อานาปานสติสมบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐานสมบูรณ์ (ยังเขียนไม่เสร็จ)

(เขียนเสร็จแล้วแต่แก้หัวข้อไม่ได้)
       อานาปานสติบริบูรณ์
ย่อมสติปัฏฐานให้บริบูรณ์

       ภิกษุทั้งหลาย! ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มาดูแล้วอย่างไรเล่า จึงทำให้สติปัฏฐานทั้ง ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ?
       ภิกษุทั้งหลาย!  สมัยใด ภิกษุ
       เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกยาว ก็รุ้ชัดว่าหายใจออกยาว
       เมื่อหายใจเข้าสั้น  ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจสั้น
       ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะกายทั้งปวงหายใจเข้า" ว่า "เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้ง หายใจออก"
       ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับ หายใจเข้า ว่า"เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับ หายใจออก"
        ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้นชื่อว่า เป็นผู้เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
        ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมกล่าว ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ว่าเป็นกายอันหนึ่งๆ ในกายทั้งหลาย
        ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุย่อมชื่อว่าเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำมีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
        ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
        ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราเป็นผู้รู้พร้อมซึ่งปีติ หายใจเข้า" ว่า "เราเป็นผู้รู้พร้อมซึ่งปีติหายใจออก"
        ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า" ว่าจะ "เราเป็นผู้รู้พร้อมซึ่งสุขหายใจออก"
        ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะจิตตสังขาร หายใจเข้า" ว่า "เราเป็นผู้รู้พร้อมซึ่งจิตตสังขารหายใจออก"
        ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้ระงับอยู่ หายใจเข้า" ว่า "เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้ระงับอยู่ หายใจออก"
        ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโมนัสในโลกออกเสียได้.
        ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมกล่าวการทำในใจเป็นอย่างดีต่อลมหายหายใจเข้า และลมหายใจออก ว่าเป็นเวทนาอันหนึ่ง ๆ ในเวทนาทั้งหลาย
       ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุใดนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุย่อมชื่อว่าเป็นเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
        ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
        ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก" ว่า " หายใจออก" ว่า "เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก"
        ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่ง หายใจเข้า" ว่า "เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่ง หายใจออก"
        ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่น หายใจเข้า" ว่า "เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่น หายใจออก"
        ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจเข้า"
ว่า "เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออก"
        ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า" ว่า "เราเป็นเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจออก"
        ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า เป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
        ภิกษุทั้งหลาย ! เราไม่กล่าวอานาปานสติ ว่าเป็นสิ่งที่มีได้แก่บุคคลผู้มีสติอันหลงลืมแล้ว ไม่มีสติปชัญญะ.
        ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
        ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
        ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า ว่า "เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจออก"
        ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า" ว่า "เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจออก"
        ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจเข้า" ว่า "เราเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจออก"
        ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า "เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจเข้า" ว่า ""เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจออก"
        ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้เห็นธรรมในธรรมอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
        ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุนั้น เป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะเป็นอย่างดีแล้ว เพราะเธอเห็นซึ่งการละอภิชฌาและโทมนัสทั้งหลายของเธอนั้นด้วยปัญญา.
        ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
        ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มาก็แล้ว อย่างนี้แล ย่อมทำสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้.
        ปล.ขอบคุณที่มาอ่านครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่