ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน--ตอนที่ 3 : ตามพิจารณาธรรมในแบบ...อุปาทานขันธ์๕

กระทู้คำถาม
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน--ตอนที่ 1: ตามพิจารณาธรรมในแบบนิวรณ์๕.........👉https://ppantip.com/topic/41105554
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน--ตอนที่ 2: ตามพิจารณาธรรมในแบบ...อายตนะ 6...👉https://ppantip.com/topic/41112515




สรุป...

1. การปฏิบัติ...แบบธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน...แบบพิจารณา..อุปาทานขันธ์๕...นี้  ไม่ต้องบริกรรม...
    แต่ต้องคิดพิจารณาธรรมการบริกรรม...เป็นสมถะ...ไม่ได้ผิด-ไม่ได้ว่าผิด   
    เพียงแต่.." ไม่ต้องบริกรรม "..สำหรับการปฏิบัติ....แบบนี้

2.  การปฏิบัติแบบนี้... ต้องรู้ธรรม..ต้องรู้จักอุปาทานขันธ์๕....  ดังนี้  (ดูตารางประกอบ)

2.1 รูป...คือ...มหาภูตทั้ง4..อันได้แก่ ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม  และ..อวัยวะร่างกายที่ก่อมาจากมหาภูต4..
                    ด้วยด้วยเหตุแห่งอุปาทาน(ต้องไปศึกษาเพิ่มว่า... ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม ,....คือ..อะไร?)
     รูป...เกิดจาก...อาหาร...หมายถึงอาหารที่บริโภคเข้าไปเป็นอวัยวะร่างกายนี้... 
     รูป...ตั้งอยู่ไม่เพราะ...อาหาร...ถ้าไม่มีอาหารก็ดำรงค์อยู่ไม่ได้ 
                                    และ..อริยมรรค์8..เป็นหนทางในการดับของรูปนี้
 
 
2.2 เวทนา...คือ...ความรู้สึก...สุขกาย-ทุกข์กาย-สุขใจ(โสมน้ส)-ทุกข์ใจ(โทรมนัส)-อทุกขมสุข(อุเบกขา)
     เวทนา...เกิดจาก...ผัสสะ...หมายถึง...ผัสสะทางอายตนะทั้ง6
                  - ตา..เห็น..รูป...............................แล้วก็การรู้ทางตา ----> เวทนาทางตา...ก็เกิดขึ้น
                  - หู..ได้ยิน..เสียง...........................แล้วก็การรู้ทางหู -----> เวทนาทางหู.....ก็เกิดขึ้น
                  - จมูก..ได้...กลิ่น...........................แล้วก็การรู้ทางจมูก --> เวทนาทางจมูก..ก็เกิดขึ้น
                  - ลิ้น..ลิ้ม..รส.................................แล้วก็การรู้ทางลิ้น --> เวทนาทางลิ้น.....ก็เกิดขึ้น
                  - กาย.,ต้อง..สัมผัสทางกาย.............แล้วก็การรู้ทางกาย --> เวทนาทางกาย,..ก็เกิดขึ้น
                  - ใจรูปธรรม(เวทนา-สัญญา-สังขาร)..แล้วก็การรู้ทางใจ ---> เวทนาทางใจ....ก็เกิดขึ้น
                                                                                                         (โทรมนัส-โสมนัส-อุเบกขา)

    เวทนา...ตั้งอยู่ไม่เพราะ...ผัสสะดับไป...เมื่อผัสสะดับ..เวทนาก็ไม่มี 
                                         และ..อริยมรรค์8..เป็นหนทางในการดับของเวทนานี้
  
2.3 สัญญา...คือ...ความจำได้หมายรู้... เช่น จำได้หมายรู้สีแดง - สีเขียว - ว่าอะไรเป็นอะไร ....
                          คล้ายๆกับติดความจากผัสสะได้ว่าคืออะไร.. รวมถึงความทรงจำด้วย..
     สัญญา...เกิดจาก...ผัสสะ...หมายถึง...ผัสสะทางอายตนะทั้ง6...เช่นเดียวกับเวทยา...
                                 คือเมื่อผัสสะเกิด...สัญญาเกิดขึ้นเช่นเดียวกับ..เวทนา
     สัญญา...ตั้งอยู่ไม่เพราะ...ผัสสะดับไป...เมื่อผัสสะดับ..สัญญาก็ไม่มี  
                                          และ..อริยมรรค์8..เป็นหนทางในการดับของสัญญานี้

   
2.4 สังขาร...คือ...การปรุงแต่ง... เป็นความคิด - เป็นเจตนาด้วย... 
                          ปรุงแต่งไปทาง..กาย-วาจา-ใจ <--อันนี้กล่าวใน 3 แบบ
                         ถ้ากล่าวแบบ 5 คือ   
                          - ปรุงแต่งรูป..โดยความเป็นรูป
                          - ปรุงแต่งเวทนา..โดยความเป็นเวทนา
                          - ปรุงแต่งสัญญา..โดยความเป็นสัญญา.
                          - ปรุงแต่งสังขาร..โดยความเป็นสังขาร
                          - ปรุงแต่งวิญญาณ..โดยความเป็นวิญญาณ
                         (..จะเห็นว่า..ขันธ์๕..มันคือของปรุงแต่ง...เป็น...สังขตธาตุ...)
                
    สังขาร....เกิดจาก...ผัสสะ...หมายถึง...ผัสสะทางอายตนะทั้ง6...เช่นเดียวกับเวทยา...
                                 คือเมื่อผัสสะเกิด...สัญญาเกิดขึ้นเช่นเดียวกับ..เวทนา
     สังขาร....ตั้งอยู่ไม่เพราะ...ผัสสะดับไป...เมื่อผัสสะดับ..สังขารก็ไม่มี  
                    และ..อริยมรรค์8..เป็นหนทางในการดับของ สังขารนี้

2.5 วิญญาณ...คือ..." กริยาที่รู้ "...จำให้ดีเลยว่าฺือ " กริยา " ..ไม่ใช่ตัวรู้... ไอ้ตัวรู้นะ " เรานั่นหละที่รู้ "....
                              ถามว่า..รู้อะไร..ก็รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากอายตนะทั้ง 6 นั้นหละ..
                              คือ.. รู้ว่าเปรี้ยวบ้าง  ขมบ้าง.. 9ล9
                       
       วิญญาณ...เกิดจาก...นามรูป   คือ...เพราะว่าร่างกาย..และ..เวทนา-สัญญา-สังขาร..นี่หละ..
                                     เมื่ออายะตนะไปกระทบเข้า  ก็เกิดกริยาการรู้ขึ้นมา.... 
                                     การไปบอกว่า...วิญญาณ..หรือ..จิต..คือ..ตัวไปรู้นะ...มันไม่ถูกต้อง

       วิญญาณ...ตั้งอยู่ไม่เพราะ...นามรูปดับไป...เมื่อนามรูปดับ..วิญญาณก็ตั้งไม่ได้ 
                                               และ..อริยมรรค์8..เป็นหนทางในการดับของสัญญานี้

3. การปฏิบัตินี้... จะต้องรอบรู้ใน..อุปาทานขันธ์๕... ต้องมีความรู้ในพระสัทธรรมที่ถูกต้อง...และต้องเข้าใจ
    จึงจะสามารถยก..ความรู้เรื่องอุปาทานขันธ์๕...มาพิจารณาได้    การพิจารณาก็คือ..การคิดการตรึกในเรื่อง
     อุปาทานขันธ์๕....นั่นหละ

4. แม้นจะยก...พระสูตรเรื่อง " อุปาทานขันธ์๕ "...มาสาธยายก็ได้...  นี่ก็เป็นเหตุแห่งการบรรลุธรรมเช่นกัน,..

https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=22&A=461&Z=514
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

๖. วิมุตติสูตร
             [๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งวิมุตติ ๕ ประการนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้
จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น
อาสวะที่ยังไม่สิ้น ย่อมถึงความสิ้นไป หรือเธอย่อมบรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะ
ชั้นเยี่ยม ที่ยังไม่ได้บรรลุ เหตุแห่งวิมุตติ ๕ ประการเป็นไฉน 

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง...
-  พระศาสดาหรือเพื่อนสพรหมจารีผู้อยู่ในฐานะครูบางรูป ก็ไม่ได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ 
- แม้ภิกษุก็ไม่ได้แสดงธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาแก่ชนเหล่าอื่นโดยพิสดาร 

ก็แต่ว่าภิกษุย่อมทำการสาธยายธรรม...เท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาโดยพิสดาร "

เธอย่อมเข้าใจอรรถ เข้าใจธรรม ในธรรมนั้น 
ตามที่ภิกษุสาธยายธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาโดยพิสดาร 
เมื่อเธอเข้าใจอรรถ เข้าใจธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์ ... เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติข้อที่ ๓  ...

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

จบสูตรที่ ๖
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่