อ่านย้อนหลัง Ch 1 ที่นี่ไม่มี - 2 ห้ามให้ใครรู้
https://ppantip.com/topic/43274104
อ่านย้อนหลัง Ch 3 สวยไม่สวย - 4 ชอบดูหนัง
https://ppantip.com/topic/43275062
อ่านย้อนหลัง Ch 5 ติด
https://ppantip.com/topic/43276252
อ่านย้อนหลัง Ch 6 ข้อจำกัด
https://ppantip.com/topic/43277958
อ่านย้อนหลัง Ch 7 turning point
https://ppantip.com/topic/43279100
อ่านย้อนหลัง Ch 8 ไกล
https://ppantip.com/topic/43280746
อ่านย้อนหลัง Ch 9 อีกสักครั้ง
https://ppantip.com/topic/43282675
อ่านย้อนหลัง Ch 10 ธรรมชาติ กาแฟ และแสงดาว
https://ppantip.com/topic/43283324
อ่านย้อนหลัง Ch 11 กำเริบเสิบสาน
https://ppantip.com/topic/43284565
อ่านย้อนหลัง Ch 12 Found then lost
https://ppantip.com/topic/43287549
อ่านย้อนหลัง Chapter 13 : So be it…
https://m.ppantip.com/topic/43292913?
.
.
Chapter 12 : Found then lost
”เคลียกับพี่เค้ายัง“ ผมถามน้องพีช ผมกลับมาหาเธอหลังจากผ่านไปได้สองวัน ส่วนหนึ่งคือเป็นห่วงเรื่องอาการที่เธอปวดตัว และอีกเรื่องคือเรื่องที่เธอทะเลาะกับที่ทำงาน
”ยังค่ะ พี่เค้าไม่คุยกับหนู“ พีชบอก ”พี่เค้างอนหนู“
”แล้วเป็นไง งานเยอะมั้ย วันนี้เหนื่อยหรือเพลียรึเปล่า“
“เพลียค่ะ หนูนอนไม่หลับ”
“ได้กินเมลาโทนินที่ให้ไปมั้ย”
“กินค่ะ แต่ก็ยังเพลีย”
ผมลูบผมเธอแล้วจับเธอให้เอนตัวมาหา แต่เธอไม่ยอมเอนตัวตาม ผมรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
“เป็นอะไรคะ“ ผมถาม รู้สึกได้ว่าตัวเองพูดห้วนกว่าที่เคยเป็น แต่ยังไม่ถึงขั้นเหวี่ยง
”หนูรู้สึกว่า มันลดลงอีกแล้ว“ เธอพูดออกมา "หนูมีความสุขนะ ตอนอยู่กับพี่ ตอนแรกๆ...." เธอพูดเพียงเท่านี้
ผมถอนใจยาวๆ ขณะสังเกตุลงไปในความรู้สึกในใจตัวเอง แม้จะยังมีความเสียใจอยู่ที่ได้ยินคำนี้ แต่ส่วนใหญ่กลับมีเป็นความว่างเปล่า ความรู้สึก ”เหนื่อย“ เริ่มก่อตัวขึ้นมา
.
ครั้งนี้ไม่มีคำขอโทษออกมาจากน้องเหมือนครั้งก่อน มันก็คงแปลได้ว่าไม่ได้มีความรู้สึกรู้สาอะไรกับความเปลี่ยนแปลงของตัวเองที่อาจส่งผลกระทบถึงอีกคน ผมถามลงไปในใจตัวเองขณะปล่อยให้น้องพีชนอนพัก ว่าตอนนี้ในใจมันมีอะไรอยู่บ้าง คำตอบคือเราก็ยังห่วงเค้าเหมือนเดิม ยังอยากให้เค้าไม่ต้องเจ็บต้องทุกข์ มีความสบายใจ แต่มันเริ่มไม่ได้สนใจอีกต่อไปแล้วว่าจะมีเราอยู่ในนั้นมั้ย ผมนั่งชันเข่าเท้าคางอยู่ข้างหลังมองน้องที่นอนไปด้วยขณะใช้ความคิด ผมเห็นถึงใจตัวเองว่าเราเป็นห่วงเค้ามาก แม้เค้าจะบอกว่ารู้สึกกับเราแค่พี่น้อง ครู่หนึ่งน้องก็เงยหน้าหันมาถามผม “ไม่กอดเหรอคะ”
ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วก็ล้มตัวลงนอนกอดเธอจากข้างหลังเหมือนเคย แขนข้างหนึ่งสอดอยู่ใต้ศรีษะ อีกข้างน้องดึงไปกุมไว้ที่คางเหมือนที่เคยทำ
.
“พรุ่งนี้หนูมีนัดหมอ ตรวจหาว่าที่เป็นอยู่คืออะไร” พีชเล่าให้ผมฟัง
“ค่ะ หมอว่าไง บอกพี่ด้วยนะ…. วันหยุดอาทิตย์หน้ามาค้างกะพี่มั้ย”
น้องเล่าให้ผมฟังบ่อยๆ ว่าพอเลิกงานไปละมักจะหิว แล้วพอดึกๆ มันหาอะไรทานยาก น้องก็มักจะลงเอยด้วยการกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผมจึงหวังว่าการที่น้องมาค้างกับผมบ้าง มีผมดูแลเป็นครั้งคราว จะพอช่วยให้น้องไม่ต้องใช้ชีวิตง่ายๆ แต่ทำลายสุขภาพไปเรื่อยๆ และการนอนกับผมผมคิดเอาเองว่าน้องจะอุ่นใจและหลับสนิทกว่ามั้ย… ผมอยู่เลยจุดที่จะคิดทำอะไรเกินเลยกับน้องไปแล้ว
“ไม่ค่ะ” น้องปฏิเสธ
“ทำไม พี่ดูแลเราไม่ดีเหรอ” ผมถามกลับ ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าความสามารถในการดูแลของผมไม่น้อยหน้าใคร
“ไม่ !” แต่น้องยิ้ม แปลว่าคำนี้จากน้อง คือคำว่าไม่ที่แปลว่าใช่ ผมว่าผมดูออกว่าน้องชอบเวลาเราอยู่ด้วยกัน
“งั้นทำไมล่ะ” ผมถามยิ้มๆ พยายามไม่ทำให้เธอรู้สึกว่าผมกดดัน
“โดนเพ่งเล็งอยู่ หนูไม่สบายใจ” พีชตอบ เมื่อน้องพูดแบบนี้ ผมเลยคิดว่าผมเฉยๆ ดีกว่า
“ก่อนกลับ จะให้พี่บอกแอดมินให้ใช่มั้ย ว่ารูปนั้นไม่ใช่เรา” ผมถามน้องพีช น้องพีชพยักหน้า
”คนไหน“ ผมถาม ร้านนี้มีแอดมินสองคนชายคนนึง หญิงคนนึง
”พี่ผู้หญิงค่ะ“
.
ผมกับน้องเดินออกจากห้องมา น้องเดินนำเพื่อไปส่งผมที่หน้าประตูที่พอเปิดออกไปจะเจอล้อบบี้ที่มีตู้รองเท้าวางเรียงอยู่นอกร้าน ผมวนไปที่หน้าเคาเตอร์ก่อนจะออกไปหน้าร้าน แต่ไม่มีคนอยู่ ผมชะเง้อกลับไปยังประตูก่อนที่น้องพีชจะปิดประตูหลังส่งผม
”ไม่มีคน พีชตามแอดมินให้หน่อย“ ผมบอก พีชมองไปรอบๆ แล้วปิดประตูเดินหายไปข้างใน ครู่หนึ่งพี่แอดมินที่เป็นผู้หญิงก็เดินออกมา
”มีอะไรคะ“ น้ำเสียงยิ้มแย้มเหมือนจะรับลูกค้า แต่รับรู้ได้ว่ามีความแข็งกระด้างอยู่ภายใต้นั้น
”พอดี มันมีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยครับ…“
”ค่ะ“ เธอตอบก่อนผมจะพูดจบประโยค
ผมหยิบมือถือขึ้นเปิดไลน์ และกดไปที่รูปโปรไฟล์ที่เป็นภาพวิวแฟนผมที่นั่งอยู่หน้าเต้นท์กับทิวทัศน์ภูเขา
“คือรูปนี้ เป็นรูปแฟนผม…”
“ค่ะๆๆ” เธอตอบแทรกผมก่อนผมจะพูดจบอีกครั้ง ทำเอาผมชะงัก
“น้องมาเล่าให้ฟัง ว่ามีการเข้าใจผิดกัน…”
“ค่ะๆๆ” เธอสวนผมขึ้นมาอีก จนผมอีหยังวะในใจ ผมรู้สึกเหมือนว่าแอดมินกำลังตัดบทไล่ผม ผมจึงหยุดพูดหันหลังกลับออกร้านไปโดยไม่พูดอะไรต่อ เห็นน้องพีชยืนแอบฟังหลบอยู่หลังประตู ผมไม่แปลกใจทำไมน้องถึงไม่ชอบเจ๊แอดมินคนนี้
.
.
ผมขับรถออกมาจากร้านด้วยความรู้สึกที่ปนเป และจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก คุณพ่อยังคงไลน์มากดดันให้ผมติดต่อไปยังโรงงานผลิตวัตถุดิบไม่เลิก ผมเลยคิดว่าผมคงต้องเคลียอะไรออกไปบ้าง ก่อนที่สภาพจิตใจจะแย่ลงไปกว่านี้ ผมกดโทรศัพท์โทรออกขณะที่ผมเพิ่งขับผ่านจุดที่แพนิกผมกำเริบบนทางด่วนเมื่อวันก่อน
.
“ฮัลโหล เอ้อ ว่าไง” พี่ชายแท้ๆ ผมรับสาย เป็นเวลาหลายปีที่ผมหายไปจากครอบครัวและวงศ์ตระกูล เพื่อปกป้องตัวเองจากบาดแผลในวัยเด็กไม่ให้ถูกกระตุ้นกลับมา มีกลับไปพบปะกันเพียงนานๆครั้งตามเทศกาลสำคัญเช่น เชงเม้งเท่านั้น จนเมื่อผมเริ่มทำจิตบำบัดปลดล้อกปัญหาในใจตัวเองได้ ไม่กี่ปีให้หลังมานี้จึงสามารถกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวและหมู่ญาติได้ และได้กลับไปสนิทกับพี่ชายและครอบครัวเค้าที่มีหลานสองคนที่ผมรักมากราวกับลูกตัวเอง ในชีวิตคงมีเพียงพี่ชายเพียงคนเดียวของผมนี่แหละที่เติบโตมาด้วยกันและพอจะเข้าใจผมได้มากกว่าคนอื่น
“เฮียเห็นไลน์ป๊าละใช่มั้ย” ผมถาม
“ไม่เห็นอะ ไม่ได้เปิดดูกรุ๊ปที่บ้านหลายวันละ….. ทำไมเหรอ ?“
”ผมโดนป๊ากดดันให้โทรไปโรงงานที่แกหามาให้ แต่ผมยังไม่อยากโทร จริงๆ คือไม่ได้อยากดีลกะโรงงานนี้“ ผมบอก ”แต่ป๊าก็จะกดดันให้โทรไปอยู่นั่น“
”โทรไปก็ไม่เสียหายนี่“ เฮียออกความเห็น
”ประเด็นไม่ได้อยู่ที่โทรไม่โทร แต่ป๊ามายุ่ง เมื่อวันก่อนแพนิกผมกำเริบด้วย” ผมเล่าให้เฮียโน้ตฟัง “เฮียบอกป๊าให้ไม่ต้องมายุ่งได้มั้ย บอกยังไงก็ได้ ผมบอกเองกลัวพูดอะไรรุนแรงไป มันจะเสียความรู้สึก”
เฮียโน้ตนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่พักนึง เฮียโน้ตเองก็ชอบแง่มุมทางจิตวิทยาเหมือนกัน ต่างกันที่เฮียจะศึกษาไปในเชิง NLP ไม่ใช่ลงลึกแบบที่ผมเรียนจิตบำบัด แต่ด้วยวัยเด็กเฮียเป็นคนเรียนเก่ง และทำอะไรก็ได้รับคำชม จนผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตัวเองไร้ค่า และเฮียไม่เคยโดนป๊าลงโทษรุนแรงแบบที่ผมโดน ผมจึงมีอะไรหลายอย่างในใจที่อยากทำได้อย่างเฮียและเลียนแบบพฤติกรรมหรือทางเลือกหลายอย่างในชีวิตคล้ายๆ กัน เพราะลึกๆ เราอยากให้ป๊าชมเราบ้าง
“จริงๆ เราบอกป๊าเองเลยก็ได้นะ เฮียเข้าใจ ตอนอารมณ์เรามันแรงๆ พูดอะไรไปมันมักส่งผลเสีย” มุมมองจากคนนอกมักเป็นกลางและใช้ได้มากกว่าเสมอ ถ้ากับประเด็นที่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้องมากๆ “พิมพ์ไปก็ได้ ว่า ‘ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมสะดวกเมื่อไหร่ ผมติดต่อไปเองนะครับ ป๊าไม่ต้องห่วง ถ้าผมเห็นว่าดีผมตัดสินใจเอง’ แบบนี้ก็ได้“ เป็นคำตอบที่กลางๆ แต่ก็มีความตอกกลับแบบนุ่มนวล ที่ผมแน่ใจว่า ถ้าให้ผมคิดเองว่าจะตอบว่าอะไร มันจะแรงกว่านี้อีกหลายเท่า
”อยากให้ป๊ารู้เหมือนกันนะ ว่าที่ป๊าทำแบบนี้ มันกระตุ้นให้ผมแย่ลง“ ปกติในชีวิตประจำวันผมกับพ่อเราแทบไม่ได้คุยกัน คือน้อยกว่าเดือนละครั้ง แต่เมื่อมีประเด็นอะไรใหญ่ๆ ขึ้นมาแบบนี้ เค้าจะเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการตลอด นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมตัดขาดจากเค้าไปหลายปี
“ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก เราก็รู้ว่าป๊าเค้ารับไม่ได้” ใช่รู้ แต่ลึกๆ บางทีก็รู้สึกเหมือนกันว่าทำให้เค้ารับรู้บ้างดีมั้ยว่าเค้าทำอะไรไว้
“เอ้อ พรุ่งนี้เย็นว่างมั้ย จะฝากไปรับมิกกับเมที่เรียนพิเศษให้หน่อย พอดีเฮียกับซ้อติดธุระ อาม่าก็ไปทำบุญต่างจังหวัด”
“ได้ครับ พรุ่งนี้เย็นนะ”
.
กิจกรรมที่ผมชอบมาก คือการที่ผมได้มีเวลาอยู่กับหลาน ชีวิตครอบครัวที่จบลงด้วยความเจ็บปวดได้เปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตผมไปมาก และไม่คิดจะสร้างครอบครัวบที่เคยทำอีก และไม่คิดจะมีลูก แต่ผมรู้ว่าผมไม่ได้ต้องการใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียว นอกจากวิว สิ่งที่ผมให้ความสำคัญรองลงมา คือหลานและครอบครัวพี่ชาย
.
ก่อนหน้านี้ ผมอาสาจะเป็นคนรับส่งหลานเรียนพิเศษตอนเย็นทุกวันศุกร์ นั่นทำให้ผมได้เจอหลานทุกสัปดาห์ และมีเวลาเจอพี่ชายกับพี่สะไภ้หรืออาซ้อด้วยหลังจากเค้ากลับจากทำงาน แต่สองเดือนที่ผ่านมาโดนอาม่า (แม่ของอาซ้อ) มาแย่งหน้าที่นี้ไป
.
เวลาอยู่กับหลานผมมักตามใจเค้าในเรื่องที่ตามใจได้ เช่น การกินอาหารขยะอย่างฟาสฟู้ดที่อร่อยแต่ไม่ค่อยมีประโยชน์ หรือแวะพาไปกินโดนัทร้านดังก่อนเริ่มเรียนพิเศษที่เป็นทางผ่าน แต่เนื่องจากบ้านนี้ห้ามเด็กเล่นมือถือโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะเวลาอยู่บนรถ ผมจึงไม่ตามใจเค้าเรื่องนี้ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องปัญหาทางสมองและอารมณ์ที่ส่งผลถึงพัฒนาการ แต่เจ้ามิก หลานชายคนโตมีปัญหาสายตาที่สั้นถึง 400 ตั้งแต่อายุเพียง 8 ขวบ และเมหลานสาวคนเล็กก็เหมือนจะเริ่มๆ มีปัญหาสายตาตามๆกันมา
.
จากปัญหาในวัยเด็กของผม ทำให้ผมรักและเป็นห่วงหลานมาก ไม่อยากให้เค้าเติบโตมาด้วยการเจอความรุนแรง ไม่ยุติธรรม และขาดแคลนความรัก แต่เป็นความโชคดีของทั้งสองคนนี้ที่เกิดมาในบ้านที่ทั้งพ่อแม่สนใจจิตวิทยาการเลี้ยงลูก และเข้าอบรมณ์หลายอันตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ การที่ผมได้เห็นเค้าเติบโตมาอย่างดีและเราก็มีส่วนในการช่วยดูแล เป็นพลังอย่างดีที่ทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจจะทำสิ่งต่างๆ รวมทั้งสู้กับอาการทางจิตเวชของตัวเอง
.
ผมรู้ดีว่าพ่อแม่ที่มีข้อจำกัด ก็จะมีข้อจำกัดในการเลี้ยงลูกอย่างเลี่ยงไม่ได้ และจะส่งต่อปัญหาให้กับลูก ความรู้และเข้าใจนี้ทำให้ผมตัดสินใจได้ง่ายมากที่จะไม่มีลูก และ มีแค่หลานที่ผมรักสุดใจ
.
ผมพาหลานทั้งสองคนแวะร้านโดนัทชื่อดังย่านสุขุมวิทที่เป็นทางผ่านไปเรียนพิเศษตอนสี่โมงเย็น ร้านนี้เป็นร้านโปรดของผมเอง และเด็กๆ ก็ชอบมาก ผมสั่งโดนัทหน้าโปรดของผม คือพีนัทบัตเตอร์กับลาเต้เย็นแก้วหนึ่งแล้วเดินมานั่งรถที่โต๊ะ ปล่อยให้เด็กๆ เลือกโดนัท หรือขนมอะไรก็ตามที่เค้าอยากกินกันคนละชิ้นกันเอง โดยให้เงินพนักงานไว้ ละทอนพร้อมตอนเอาโดนัทมาเสิร์ฟกับกาแฟ
ผมนึกถึงน้องพีช ว่าไปเจอหมอมาจะเป็นยังไง จึงกดโทรหา
“หวัดดีค่ะ” น้องรับสาย
“หาหมอมารึยัง” ผมถาม
“ไปมาแล้วค่ะ”
“หมอว่าไงมั่ง”
“หมอบอกว่าสงสัยติดเชื้อ ให้งดใช้ตรงนั้น แล้วก็หนูโดนน้ำเยอะเกินไป อาทิตย์หน้านัดตรวจอีกทีค่ะ”
“ละมียากินมั้ย” ผมถามต่อ
“มีค่ะ เป็นยาฆ่าเชื้อ อะไรก็ไม่รู้” แน่นอนว่าไม่รู้ เพราะนอกจากไทลินอลแล้ว น้องไม่รู้จักยาอื่น เพราะอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก
“แค่นี้ก่อนนะคะ แม่โทรมา” เธอว่าแล้วก็วางสายผมไป หลังๆ พีชมักมีข้ออ้างวางสายผมแบบนี้เสมอ และไม่มีการโทรกลับมา ผมสังเกตุมาสักพัก ไม่แน่ใจว่ารู้สึกไปเองรึเปล่าถึงความพยายามจะทำตัวให้ห่างเหินไปมากขึ้นเรื่อยๆ และอีกสิ่งที่ผมรู้สึกตามมา คือสิ่งที่ผมให้ไป ความเป็นห่วงเป็นใย การดูแลที่เราทำ มันยังมีค่าอยู่มั้ยนะ
“Who are you talking to ?” มิกถามเมื่อเดินมาถึงโต๊ะหลังเลือกโดนัทเสร็จ หลานผมเรียนโรงเรียนนานาชาติ เค้าจึงคุ้นกับการพูดภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทย
“Someone” ผมกวนหลาน
“I know, but who ?”
“Someone important to me, but it seems I’m not very important to her” หลานได้ยินก็ทำหน้างง เด็กอายุ 8 ขวบนั้นยังไม่โตพอที่จะเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนแบบนี้
“Mommy and Daddy are important to me and I’m important to them, so how is it one way is and the other way is not ?” มิกตั้งคำถามโดยเทียบเคียงกับพ่อและแม่ ตอนนี้เองที่โดนัทและกาแฟผมถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
“One day you
ประสบการณ์ตรงคบกับเด็กร้านนวด Chapter 12 : Found then lost
https://ppantip.com/topic/43274104
อ่านย้อนหลัง Ch 3 สวยไม่สวย - 4 ชอบดูหนัง
https://ppantip.com/topic/43275062
อ่านย้อนหลัง Ch 5 ติด
https://ppantip.com/topic/43276252
อ่านย้อนหลัง Ch 6 ข้อจำกัด
https://ppantip.com/topic/43277958
อ่านย้อนหลัง Ch 7 turning point
https://ppantip.com/topic/43279100
อ่านย้อนหลัง Ch 8 ไกล
https://ppantip.com/topic/43280746
อ่านย้อนหลัง Ch 9 อีกสักครั้ง
https://ppantip.com/topic/43282675
อ่านย้อนหลัง Ch 10 ธรรมชาติ กาแฟ และแสงดาว
https://ppantip.com/topic/43283324
อ่านย้อนหลัง Ch 11 กำเริบเสิบสาน
https://ppantip.com/topic/43284565
อ่านย้อนหลัง Ch 12 Found then lost
https://ppantip.com/topic/43287549
อ่านย้อนหลัง Chapter 13 : So be it…
https://m.ppantip.com/topic/43292913?
.
.
Chapter 12 : Found then lost
”เคลียกับพี่เค้ายัง“ ผมถามน้องพีช ผมกลับมาหาเธอหลังจากผ่านไปได้สองวัน ส่วนหนึ่งคือเป็นห่วงเรื่องอาการที่เธอปวดตัว และอีกเรื่องคือเรื่องที่เธอทะเลาะกับที่ทำงาน
”ยังค่ะ พี่เค้าไม่คุยกับหนู“ พีชบอก ”พี่เค้างอนหนู“
”แล้วเป็นไง งานเยอะมั้ย วันนี้เหนื่อยหรือเพลียรึเปล่า“
“เพลียค่ะ หนูนอนไม่หลับ”
“ได้กินเมลาโทนินที่ให้ไปมั้ย”
“กินค่ะ แต่ก็ยังเพลีย”
ผมลูบผมเธอแล้วจับเธอให้เอนตัวมาหา แต่เธอไม่ยอมเอนตัวตาม ผมรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
“เป็นอะไรคะ“ ผมถาม รู้สึกได้ว่าตัวเองพูดห้วนกว่าที่เคยเป็น แต่ยังไม่ถึงขั้นเหวี่ยง
”หนูรู้สึกว่า มันลดลงอีกแล้ว“ เธอพูดออกมา "หนูมีความสุขนะ ตอนอยู่กับพี่ ตอนแรกๆ...." เธอพูดเพียงเท่านี้
ผมถอนใจยาวๆ ขณะสังเกตุลงไปในความรู้สึกในใจตัวเอง แม้จะยังมีความเสียใจอยู่ที่ได้ยินคำนี้ แต่ส่วนใหญ่กลับมีเป็นความว่างเปล่า ความรู้สึก ”เหนื่อย“ เริ่มก่อตัวขึ้นมา
.
ครั้งนี้ไม่มีคำขอโทษออกมาจากน้องเหมือนครั้งก่อน มันก็คงแปลได้ว่าไม่ได้มีความรู้สึกรู้สาอะไรกับความเปลี่ยนแปลงของตัวเองที่อาจส่งผลกระทบถึงอีกคน ผมถามลงไปในใจตัวเองขณะปล่อยให้น้องพีชนอนพัก ว่าตอนนี้ในใจมันมีอะไรอยู่บ้าง คำตอบคือเราก็ยังห่วงเค้าเหมือนเดิม ยังอยากให้เค้าไม่ต้องเจ็บต้องทุกข์ มีความสบายใจ แต่มันเริ่มไม่ได้สนใจอีกต่อไปแล้วว่าจะมีเราอยู่ในนั้นมั้ย ผมนั่งชันเข่าเท้าคางอยู่ข้างหลังมองน้องที่นอนไปด้วยขณะใช้ความคิด ผมเห็นถึงใจตัวเองว่าเราเป็นห่วงเค้ามาก แม้เค้าจะบอกว่ารู้สึกกับเราแค่พี่น้อง ครู่หนึ่งน้องก็เงยหน้าหันมาถามผม “ไม่กอดเหรอคะ”
ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วก็ล้มตัวลงนอนกอดเธอจากข้างหลังเหมือนเคย แขนข้างหนึ่งสอดอยู่ใต้ศรีษะ อีกข้างน้องดึงไปกุมไว้ที่คางเหมือนที่เคยทำ
.
“พรุ่งนี้หนูมีนัดหมอ ตรวจหาว่าที่เป็นอยู่คืออะไร” พีชเล่าให้ผมฟัง
“ค่ะ หมอว่าไง บอกพี่ด้วยนะ…. วันหยุดอาทิตย์หน้ามาค้างกะพี่มั้ย”
น้องเล่าให้ผมฟังบ่อยๆ ว่าพอเลิกงานไปละมักจะหิว แล้วพอดึกๆ มันหาอะไรทานยาก น้องก็มักจะลงเอยด้วยการกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผมจึงหวังว่าการที่น้องมาค้างกับผมบ้าง มีผมดูแลเป็นครั้งคราว จะพอช่วยให้น้องไม่ต้องใช้ชีวิตง่ายๆ แต่ทำลายสุขภาพไปเรื่อยๆ และการนอนกับผมผมคิดเอาเองว่าน้องจะอุ่นใจและหลับสนิทกว่ามั้ย… ผมอยู่เลยจุดที่จะคิดทำอะไรเกินเลยกับน้องไปแล้ว
“ไม่ค่ะ” น้องปฏิเสธ
“ทำไม พี่ดูแลเราไม่ดีเหรอ” ผมถามกลับ ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าความสามารถในการดูแลของผมไม่น้อยหน้าใคร
“ไม่ !” แต่น้องยิ้ม แปลว่าคำนี้จากน้อง คือคำว่าไม่ที่แปลว่าใช่ ผมว่าผมดูออกว่าน้องชอบเวลาเราอยู่ด้วยกัน
“งั้นทำไมล่ะ” ผมถามยิ้มๆ พยายามไม่ทำให้เธอรู้สึกว่าผมกดดัน
“โดนเพ่งเล็งอยู่ หนูไม่สบายใจ” พีชตอบ เมื่อน้องพูดแบบนี้ ผมเลยคิดว่าผมเฉยๆ ดีกว่า
“ก่อนกลับ จะให้พี่บอกแอดมินให้ใช่มั้ย ว่ารูปนั้นไม่ใช่เรา” ผมถามน้องพีช น้องพีชพยักหน้า
”คนไหน“ ผมถาม ร้านนี้มีแอดมินสองคนชายคนนึง หญิงคนนึง
”พี่ผู้หญิงค่ะ“
.
ผมกับน้องเดินออกจากห้องมา น้องเดินนำเพื่อไปส่งผมที่หน้าประตูที่พอเปิดออกไปจะเจอล้อบบี้ที่มีตู้รองเท้าวางเรียงอยู่นอกร้าน ผมวนไปที่หน้าเคาเตอร์ก่อนจะออกไปหน้าร้าน แต่ไม่มีคนอยู่ ผมชะเง้อกลับไปยังประตูก่อนที่น้องพีชจะปิดประตูหลังส่งผม
”ไม่มีคน พีชตามแอดมินให้หน่อย“ ผมบอก พีชมองไปรอบๆ แล้วปิดประตูเดินหายไปข้างใน ครู่หนึ่งพี่แอดมินที่เป็นผู้หญิงก็เดินออกมา
”มีอะไรคะ“ น้ำเสียงยิ้มแย้มเหมือนจะรับลูกค้า แต่รับรู้ได้ว่ามีความแข็งกระด้างอยู่ภายใต้นั้น
”พอดี มันมีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยครับ…“
”ค่ะ“ เธอตอบก่อนผมจะพูดจบประโยค
ผมหยิบมือถือขึ้นเปิดไลน์ และกดไปที่รูปโปรไฟล์ที่เป็นภาพวิวแฟนผมที่นั่งอยู่หน้าเต้นท์กับทิวทัศน์ภูเขา
“คือรูปนี้ เป็นรูปแฟนผม…”
“ค่ะๆๆ” เธอตอบแทรกผมก่อนผมจะพูดจบอีกครั้ง ทำเอาผมชะงัก
“น้องมาเล่าให้ฟัง ว่ามีการเข้าใจผิดกัน…”
“ค่ะๆๆ” เธอสวนผมขึ้นมาอีก จนผมอีหยังวะในใจ ผมรู้สึกเหมือนว่าแอดมินกำลังตัดบทไล่ผม ผมจึงหยุดพูดหันหลังกลับออกร้านไปโดยไม่พูดอะไรต่อ เห็นน้องพีชยืนแอบฟังหลบอยู่หลังประตู ผมไม่แปลกใจทำไมน้องถึงไม่ชอบเจ๊แอดมินคนนี้
.
.
ผมขับรถออกมาจากร้านด้วยความรู้สึกที่ปนเป และจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก คุณพ่อยังคงไลน์มากดดันให้ผมติดต่อไปยังโรงงานผลิตวัตถุดิบไม่เลิก ผมเลยคิดว่าผมคงต้องเคลียอะไรออกไปบ้าง ก่อนที่สภาพจิตใจจะแย่ลงไปกว่านี้ ผมกดโทรศัพท์โทรออกขณะที่ผมเพิ่งขับผ่านจุดที่แพนิกผมกำเริบบนทางด่วนเมื่อวันก่อน
.
“ฮัลโหล เอ้อ ว่าไง” พี่ชายแท้ๆ ผมรับสาย เป็นเวลาหลายปีที่ผมหายไปจากครอบครัวและวงศ์ตระกูล เพื่อปกป้องตัวเองจากบาดแผลในวัยเด็กไม่ให้ถูกกระตุ้นกลับมา มีกลับไปพบปะกันเพียงนานๆครั้งตามเทศกาลสำคัญเช่น เชงเม้งเท่านั้น จนเมื่อผมเริ่มทำจิตบำบัดปลดล้อกปัญหาในใจตัวเองได้ ไม่กี่ปีให้หลังมานี้จึงสามารถกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวและหมู่ญาติได้ และได้กลับไปสนิทกับพี่ชายและครอบครัวเค้าที่มีหลานสองคนที่ผมรักมากราวกับลูกตัวเอง ในชีวิตคงมีเพียงพี่ชายเพียงคนเดียวของผมนี่แหละที่เติบโตมาด้วยกันและพอจะเข้าใจผมได้มากกว่าคนอื่น
“เฮียเห็นไลน์ป๊าละใช่มั้ย” ผมถาม
“ไม่เห็นอะ ไม่ได้เปิดดูกรุ๊ปที่บ้านหลายวันละ….. ทำไมเหรอ ?“
”ผมโดนป๊ากดดันให้โทรไปโรงงานที่แกหามาให้ แต่ผมยังไม่อยากโทร จริงๆ คือไม่ได้อยากดีลกะโรงงานนี้“ ผมบอก ”แต่ป๊าก็จะกดดันให้โทรไปอยู่นั่น“
”โทรไปก็ไม่เสียหายนี่“ เฮียออกความเห็น
”ประเด็นไม่ได้อยู่ที่โทรไม่โทร แต่ป๊ามายุ่ง เมื่อวันก่อนแพนิกผมกำเริบด้วย” ผมเล่าให้เฮียโน้ตฟัง “เฮียบอกป๊าให้ไม่ต้องมายุ่งได้มั้ย บอกยังไงก็ได้ ผมบอกเองกลัวพูดอะไรรุนแรงไป มันจะเสียความรู้สึก”
เฮียโน้ตนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่พักนึง เฮียโน้ตเองก็ชอบแง่มุมทางจิตวิทยาเหมือนกัน ต่างกันที่เฮียจะศึกษาไปในเชิง NLP ไม่ใช่ลงลึกแบบที่ผมเรียนจิตบำบัด แต่ด้วยวัยเด็กเฮียเป็นคนเรียนเก่ง และทำอะไรก็ได้รับคำชม จนผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตัวเองไร้ค่า และเฮียไม่เคยโดนป๊าลงโทษรุนแรงแบบที่ผมโดน ผมจึงมีอะไรหลายอย่างในใจที่อยากทำได้อย่างเฮียและเลียนแบบพฤติกรรมหรือทางเลือกหลายอย่างในชีวิตคล้ายๆ กัน เพราะลึกๆ เราอยากให้ป๊าชมเราบ้าง
“จริงๆ เราบอกป๊าเองเลยก็ได้นะ เฮียเข้าใจ ตอนอารมณ์เรามันแรงๆ พูดอะไรไปมันมักส่งผลเสีย” มุมมองจากคนนอกมักเป็นกลางและใช้ได้มากกว่าเสมอ ถ้ากับประเด็นที่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้องมากๆ “พิมพ์ไปก็ได้ ว่า ‘ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมสะดวกเมื่อไหร่ ผมติดต่อไปเองนะครับ ป๊าไม่ต้องห่วง ถ้าผมเห็นว่าดีผมตัดสินใจเอง’ แบบนี้ก็ได้“ เป็นคำตอบที่กลางๆ แต่ก็มีความตอกกลับแบบนุ่มนวล ที่ผมแน่ใจว่า ถ้าให้ผมคิดเองว่าจะตอบว่าอะไร มันจะแรงกว่านี้อีกหลายเท่า
”อยากให้ป๊ารู้เหมือนกันนะ ว่าที่ป๊าทำแบบนี้ มันกระตุ้นให้ผมแย่ลง“ ปกติในชีวิตประจำวันผมกับพ่อเราแทบไม่ได้คุยกัน คือน้อยกว่าเดือนละครั้ง แต่เมื่อมีประเด็นอะไรใหญ่ๆ ขึ้นมาแบบนี้ เค้าจะเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการตลอด นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมตัดขาดจากเค้าไปหลายปี
“ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก เราก็รู้ว่าป๊าเค้ารับไม่ได้” ใช่รู้ แต่ลึกๆ บางทีก็รู้สึกเหมือนกันว่าทำให้เค้ารับรู้บ้างดีมั้ยว่าเค้าทำอะไรไว้
“เอ้อ พรุ่งนี้เย็นว่างมั้ย จะฝากไปรับมิกกับเมที่เรียนพิเศษให้หน่อย พอดีเฮียกับซ้อติดธุระ อาม่าก็ไปทำบุญต่างจังหวัด”
“ได้ครับ พรุ่งนี้เย็นนะ”
.
กิจกรรมที่ผมชอบมาก คือการที่ผมได้มีเวลาอยู่กับหลาน ชีวิตครอบครัวที่จบลงด้วยความเจ็บปวดได้เปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตผมไปมาก และไม่คิดจะสร้างครอบครัวบที่เคยทำอีก และไม่คิดจะมีลูก แต่ผมรู้ว่าผมไม่ได้ต้องการใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียว นอกจากวิว สิ่งที่ผมให้ความสำคัญรองลงมา คือหลานและครอบครัวพี่ชาย
.
ก่อนหน้านี้ ผมอาสาจะเป็นคนรับส่งหลานเรียนพิเศษตอนเย็นทุกวันศุกร์ นั่นทำให้ผมได้เจอหลานทุกสัปดาห์ และมีเวลาเจอพี่ชายกับพี่สะไภ้หรืออาซ้อด้วยหลังจากเค้ากลับจากทำงาน แต่สองเดือนที่ผ่านมาโดนอาม่า (แม่ของอาซ้อ) มาแย่งหน้าที่นี้ไป
.
เวลาอยู่กับหลานผมมักตามใจเค้าในเรื่องที่ตามใจได้ เช่น การกินอาหารขยะอย่างฟาสฟู้ดที่อร่อยแต่ไม่ค่อยมีประโยชน์ หรือแวะพาไปกินโดนัทร้านดังก่อนเริ่มเรียนพิเศษที่เป็นทางผ่าน แต่เนื่องจากบ้านนี้ห้ามเด็กเล่นมือถือโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะเวลาอยู่บนรถ ผมจึงไม่ตามใจเค้าเรื่องนี้ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องปัญหาทางสมองและอารมณ์ที่ส่งผลถึงพัฒนาการ แต่เจ้ามิก หลานชายคนโตมีปัญหาสายตาที่สั้นถึง 400 ตั้งแต่อายุเพียง 8 ขวบ และเมหลานสาวคนเล็กก็เหมือนจะเริ่มๆ มีปัญหาสายตาตามๆกันมา
.
จากปัญหาในวัยเด็กของผม ทำให้ผมรักและเป็นห่วงหลานมาก ไม่อยากให้เค้าเติบโตมาด้วยการเจอความรุนแรง ไม่ยุติธรรม และขาดแคลนความรัก แต่เป็นความโชคดีของทั้งสองคนนี้ที่เกิดมาในบ้านที่ทั้งพ่อแม่สนใจจิตวิทยาการเลี้ยงลูก และเข้าอบรมณ์หลายอันตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ การที่ผมได้เห็นเค้าเติบโตมาอย่างดีและเราก็มีส่วนในการช่วยดูแล เป็นพลังอย่างดีที่ทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจจะทำสิ่งต่างๆ รวมทั้งสู้กับอาการทางจิตเวชของตัวเอง
.
ผมรู้ดีว่าพ่อแม่ที่มีข้อจำกัด ก็จะมีข้อจำกัดในการเลี้ยงลูกอย่างเลี่ยงไม่ได้ และจะส่งต่อปัญหาให้กับลูก ความรู้และเข้าใจนี้ทำให้ผมตัดสินใจได้ง่ายมากที่จะไม่มีลูก และ มีแค่หลานที่ผมรักสุดใจ
.
ผมพาหลานทั้งสองคนแวะร้านโดนัทชื่อดังย่านสุขุมวิทที่เป็นทางผ่านไปเรียนพิเศษตอนสี่โมงเย็น ร้านนี้เป็นร้านโปรดของผมเอง และเด็กๆ ก็ชอบมาก ผมสั่งโดนัทหน้าโปรดของผม คือพีนัทบัตเตอร์กับลาเต้เย็นแก้วหนึ่งแล้วเดินมานั่งรถที่โต๊ะ ปล่อยให้เด็กๆ เลือกโดนัท หรือขนมอะไรก็ตามที่เค้าอยากกินกันคนละชิ้นกันเอง โดยให้เงินพนักงานไว้ ละทอนพร้อมตอนเอาโดนัทมาเสิร์ฟกับกาแฟ
ผมนึกถึงน้องพีช ว่าไปเจอหมอมาจะเป็นยังไง จึงกดโทรหา
“หวัดดีค่ะ” น้องรับสาย
“หาหมอมารึยัง” ผมถาม
“ไปมาแล้วค่ะ”
“หมอว่าไงมั่ง”
“หมอบอกว่าสงสัยติดเชื้อ ให้งดใช้ตรงนั้น แล้วก็หนูโดนน้ำเยอะเกินไป อาทิตย์หน้านัดตรวจอีกทีค่ะ”
“ละมียากินมั้ย” ผมถามต่อ
“มีค่ะ เป็นยาฆ่าเชื้อ อะไรก็ไม่รู้” แน่นอนว่าไม่รู้ เพราะนอกจากไทลินอลแล้ว น้องไม่รู้จักยาอื่น เพราะอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก
“แค่นี้ก่อนนะคะ แม่โทรมา” เธอว่าแล้วก็วางสายผมไป หลังๆ พีชมักมีข้ออ้างวางสายผมแบบนี้เสมอ และไม่มีการโทรกลับมา ผมสังเกตุมาสักพัก ไม่แน่ใจว่ารู้สึกไปเองรึเปล่าถึงความพยายามจะทำตัวให้ห่างเหินไปมากขึ้นเรื่อยๆ และอีกสิ่งที่ผมรู้สึกตามมา คือสิ่งที่ผมให้ไป ความเป็นห่วงเป็นใย การดูแลที่เราทำ มันยังมีค่าอยู่มั้ยนะ
“Who are you talking to ?” มิกถามเมื่อเดินมาถึงโต๊ะหลังเลือกโดนัทเสร็จ หลานผมเรียนโรงเรียนนานาชาติ เค้าจึงคุ้นกับการพูดภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทย
“Someone” ผมกวนหลาน
“I know, but who ?”
“Someone important to me, but it seems I’m not very important to her” หลานได้ยินก็ทำหน้างง เด็กอายุ 8 ขวบนั้นยังไม่โตพอที่จะเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนแบบนี้
“Mommy and Daddy are important to me and I’m important to them, so how is it one way is and the other way is not ?” มิกตั้งคำถามโดยเทียบเคียงกับพ่อและแม่ ตอนนี้เองที่โดนัทและกาแฟผมถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
“One day you