พาไปกินสุกี้ต่อ โอเคมั้ย”
“ค่ะ” พีชตอบ
การที่เธอบ่นปวดไหล่ปวดคอบ่อยๆ และยังเคยมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดจากการไปนวดแล้วเจอหมอนวดมือหนัก ทำให้เธอลังเล แต่ก็อยากหาทางผ่อนคลาย ผมจึงรอวันที่จะพาเธอไปมาตลอด
.
วันนี้เธอดูผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เหมือนตอนเราเจอกันวันแรกๆ ที่เราคบหากัน แม้ผมรู้ดีว่าในใจเธอคงไม่ได้คิดกับผมแบบนั้นแล้วก็ตาม แต่การที่เธอเข้าหาผมเองครั้งนี้ มันชัดว่าเธอยินดีที่จะให้ผมอยู่ในชีวิต ผมแปลได้ว่าที่เธอเคยพูดว่า ‘ไม่เอาแล้ว’ มันมาจากอารมณ์เธอเองที่ถูกความเครียดรุมเร้า เมื่อเธอผ่อนคลาย ความต้องการของเธอก็แสดงตัวออกมา
“กลับบ้านมาใช่มั้ย” ผมถามขณะเลี้ยวรถออกจากคอนโดเธอ….เธอพยักหน้า ผมยิ้มให้ขณะพูดต่อ “จริงๆ เราบอกพี่ได้นะ มีครั้งไหนด้วยเหรอที่พี่ไม่ให้สิ่งที่เราต้องการ”
พีชนิ่งไปนิดนึง ก่อนพูดออกมา “หนูไม่อยากให้พี่เป็นห่วง”
“หนูห้ามไม่ได้หรอก พี่ยังห้ามตัวเองไม่ให้ห่วงเราไม่ได้เลย แล้วพี่ไม่รู้อะไรเลย มันทำให้พี่เป็นห่วงมากกว่าอีกนะ” ผมบอกแบบไม่ดุหรือตำหนิ “แล้วเป็นไง กลับไปละดีมั้ย”
“ค่ะ แต่เหนื่อย หนูเดินทางไปสองวันหนึ่งคืน นอนที่บ้านได้สองคืน ก็ต้องกลับมา”
“แล้วปัญหาที่บ้านที่เราบอก โอเคมั้ย” น้องพยักหน้าแต่ไม่พูดอะไร ผมจึงเลือกที่จะไม่ถามอะไรต่อ
“พ่อแม่หนูก็ดีใจนะ ที่เห็นหน้าหนู หนูกลับไปก็ไม่ได้บอกเค้าก่อน” เธอเริ่มเล่า “พ่อนึกว่าหนูจะกลับไปเลย ไม่กลับมาที่นี่”
“แปลว่าพ่อเค้าเป็นห่วงและคิดถึงเรามากน่ะสิ” ผมพูด
“ตอนหนูกลับมาหนูก็ไม่ได้บอกเค้า”
“หนีมาเหรอ” ผมพูดติดตลก เธอพยักหน้ายิ้มๆ ผมอดขำไม่ได้ในความสัมพันธ์ของคนบ้านนี้ พ่อเธออายุแก่กว่าผมเพียงแค่ไม่กี่ปี มันจึงไม่ยากที่ผมจะคาดเดาความคิดของพ่อเธอ พ่อเธอมีปัญหาการดื่มและจะอารมณ์รุนแรงลงไม้ลงมือกับแม่เสมอ เป็นหนึ่งในปัญหาที่เธอเล่าให้ผมฟังตั้งแต่วันแรกที่เจอกันซึ่งมันทำให้เธอเครียดและกังวล และไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังไง ผมได้แต่สอนให้เธอยอมรับว่าสถานะเราไปแก้ปัญหาให้พ่อแม่ไม่ได้ และเรายังไม่โตพอที่ความคิด คำพูดเราจะมีอิทธิพลกับพ่อได้
“แล้วสบายใจขึ้นมั้ย”
“ค่ะ ไปอยู่นู่น ไม่ต้องกลัว ต้องกังวลอะไรเลย“ เธอเล่า ผมรู้สึกได้จากน้ำเสียงว่าตอนนี้เธอหายเครียดไปเยอะ แม้ร่างกายจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
”งั้นพี่จะพาไปกินไกลหน่อยก็แล้วกันนะ จะได้ไม่กังวลว่าใครจะมาเจอ..... ที่นู่นอากาศเป็นไง หนาวมั้ย“ ผมสงสัยว่าเธอได้พกผ้าห่มที่ผมให้ไปมั้ย แต่ไม่ได้ถามออกไป
“หนาวนิดหน่อยค่ะ หนูใส่เสื้อพี่ด้วยนะ” พีชบอกพลางดึงคอเสื้อของเสื้อคอเต่าฮีทเทคที่ผมเคยให้เธอไว้มาอวด แน่นอนว่ามันทำให้ผมดีใจที่เห็นเธอใช้ของที่ผมให้ไป
.
ผมพาเธอขับรถห่างออกไปจากร้านและที่พักเธอเป็นระยะทางขับรถเกือบชั่วโมงหนึ่ง ผมเลี้ยวเข้าตลาด ผ่านประตูกั้นที่เปิดออกหลังจากกดปุ่มอัตโนมัติเพื่อรับบัตรเข้าลานจอดรถในร่ม เวลานี้เพิ่งจะแปดโมงกว่าและเป็นวันหยุด ทำให้ตลาดยังมีร้านเปิดไม่มาก และผู้คนก็ยังไม่เยอะ ผมพาเธอเดินไปยังรานก๋วยเตี๋ยวที่อยู่กลางตลาด เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมาหลายสิบปีที่คนเยอะทุกวัน แต่เวลาแปดโมงเช้าแบบนี้ที่ร้านเพิ่งเปิด ทำให้ยังไม่มีลูกค้าแม้สักโต๊ะ
.
ผมพาเธอนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งริมผนัง เรานั่งข้างกันเหมือนที่เคยนั่งทานข้าวด้วยกัน ต่างกันที่เราไม่ได้จับมือกันแบบนั้นแล้ว เมื่อใจเราเปลี่ยน พฤติกรรมเราก็เปลี่ยน
.
เธอสั่งก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่เหมือนเคย ส่วนผมสั่งเส้นเล็ก พอสั่งอาหารเสร็จผมก็ลุกไปหยิบกระดาษเช็ดปากมาให้เธอ ร้านนี้ไม่ได้มีกระดาษเช็ดปากประจำที่โต๊ะ ต้องเดินไปหยิบจากจุดวางที่กระจายอยู่รอบๆ ร้าน 2-3 จุด
“แล้วเมื่อคืนรู้ได้ไงว่าโทรหาพี่ได้ ว่าพี่อยู่คนเดียว” ผมถาม
“ไม่รู้ค่ะ เสี่ยงเอา” เธอตอบ ทำให้ผมขำ
”แล้วอยู่บ้านได้ทำอะไรบ้าง“ ผมถาม
”ไม่ค่อยได้ทำอะไรหรอกค่ะ มีเวลาอยู่แค่วันเดียว“ เธอตอบ ”จริงๆ หนูคิดตอนนั่งรถไปนะ ว่าอาจจะไม่กลับมาแล้ว ถึงได้ขนของไปเยอะ“
”เลยต้องเหนื่อยขนกลับมาเลยนะ“ ผมแซวเธอยิ้มๆ ไม่อยากให้บทสนธนาพาเครียด เธอยิ้มๆ
“ช่าย แต่พอนอนไปได้คืนนึง หนูเสียดายเวลา….”
ผมพยายามคิดตามว่าเธอหมายถึงอะไร…. เสียดายเวลา…. ที่ทำงานมาตั้งนาน หรือเวลาที่คบกับผมมา คำนี้มันเหมือนเป็นคำที่ใช้กับเรื่องความสัมพันธ์มากกว่าเรื่องงาน
“…. ทำงานที่นี่มาตั้งนาน” เธอพูดขึ้นในที่สุด ผมรู้สึกโหวงๆ ในใจเล็กน้อยที่เธอไม่ได้หมายถึงผม
“แล้วหนูก็อยากเจอพี่ด้วย”
แน่นอนว่าคำนี้ทำให้ผมยิ้มขึ้นได้ ผมคิดกับตัวเองว่า…. แค่นี้ก็พอแล้ว
.
เรากินก๋วยเตี๋ยวเสร็จออกมาก็ยังไม่เก้าโมง กว่าร้านนวดจะเปิดก็ 10 โมง ทั้งผมและเธอเราต่างเพลีย ผมก็นอนน้อย เธอก็เดินทางมาทั้งคืน ผมเลยชวนเธอไปร้านกาแฟ
“หากาแฟกินมั้ย ต้องรออีกชั่วโมงนึงกว่าร้านนวดจะเปิด” ผมชวนตอนขับออกมาจากตลาด
“ก็ได้ค่ะ”
“ตรงนี้มีร้านเบเกอรี่ขายขนมปังเกลือสไตล์เกาหลีอยู่ เคยกินมั้ย” ผมชวนเธอคุย
“ไม่เคยค่ะ มันเป็นยังไง“ เธอถาม
”ขนมปัง ‘เกลือ’ ก็จะเค็มๆ นิดนึง อร่อยนะ“ ผมโฆษณาให้เธอสนใจ ร้านอยู่ห่างจากตลาดเพียง 10 นาที ผมจอดรถแล้วพาเธอเดินเข้าไปในร้านที่ขนาดไม่ใหญ่ อยู่ในอเวนิวที่มีบ่อทรายให้เด็กเล่นได้อยู่ตรงกลาง และมีร้านตั้งอยู่รอบๆ เป็นห้องๆ
.
ผมพาเธอเดินเข้ามาในร้านแล้วหยิบถาดสำหรับใส่ขนมปังกับที่คืบอันหนึ่ง พาเธอเดินดูชั้นวางขนาดไม่ใหญ่ ร้านนี้ใช้ตะกร้าใส่ขนมปังวางเรียงรายบนโต๊ะ มันยังเช้าอยู่ทำให้มีขนมปังครบทุกแบบที่ปกติถ้ามาหลังเที่ยงตัวขายดีๆ อย่างขนมปังเกลือมักจะหมด ผมคีบขนมปังเกลือขึ้นมาชิ้นหนึ่งใส่ในถาด
”อยากได้อันไหนมั้ย“ ผมหันไปถาม พีชมองไปที่ขนมปัง ดูออกเลยว่าเธอไม่ได้สนใจมากนัก โดยเฉพาะเมื่อป้ายชื่อขนมปังแต่ละอันเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรบ้าง แต่เธออยากรู้ว่าผมหยิบอะไรมา ”อันนี้ขนมปังเกลือที่พี่บอก“ มันเป็นขนมปังหน้าตาเป็นม้วนเกือบเหมือนครัวซอง แค่ไม่มีความโค้งและมนกว่าหน่อย มีเกลือเป็นเกล็ดๆ โรยอยู่บนหน้า ดูเรียบๆ แต่น่าทาน
“มันมีอะไรบ้างคะ” เธอถามขึ้น
“ก็มีใส้ผักโขม ข้าวโพด อันนี้เนยกับอัลม่อน” ผมบอกเธอไล่ไปทีละอัน
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ”
ผมเอื้อมไปคีบขนมปังเกลือมาเพิ่มอีกก้อนหนึ่งก่อนจะถือถาดเดินไปที่เคาเตอร์เพื่อสั่งกาแฟและจ่ายเงิน
”เอาลาเต้เย็น ไม่หวานครับ พีชเอาไรคะ“
”มีกาแฟใส่น้ำผึ้งมั้ย“ เธอถาม เมนูเป็นภาษาอังกฤษอีกเหมือนกัน
“มีค่ะ” พนักงานตอบกลับมา
“เอาแก้วนึง” ผมส่งถาดขนมปังให้น้องพีช แล้วบอกให้เธอเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ แล้วก็หันหน้าไปจ่ายค่าขนมปังและกาแฟ