คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 24
4. นี่คือ.,.พระสูตรที่..ไม่ให้นิวรณ์เกิดขึ้น..เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้ดับไป...ดูหลักการตามนี้เลย...ครับ
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=42&Z=93
[๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น หรือกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อม
เป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนศุภนิมิต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจศุภนิมิตโดยไม่แยบคาย กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้พยาบาทที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น หรือพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อม
เป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนปฏิฆนิมิต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจปฏิฆนิมิตโดยไม่แยบคาย พยาบาทที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น
และพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะ
เป็นเหตุให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น หรือถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็น
ไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน ความบิดขี้เกียจ
ความเมาอาหาร และความที่จิตหดหู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลมีจิตหดหู่ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะ
เป็นเหตุให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น หรืออุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนความไม่สงบแห่งใจ
ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อบุคคลมีจิตไม่สงบแล้ว อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะ
เป็นเหตุให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น หรือวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไป
เพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนการใส่ใจโดยไม่แยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อบุคคลใส่ใจโดยไม่แยบคาย วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะ
เป็นเหตุให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว อัน
บุคคลย่อมละได้ เหมือนอศุภนิมิต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจอศุภนิมิตโดยแยบคาย กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้วอันบุคคลย่อมละได้ ฯ
[๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะ
เป็นเหตุให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคล
ย่อมละได้ เหมือนเมตตาเจโตวิมุติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจเมตตาเจโตวิมุติโดยแยบคาย พยาบาทที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
[๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะ
เป็นเหตุให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคล
ย่อมละได้ เหมือนความริเริ่ม ความพากเพียร ความบากบั่น
ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อบุคคลปรารภความเพียรแล้ว ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
[๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรืออุทธัจจกุกกุจจะ
ที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ เหมือนความสงบแห่งใจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลมีจิตสงบแล้ว อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
[๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว
อันบุคคลย่อมละได้ เหมือนการใส่ใจโดยแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจโดยแยบคาย วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
จบวรรคที่ ๒
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=42&Z=93
[๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น หรือกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อม
เป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนศุภนิมิต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจศุภนิมิตโดยไม่แยบคาย กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้พยาบาทที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น หรือพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อม
เป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนปฏิฆนิมิต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจปฏิฆนิมิตโดยไม่แยบคาย พยาบาทที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น
และพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะ
เป็นเหตุให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น หรือถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็น
ไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน ความบิดขี้เกียจ
ความเมาอาหาร และความที่จิตหดหู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลมีจิตหดหู่ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะ
เป็นเหตุให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น หรืออุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนความไม่สงบแห่งใจ
ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อบุคคลมีจิตไม่สงบแล้ว อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะ
เป็นเหตุให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น หรือวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไป
เพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนการใส่ใจโดยไม่แยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อบุคคลใส่ใจโดยไม่แยบคาย วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะ
เป็นเหตุให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว อัน
บุคคลย่อมละได้ เหมือนอศุภนิมิต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจอศุภนิมิตโดยแยบคาย กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้วอันบุคคลย่อมละได้ ฯ
[๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะ
เป็นเหตุให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคล
ย่อมละได้ เหมือนเมตตาเจโตวิมุติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจเมตตาเจโตวิมุติโดยแยบคาย พยาบาทที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
[๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะ
เป็นเหตุให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคล
ย่อมละได้ เหมือนความริเริ่ม ความพากเพียร ความบากบั่น
ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อบุคคลปรารภความเพียรแล้ว ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
[๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรืออุทธัจจกุกกุจจะ
ที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ เหมือนความสงบแห่งใจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลมีจิตสงบแล้ว อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
[๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว
อันบุคคลย่อมละได้ เหมือนการใส่ใจโดยแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจโดยแยบคาย วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
จบวรรคที่ ๒
แสดงความคิดเห็น
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน--ตอนที่ 1: ตามพิจารณาธรรมในแบบนิวรณ์๕
" สุตตมยปัญญา...และ...ภาวนามยปัญญา " <---แล้วก็จะกล่าวออกมาคล้ายๆ-ไปทำนอง..รู้จำไม่รู้จริง..อะไรในทำนองนี้
- พวกที่เอาพระสูตรมาจำพระสูตรมา...แสดงมาอธิบายนะ... ยังไม่เท่าไร...แค่ได้จำ <---อันนี้..ผิดมหันต์..
- มันจะบรรลุธรรมได้หรือ...กับการที่มาตรึกมาพิจารณาพระสัทธรรมที่ได้เรียนรู้มา..
(ต้องตรวจสอบตามหลักมหาปเทส๔..ด้วย) ต้องเห็นด้วยตาใน..ในสมาธิ..แสงสว่าง...ซิ <---อันนี้ก็ไม่ใช่ซะที่เดียว
เอ้าฟัง...ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน: ตามพิจารณาธรรมในแบบนิวรณ์๕ แล้วไปดูที่ผมสรุป
https://etipitaka.com/read/thai/10/216/
๙. มหาสติปัฏฐานสูตร (๒๒)
[๒๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ
ชื่อว่า กัมมา สทัมมะ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ 👈
เพื่อล่วงความโศกและ ปริเทวะ เพื่อความดับสูญ แห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่ง พระนิพพาน
หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ๔ ประการ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
- พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
- พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
- พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกเสียได้ ๑
- พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ
.....
...
....
ผมแปลตามศัพท์.. อ่านแล้วส่วนมาจะไม่เข้าใจให้ไปอ่านขอฉบับหลวงได้ที่นี่เลยครับ👉https://etipitaka.com/read/thai/10/223/
หรืออ่านในนี้ก็ได้
👇
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุป...
1. ผมจะสรุปการปฏิบัติ..ในการเจริญธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานจาก...ข้อความของพระสูตร..ดังนี้
1.1 คือเราจะต้องมีความรู้ก่อน...จะต้องมีความรู้เหล่านี้
- รู้จักนิวรณ์ทั้ง๕...ว่ามันคืออะไร..
- มันก่อให้เกิด...สังโยชน์อะไร-อย่างไร
- มันจะเกิดขึ้นมาได้ด้วยเหตุอันใด
- มันจะดับไปได้อย่างไร
- จะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
- จะต้องรู้จัก...ธรรมภายใน-ภายนอก..ว่าหมายถึงอะไร
☝
จะรู้สิ่งเหล่านี้...ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่ใช่ไปเห็นเองในสมาธิ... เห็นแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไร... จะไปพิจารณาธรรมได้อย่างไร
1.2 เมื่อมีความรู้แล้ว....ก็ให้สังเกตุเห็น...ธรรมที่ปรากฏในจิตของด้วเอง... คำว่า " ธรรมทั้งหลาย " ...ก็คือ...เวทนา-สัญญา-สังขาร
ประกอบไปด้วยนิวรณ์๕...หรือไม่.. ถ้ามีต้องรีบดับมัน.. การดับก็โดยการโยนิโสมนสิการที่ถูกต้อง...
1.3 ตามพิจารณาข้อธรรมที่ตนได้ฟัง-ได้อ่าน-ได้เล่าเรียนมา...ตามหัวข้อในข้อ 1.1
พร้อมตามกำจักมันออกไป,.และป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น
1.4 เมื่อเห็นนิวรณ์เหล่านี้มันเกิดขึ้น.,,เห็นมันดับไป <---การตามเห็นนี้คือ...เห็นการเกิดดัยของธรรม... <---เรียกว่า " ปัญญา "
1.5 เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้... ก็จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด..ในธรรมทั้งหลาย.,เมื่อเบื่อหน่ายก็จะคลายกำหนัด...และหลุดพ้น
2. จะเห็นว่า..." การเจริญธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน "...ไม่ต้องท่องคำภาวนาใดๆ
ไม่ต้องกำหนดลมและการเคลื่อนไหวใดๆ(นั่นมันกายคตาสติ)
แต่มีสติในการพิจารณาในธรรมที่ปรากฏต่อใจ...อันเป็นนิวรณ์ทั้ง๕..นี้ พร้อมกับสุตตะที่ตนทรงจำไว้,..
การทบทวบพิจารณาธรรมที่ตนทรงจำไว้...จะเป็นเหตุให้บรรลุธรรมได้เลย..ตามอาการของโพชฌงค์ 7 คือ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง
- พระศาสดาหรือเพื่อนสพรหมจารีผู้อยู่ในฐานะครูบางรูป ก็ไม่ได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ
- ภิกษุก็ไม่ได้แสดงธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาแก่ชนเหล่าอื่นโดยพิสดาร
- แม้ภิกษุก็ไม่ได้ทำการสาธยายธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาโดยพิสดาร
ก็แต่ว่า
ภิกษุย่อมตรึกตรองใคร่ครวญธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาด้วยใจ 👈..สติ+ธรรมวิจย+วิริย..สัมโพชฌงค์
เธอย่อมเข้าใจอรรถ เข้าใจธรรมในธรรมนั้น ตามที่ภิกษุตรึกตรองใคร่ครวญธรรมตามที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาด้วยใจ
เมื่อเธอเข้าใจอรรถ เข้าใจธรรมย่อมเกิดปราโมทย์ 👈..ปีติสัมโพชฌงค์
เมื่อเกิดปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ 👈..ปีติสัมโพชฌงค์
เมื่อมีใจเกิดปีติ กายย่อมสงบ 👈..ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ผู้มีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุข
เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น 👈..สม่ธิสัมโพชฌงค์ (ตามด้วย..อุเบกขาสัมโพชฌงค์)...ครบองค์ตรัสรูพอดี..พร้อมบรรลุธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติข้อที่ ๔ 👉 https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=22&A=461&Z=514
3. ให้ไปดูตอนท้ายของ..อานาปาณสติ..กายคตาสติ - เวทนานุปัสสนา - จิตตานุปัสสนา... ตอนท้ายจะกล่าวว่า
จะต้องเห็น " ธรรม..ที่เกิดขึ้น..และเสื่อมไป "...ปัญญาจึงจะเกิดได้ ความเบื่อหลายคลายกำหนัดจึงจะเกิดขึ้นได้
และ... จะเห็นได้...รู้ได้,..จะต้องรู้พระสัทธรรมที่ถูกต้อง " เท่านั้น "....ครับ
4. นี่คือ.,.พระสูตรที่..ไม่ให้นิวรณ์เกิดขึ้น..เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้ดับไป...ดูหลักการตามนี้เลย...ครับ
แสดงไว้ที่....ความคิดเห็นที่ 24...ครับ👉👉https://ppantip.com/topic/41105554/comment24