ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน--ตอนที่ 1: ตามพิจารณาธรรมในแบบนิวรณ์๕👉
https://ppantip.com/profile/5447057#topics
https://etipitaka.com/read/thai/10/216/
๙. มหาสติปัฏฐานสูตร (๒๒)
[๒๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ
ชื่อว่า กัมมา สทัมมะ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์....
ของเหล่าสัตว์ 👈
เพื่อล่วงความโศกและ ปริเทวะ เพื่อความดับสูญ แห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่ง พระนิพพาน
หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ๔ ประการ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
- พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
- พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
- พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกเสียได้ ๑
-
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ
.....
...
....
สรุป....
1. ท่านทั้งหลายสังเกตุดูให้ดี... ไม่มีการกำหนดลมหายใจ.... ไม่มีการบริกรรม...
(จะกำหนดลมหายใจก็ได้...แต่จะเป็นอาปานสติแทน..ซึ่งก็ซ้อนๆกันอยู่ แต่ที่แน่ๆ...อย่าไปบริกรรม)
การปฏิบัติ....สติปัฏฐานแบบพิจารณาธรรม.... ก็คือเป็นความรู้ที่ได้เรียนพระสัทธรรมที่ถูกต้องมาพิจารณา
ย้ำว่าต้องถูกต้อง.. ไปเอาสัทธรรมปฏิรูปมาพิจารณาก็เสียของไปอาจจะได้สมถะ..แต่จะไม่ได้วิปัสสนา
การปฏิบัติ..ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน...สามารถปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันเลย.. ไม่จำเป็นจะต้องนั่งคู้บัลลัง..
ให้ส้งเกตุ " ธรรมทั้งหลายที่ปรากฏต่อใจของเรา "..เลย แล้วพิจารณา
ในตอนที่ 2 นี้ให้ตามเห็น...ธรรมที่ปรากฏ..และเสื่อมไป ที่ ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ ....ตอนที่มันไปกระทบกับ...
อายตนะภายนออก...คือ...รูป - เสียง - กลิ่น - รส - กายสัมผัส - ธรรม(เวทนา - สัญญา - สังขาร)
2. คำว่า " สังโยชน์ "....อันเกิดขึ้น..เพราะอาศ้ยอายตนะภายใน..กับ...อายตนะภายนอก..
ตัว " สังโยชน์นี้,...คือ...ฉันทราคะ ".... หรือ...อุปาทาน...นั่นเอง..
👇
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ใส่ข้อความ
ต้องดูจากพระสูตรนี้...
👇
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=18&A=2294&Z=2369
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=18&A=2786&Z=2797
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
3. ต้องมีสติรู้ซึ่ง " ฉันทราคะ "...ที่ปรากฏมีขึ้น... ในทุกๆผัสสะ หรือกล่าวว่า..
ฉันทราคะ...ที่เกิดจาก...รูป + {ตา, หู, จมูก, ลิ้น" กาย}
ฉันทราคะ...ที่เกิดจาก...{เวทนา, สัญญา, สังขาร} + ใจ
การที่มีฉันทราคะเกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบกันของอายตนะ... ก็เพราะว่า... เราไม่รูโทษของขันธ์๕...นั่นเอง
ดูจากตารางก่อน.... จาเห็นว่า " ความไม่เที่ยง...ความแปรปรวน " ..คือ...อทีนวะ-โทษ...ของ...อายตนะทั้งภายในภายนอก
เมื่อเรารู้โทษของมันแล้วเอามาพิจารณา... ฉันทราคะก็จะไม่ปรากฏ... ที่ปรากฏก็จะดับไป
4. การที่เฝ้าสังเกตุเห็น... ฉันทราคะปรากฏ...และ...ดับไป หรือไม่เห็นฉันทราคะในจิต...
ก็เท่ากับเจริญสติแล้ว... และ..ความสามารถการเห็น..เกิด-ดับ..นั้น<--เรียกว่า " ปัญญา "...
5. เราเฝ้าดู....ภายในจิตของเรา โดยสอดส่องไปในอายตนะทั้6...
พบ...ฉัทราคะ... ก็ให้ทำลายมัน..ต้องถ่ายถอน..ต้องบันเทา ไม่ใช่ไปปล่อยให้มันดับเอง....
6. ฉันทราคะ...คือ...อุปาทาน เมื่อเราปฏิบัติละอุปาทานอยู่อย่างนี้... อนุสัยจะถูกละไป
ภพใหม่ก็จะไม่มี...(หมายถึง..ขันธ์แตกทำลายไปแล้ว..แล้วไปได้ภพทหม่)....
เพราะว่า...วิญญาณไม่มีที่ตั้งอาศัย..วิญาณจะไม่มีการหยั่งลง
นามรูปก็ไม่หยั้งลงเพราะไม่มีวิญาณจะไม่มีการหยั่งลง...
การเกิดชาติในภพใหม่จึงไม่มี.. จึงหลุดพ้น.. ไม่ขาดสูญนะ..
เมื่อเราทำได้อย่างนี้...
" เรานะไม่ใช่ขาดสูญเมื่อตาย.. มันตายเฉพาะสรีระกับชีวะ..
หากไม่มีอุปาทานเพราะอวิชชาดับหมดไม่เหลือเศษ...เราก็คือนิพพานธาตุ เป็นอมตะ "
เอ้า....ถล่มได้ตามอัธยาศัย...ครับ 😁😁
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน--ตอนที่ 2: ตามพิจารณาธรรมในแบบ...อายตนะ 6
https://etipitaka.com/read/thai/10/216/
๙. มหาสติปัฏฐานสูตร (๒๒)
[๒๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ
ชื่อว่า กัมมา สทัมมะ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์....ของเหล่าสัตว์ 👈
เพื่อล่วงความโศกและ ปริเทวะ เพื่อความดับสูญ แห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่ง พระนิพพาน
หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ๔ ประการ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
- พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
- พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
- พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกเสียได้ ๑
- พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ
.....
...
....
สรุป....
1. ท่านทั้งหลายสังเกตุดูให้ดี... ไม่มีการกำหนดลมหายใจ.... ไม่มีการบริกรรม...
(จะกำหนดลมหายใจก็ได้...แต่จะเป็นอาปานสติแทน..ซึ่งก็ซ้อนๆกันอยู่ แต่ที่แน่ๆ...อย่าไปบริกรรม)
การปฏิบัติ....สติปัฏฐานแบบพิจารณาธรรม.... ก็คือเป็นความรู้ที่ได้เรียนพระสัทธรรมที่ถูกต้องมาพิจารณา
ย้ำว่าต้องถูกต้อง.. ไปเอาสัทธรรมปฏิรูปมาพิจารณาก็เสียของไปอาจจะได้สมถะ..แต่จะไม่ได้วิปัสสนา
การปฏิบัติ..ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน...สามารถปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันเลย.. ไม่จำเป็นจะต้องนั่งคู้บัลลัง..
ให้ส้งเกตุ " ธรรมทั้งหลายที่ปรากฏต่อใจของเรา "..เลย แล้วพิจารณา
ในตอนที่ 2 นี้ให้ตามเห็น...ธรรมที่ปรากฏ..และเสื่อมไป ที่ ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ ....ตอนที่มันไปกระทบกับ...
อายตนะภายนออก...คือ...รูป - เสียง - กลิ่น - รส - กายสัมผัส - ธรรม(เวทนา - สัญญา - สังขาร)
2. คำว่า " สังโยชน์ "....อันเกิดขึ้น..เพราะอาศ้ยอายตนะภายใน..กับ...อายตนะภายนอก..
ตัว " สังโยชน์นี้,...คือ...ฉันทราคะ ".... หรือ...อุปาทาน...นั่นเอง..
👇
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ต้องดูจากพระสูตรนี้...
👇
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=18&A=2294&Z=2369
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=18&A=2786&Z=2797
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
3. ต้องมีสติรู้ซึ่ง " ฉันทราคะ "...ที่ปรากฏมีขึ้น... ในทุกๆผัสสะ หรือกล่าวว่า..
ฉันทราคะ...ที่เกิดจาก...รูป + {ตา, หู, จมูก, ลิ้น" กาย}
ฉันทราคะ...ที่เกิดจาก...{เวทนา, สัญญา, สังขาร} + ใจ
การที่มีฉันทราคะเกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบกันของอายตนะ... ก็เพราะว่า... เราไม่รูโทษของขันธ์๕...นั่นเอง
ดูจากตารางก่อน.... จาเห็นว่า " ความไม่เที่ยง...ความแปรปรวน " ..คือ...อทีนวะ-โทษ...ของ...อายตนะทั้งภายในภายนอก
เมื่อเรารู้โทษของมันแล้วเอามาพิจารณา... ฉันทราคะก็จะไม่ปรากฏ... ที่ปรากฏก็จะดับไป
4. การที่เฝ้าสังเกตุเห็น... ฉันทราคะปรากฏ...และ...ดับไป หรือไม่เห็นฉันทราคะในจิต...
ก็เท่ากับเจริญสติแล้ว... และ..ความสามารถการเห็น..เกิด-ดับ..นั้น<--เรียกว่า " ปัญญา "...
5. เราเฝ้าดู....ภายในจิตของเรา โดยสอดส่องไปในอายตนะทั้6...
พบ...ฉัทราคะ... ก็ให้ทำลายมัน..ต้องถ่ายถอน..ต้องบันเทา ไม่ใช่ไปปล่อยให้มันดับเอง....
6. ฉันทราคะ...คือ...อุปาทาน เมื่อเราปฏิบัติละอุปาทานอยู่อย่างนี้... อนุสัยจะถูกละไป
ภพใหม่ก็จะไม่มี...(หมายถึง..ขันธ์แตกทำลายไปแล้ว..แล้วไปได้ภพทหม่)....
เพราะว่า...วิญญาณไม่มีที่ตั้งอาศัย..วิญาณจะไม่มีการหยั่งลง
นามรูปก็ไม่หยั้งลงเพราะไม่มีวิญาณจะไม่มีการหยั่งลง...
การเกิดชาติในภพใหม่จึงไม่มี.. จึงหลุดพ้น.. ไม่ขาดสูญนะ..
เมื่อเราทำได้อย่างนี้...
" เรานะไม่ใช่ขาดสูญเมื่อตาย.. มันตายเฉพาะสรีระกับชีวะ..
หากไม่มีอุปาทานเพราะอวิชชาดับหมดไม่เหลือเศษ...เราก็คือนิพพานธาตุ เป็นอมตะ "
เอ้า....ถล่มได้ตามอัธยาศัย...ครับ 😁😁