黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : ภาคหวงเฉิงเฟิง บทที่ ๑๓. สัมพันธภาพ

b]บทนำ https://ppantip.com/topic/38091648
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เกริ่นนำ : นิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องหลักที่ซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางนะคะ ,นิยายเรื่องนี้และบางสถานที่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด  
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ





"บทที่ ๑๓.สัมพันธภาพ "


                  ในค่ำคืนนี้ หูเจี้ยนสวมชุดสูทสีครีมตัดเย็บทันสมัยช่วยเสริมให้ร่างผอมสูงของเขาดูโดดเด่น เหมยหลิงเห็นแล้วก็ยิ้มพร้อมทั้งกล่าวชื่นชม เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาสวมชุดสูทแล้วดูดีเช่นนี้  ส่วนเธออยู่ในชุดฉีผาวสีฟ้าอ่อนปักลวดลายดอกไม้สีสันสดใส แลดูงดงาม สวยสะดุดตาจนหูเจี้ยนถึงกับจ้องมองตะลึงเลยทีเดียว
                 เฉิงเฟิงเห็นได้เวลาจึงบอกให้อาเล่อกับจินฮ่านช่วยกันดูแลหูเจี้ยนกับเหมยหลิง  อาเล่อทำหน้าที่ขับรถพาหนุ่มสาวทั้งสองคนไปที่ ‘เทียนโหลว’ ซึ่งเป็นภัตตาคารระดับห้าดาว
                เพียงไม่นาน พวกเขาก็มาถึงภัตตาคารชื่อดังในเวลาหนึ่งทุ่มตรง ทั้งสองหนุ่มสาวลงจากรถแล้วเดินเข้าไปด้านใน  ผู้จัดการร่างใหญ่แต่งกายเรียบร้อยรีบมายืนคอยต้อนรับลูกค้าคนสำคัญด้วยตนเอง และได้พาพวกเขาไปยังห้องพิเศษ  หัวหน้าบริกรพร้อมพนักงานอีกสองคนก็ติดตามมาช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด
               เมื่อทั้งคู่เดินมาที่โต๊ะรับประทานอาหารและนั่งลงเรียบร้อยแล้ว หูเจี้ยนหันไปสอบถามเหมยหลิงเพื่อสั่งอาหารที่เธอชอบ แต่ครั้งนี้เหมยหลิงกลับอยากทานอาหารจีนแทนสเต็กปลาแซลมอนที่เธอเคยโปรดปราน ทำให้หูเจี้ยนอดนึกแปลกใจไม่ได้ เขายิ้มแล้วก็ทำหน้าที่เป็นคนสั่งอาหารให้ หัวหน้าบริกรรับออเดอร์ ทางด้านผู้จัดการก็สอบถามลูกค้าทั้งสองอีกครั้งด้วยความเอาใจใส่เพื่อไม่ให้มีสิ่งที่ขาดตกบกพร่อง ก่อนที่พวกเขาจะพากันเดินออกไปจากห้อง          
                หูเจี้ยนหันกลับมาจ้องมองหน้าของเหมยหลิงแล้วยิ้มจนตาหยี่โดยไม่รู้จะเริ่มต้นสนทนาอย่างไร ทำให้เหมยหลิงเห็นแล้วต้องอมยิ้มไปด้วย  เธอรู้จักหูเจี้ยนดีตั้งแต่เขาและเธอยังเป็นเด็ก เขาเป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลาย
                สักครู่ก็มีเสียงเคาะประตูที่เปิดอยู่ จินฮ่านเดินเข้ามาพร้อมกับนำช่อดอกไม้มาส่งให้
               “ขอประทานโทษครับคุณเจี้ยน ดอกไม้ที่คุณสั่งไว้”  
                ทำให้หูเจี้ยนมองหน้าจินฮ่าน จนอีกฝ่ายต้องยิ้มกว้างพร้อมกับหลิ่วตาเป็นการบอกใบ้ให้
             “ดอกไม้ที่คุณเจี้ยนตั้งใจจะมอบให้กับคุณเหมยหลิงไงละครับ”  คำพูดและการส่งสัญญาณของจินฮ่านทำให้หูเจี้ยนเริ่มที่จะเข้าใจแล้วว่าคงจะเป็นดอกไม้ที่พี่ชายของเขาได้เตรียมไว้ให้  หูเจี้ยนจึงยิ้มพร้อมกับกล่าวขอบคุณ  จินฮ่านยิ้มกว้างให้หนุ่มสาวทั้งสองคนก่อนที่จะเดินออกไป
             หูเจี้ยนก้มมองดอกไม้ในมือแล้วก็เงยหน้ามองเหมยหลิง เขาลุกขึ้นเดินไปยื่นช่อดอกไม้แสนสวยนี้ให้กับมือของเธอ  
             “ขอบคุณพี่เจี้ยน ดอกไม้ช่อนี้สวยมากเลยค่ะ” เหมยหลิงยกดอกไม้ขึ้นสูดกลิ่นหอม ใบหน้าระบายด้วยรอยยิ้มหวาน ทำให้หูเจี้ยนเห็นแล้วรู้สึกมีความสุขไปด้วย  เธอพูดคุยกับเขาไปก็ยังกอดช่อดอกไม้ไว้แนบกับตัว
            
             ราวยี่สิบนาทีต่อมา บริกรก็พากันเดินเข้ามาเสิร์ฟอาหาร เรียบร้อยแล้วก็พาเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูห้องให้
               “อาหารชุดนี้น่าจะถูกปากของน้องหลิง” หูเจี้ยนยิ้ม อาหารบนโต๊ะล้วนเป็นที่ขึ้นชื่อของภัตตาคารแห่งนี้
               เหมยหลิงวางช่อดอกไม้ไว้ด้านข้างแล้วมองอาหารบนโต๊ะ แต่ละจานจัดแต่งอย่างมีศิลปะ ปรุงสดใหม่ ร้อนจนควันขึ้นฟุ้งและมีกลิ่นหอมฉุยชวนน่ารับประทานสมกับที่ภัตตาคารแห่งนี้ได้รับคำชมทั้งความรวดเร็วและรสชาติแสนอร่อย
               ที่สำคัญหูเจี้ยนช่างรู้ใจเธอ  เหมยหลิงยิ้มให้หูเจี้ยน ต่างคนต่างก็พูดเชิญให้อีกฝ่ายลงมือรับประทานอาหาร
              หูเจี้ยนใช้ตะเกียบคีบอาหารให้กับเหมยหลิง  ส่วนเธอก็คีบอาหารให้เขาด้วยเช่นกัน จนตะเกียบในมือของคนทั้งคู่กระทบถูกกันเข้าราวกับคนที่มีใจตรงกัน  หูเจี้ยนกลับเป็นฝ่ายยิ้มเขินจนใบหน้าแดงถึงหู  เหมยหลิงก็ยิ้มหน้าระเรื่อเช่นกัน ทั้งคู่ต่างพากันหัวเราะแล้วเริ่มทานอาหาร..
              
                “น้องหลิงจะอยู่ที่ซ่างไห่นานแค่ไหนล่ะ”  
               คำถามของหูเจี้ยนทำให้หญิงสาวต้องเงยหน้าขึ้นมองเขา “ก็..อยู่ที่พี่เจี้ยนอยากจะให้ฉันอยู่นานแค่ไหน”
             เหมยหลิงพูดแล้วก็จ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มผู้ที่มีจิตใจซื่อบริสุทธิ์  เธอวางตะเกียบลงแล้วเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปแตะหลังมือของเขา  หูเจี้ยนต้องวางตะเกียบลงเช่นกัน ในตอนนี้หัวใจของเขารู้สึกพองโต ตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ถูก
             “ถ้าพี่เจี้ยนอยากจะให้ฉันอยู่ที่นี่กับพี่  ฉันก็พร้อมแล้ว”  
              หูเจี้ยนถึงกับมือสั่น ยอมรับว่าตื่นเต้นมาก เหมยหลิงเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาหลงรักมาตลอด
            “น้องหลิงพูดจริงเหรอ น้องหลิงอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับพี่”  หูเจี้ยนรู้สึกว่าตนเองไม่อาจจะคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติได้
            “ฉันขอโทษนะที่ทำให้พี่เจี้ยนเสียใจ “  เหมยหลิงพูดแล้วก็น้ำตาเอ่อขึ้นมาทันที  หูเจี้ยนรีบพูดปลอบใจอีกฝ่าย
            “พี่เห็นน้องหลิงมีความสุข พี่ก็ดีใจแล้ว”
             ยิ่งได้ฟังคำพูดที่จริงใจของหูเจี้ยน  เหมยหลิงก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน เธอจึงเปิดใจพูดกับเขา “ คุณโนมูระมีการศึกษา มีฐานะ เขาเป็นผู้ชายในอุดมคติของฉัน ตอนนั้นฉันมีความสุขที่ได้แต่งงานกับเขา”  เหมยหลิงพูดแล้วพยายามมีรอยยิ้ม
             “แต่ชีวิตแต่งงานผ่านไปได้แค่สองปี ทำให้ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องของเด็กสาวคนหนึ่งที่เคยวาดฝันไว้เลิศเลอเท่านั้น”
              เหมยหลิงรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกที่ลำคอจนพูดไม่ออก คราวนี้หูเจี้ยนลุกขึ้นแล้วขยับเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้ ๆ พร้อมกับเอื้อมทั้งสองมือไปกุมมือของเหมยหลิงเอาไว้ “ถ้าน้องหลิงไม่สบายใจก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นอีกนะ มันผ่านไปแล้ว”
             “ฉันสุขภาพไม่ค่อยดี ฉันอาจจะมีลูกไม่ได้ พี่เจี้ยนจะโกรธฉันไหม” เหมยหลิงพูดน้ำเสียงสั่นเครือ รู้ว่าเรื่องนี้อาจจะถือเป็นเรื่องใหญ่สำคัญผู้ชายที่มีครอบครัวและอยากจะมีบุตรไว้สืบสกุล
               หูเจี้ยนส่ายหน้าไปมา “พี่ไม่รู้ว่าน้องหลิงจะมีความสุขที่ได้อยู่กับพี่หรือเปล่า ถ้าหากว่าในอนาคตน้องหลิงรู้สึกไม่มีความสุขก็บอกได้ พี่พร้อมจะรับฟัง”
             “พี่เจี้ยน..”  เหมยหลิงโน้มตัวเข้ากอดหูเจี้ยนแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลลงสองแก้ม  เธอรู้สึกเป็นตัวของตัวเองในยามที่ได้อยู่กับหูเจี้ยน บัดนี้รู้หัวใจตัวเองดีแล้วว่าคนที่เธอสามารถคุยได้ทุกอย่างและอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุดก็คือผู้ชายคนนี้
              หูเจี้ยนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาให้เหมยหลิงแล้วพูดปลอบให้สบายใจ  “พวกเรามาทานข้าวกันต่อเถอะ”
              เหมยหลิงดวงตายังคงแดงก่ำ เธอพยักหน้าให้เขา หนุ่มสาวทั้งสองคนต่างก็ยิ้มให้กัน…

             ในเวลาสี่ทุ่มของคืนเดียวกันนี้ หงซินได้เดินกลับมาที่บ้านพักซึ่งอยู่ในย่านหลูวาน อากาศด้านนอกเริ่มมีลมพัดเย็น บรรยากาศรอบ ๆ ทำให้หงซินรู้สึกเย็นเยือกจนต้องกระชับเสื้อคลุมแล้วเดินเลี้ยวเข้ามาในตรอก ขณะที่เดินอยู่ได้สักพัก สัญชาตญาณบอกถึงความรู้สึกผิดปกติ ร้านที่เคยเปิดค้าขายอยู่สามสี่ร้านในเวลานี้ ต่างก็ปิดประตูร้านเร็วกว่าปกติ ยิ่งทำให้รอบบริเวณนี้ดูเงียบเชียบไปถนัดตา
                หงซินพยายามเร่งฝีเท้า แต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นตรอกแห่งนี้ ชายร่างกำยำสี่คนก็เดินออกมาจากที่ซ่อน คนพวกนี้แต่งกายคล้ายกับคนงาน สีหน้าท่าทางไม่ได้บ่งบอกว่ามีความเป็นมิตร พวกมันก้าวเท้ามายืนล้อมขวางทางเอาไว้  
                 หงซินต้องยืนตั้งหลักแล้วแข็งใจตะโกนถามออกไป  “พวกแกเป็นคนของแก๊งไหนกัน “
                 “เป็นคนที่จะมาจัดการกับแกไงล่ะ” คนที่ตอบกลับมาแสดงความเหี้ยมในน้ำเสียง
                  ฝ่ายตรงข้ามไม่พูดต่อให้เสียเวลา คนเป็นหัวหน้าหันไปส่งสัญญาณให้ลูกน้องอีกสามคน พวกมันหยิบอาวุธที่ซ่อนอยู่ออกมาซึ่งมีทั้งมีดสั้น ขวาน แต่ที่ทำให้หงซินรู้สึกสะท้านกายก็คือดาบเล่มหนึ่งที่อยู่ในมือของคนที่ดูเป็นหัวหน้า
                  หงซินรู้ว่าดาบชนิดนี้มีเอาไว้เพื่อใช้ตัดศีรษะของศัตรู  เขาพยายามนึกว่าระยะนี้มีเรื่องบาดหมางกับใคร
                  แต่พวกมันไม่เปิดโอกาสให้เขาอีกต่อไป ต่างก็พากันโถมอาวุธเข้าใส่หงซินทันที...
                   
                 อีกด้านหนึ่งเมื่อหูเจี้ยนกลับมาถึงบ้านตระกูลหวงได้สักครู่ก็แวะเข้าไปพบเฉิงเฟิงที่ห้อง เห็นพี่ชายนั่งอ่านหนังสืออยู่  “ฉันเห็นไฟในห้องพี่ใหญ่ยังเปิดอยู่ คิดว่าพี่คงยังไม่เข้านอน”
                  เฉิงเฟิงยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินมาสอบถามกับน้องชาย “เป็นยังไงบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”
                 หูเจี้ยนพยักหน้า กล่าวขอบคุณพี่ชายที่ช่วยจัดการทั้งเรื่องดอกไม้และสถานที่ในคืนนี้  น้องชายมีสีหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลาที่เล่าเรื่องของเขากับเหมยหลิงให้เฉิงเฟิงฟัง จนคนเป็นพี่ชายถึงกับยิ้มตามด้วยความยินดี
                  “นายจะขอเหมยหลิงแต่งงานเมื่อไหร่ล่ะ”
                  คนถูกถามถึงกับยิ้มเขิน “ฉันคิดว่าจะให้เวลากับเหมยหลิงตัดสินใจให้ดีก่อน พี่ใหญ่ว่าดีไหม ถ้าพวกเราพร้อมแล้ว ฉันจะบอกกับพี่ใหญ่เป็นคนแรก”
                  เฉิงเฟิงยิ้มพยักหน้าเห็นด้วย หูเจี้ยนนึกขึ้นได้ว่าคุยเรื่องของตนเองเสียเพลิน เลยถามเรื่องหัวใจของพี่ชายบ้าง
                  “แล้วพี่ใหญ่กับคุณหนูหลี่เป็นยังไง”
                  “พี่ไม่เคยไปหาเธอที่ห้อง แล้วเธอก็ไม่เคยมาหาพี่ที่ห้อง แม้จะอยู่บ้านเดียวกันก็ยังไม่ค่อยได้พบหน้ากันเลย”  
                   เฉิงเฟิงพูดแล้วก็ยักไหล่ หูเจี้ยนยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของพี่ชาย “พี่ใหญ่อาจจะไม่รู้ตัว เวลาที่พี่ใหญ่คุยกับคุณหนูหลี่ อย่างกับหนุ่มวัยสิบเจ็ดสิบแปดกำลังเกี้ยวสาว”
                   คราวนี้เฉิงเฟิงถึงกับเลิกคิ้วสูงแล้วถามกับน้องชาย “นายรู้สึกว่าพี่เป็นเช่นนั้นหรือ”
                    “พี่ใหญ่ก็อย่าให้ฉันกับเหมยหลิงแซงหน้าไปก่อนนะ” หูเจี้ยนอดที่จะพูดหยอกพี่ชายไม่ได้
                   เฉิงเฟิงถึงกับหัวเราะลั่นแล้วโอบไหล่น้องชาย “เดี๋ยวนี้นายรู้จักพูดแบบนี้แล้วหรือ”
                   ทั้งสองคนพี่น้องร่วมสาบานต่างก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความเป็นพี่น้องของพวกเขาก็ยังคงผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่