อ่านย้อนหลัง Ch 1 ที่นี่ไม่มี - 2 ห้ามให้ใครรู้
https://ppantip.com/topic/43274104
อ่านย้อนหลัง Ch 3 สวยไม่สวย - 4 ชอบดูหนัง
https://ppantip.com/topic/43275062
อ่านย้อนหลัง Ch 5 ติด
https://ppantip.com/topic/43276252
อ่านย้อนหลัง Ch 6 ข้อจำกัด
https://ppantip.com/topic/43277958
อ่านย้อนหลัง Ch 7 turning point
https://ppantip.com/topic/43279100
อ่านย้อนหลัง Ch 8 ไกล
https://ppantip.com/topic/43280746
อ่านย้อนหลัง Ch 9 อีกสักครั้ง
https://ppantip.com/topic/43282675
อ่านย้อนหลัง Ch 10 ธรรมชาติ กาแฟ และแสงดาว
https://ppantip.com/topic/43283324
อ่านย้อนหลัง Ch 11 กำเริบเสิบสาน
https://ppantip.com/topic/43284565
อ่านย้อนหลัง Ch 12 Found then lost
https://ppantip.com/topic/43287549
อ่านย้อนหลัง Ch 13 So be it...
https://m.ppantip.com/topic/43292913
.
.
Chapter 14 : อัปปรีย์ชีเอท
ผมขับรถออกจากโรงแรมมาส่งน้องพีชตามเวลา ผมเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดของบิ๊กซีแล้วเทียบรถหน้าประตูทางเข้าห้างเพื่อให้เธอลง ผมต้องไปรับวิวต่อ
.
“ขอบคุณค่ะ” เธอตอบแต่ยังนั่งนิ่ง ผมก็ไม่พูดอะไรต่อ สักครู่เธอก็เปิดประตูรถออก และเดินเข้าประตูห้างไป ปกติทุกครั้งก่อนเธอลงรถผมจะดึงเธอมากอด แต่ครั้งนี้ผมเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น ไม่แน่ใจว่าเธอรู้สึกหรือเห็นอะไรบ้างมั้ย แต่ผมทนรับความคาดหวังที่ตัวเองมีต่อไปไม่ได้แล้ว ใช่ ผมรู้ตัวแล้วว่าแท้จริงผมยังมีความหวังว่าพีชจะสามารถกลับมารู้สึกดีๆ กับผมได้อีก และตลอดเวลาที่ผ่านมา มันคือกลไกทางจิตของผมอีกแล้วที่ไม่ยอมรับรู้ความเจ็บปวด และตอนนี้มันก็กำลังปะทุออกมา แต่ออกมาในรูปแบบของความเหนื่อยสะสมอยู่ข้างใน และเริ่มรู้สึกอยากจะพอแล้วกับความคาดหวังลมๆแล้งๆ
.
ผมรู้สึกแย่ แต่ไม่ใช่แบบคราวก่อนที่ร้องไห้ไม่ออก เหมือนน้ำตามันเหือดแห้งจนไม่เหลือให้เสีย หรือใจผมมันอาจจะไม่ได้ปักลงไปลึกเหมือนแรกๆ ก็ไม่แน่ใจ
.
“ตัวเองโอเคมั้ย” วิวถามผมขณะนั่งข้างผมบนรถ เธอคงรู้สึกว่าผมเงียบขรึมผิดปกติขณะขับรถกลับบ้านหลังจากไปรับเธอมาจากบ้านแม่เธอ
“อืม อารมณ์มันยังไม่ค่อยนิ่งน่ะ” ผมตอบ เพื่อไม่ให้เธอต้องรับรู้ปัญหาของผม ผมเลยอ้างว่าสาเหตุมาจากเรื่องพ่อ แต่ไม่ว่าสาเหตุจริงๆ มันจะคืออะไรก็ตามเธอไม่สามารถช่วยอะไรผมได้ เราทุกคนต้องรับผิดชอบจิตใจตัวเอง เธอรู้ดีและสิ่งที่เธอทำได้ดีมาตลอด คือการไม่ทำให้อะไรมันแย่ลง
.
“อยากให้นวดให้มั้ย” ผมถาม การนวดเป็นกิจกรรมที่ผมทำให้เธอเสมอ วิวไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย ทำให้บางครั้งเธอก็ไปใช้บริการนวดเป็นครั้งคราวด้วยกันกับผมทุกครั้ง แต่ส่วนของผมจะต่างกันตรงที่ผมออกกำลังกายค่อนข้างเยอะ การนวดของผมจึงเป็นการนวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อจากการใช้งานหนัก ไม่ใช่ออฟฟิศซินโดรม
“เอาาา” วิวตอบลากเสียงยาวพร้อมรอยยิ้ม แทบทุกคืนที่อยู่ด้วยกัน สิ่งที่เหมือนเป็นหน้าที่หนึ่งของผมคือนวดแขนกับไหล่ให้เธอ เป็นสิ่งที่ผมทำให้เธอตลอดหลายปีที่คบกันมาและเธอจะชมผมเสมอว่านวดได้ดีกว่าหมอนวดตามร้าน แม้กระทั่งร้านประจำที่ผมว่าเค้านวดดี วิวก็ยังบอกว่าชอบที่ผมนวดให้มากกว่า เพราะนวดที่ร้านยังไงก็มีเจ็บ แต่ผมนวดของผมไม่เคยทำให้เธอเจ็บเลย หรืออย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่เธอบอกผม
.
เมื่อกลับมาถึงหลังจากเก็บข้าวของเสร็จ ผมบอกให้เธอถอดเสื้อและปลดสายเสื้อในโดยไม่ต้องถอดออก ผมเทน้ำมันนวดของตัวเองที่ผมมีใส่มือ ก่อนจะทาลงบนไหล่และแขนวิว แต่ละครั้งผมไม่ได้ใช้เวลานวดให้เธอนาน แค่ให้พอรู้สึกผ่อนคลายสบายขึ้น แต่ทุกครั้งวิวจะดึงผมเข้าไปไม่จูบก็หอมแก้มขอบคุณที่ผมนวดให้เธอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน มันทำให้ผมนึกถึงน้องพีชว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งที่คบกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ ขณะที่ผมให้อะไรเธอมากมาย ทั้งทางวัตถุและความรู้สึก แต่เธอตอบแทนผมไม่ได้เศษเสี้ยวของวิวเลย
.
วันจันทร์ผมเข้าไปหาน้องพีชเหมือนเคยหลังจากผมจัดการงานเสร็จเรียบร้อย แต่ผมเริ่มรู้สึกว่าเหตุผลที่ผมจะเข้าไปหาน้องมันน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งสิ่งที่ผมมีให้น้อง และสิ่งที่น้องทำกับผมประกอบกัน วันนี้หน้าเธอดูนิ่งยิ่งกว่าเดิม
“สวัสดีค่ะ” เธอทักทายผมตามเดิม แต่ไม่ยิ้ม ผมก็สังเกตุเห็น แต่เริ่มไม่อยากสนใจใส่ใจ
“หนูจะลบแอพแชทละนะ” พีชบอกผมเมื่อปิดประตูห้องอยู่ด้วยกันสองคน
“เหรอ” ผมตอบสั้นๆ ไม่ถามอะไร ความรู้สึกหลังได้ยิน คือเริ่มไม่อยากสนใจอะไรแล้ว เหมือนพีชจะประหลาดใจนิดๆ กับท่าทีของผม เธออาจจะคาดว่าผมจะพูดอะไรบ้าง หรืออย่างน้อยก็ถามว่าทำไม
“คืนนั้นมีคนในร้านเห็นหนูขึ้นรถพี่ไป” เธอเริ่มเล่า ผมหัวเราะหึขึ้นมาเบาๆ ทีนึง นึกตลกๆ ว่า ‘กูว่าแล้ว’
“แล้ว ?” ผมถามเหมือนจะกวน แต่จริงๆ คือผมไม่แคร์เลย
“พี่แอดมินเค้าเรียกเอามือถือหนูไปตรวจ แต่หนูคิดอยู่แล้วว่าวันนี้มันจะมาถึง เลยไม่เจออะไร เค้าเลยปล่อย หนูไม่ชอบเลย”
.
ผมเคยจะสอนวิธีซ่อนแอพบนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เหมือนเธอจะไม่สนใจ เธอแย้งผมว่ามันยังไงก็หาได้ แต่ผมไม่อยากมานั่งเถียง เลยปล่อยให้เธอทำอะไรของเธอไปเอง ซึ่งผมเห็นอยู่แล้วว่าเธอไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะวันก่อนตอนผมหยิบดูแบตฯบนมือถือเธอ พอหน้าจอสว่างขึ้นก็เห็นแจ้งเตือนของแอพที่เราใช้คุยกันยังถูกแสดงค้างอยู่บนหน้าจอ
.
เธอโดนที่ร้านตรวจไลน์ และประวัติการโทร แต่เนื่องจากเราไม่ได้ใช้ line ในการติดต่อกัน และเบอร์โทรของผมก็ถูกเธอบันทึกเป็นชื่อญาติเธอ ที่ร้านจึงไม่มีหลักฐานมาเอาผิดเธอ และเธอก็ได้แต่แถไปว่าคืนนั้นไปกับเพื่อน แต่พอโดนคาดคั้นว่าเพื่อนคนไหน เธอก็ไม่มีอะไรมายืนยันคำพูดตัวเอง
“ดีที่คนที่เห็น ไม่เห็นพี่” เธอพูด “หนูไม่เอาละนะ” เหมือนทีแรกผมจะนิ่ง แต่คำนี้ที่เธอพูดกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนฟาดด้วยฆ้อนปอน
.
อันที่จริง แค่เธอยืนยันว่าเธอไม่ได้ไปกับผม แล้วไม่ต้องไปแคร์ว่าใครจะว่ายังไง เพราะไม่มีหลักฐานอะไรมาเอาผิดเธอได้ ทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ แต่ความที่พีชไม่สามารถจัดการกับความคาดหวังที่เธอมีกับคนรอบตัวได้ พฤติกรรมของคนรอบตัวส่งผลถึงความเครียดในตัวเธอมาก ทำให้เธอเครียด และมันก็เลยกลายเป็นลงเอยที่ไปแก้ที่สิ่งต่างๆ รอบตัว แทนที่จะจัดการที่ตัวเอง
.
มันคงจะเป็นแบบนี้สินะ เมื่อเธอเครียดสะสมจนเกินรับไหว เพราะจัดการความเครียดตัวเองไม่ได้ ก็เลือกที่จะตัดสิ่งที่ทำให้เธอเครียดออกไป นึกย้อนไปในวันที่ยังมีความรู้สึกดีให้กัน เพราะมันมีความรักหล่อเลี้ยง แต่เมื่อวันที่รักมันลดลง อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป พีชออกไปเตรียมของเหมือนเดิม ผมนั่งลงที่พื้นชันเข่าหลังพิงผนังแทนที่จะนั่งบนเตียง รู้สึกสับสนในความรู้สึกตัวเองว่าเราแสดงออกเหมือนไม่แยแสว่าเธอจะทำอะไร แต่กลับรู้สึกแย่ ถ้าไม่ได้แยแสจริงทำไมถึงรู้สึกแย่ ? เรารู้สึกแย่…… เพราะจริงๆแล้วเราไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้…. ความคาดหวังสินะ
.
ความเครียดของเธอทำ New high อย่างต่อเนื่อง การแคร์สายตาคนอื่นมากๆของเธอก็เป็นสิ่งที่ทำให้เธอเกิดความเครียดเพิ่มตลอดเวลา เธอพยายามทำให้คนอื่นเห็นว่าเธอสบายดี สบายใจ เป็นเด็กร่าเริง ไม่พูดปัญหาตัวเอง อยากให้ทุกคนเชื่อคำที่เธอบอก
.
ผมเคยสอนเธอว่าคนอื่นจะเชื่อหรือไม่เชื่อคำพูดเรา มันเรื่องของเค้า เราบอกเสร็จคือจบ จะเชื่อไม่เชื่อ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะคาดหวังหรือต้องทำให้ใครเชื่อเรา เราบังคับให้คนรอบข้างเป็นอย่างที่เราอยากไม่ได้ เครียดฟรี และใครจะคิดอะไรกับเราด้วยเช่นกัน เช่น การที่เธอมาใหม่ แล้วขึ้นเป็นดาวของร้านอย่างรวดเร็ว มันทำให้เธอถูกเพื่อนร่วมงานมองเธอด้วยความหมั่นไส้เพราะงานไม่เยอะเท่าเธอเป็นประจำ และเธอก็ไม่ชอบที่โดนมองแบบนั้น
“ทำไมต้องไปไม่ชอบด้วย” ผมถาม
“ถ้าพี่โดนมองแบบนั้นพี่ชอบเหรอ” เธอถาม
“พี่ไม่จำเป็นต้องชอบสิ่งที่เค้าทำนี่” ผมตอบ “จำได้มั้ยที่พี่เคยบอก คนอื่นทำอะไรกับเรา มันคือออกมาจากสิ่งที่เค้าเป็น ไม่เกี่ยวกับเรา ยิ่งอันที่พีชเล่าอันนี้ ยิ่งโคตรไม่เกี่ยวเลย เค้าสามารถอิจฉาหมั่นไส้คนอื่นได้ทุกคนแหละ เพราะเค้าเป็นแบบนั้น
“หมามันเห่าเพราะมันเป็นหมา เราจะเป็นยังไงดีไม่ดี มันก็เห่าของมันอยู่แล้ว เหมือนคนนิสัยไม่ดี เค้าก็นิสัยไม่ดีด้วยตัวเค้าเองอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับเรา” ผมลองยกข้อเปรียบเทียบแรงๆ ดูบ้าง แต่รู้ได้เลยว่าเธอไม่เข้าใจสิ่งที่ผมบอก เพราะเธอยังหน้างอไม่หาย ยังคงยึดติดที่จะทำให้คนอื่นดีกับเธอ เป็นอย่างใจเธออยาก แม้ปากเธอจะบอกว่าเธอ no สน no แคร์ แต่ความหงุดหงิด อึดอัดไม่พอใจ มันบอกว่าจริงๆเธอแคร์สายตาคนอื่นมาก คนที่ยังวุฒิภาวะไม่มากก็มักจะเป็นแบบนี้
.
แล้วการมีความสัมพันธ์กับผมแบบหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้โดยที่เธอไม่สามารถจัดการความรู้สึกตัวเองได้ เมื่อเกิดอะไรแบบนี้ขึ้น ความเครียดเธอก็จะพุ่งสูงขึ้น และส่งผลให้เธอเลือกทำแบบนี้
.
“หนูอยากให้เราจบด้วยดีนะ” เธอพูดกับผม
”จบด้วยดี ?“ ผมทวนคำเธอ ”เราทะเลาะกันเหรอ ?“ ผมตั้งคำถามให้เธอทบทวนสิ่งที่เธอคิด ”พี่หลอกลวง เอาเปรียบหนูมั้ย ? พี่มีเจตนาไม่ดี คิดทำร้าย หรือทำอะไรไม่ดีกับเรามั้ย ?“ ผมยิงคำถามให้เธอเป็นชุด ผมไม่คาดหวังคำตอบจากเธอ แต่ต้องการให้เธอคิดว่าที่เธอบอกให้เราจบด้วยดี แท้จริงมันคืออะไร
”ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน พี่คิดแต่ว่าทำยังไงหนูจะสบายใจ ดูแลความรู้สึกเรา พี่ถามหนูตลอดเวลา ว่าอยากได้อะไร ต้องการอะไรให้บอก พี่เคยบังคับอะไรหนูแม้สักครั้งมั้ย” ผมลองพูดให้เธอทบทวนสิ่งที่ผมปฏิบัติกับเธอ ผมมั่นใจว่าไม่เคยมีแม้สักครั้งที่ผมจะใช้อารมณ์และเจตนาทำให้เธอเสียใจหรือเสียความรู้สึก
.
สิ่งที่ผมอยากให้เธอคิดทบทวน คือเธอเลือกที่จะจบเพราะเรามีปัญหาระหว่างกัน หรือเพราะเธอแก้ปัญหาของตัวเองไม่ได้ แต่ผมไม่สามารถถามคำนี้ออกไปได้ตรงๆ เพราะมันจะกลายเป็นการกดดัน เป็นการชี้ว่าเธอทำไม่ถูก ผมคิดว่ามันอาจจะไปทำให้เธอยอมจำนนกับเหตุผลของผม และพบเจอกับผมต่อไป แต่ถ้าอยู่บนความไม่เข้าใจแบบนี้ มันจะเป็นไปด้วยความอึดอัด ซึ่งผมไม่ต้องการแบบนั้น และที่สำคัญ เธอบอกเองว่าเธอไม่ได้รักผมเหมือนเดิม ซึ่งมันมากพอแล้วที่ผมจะไม่ไปหว่านล้อมเธอถ้าเธอไม่ต้องการ ผมจึงหวังเพียงแค่สอนให้เธอคิดทบทวน
.
ทำให้ผมนึกถึงที่ผมเคยจินตนาการที่เธอว่า “จบไม่สวย” มันน่าจะเป็นแบบไหน ? แบบที่เป็นมือที่สามในความสัมพันธ์ของลูกค้ารึเปล่า ? หรือคาดหวังว่าจะได้เป็นแฟน เป็นตัวจริง แต่โดนลูกค้าหลอกไปเยฟรีๆ ?
.
ผมไม่เคยโกหกหลอกลวงเธอเลยแม้สักครั้ง และไม่เคยแสดงออกให้เธอคิดเข้าข้างตัวเองด้วยว่าวันหนึ่งผมจะเลิกกับแฟนแล้วมาคบเธอแทน ผมไม่แม้แต่เล่าปัญหาระหว่างผมกับวิวให้เธอฟัง เพราะไม่ต้องการให้เธอเกิดความหวังลมๆแล้งๆ ผมเลือกที่จะอยู่ตรงนี้เพื่อดูแลพีช เต็มที่เท่าที่ได้โดยตั้งตารอวันที่เธอจะจากไป ผมคิดเอาเองว่าถ้าเราคบกันแบบนี้ บนเงื่อนไขและการยอมรับว่าเราเป็นอะไรได้แค่ไหน คำว่าจบไม่สวยก็น่าจะไม่เกิดขึ้น
ประสบการณ์ตรงคบกับเด็กร้านนวดปู๋ Chapter 14 : อัปปรีย์ชีเอท
https://ppantip.com/topic/43274104
อ่านย้อนหลัง Ch 3 สวยไม่สวย - 4 ชอบดูหนัง
https://ppantip.com/topic/43275062
อ่านย้อนหลัง Ch 5 ติด
https://ppantip.com/topic/43276252
อ่านย้อนหลัง Ch 6 ข้อจำกัด
https://ppantip.com/topic/43277958
อ่านย้อนหลัง Ch 7 turning point
https://ppantip.com/topic/43279100
อ่านย้อนหลัง Ch 8 ไกล
https://ppantip.com/topic/43280746
อ่านย้อนหลัง Ch 9 อีกสักครั้ง
https://ppantip.com/topic/43282675
อ่านย้อนหลัง Ch 10 ธรรมชาติ กาแฟ และแสงดาว
https://ppantip.com/topic/43283324
อ่านย้อนหลัง Ch 11 กำเริบเสิบสาน
https://ppantip.com/topic/43284565
อ่านย้อนหลัง Ch 12 Found then lost
https://ppantip.com/topic/43287549
อ่านย้อนหลัง Ch 13 So be it...
https://m.ppantip.com/topic/43292913
.
.
Chapter 14 : อัปปรีย์ชีเอท
ผมขับรถออกจากโรงแรมมาส่งน้องพีชตามเวลา ผมเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดของบิ๊กซีแล้วเทียบรถหน้าประตูทางเข้าห้างเพื่อให้เธอลง ผมต้องไปรับวิวต่อ
.
“ขอบคุณค่ะ” เธอตอบแต่ยังนั่งนิ่ง ผมก็ไม่พูดอะไรต่อ สักครู่เธอก็เปิดประตูรถออก และเดินเข้าประตูห้างไป ปกติทุกครั้งก่อนเธอลงรถผมจะดึงเธอมากอด แต่ครั้งนี้ผมเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น ไม่แน่ใจว่าเธอรู้สึกหรือเห็นอะไรบ้างมั้ย แต่ผมทนรับความคาดหวังที่ตัวเองมีต่อไปไม่ได้แล้ว ใช่ ผมรู้ตัวแล้วว่าแท้จริงผมยังมีความหวังว่าพีชจะสามารถกลับมารู้สึกดีๆ กับผมได้อีก และตลอดเวลาที่ผ่านมา มันคือกลไกทางจิตของผมอีกแล้วที่ไม่ยอมรับรู้ความเจ็บปวด และตอนนี้มันก็กำลังปะทุออกมา แต่ออกมาในรูปแบบของความเหนื่อยสะสมอยู่ข้างใน และเริ่มรู้สึกอยากจะพอแล้วกับความคาดหวังลมๆแล้งๆ
.
ผมรู้สึกแย่ แต่ไม่ใช่แบบคราวก่อนที่ร้องไห้ไม่ออก เหมือนน้ำตามันเหือดแห้งจนไม่เหลือให้เสีย หรือใจผมมันอาจจะไม่ได้ปักลงไปลึกเหมือนแรกๆ ก็ไม่แน่ใจ
.
“ตัวเองโอเคมั้ย” วิวถามผมขณะนั่งข้างผมบนรถ เธอคงรู้สึกว่าผมเงียบขรึมผิดปกติขณะขับรถกลับบ้านหลังจากไปรับเธอมาจากบ้านแม่เธอ
“อืม อารมณ์มันยังไม่ค่อยนิ่งน่ะ” ผมตอบ เพื่อไม่ให้เธอต้องรับรู้ปัญหาของผม ผมเลยอ้างว่าสาเหตุมาจากเรื่องพ่อ แต่ไม่ว่าสาเหตุจริงๆ มันจะคืออะไรก็ตามเธอไม่สามารถช่วยอะไรผมได้ เราทุกคนต้องรับผิดชอบจิตใจตัวเอง เธอรู้ดีและสิ่งที่เธอทำได้ดีมาตลอด คือการไม่ทำให้อะไรมันแย่ลง
.
“อยากให้นวดให้มั้ย” ผมถาม การนวดเป็นกิจกรรมที่ผมทำให้เธอเสมอ วิวไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย ทำให้บางครั้งเธอก็ไปใช้บริการนวดเป็นครั้งคราวด้วยกันกับผมทุกครั้ง แต่ส่วนของผมจะต่างกันตรงที่ผมออกกำลังกายค่อนข้างเยอะ การนวดของผมจึงเป็นการนวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อจากการใช้งานหนัก ไม่ใช่ออฟฟิศซินโดรม
“เอาาา” วิวตอบลากเสียงยาวพร้อมรอยยิ้ม แทบทุกคืนที่อยู่ด้วยกัน สิ่งที่เหมือนเป็นหน้าที่หนึ่งของผมคือนวดแขนกับไหล่ให้เธอ เป็นสิ่งที่ผมทำให้เธอตลอดหลายปีที่คบกันมาและเธอจะชมผมเสมอว่านวดได้ดีกว่าหมอนวดตามร้าน แม้กระทั่งร้านประจำที่ผมว่าเค้านวดดี วิวก็ยังบอกว่าชอบที่ผมนวดให้มากกว่า เพราะนวดที่ร้านยังไงก็มีเจ็บ แต่ผมนวดของผมไม่เคยทำให้เธอเจ็บเลย หรืออย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่เธอบอกผม
.
เมื่อกลับมาถึงหลังจากเก็บข้าวของเสร็จ ผมบอกให้เธอถอดเสื้อและปลดสายเสื้อในโดยไม่ต้องถอดออก ผมเทน้ำมันนวดของตัวเองที่ผมมีใส่มือ ก่อนจะทาลงบนไหล่และแขนวิว แต่ละครั้งผมไม่ได้ใช้เวลานวดให้เธอนาน แค่ให้พอรู้สึกผ่อนคลายสบายขึ้น แต่ทุกครั้งวิวจะดึงผมเข้าไปไม่จูบก็หอมแก้มขอบคุณที่ผมนวดให้เธอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน มันทำให้ผมนึกถึงน้องพีชว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งที่คบกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ ขณะที่ผมให้อะไรเธอมากมาย ทั้งทางวัตถุและความรู้สึก แต่เธอตอบแทนผมไม่ได้เศษเสี้ยวของวิวเลย
.
วันจันทร์ผมเข้าไปหาน้องพีชเหมือนเคยหลังจากผมจัดการงานเสร็จเรียบร้อย แต่ผมเริ่มรู้สึกว่าเหตุผลที่ผมจะเข้าไปหาน้องมันน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งสิ่งที่ผมมีให้น้อง และสิ่งที่น้องทำกับผมประกอบกัน วันนี้หน้าเธอดูนิ่งยิ่งกว่าเดิม
“สวัสดีค่ะ” เธอทักทายผมตามเดิม แต่ไม่ยิ้ม ผมก็สังเกตุเห็น แต่เริ่มไม่อยากสนใจใส่ใจ
“หนูจะลบแอพแชทละนะ” พีชบอกผมเมื่อปิดประตูห้องอยู่ด้วยกันสองคน
“เหรอ” ผมตอบสั้นๆ ไม่ถามอะไร ความรู้สึกหลังได้ยิน คือเริ่มไม่อยากสนใจอะไรแล้ว เหมือนพีชจะประหลาดใจนิดๆ กับท่าทีของผม เธออาจจะคาดว่าผมจะพูดอะไรบ้าง หรืออย่างน้อยก็ถามว่าทำไม
“คืนนั้นมีคนในร้านเห็นหนูขึ้นรถพี่ไป” เธอเริ่มเล่า ผมหัวเราะหึขึ้นมาเบาๆ ทีนึง นึกตลกๆ ว่า ‘กูว่าแล้ว’
“แล้ว ?” ผมถามเหมือนจะกวน แต่จริงๆ คือผมไม่แคร์เลย
“พี่แอดมินเค้าเรียกเอามือถือหนูไปตรวจ แต่หนูคิดอยู่แล้วว่าวันนี้มันจะมาถึง เลยไม่เจออะไร เค้าเลยปล่อย หนูไม่ชอบเลย”
.
ผมเคยจะสอนวิธีซ่อนแอพบนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เหมือนเธอจะไม่สนใจ เธอแย้งผมว่ามันยังไงก็หาได้ แต่ผมไม่อยากมานั่งเถียง เลยปล่อยให้เธอทำอะไรของเธอไปเอง ซึ่งผมเห็นอยู่แล้วว่าเธอไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะวันก่อนตอนผมหยิบดูแบตฯบนมือถือเธอ พอหน้าจอสว่างขึ้นก็เห็นแจ้งเตือนของแอพที่เราใช้คุยกันยังถูกแสดงค้างอยู่บนหน้าจอ
.
เธอโดนที่ร้านตรวจไลน์ และประวัติการโทร แต่เนื่องจากเราไม่ได้ใช้ line ในการติดต่อกัน และเบอร์โทรของผมก็ถูกเธอบันทึกเป็นชื่อญาติเธอ ที่ร้านจึงไม่มีหลักฐานมาเอาผิดเธอ และเธอก็ได้แต่แถไปว่าคืนนั้นไปกับเพื่อน แต่พอโดนคาดคั้นว่าเพื่อนคนไหน เธอก็ไม่มีอะไรมายืนยันคำพูดตัวเอง
“ดีที่คนที่เห็น ไม่เห็นพี่” เธอพูด “หนูไม่เอาละนะ” เหมือนทีแรกผมจะนิ่ง แต่คำนี้ที่เธอพูดกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนฟาดด้วยฆ้อนปอน
.
อันที่จริง แค่เธอยืนยันว่าเธอไม่ได้ไปกับผม แล้วไม่ต้องไปแคร์ว่าใครจะว่ายังไง เพราะไม่มีหลักฐานอะไรมาเอาผิดเธอได้ ทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ แต่ความที่พีชไม่สามารถจัดการกับความคาดหวังที่เธอมีกับคนรอบตัวได้ พฤติกรรมของคนรอบตัวส่งผลถึงความเครียดในตัวเธอมาก ทำให้เธอเครียด และมันก็เลยกลายเป็นลงเอยที่ไปแก้ที่สิ่งต่างๆ รอบตัว แทนที่จะจัดการที่ตัวเอง
.
มันคงจะเป็นแบบนี้สินะ เมื่อเธอเครียดสะสมจนเกินรับไหว เพราะจัดการความเครียดตัวเองไม่ได้ ก็เลือกที่จะตัดสิ่งที่ทำให้เธอเครียดออกไป นึกย้อนไปในวันที่ยังมีความรู้สึกดีให้กัน เพราะมันมีความรักหล่อเลี้ยง แต่เมื่อวันที่รักมันลดลง อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป พีชออกไปเตรียมของเหมือนเดิม ผมนั่งลงที่พื้นชันเข่าหลังพิงผนังแทนที่จะนั่งบนเตียง รู้สึกสับสนในความรู้สึกตัวเองว่าเราแสดงออกเหมือนไม่แยแสว่าเธอจะทำอะไร แต่กลับรู้สึกแย่ ถ้าไม่ได้แยแสจริงทำไมถึงรู้สึกแย่ ? เรารู้สึกแย่…… เพราะจริงๆแล้วเราไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้…. ความคาดหวังสินะ
.
ความเครียดของเธอทำ New high อย่างต่อเนื่อง การแคร์สายตาคนอื่นมากๆของเธอก็เป็นสิ่งที่ทำให้เธอเกิดความเครียดเพิ่มตลอดเวลา เธอพยายามทำให้คนอื่นเห็นว่าเธอสบายดี สบายใจ เป็นเด็กร่าเริง ไม่พูดปัญหาตัวเอง อยากให้ทุกคนเชื่อคำที่เธอบอก
.
ผมเคยสอนเธอว่าคนอื่นจะเชื่อหรือไม่เชื่อคำพูดเรา มันเรื่องของเค้า เราบอกเสร็จคือจบ จะเชื่อไม่เชื่อ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะคาดหวังหรือต้องทำให้ใครเชื่อเรา เราบังคับให้คนรอบข้างเป็นอย่างที่เราอยากไม่ได้ เครียดฟรี และใครจะคิดอะไรกับเราด้วยเช่นกัน เช่น การที่เธอมาใหม่ แล้วขึ้นเป็นดาวของร้านอย่างรวดเร็ว มันทำให้เธอถูกเพื่อนร่วมงานมองเธอด้วยความหมั่นไส้เพราะงานไม่เยอะเท่าเธอเป็นประจำ และเธอก็ไม่ชอบที่โดนมองแบบนั้น
“ทำไมต้องไปไม่ชอบด้วย” ผมถาม
“ถ้าพี่โดนมองแบบนั้นพี่ชอบเหรอ” เธอถาม
“พี่ไม่จำเป็นต้องชอบสิ่งที่เค้าทำนี่” ผมตอบ “จำได้มั้ยที่พี่เคยบอก คนอื่นทำอะไรกับเรา มันคือออกมาจากสิ่งที่เค้าเป็น ไม่เกี่ยวกับเรา ยิ่งอันที่พีชเล่าอันนี้ ยิ่งโคตรไม่เกี่ยวเลย เค้าสามารถอิจฉาหมั่นไส้คนอื่นได้ทุกคนแหละ เพราะเค้าเป็นแบบนั้น
“หมามันเห่าเพราะมันเป็นหมา เราจะเป็นยังไงดีไม่ดี มันก็เห่าของมันอยู่แล้ว เหมือนคนนิสัยไม่ดี เค้าก็นิสัยไม่ดีด้วยตัวเค้าเองอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับเรา” ผมลองยกข้อเปรียบเทียบแรงๆ ดูบ้าง แต่รู้ได้เลยว่าเธอไม่เข้าใจสิ่งที่ผมบอก เพราะเธอยังหน้างอไม่หาย ยังคงยึดติดที่จะทำให้คนอื่นดีกับเธอ เป็นอย่างใจเธออยาก แม้ปากเธอจะบอกว่าเธอ no สน no แคร์ แต่ความหงุดหงิด อึดอัดไม่พอใจ มันบอกว่าจริงๆเธอแคร์สายตาคนอื่นมาก คนที่ยังวุฒิภาวะไม่มากก็มักจะเป็นแบบนี้
.
แล้วการมีความสัมพันธ์กับผมแบบหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้โดยที่เธอไม่สามารถจัดการความรู้สึกตัวเองได้ เมื่อเกิดอะไรแบบนี้ขึ้น ความเครียดเธอก็จะพุ่งสูงขึ้น และส่งผลให้เธอเลือกทำแบบนี้
.
“หนูอยากให้เราจบด้วยดีนะ” เธอพูดกับผม
”จบด้วยดี ?“ ผมทวนคำเธอ ”เราทะเลาะกันเหรอ ?“ ผมตั้งคำถามให้เธอทบทวนสิ่งที่เธอคิด ”พี่หลอกลวง เอาเปรียบหนูมั้ย ? พี่มีเจตนาไม่ดี คิดทำร้าย หรือทำอะไรไม่ดีกับเรามั้ย ?“ ผมยิงคำถามให้เธอเป็นชุด ผมไม่คาดหวังคำตอบจากเธอ แต่ต้องการให้เธอคิดว่าที่เธอบอกให้เราจบด้วยดี แท้จริงมันคืออะไร
”ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน พี่คิดแต่ว่าทำยังไงหนูจะสบายใจ ดูแลความรู้สึกเรา พี่ถามหนูตลอดเวลา ว่าอยากได้อะไร ต้องการอะไรให้บอก พี่เคยบังคับอะไรหนูแม้สักครั้งมั้ย” ผมลองพูดให้เธอทบทวนสิ่งที่ผมปฏิบัติกับเธอ ผมมั่นใจว่าไม่เคยมีแม้สักครั้งที่ผมจะใช้อารมณ์และเจตนาทำให้เธอเสียใจหรือเสียความรู้สึก
.
สิ่งที่ผมอยากให้เธอคิดทบทวน คือเธอเลือกที่จะจบเพราะเรามีปัญหาระหว่างกัน หรือเพราะเธอแก้ปัญหาของตัวเองไม่ได้ แต่ผมไม่สามารถถามคำนี้ออกไปได้ตรงๆ เพราะมันจะกลายเป็นการกดดัน เป็นการชี้ว่าเธอทำไม่ถูก ผมคิดว่ามันอาจจะไปทำให้เธอยอมจำนนกับเหตุผลของผม และพบเจอกับผมต่อไป แต่ถ้าอยู่บนความไม่เข้าใจแบบนี้ มันจะเป็นไปด้วยความอึดอัด ซึ่งผมไม่ต้องการแบบนั้น และที่สำคัญ เธอบอกเองว่าเธอไม่ได้รักผมเหมือนเดิม ซึ่งมันมากพอแล้วที่ผมจะไม่ไปหว่านล้อมเธอถ้าเธอไม่ต้องการ ผมจึงหวังเพียงแค่สอนให้เธอคิดทบทวน
.
ทำให้ผมนึกถึงที่ผมเคยจินตนาการที่เธอว่า “จบไม่สวย” มันน่าจะเป็นแบบไหน ? แบบที่เป็นมือที่สามในความสัมพันธ์ของลูกค้ารึเปล่า ? หรือคาดหวังว่าจะได้เป็นแฟน เป็นตัวจริง แต่โดนลูกค้าหลอกไปเยฟรีๆ ?
.
ผมไม่เคยโกหกหลอกลวงเธอเลยแม้สักครั้ง และไม่เคยแสดงออกให้เธอคิดเข้าข้างตัวเองด้วยว่าวันหนึ่งผมจะเลิกกับแฟนแล้วมาคบเธอแทน ผมไม่แม้แต่เล่าปัญหาระหว่างผมกับวิวให้เธอฟัง เพราะไม่ต้องการให้เธอเกิดความหวังลมๆแล้งๆ ผมเลือกที่จะอยู่ตรงนี้เพื่อดูแลพีช เต็มที่เท่าที่ได้โดยตั้งตารอวันที่เธอจะจากไป ผมคิดเอาเองว่าถ้าเราคบกันแบบนี้ บนเงื่อนไขและการยอมรับว่าเราเป็นอะไรได้แค่ไหน คำว่าจบไม่สวยก็น่าจะไม่เกิดขึ้น