ประสบการณ์ตรงคบกับเด็กร้านนวด Chapter : 6 ข้อจำกัด

อ่านย้อนหลัง Ch 1-2
https://ppantip.com/topic/43274104
อ่านย้อนหลัง Ch 3-4
https://ppantip.com/topic/43275062
อ่านย้อนหลัง Ch 5
https://ppantip.com/topic/43276252
อ่านย้อนหลัง Ch 6
https://ppantip.com/topic/43277958

Chapter : 6 ข้อจำกัด
“Kiss me… beneath the milky twilight” น้องพีชชอบร้องเพลงมาก แม้จะเธอจะอ่อนภาษาอังกฤษ แต่เธอคิดว่าเธอเสียงดี เธอร้องเพลงนี้พร้อมยกนิ้วขึ้นมาแตะที่แก้มตัวเองขณะที่ผมจูงมือพาเธอเดินหาซื้อชุดสำหรับใส่ทำงานกลางดึกคืนหนึ่ง “kiss me… kiss me… kiss me….”
.
สิ่งที่ผมไม่คุ้นเคย คือมุกเกี้ยวกันของวัยรุ่นสมัยนี้ นี่เค้าหยอกเย้ากันแบบนี้เหรอ หรืออาจจะเป็นแค่รูปแบบที่ผมไม่คุ้นเฉยๆ กันนะ แต่ผมก็ชอบที่เธอยั่วให้ผมหอมแก้มเธอนะ แม้เมื่อผมจะทำแล้วเธอจะหันหน้าหนีก็ตาม
.
ผมเดินออกจากห้องน้ำมา เจอเธอยืนจดจ้องอยู่ที่หน้าตู้กาชาปองอันหนึ่ง
“อยากได้เหรอ” ผมถามเมื่อเดินมาถึงเธอ แต่เธอไม่ตอบ คงลังเลว่าจะเอา/ไม่เอาดี
”มันเปลือง“ เธอพูดออกมาในที่สุดและทำท่าจะเดินออกไป จังหวะเดียวกับที่ผมควักแบงค์ร้อยสอดเข้าไปในตู้และสะกิดให้เธอบิดหมุนคันโยกให้เครื่องปล่อยตัวตุ๊กตุ่นลงมาตามราง
”อ๊ายยย ไม่ได้อยากได้ตัวนี้“ เธอโวยเล็กๆ เมื่อแกะปลอกพลาสติกทรงกลมที่หุ้มปิดบังหน้าตาของตัวตุ๊กตุ่นที่อยู่ข้างใน รู้สึกได้ถึงความเป็นคนไม่มีดวงในการลุ้นโชค
”555+ ไม่เป็นไรนะ“ ผมพูดพลางลูบกึ่งขยี้หัวเธอ ”จะเป็นตัวไหนก็คือตัวที่พี่ให้เหมือนกันนะ“
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
เรามาถึงตลาดกลางคืนนี้ตอนตีหนึ่งกว่า กลางดึกอากาศเย็นๆ แบบนี้แหละเหมาะที่จะหาอะไรร้อนๆ กิน เราแวะร้านก๋วยเตี๋ยวน้ำตกริมทางในตลาดนั้นเอง น้องพีชสั่งก๋วยเตี๋ยวเส้นหมีเหมือนเดิม
“วันนี้พี่แอดมินแซวหนูด้วย ตอนเห็นสร้อยที่หนูใส่” พีชเล่าให้ผมฟังตอนเรานั่งลงรออาหารที่เพิ่งสั่งไป “เค้าซักไซร้หนูด้วยว่าใครให้มา”
“ละเราบอกว่าไง”
“ก็พี่ไงคะ”
ถึงผมจะดีใจ แต่ผมไม่แน่ใจนักว่ามันจะดีมั้ย ที่น้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าน้องให้ความสำคัญกับผมเกินหน้าเกินตาคนอื่นแบบนี้ ถ้าน้องไม่ได้หลอกผม ก็คือน้องไม่ใช้ไม่ใส่ของที่คนอื่นให้ แต่ใช้ของที่ผมให้และก็มีคนสังเกตุเห็น แต่ผมก็รู้สึกดีที่น้องให้ความสำคัญกับผม
“จริงๆ หนูไม่ชอบเลย ที่เค้ามาซักไซร้เรื่องส่วนตัวหนู” พีชพูดพลางทำหน้ารำคาญใจ
“ค่ะ พี่เข้าใจ แต่เราไปว่าอะไรเค้าไม่ได้ใช่มั้ย เพราะเราทำงานอยู่ในความดูแลเค้า” ผมถาม พีชพยักหน้า ความสามารถในการยอมรับความต่างของคน เป็นสิ่งหนึ่งที่พีชยังต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับ เราไม่อาจทำให้ใครเป็นหรือทำอย่างใจเราได้ แต่ละคนก็มีนิสัยและวิธีคิดที่แตกต่างกัน การที่เราไปชอบไม่ชอบหรือเครียดกังวลกับการกระทำของคนอื่นมันเป็นเรื่องที่เหนื่อยเปล่าและทุกข์ฟรี แต่เด็กวัยเพิ่งจะ 20 แบบเธอคงยังไม่เข้าใจ และมันก็คงต้องใช้เวลาให้เธอเรียนรู้เอง มันสอนกันไม่ได้
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่ได้คุยกัน สิ่งที่พีชทำคือแหกปากร้องเพลง มุมนึงผมก็ตลกที่บางทีเธอร้องเนื้อผิดเพี๊ยนไปหมด แต่อีกมุมผมก็มีแอบรำคาญนิดๆ แต่ก็เตือนตัวเองว่านี่คือสิ่งที่เธอเป็น ผมไม่อยากไปตำหนิหรือห้ามไม่ให้เธอเป็นในสิ่งที่เธอทำแล้วสบายใจ เพราะผมเองก็ไม่เคยคบกับใครที่อายุห่างกันขนาดนี้
“พี่รำคาญหนูมั้ย” เธอถามผมยิ้มๆ ถึงเธอจะถามว่าผมรำคาญมั้ย แต่ผมก็มองออกว่าเธอถามโดยไม่ได้แยแสหรอกว่าผมจะรำคาญจริงๆมั้ย คือเธอก็จะเป็นแบบนี้แหละ แค่ถามเฉยๆ ผมคิดว่าอย่างงั้น
“ไม่หรอก ตลกดีค่ะ” ผมยิ้มตอบเธอ ผมรู้ว่าความรำคาญในใจผม มันเป็นเพราะผมไม่คุ้นกับความสัมพันธ์แบบนี้เท่านั้นแหละ และรู้ว่าถ้าผมยอมรับได้ ความรำคาญจะหายไปเอง
.
คืนนี้ผมเป็นคนเลือกที่พัก ผมไม่ชอบบรยากาศของ รร ม่านรูด ความรู้สึกอะไรบางอย่างมันทำให้ผมหลับไม่สนิท นอกจากนี้ น้องพีชบ่นว่าหลับฝันทุกคืนและตื่นมาไม่สดชื่น ครั้งนี้ผมเลยเลือกห้องที่เป็นห้องพักจริงๆ ที่อยู่ไกลออกมาหน่อย มีแบ่งกั้นห้องนอนและห้องกลาง ไม่หรูหรา แต่เป็นสัดเป็นส่วนและสะอาด
น้องพีชมีปัญหาการนอนมาตลอด แรกๆที่เราเจอกัน เหมือนเธอจะสดชื่นและสดใสขึ้น แต่ผมรู้ดีว่ายาแก้ปวดที่ชื่อ “ความรัก” มันช่วยได้ชั่วคราว ตราบใดที่ปัญหาลึกๆ ในใจเธอไม่ถูกแก้ ไม่นานความเครียดและวิตกกังวลจะกลับมารบกวนเธออีก วันนี้ผมจึงเตรียมเมลาโทนินมาให้เธอกินก่อนนอน มันน่าจะช่วยให้เธอหลับดีขึ้น แม้จะรู้ว่าไม่ได้ทำให้ปัญหาหายไป แต่อย่างน้อยก็คงดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
.
7 โมงเช้า ผมลืมตาตื่นขึ้นมา น้องพีชยังคงหลับหันหลังให้ผมอยู่ข้างๆ ผมลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน เปิดประตูออกจากห้องมาคนเดียว ขึ้นลิฟไปที่ห้องอาหารที่มีกาแฟและขนมปังสำหรับให้แขกที่มาพักรองท้องตอนเช้า ผมชอบบรรยากาศตอนเช้าที่ได้จิบกาแฟร้อนๆ อากาศเย็นๆ สบายๆ แบบนี้ ผมชงกาแฟดำมานั่งจิบคู่กับขนมปังคู่หนึ่งทาพีนัทบัตเตอร์ที่ขณะมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีทิวทัศน์เป็นสะพานข้ามแยกที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร พลางย้อนนึกทบทวนถึงสาเหตุที่ทำให้เราทั้งคู่ตัดสินใจคบกัน
.
.
.
“เดือนหน้าวันที่ 6 วันเกิดหนูนะ“ พีชบอกผมบ่ายวันหนึ่งที่ผมไปหาที่ร้านเมื่อไม่กี่วันก่อน
“เหรอ อยากได้อะไร“ ผมถามยิ้มๆ
“….อยากได้ความรัก” เธอเงียบเว้นจังหวะก่อนจะพูดเสียงเบาๆ แต่ดังพอให้ผมได้ยินแบบไม่ต้องถามซ้ำ สีหน้าดูนิ่ง และมีอะไรในใจอย่างเห็นได้ชัดหลังจากพูดออกมา ผมว่ามันคือความรู้สึกเธอจริงๆ แต่ผมไม่ได้ตอบสนองกับคำของเธอ ผมอยากรู้ว่าถ้าผมนิ่งเฉยกับคำนี้ของเธอ เธอจะมีท่าทียังไง ผมเลยเฉไฉชวนเธอคุยเรื่องอื่นให้เธอคิดไปเองว่าผมไม่ได้คิดหรือรู้สึกแบบนั้น หรือแม้แต่สนใจจะคุยเรื่อง “ความรัก”
.
แต่จริงๆ ตรงกันข้าม
.
การที่ผู้หญิงคนนึง ยอมมีอะไรกับผู้ชายอีกคนนึง ถ้ามันไม่มีผลประโชน์มาเกี่ยวข้อง มันก็เหลือแค่ความรักหรือความไคร่ แล้วสองอย่างหลังเนี่ยมักแยกกันไม่ค่อยออก สำหรับผมแล้ว ผู้หญิงที่มอบสิ่งนี้ให้ผม มันเป็นอะไรที่มีค่า นั่นทำให้ใจผมมันเทไปให้น้องอย่างรวดเร็ว
.
บ่ายวันนี้พีชดูอ่อนเพลียกว่าปกติ ผมเลยปล่อยให้เธอหลับพักผ่อนตั้งแต่ 10 นาทีแรกที่ผมมา ผมไม่แน่ใจนักว่าจะมีคนที่มาหาเธอซักกี่คนที่มาถึงก็ปล่อยให้เธอนอนจนเกือบหมดเวลา ผมนอนกอดน้องจากข้างหลังเหมือนเคย ในหัวก็คิดไปถึงอนาคต คำที่เธอบอกว่า พอลุล่วงตามที่เธอตั้งเป้าเอาไว้ เธอจะกลับไปอยู่ที่ของเธอ และทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังไม่หวนย้อนกลับมาอีก ทำให้ผมรู้ว่าจริงๆเธอไม่ได้มาจาก ตจว. แต่ไกลกว่านั้น ซึ่งนั่นทำให้ทั้งผมและเธอรู้ว่าเมื่อวันนั้นมาถึง ทุกอย่างระหว่างเรามันจะเหลือเพียงความทรงจำ ผมไม่แน่ใจนักว่าเธอจะต้องการอะไรจริงๆ กันแน่จากผม แต่สำหรับผม พอตระหนักได้ว่าเวลาเราไม่ได้มีมาก กับความรักที่มันได้เกิดขึ้นแล้วนี้ มันทำให้ผมเลือกที่เดินหน้าต่อ
.
น้องพีชลืมตาตื่นลุกขึ้นนั่งที่ข้างเตียงเมื่อนาฬิกาปลุกที่ผมตั้งไว้ดังขณะที่เหลือเวลาอีก 20 นาทีจะหมดเวลา ผมดึงเธอขึ้นมากอดโดยนั่งคร่อมบนตัก ท่ากอดนี้เป็นท่ากอดที่ผมชอบ เพราะมันคือท่ากอดที่เรากอดกันได้แนบชิดสนิทที่สุด
.
“เป็นแฟนพี่มั้ย”
.
เธอผุดเงยหน้าขึ้น ถอยตัวออกมาทั้งที่ยังนั่งทับหน้าขาผม มองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่ แล้วเม้มปากราวกับพยายามกลั้นเสียงกรี๊ด ขนแขนเธอลุกซู่อย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ค่ะ” เธอตอบผมในที่สุด ผมไม่รู้ว่าเธอหยอกผมรึเปล่า แต่รอยยิ้มที่ค่อยๆจางลงของเธอทำให้รู้ว่าเธอกำลังหมายถึงตามที่พูดจริงๆ “เรามีแฟนกันแล้ว แล้ววันนึงหนูก็จะไม่อยู่”
ผมยิ้มน้อยๆ ฟังเธอตอบ เพราะจริงๆผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะต้องตกลง เพราะที่ขอออกไป เพียงเพราะต้องการให้เธอรู้ว่าผมรู้สึกยังไง
“ทำไมพี่ถึงขอ” เธอถาม
ผมผ่อนหายใจออกแรงๆ “เรามีเวลาให้กันจำกัด ไม่นานหนูจะไปจากที่นี่ ไม่ว่าเราจะรู้สึกอะไรต่อกัน ไม่นานเราก็ต้องหายจากกันไป พี่แค่อยากทำเวลาที่พี่สามารถเจอเราได้ที่มีเหลือไม่มากนี้ให้ดี พี่เจอเราแล้ว พี่ก็อยากดูแลเท่าที่พี่จะทำได้” ผมอธิบาย
“หนูไม่รู้ แต่มันจะเจ็บนะ” น้องพีชพูดสิ่งที่คิด “พี่รู้มั้ย ตั้งแต่หนูเลิกกับคนที่หนูรักมากๆ หนูไม่เคยรักใครได้อีกเลย มันมีความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้น แต่ไม่นานหนูก็ไม่ได้รู้สึกอีก กับคนนั้นก็เหมือนกัน” น้องพีชอธิบายขณะถอยตัวออกจากบนตัวผม “หนูฝังใจ มันเลยทำให้หนูไม่เคยรักใครอีกเลย”
.
ผมปะติดปะต่อจินตนาการภาพได้เป็นฉากๆ ว่าเด็กที่มีปมขาดความรัก จนเป็นโรควิตกกังวล พอมีความรัก ก็จะรักมาก และเป็นรักที่ทุ่มเทจากปมในใจที่ขาดแคลนความรัก มันคงเป็นรักที่มีความวิตกกังวลว่าจะต้องสูญเสียหล่อเลี้ยงอยู่เบื้องหลัง และเมื่อมันพังลงก็จะเป็นประสบการณ์ที่หนักหนาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ เธออายุเพิ่งจะ 20 แปลว่าอย่างเก่ง ก็คงมีแฟนตอนอายุ 15-16 เด็กแค่นี้จะไปมีวุฒิภาวะเรื่องความสัมพันธ์ซักเท่าไหร่กัน การที่เธอพูดราวกับตัวเองโชกโชนด้วยวัยเพียงเท่านี้มันช่างดูย้อนแย้ง
“พีชคบกะแฟนคนที่ว่าเนี่ย นานแค่ไหน” ผมถาม
“6 เดือน.....​ ทำไมเหรอคะ” พีชถามผมกลับ
“พี่มีแฟนคนแรกตอนอายุ 17 ปี คบกันมา 7 ปี”
“โห หนูไม่เคยคบใครได้เกินปีเลย” พีชบอก
“พี่เต็มที่กับทุกความสัมพันธ์ และพี่คิดว่าคนที่คบกับพี่ก็รู้สึกได้ว่าพี่เต็มที่จริงๆ ทุกครั้งมันเลยเป็นอะไรที่ชัดเจน และพยายามไปด้วยกันอย่างเต็มที่”
“หนูไม่รู้ หนูรู้สึกดีกับพี่นะ แต่หนูกลัวว่าถ้าเราสร้างความผูกพันธ์ไปมากกว่านี้ มันจะเจ็บตอนเราจบ”
“พี่ไม่กลัวเจ็บ คนเรารักกันละจากกันน่ะ มันต้องเจ็บ ต้องเสียใจอยู่แล้ว แต่สำหรับพี่ สิ่งดีๆ ที่มันได้เกิดขึ้น และเราสามารถทำได้ มันมีค่ามากพอ”
พีชฟังผม แล้วนิ่ง คงกำลังลังเล “มันต้องเป็นสถานะนั้นด้วยเหรอ” พีชถาม
“จริงๆ แล้วมันไม่ได้สำคัญหรอก แต่เราจะเป็นอะไรกัน มันก็ต้องอยู่บนความสบายใจของหนูด้วย” ผมบอกเพื่อให้เธอเห็น ว่าผมไม่ได้จะบังคับหรือยึดติดกับสถานะใดๆ
“เราเป็นแฟนกันไม่ได้หรอกค่ะ ….” พีชพูดทิ้งท้ายไว้ ไม่ต้องอธิบายก็รู้กัน
“งั้น…. ใช้คำว่า ‘คบกัน’ ก็พอดีมั้ย คบกันแบบยอมรับในข้อจำกัดของกัน พี่รู้เราทั้งคู่ มีพื้นที่ส่วนตัวที่เราต้องรับผิดชอบดูแล”
สีหน้าเธอดูผ่อนคลายขึ้นเมื่อผมเสนอทางเลือกนี้ให้เธอ
“โอเคค่ะ”
.
.
.
ผมค่อยๆ จิบกาแฟจนหมดถึงก้นถ้วย ขณะนั่งอาบแสงแดดยามเช้า แต่กัดทานขนมปังไปได้เพียงครึ่งชิ้นก็กินไม่ลง ผ่านไปแล้วเกือบชั่วโมงที่ผมปล่อยสมองวิ่งวนในความคิดเรื่องน้องพีชถึงเหตุการณ์ที่เราเริ่ม “คบกัน” ใกล้แปดโมงแล้ว แต่เราคุยกันว่าจะออกจากที่นี่ไม่เกิน 10 โมงครึ่ง ผมจัดแจงกดสั่งก๋วยเตี๋ยวมาสองห่อผ่านแอพเดลิเวอรี่ น้องพีชชอบทานเส้นหมี่ เธอบอกว่ามันทำให้เธอนึกถึงที่บ้าน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงอาหารก็มาส่ง
.
หน้าต่างห้องนอนที่เราพักหันไปทางทิศเหนือ ทำให้ม่านที่ถูกแง้มไว้มีแสงสาดลอดเข้ามา พอน้องพีชได้ยินเสียงผมเปิดห้องก็หรี่ลืมตาขึ้นมามองผม
“ไปไหนมาคะ” เธอถามผมเสียงเล็กเซ็กซี่แบบผู้หญิงเพิ่งตื่นนอนตอนเช้า
“ไปกินกาแฟมาค่ะ” ผมตอบเธอพยายามทำเสียงให้นุ่มนวลที่สุด ตาเธอปรือรู้ได้เลยว่ายังงัวเงียอยู่มาก “อยากลุกยัง” ผมถาม เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหรี่ตากดดูเวลา แล้วทำนิ้วชูเลขเก้าแล้วปิดตาลงนอนต่อ ผมยิ้มและขำหึๆ เบาๆ ในคอ ปกติเวลานิ่งๆ ผมจะหน้าดุและดูจริงจัง ทำให้ผมฝึกตัวเองให้ยิ้มและหัวเราะเบาๆ ไปกับทุกอย่างที่เจอ จนมันเป็นนิสัย
.
วิถีชีวิตที่ผ่านมาของผม มีหลายปีที่ผมนอนน้อยติดต่อกันเป็นเวลานาน แต่โชคดีที่เป็นช่วงที่งานหนักแต่ไม่มีความเครียด มันทำให้แม้จะนอนน้อย แต่ก็เป็นการนอนที่มีคุณภาพ และทำให้ผมเป็นคนที่ต่อให้นอนน้อยแค่ไหน อีกวันก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ ไม่ถูกความง่วงรบกวนแม้จะหมดสภาพเมื่อหมดวันก็ตาม เมื่อคืนหลังจากมาถึงที่พัก กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม ผมที่ลืมตาตื่นตอนเจ็ดโมงจึงถือว่าเป็นการนอนที่น้อย แต่ก็ยังตื่นได้ปกติ ต่างจากน้องพีช ยิ่งเธอมีปัญหานอนหลับไม่สนิท มันจึงทำให้เธอมีสภาพเหมือนนอนไม่พอตลอดเวลา แม้จะนอนเยอะแค่ไหนก็ตาม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่