ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ น้องดาว Lady Star 919, คุณ สมาชิกหมายเลข 1065771, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณ jazzzero, คุณ เป่าชาง, จารย์จี GTW, คุณ nasa nasa
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
บทที่ 10
https://ppantip.com/topic/35992032
บทที่ 11
https://ppantip.com/topic/35999142
บทที่ 12
https://ppantip.com/topic/36005614
บทที่ 13
https://ppantip.com/topic/36008955
บทที่ 14
https://ppantip.com/topic/36015042
บทที่ 15
https://ppantip.com/topic/36022170
บทที่ 16
https://ppantip.com/topic/36025947
บทที่ 17
https://ppantip.com/topic/36032009
บทที่ 18
https://ppantip.com/topic/36038614
บทที่ 19
https://ppantip.com/topic/36045647
บทที่ 20
https://ppantip.com/topic/36052025
บทที่ 21
https://ppantip.com/topic/36057918
บทที่ 22
https://ppantip.com/topic/36064433
บทที่ 23
https://ppantip.com/topic/36071189
บทที่ 24
https://ppantip.com/topic/36080925
บทนี้แสดงให้เห็นค่ะว่าทำไมนนท์ถึงออกจากบ้านหลังนี้ไม่ได้
ส่วนแนวคิดสภาพของสถานที่ที่ปณิตาอยู่ในเวลานี้มาจาก purgatory ของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกค่ะ ตัวเองนับถือศาสนาพุทธนะคะ ก็เลยแทรกความเชี่อของโลกที่อยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นความตายตามศาสนาพุทธไว้ด้วย ก็เลยออกมาครึ่งๆ กลางๆ ลูกผีก็ไม่ใช่ลูกคนก็ไม่เชิงอย่างนี้แหละค่ะ
บทที่ 25
“คุณครูเจ็บไหมพี่น้อย” เสียงแจ๋วๆ ฟังดูหมองหม่นพอๆ กับสีหน้า
“คงไม่หรอกค่ะ อย่างที่คุณลุงบอกไงคะ คุณครูไม่รู้สึกตัวแล้ว”
“คุณครูยังไม่ตายใช่ไหมคะ” คราวนี้เด็กน้อยถามตรงไปตรงมา ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจความหมายของคำสำคัญนั้นสักเท่าใดนัก
น้อยชะงักมือจากแปรงที่กำลังใช้แปรงผมเส้นละเอียดของเด็กหญิงไปนานทีเดียว คำอธิบายอาการของครูสาวเท่าที่ได้ยินมานั้นคลุมเครือเต็มที จนขณะนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าครูของเด็กๆ เป็นอะไรกันแน่ ที่ว่ายังไม่ตาย แต่ไม่รู้สึกตัวมาห้าวันแล้วนั้นหมายความว่าอย่างไร คุณเขตบอกว่าหัวใจยังเต้นอยู่ แต่สมองกำลังจะหยุดทำงาน
‘เหมือนนอนหลับเลยค่ะ’ ได้ยินป้าคำแปงบอกคุณก้องเกียรติซึ่งมาถามไถ่อาการว่าอย่างนั้น แกได้ไปเยี่ยมครูปณิตามาสองรอบแล้ว
‘ที่คุณเขตขอให้ป้าของคุณครูขึ้นมาจากกรุงเทพก็คงเพราะอย่างนี้แหละค่ะ คงจะให้มาเห็นสภาพของคุณครูแล้วเป็นคนตัดสินใจว่าจะเอายังไง’
แม้จะสังหรณ์ใจว่าอาการของครูสาวคงใกล้จุดสิ้นสุดเต็มที แต่น้อยก็ยังไม่อยากให้เด็กอายุเพียงแค่นี้ต้องมารับรู้ หรือถ้าจำเป็นต้องรู้ก็อยากให้ลุงของแกเป็นคนอธิบายเองจะเหมาะกว่า
“ยังค่ะ คุณครูยังไม่ตายหรอกค่ะ คุณครูเพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้นเอง”
หลุดปากไปแล้วน้อยเองก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังโกหก เห็นสีหน้าของนายจ้างแต่ละครั้งที่กลับจากโรงพยาบาล ใครๆ ก็ดูออกว่าความหวังมีเหลืออยู่มากน้อยเพียงไร
ปณิตานั่งอยู่ที่ขอบเตียงทั้งๆ ที่ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ากำลังนั่งจริงๆ หรือเปล่า พยายามฟังทั้งคู่คุยกันอย่างตั้งอกตั้งใจ ที่ต้องพยายามก็เพราะมีเสียงซุบซิบของคนจำนวนมากดังแทรกอยู่ตลอดเวลา เธอได้ยินเสียงเหล่านั้นมาสักพักแล้ว แรกๆ ก็รำคาญอยู่เหมือนกันเพราะไม่เข้าใจว่าพูดอะไรกันนักหนา แต่พอนานเข้าก็เริ่มคุ้นเคย จนเวลานี้แทบไม่ได้ยินอีกแล้วเมื่อจิตไม่รับรู้
ชายตาดูแสงเรืองรองที่มุมห้องก็เห็นว่ารวมตัวกันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอีก เป็นรูปเป็นทรงจนเห็นใบหน้าของคนสองคนแทรกเข้ามา เป็นรูปหน้าเรืองแสงซึ่งเห็นได้เพียงโครงคร่าวๆ ดูเหมือนกันราวเป็นคู่แฝด เพราะพิมพ์เดียวกันไปหมดทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นรูปหน้าเรียว ดวงตายาวรี นัยน์ตาสีเทาอ่อนจางเจิดจรัส จมูกมีสันตรง ปากบางเฉียบ แต่ดูเท่าไรก็ดูไม่ออกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย สีหน้าที่ทั้งคู่กำลังมองดูผู้คนมากมายภายในห้องนั้นเฉยเมย
หากเพียงไม่นานแสงเรื่อเรืองนั้นก็กลับกระจัดกระจายเหมือนเดิม เพียงเพื่อจะรวมตัวกันใหม่อีกรอบเมื่อมีอะไรกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นฝูงชนกลุ่มใหม่ที่ผ่านเข้ามา หรือเมื่อมีคนจริงๆ เข้าหรือออกจากห้อง
เธอเริ่มคุ้นเคยกับสภาพความเป็นไปแปลกๆ ที่เห็นอยู่รอบตัวบ้างแล้ว เป็นความคุ้นเคยที่เกิดขึ้นเองราวกับฝืนไม่ได้ ราวกับมีความรู้สึกว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ จะเลี่ยงให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่กลัวและไม่หวาดระแวง ความกลัวนั้นมีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนับเวลาที่ผ่านไปก็ยิ่งมีอะไรแปลกประหลาดมหัศจรรย์มาให้เห็นมากขึ้นทุกที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ไม่รู้ว่าควรหนีไปอยู่ตรงไหนอีกแล้วจึงจะพ้นผู้คนมากมายที่ห้อมล้อมตัวอยู่ ว่าไปแล้วเธอไม่เห็นคนเหล่านั้นชัดเจนสักเท่าไรนักหรอก ส่วนใหญ่เป็นเพียงเงาขาวๆ คล้ายหมอกควัน ดูวูบวาบ เบียดเสียดกันไปมา บางครั้งดูเหมือนเงาของคนหลายคนกำลังเดินตามกันไปที่ไหนสักแห่ง ตามกันไปเป็นแถวยาวชนิดไม่มีที่สิ้นสุดเลยทีเดียว แต่ละคนถ้าไม่ดูหม่นหมองก็เฉยเมยราวไม่มีชีวิตจิตใจ ส่วนมากยังไม่ทันที่ท้ายแถวจะผ่านมาก็เลือนหายกันไปเสียก่อน แต่ก็เพียงไม่นาน แถวใหม่มีมาให้เห็นอีก
บางคนแทรกผ่านเธอไปเหมือนไม่สนใจว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ที่สำคัญคือไม่มีใครสักคนแสดงท่าทีรับรู้ว่าเธออยู่ที่นี่
ครั้งแรกๆ พอเห็นใครเข้ามาใกล้ ปณิตาจะรีบถอยหนี แต่พอหลายครั้งที่จู่ๆ ก็มีคนโผล่ขึ้นมาใกล้ๆ แล้วเคลื่อนผ่านไปโดยที่เธอไม่รู้สึกอะไรเลย จึงได้รู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพยายามหลบ ยิ่งมีผู้คนเยอะแยะไปหมดอย่างนี้ ก็ยิ่งไม่รู้ว่าจะหลบไปไหนพ้น ดีหน่อยที่เหมือนต่างคนต่างอยู่ ไม่มีใครรบกวนใคร ไม่มีใครสนใจใครเลยด้วยซ้ำ ดูๆ แล้วเป็นการคงอยู่ที่น่าหดหู่เสียจริงๆ ทั้งน่าหดหู่ ทั้งหงอยเหงา คนตั้งมากมาย แต่รู้สึกเหมือนโดดเดี่ยวอย่างไรก็อย่างนั้น
แต่ก็น่าแปลก ทั้งๆ ที่เหมือนว่าไม่มีใครสนใจใคร ปณิตาได้ยินเสียงคนพูดคุยกันตลอดเวลา เป็นเสียงกระซิบกระซาบที่ออกจะดังไปสักนิด ดังอยู่ทั่วไปหมดเลยทีเดียว ไม่รู้เลยว่าเสียงเหล่านั้นมาจากไหน เพราะเท่าที่เห็นก็ไม่มีใครอ้าปากพูดเลยสักคนเดียว และแม้เสียงกระซิบกระซาบนั้นจะดัง แต่ก็จับใจความอะไรไม่ได้เลย
“พี่น้อยไปดูคุณนนท์นิดนะคะ ไม่รู้ว่าแต่งตัวเสร็จหรือยัง”
น้อยวางแปรงกลับลงโต๊ะเครื่องแป้งตัวเล็กลวดลายดอกไม้สีชมพูสดใส เข้าชุดกับเตียงและผ้าปูที่นอน
ได้ยินชื่อเด็กในความดูแลอีกคน ปณิตาก็ให้เป็นห่วง และพอใจคิดถึง ชั่วกะพริบตาครั้งเดียวก็เห็นว่าแกกำลังยืนอยู่ข้างรถยนต์คันสีขาว เธอจำได้ดีว่าเป็นของคุณเขต เห็นผู้เป็นเจ้าของรถอุ้มหลานสาวซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยแล้วออกมาจากบ้าน น้อยแต่งตัวให้แกอย่างเรียบร้อยด้วยเสื้อขาวขลิบลูกไม้ กระโปรงเอี๊ยมสีขาว มีลายตาตารางสีน้ำเงินอ่อน
ที่สะดุดตาคือการแต่งกายของนนท์ แกสวมกางเกงขายาวสีเทาเข้มใหม่เอี่ยม เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ชายเสื้อสอดใส่อยู่ในกางเกง มีเข็มขัดหนังเส้นเล็กคาดทับ ดูเป็นงานเป็นการทีเดียว พอบอกได้ว่าแกมายืนคอยอยู่ข้างรถทำไม คุณเขตกำลังจะพาแกไปไหนสักแห่งอย่างแน่นอน จึงได้สงสัยขึ้นมาว่าแกยอมออกพ้นบริเวณบ้านแล้วอย่างนั้นหรือ
ไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีกแล้วเมื่อเห็นเขาเปิดประตูด้านผู้โดยสารทางตอนหน้ารถ แล้วอุ้มหลานสาวให้ขึ้นไปนั่ง เห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วก็ปิดประตูให้อย่างเบามือ
จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงข้างเดียวตรงหน้าหลานชาย ดึงเสื้อให้แกด้วยอากัปกิริยาอ่อนโยน ปณิตาดูแล้วสงสารเขาจับใจ ยิ่งได้ยินคำพูดของเขาก็ยิ่งสงสาร สงสารทั้งลุงทั้งหลานเลยทีเดียว
“จับมือพี่น้อยไว้นะครับนนท์ ไม่มีอะไรต้องกลัว ลุงก็อยู่ในรถด้วย”
คุ้มสีทอง (บทที่ 25)
ขอบคุณ น้องดาว Lady Star 919, คุณ สมาชิกหมายเลข 1065771, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณ jazzzero, คุณ เป่าชาง, จารย์จี GTW, คุณ nasa nasa
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
บทที่ 10 https://ppantip.com/topic/35992032
บทที่ 11 https://ppantip.com/topic/35999142
บทที่ 12 https://ppantip.com/topic/36005614
บทที่ 13 https://ppantip.com/topic/36008955
บทที่ 14 https://ppantip.com/topic/36015042
บทที่ 15 https://ppantip.com/topic/36022170
บทที่ 16 https://ppantip.com/topic/36025947
บทที่ 17 https://ppantip.com/topic/36032009
บทที่ 18 https://ppantip.com/topic/36038614
บทที่ 19 https://ppantip.com/topic/36045647
บทที่ 20 https://ppantip.com/topic/36052025
บทที่ 21 https://ppantip.com/topic/36057918
บทที่ 22 https://ppantip.com/topic/36064433
บทที่ 23 https://ppantip.com/topic/36071189
บทที่ 24 https://ppantip.com/topic/36080925
บทนี้แสดงให้เห็นค่ะว่าทำไมนนท์ถึงออกจากบ้านหลังนี้ไม่ได้
ส่วนแนวคิดสภาพของสถานที่ที่ปณิตาอยู่ในเวลานี้มาจาก purgatory ของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกค่ะ ตัวเองนับถือศาสนาพุทธนะคะ ก็เลยแทรกความเชี่อของโลกที่อยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นความตายตามศาสนาพุทธไว้ด้วย ก็เลยออกมาครึ่งๆ กลางๆ ลูกผีก็ไม่ใช่ลูกคนก็ไม่เชิงอย่างนี้แหละค่ะ
“คุณครูเจ็บไหมพี่น้อย” เสียงแจ๋วๆ ฟังดูหมองหม่นพอๆ กับสีหน้า
“คงไม่หรอกค่ะ อย่างที่คุณลุงบอกไงคะ คุณครูไม่รู้สึกตัวแล้ว”
“คุณครูยังไม่ตายใช่ไหมคะ” คราวนี้เด็กน้อยถามตรงไปตรงมา ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจความหมายของคำสำคัญนั้นสักเท่าใดนัก
น้อยชะงักมือจากแปรงที่กำลังใช้แปรงผมเส้นละเอียดของเด็กหญิงไปนานทีเดียว คำอธิบายอาการของครูสาวเท่าที่ได้ยินมานั้นคลุมเครือเต็มที จนขณะนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าครูของเด็กๆ เป็นอะไรกันแน่ ที่ว่ายังไม่ตาย แต่ไม่รู้สึกตัวมาห้าวันแล้วนั้นหมายความว่าอย่างไร คุณเขตบอกว่าหัวใจยังเต้นอยู่ แต่สมองกำลังจะหยุดทำงาน
‘เหมือนนอนหลับเลยค่ะ’ ได้ยินป้าคำแปงบอกคุณก้องเกียรติซึ่งมาถามไถ่อาการว่าอย่างนั้น แกได้ไปเยี่ยมครูปณิตามาสองรอบแล้ว
‘ที่คุณเขตขอให้ป้าของคุณครูขึ้นมาจากกรุงเทพก็คงเพราะอย่างนี้แหละค่ะ คงจะให้มาเห็นสภาพของคุณครูแล้วเป็นคนตัดสินใจว่าจะเอายังไง’
แม้จะสังหรณ์ใจว่าอาการของครูสาวคงใกล้จุดสิ้นสุดเต็มที แต่น้อยก็ยังไม่อยากให้เด็กอายุเพียงแค่นี้ต้องมารับรู้ หรือถ้าจำเป็นต้องรู้ก็อยากให้ลุงของแกเป็นคนอธิบายเองจะเหมาะกว่า
“ยังค่ะ คุณครูยังไม่ตายหรอกค่ะ คุณครูเพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้นเอง”
หลุดปากไปแล้วน้อยเองก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังโกหก เห็นสีหน้าของนายจ้างแต่ละครั้งที่กลับจากโรงพยาบาล ใครๆ ก็ดูออกว่าความหวังมีเหลืออยู่มากน้อยเพียงไร
ปณิตานั่งอยู่ที่ขอบเตียงทั้งๆ ที่ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ากำลังนั่งจริงๆ หรือเปล่า พยายามฟังทั้งคู่คุยกันอย่างตั้งอกตั้งใจ ที่ต้องพยายามก็เพราะมีเสียงซุบซิบของคนจำนวนมากดังแทรกอยู่ตลอดเวลา เธอได้ยินเสียงเหล่านั้นมาสักพักแล้ว แรกๆ ก็รำคาญอยู่เหมือนกันเพราะไม่เข้าใจว่าพูดอะไรกันนักหนา แต่พอนานเข้าก็เริ่มคุ้นเคย จนเวลานี้แทบไม่ได้ยินอีกแล้วเมื่อจิตไม่รับรู้
ชายตาดูแสงเรืองรองที่มุมห้องก็เห็นว่ารวมตัวกันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอีก เป็นรูปเป็นทรงจนเห็นใบหน้าของคนสองคนแทรกเข้ามา เป็นรูปหน้าเรืองแสงซึ่งเห็นได้เพียงโครงคร่าวๆ ดูเหมือนกันราวเป็นคู่แฝด เพราะพิมพ์เดียวกันไปหมดทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นรูปหน้าเรียว ดวงตายาวรี นัยน์ตาสีเทาอ่อนจางเจิดจรัส จมูกมีสันตรง ปากบางเฉียบ แต่ดูเท่าไรก็ดูไม่ออกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย สีหน้าที่ทั้งคู่กำลังมองดูผู้คนมากมายภายในห้องนั้นเฉยเมย
หากเพียงไม่นานแสงเรื่อเรืองนั้นก็กลับกระจัดกระจายเหมือนเดิม เพียงเพื่อจะรวมตัวกันใหม่อีกรอบเมื่อมีอะไรกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นฝูงชนกลุ่มใหม่ที่ผ่านเข้ามา หรือเมื่อมีคนจริงๆ เข้าหรือออกจากห้อง
เธอเริ่มคุ้นเคยกับสภาพความเป็นไปแปลกๆ ที่เห็นอยู่รอบตัวบ้างแล้ว เป็นความคุ้นเคยที่เกิดขึ้นเองราวกับฝืนไม่ได้ ราวกับมีความรู้สึกว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ จะเลี่ยงให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่กลัวและไม่หวาดระแวง ความกลัวนั้นมีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนับเวลาที่ผ่านไปก็ยิ่งมีอะไรแปลกประหลาดมหัศจรรย์มาให้เห็นมากขึ้นทุกที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ไม่รู้ว่าควรหนีไปอยู่ตรงไหนอีกแล้วจึงจะพ้นผู้คนมากมายที่ห้อมล้อมตัวอยู่ ว่าไปแล้วเธอไม่เห็นคนเหล่านั้นชัดเจนสักเท่าไรนักหรอก ส่วนใหญ่เป็นเพียงเงาขาวๆ คล้ายหมอกควัน ดูวูบวาบ เบียดเสียดกันไปมา บางครั้งดูเหมือนเงาของคนหลายคนกำลังเดินตามกันไปที่ไหนสักแห่ง ตามกันไปเป็นแถวยาวชนิดไม่มีที่สิ้นสุดเลยทีเดียว แต่ละคนถ้าไม่ดูหม่นหมองก็เฉยเมยราวไม่มีชีวิตจิตใจ ส่วนมากยังไม่ทันที่ท้ายแถวจะผ่านมาก็เลือนหายกันไปเสียก่อน แต่ก็เพียงไม่นาน แถวใหม่มีมาให้เห็นอีก
บางคนแทรกผ่านเธอไปเหมือนไม่สนใจว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ที่สำคัญคือไม่มีใครสักคนแสดงท่าทีรับรู้ว่าเธออยู่ที่นี่
ครั้งแรกๆ พอเห็นใครเข้ามาใกล้ ปณิตาจะรีบถอยหนี แต่พอหลายครั้งที่จู่ๆ ก็มีคนโผล่ขึ้นมาใกล้ๆ แล้วเคลื่อนผ่านไปโดยที่เธอไม่รู้สึกอะไรเลย จึงได้รู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพยายามหลบ ยิ่งมีผู้คนเยอะแยะไปหมดอย่างนี้ ก็ยิ่งไม่รู้ว่าจะหลบไปไหนพ้น ดีหน่อยที่เหมือนต่างคนต่างอยู่ ไม่มีใครรบกวนใคร ไม่มีใครสนใจใครเลยด้วยซ้ำ ดูๆ แล้วเป็นการคงอยู่ที่น่าหดหู่เสียจริงๆ ทั้งน่าหดหู่ ทั้งหงอยเหงา คนตั้งมากมาย แต่รู้สึกเหมือนโดดเดี่ยวอย่างไรก็อย่างนั้น
แต่ก็น่าแปลก ทั้งๆ ที่เหมือนว่าไม่มีใครสนใจใคร ปณิตาได้ยินเสียงคนพูดคุยกันตลอดเวลา เป็นเสียงกระซิบกระซาบที่ออกจะดังไปสักนิด ดังอยู่ทั่วไปหมดเลยทีเดียว ไม่รู้เลยว่าเสียงเหล่านั้นมาจากไหน เพราะเท่าที่เห็นก็ไม่มีใครอ้าปากพูดเลยสักคนเดียว และแม้เสียงกระซิบกระซาบนั้นจะดัง แต่ก็จับใจความอะไรไม่ได้เลย
“พี่น้อยไปดูคุณนนท์นิดนะคะ ไม่รู้ว่าแต่งตัวเสร็จหรือยัง”
น้อยวางแปรงกลับลงโต๊ะเครื่องแป้งตัวเล็กลวดลายดอกไม้สีชมพูสดใส เข้าชุดกับเตียงและผ้าปูที่นอน
ได้ยินชื่อเด็กในความดูแลอีกคน ปณิตาก็ให้เป็นห่วง และพอใจคิดถึง ชั่วกะพริบตาครั้งเดียวก็เห็นว่าแกกำลังยืนอยู่ข้างรถยนต์คันสีขาว เธอจำได้ดีว่าเป็นของคุณเขต เห็นผู้เป็นเจ้าของรถอุ้มหลานสาวซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยแล้วออกมาจากบ้าน น้อยแต่งตัวให้แกอย่างเรียบร้อยด้วยเสื้อขาวขลิบลูกไม้ กระโปรงเอี๊ยมสีขาว มีลายตาตารางสีน้ำเงินอ่อน
ที่สะดุดตาคือการแต่งกายของนนท์ แกสวมกางเกงขายาวสีเทาเข้มใหม่เอี่ยม เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ชายเสื้อสอดใส่อยู่ในกางเกง มีเข็มขัดหนังเส้นเล็กคาดทับ ดูเป็นงานเป็นการทีเดียว พอบอกได้ว่าแกมายืนคอยอยู่ข้างรถทำไม คุณเขตกำลังจะพาแกไปไหนสักแห่งอย่างแน่นอน จึงได้สงสัยขึ้นมาว่าแกยอมออกพ้นบริเวณบ้านแล้วอย่างนั้นหรือ
ไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีกแล้วเมื่อเห็นเขาเปิดประตูด้านผู้โดยสารทางตอนหน้ารถ แล้วอุ้มหลานสาวให้ขึ้นไปนั่ง เห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วก็ปิดประตูให้อย่างเบามือ
จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงข้างเดียวตรงหน้าหลานชาย ดึงเสื้อให้แกด้วยอากัปกิริยาอ่อนโยน ปณิตาดูแล้วสงสารเขาจับใจ ยิ่งได้ยินคำพูดของเขาก็ยิ่งสงสาร สงสารทั้งลุงทั้งหลานเลยทีเดียว
“จับมือพี่น้อยไว้นะครับนนท์ ไม่มีอะไรต้องกลัว ลุงก็อยู่ในรถด้วย”