ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 33
http://ppantip.com/topic/33238018
ค่ายพักถูกกลบลบร่องรอยเพื่อคืนให้ผืนป่าเมื่อตะวันเริ่มฉายแสง หกชีวิตของครอบครัวก้าวข้ามแนวเนินดินมาแล้วด้วยสติมั่นในทุกก้าวย่าง ทัพหน้าเดินฝ่าฟันไปด้วยฝีเท้าที่ลดความเร็วลงเพื่อแบ่งปันประสาทสัมผัสให้ส่วนของการดมกลิ่นอันตรายได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สร้อยแก้วนั้นร่างกายเป็นปกติดีทุกอย่างแล้ว เธอได้รับการบอกเล่าถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ที่หมดสติจนพีอุ้มคุ้มภัยพากลับมาและคำประกาศก้องทายท้าของเขาต่อทุกสิ่งที่หมายแตะต้องตัวเธอ แม้จะเป็นเพียงคำพูดที่บอกกล่าวให้ได้รับรู้แต่ทรงอิทธิพลต่อหัวใจสาวจนหวิวไหว ยามนี้ความรู้สึกของหญิงสาวไม่ต่างจากแม่ลอยาที่ท่านพ่ออุ้มเดินกลับบ้านในวันคืนที่วิ่งไปรับด้วยหัวใจรัก
สร้อยแก้วเดินตามหลังมองพินิจไปยังชายหนุ่มที่ก้าวเท้าไปข้างหน้าด้วยท่าทีองอาจกล้าหาญ ความรู้สึกหนึ่งบอกเธอให้เร่งฝีเท้าตามไป
“สร้อยแก้ว” พีหันมายิ้มเรียกชื่อเมื่อหญิงสาวเร่งฝีเท้ามาเดินอยู่ข้างๆ
“มาเดินข้างพี่เดี๋ยวอะไรโผล่มาจะหลบไม่ทันนะ” พีเตือน
“สร้อยแก้วปลงใจเดินข้างท่านพี่จ้ะ” หญิงสาวตอบ
“เกิดอะไรโผล่มาพี่กันให้ไม่ทันจะทำยังไง” พีพูดมองหน้าเธอ
“หากมีภัยสร้อยแก้วจะสู้ด้วยกับท่านพี่จ้ะ” เธอบอกความตั้งใจ
“อย่างนั้นมันผิดวิธีเดินทัพนะจ๊ะ” พียิ้มบอกเธอถึงสิ่งที่ควรปฏิบัติ
“แล้วก็เรียกพี่เฉยๆก็ได้ ไม่ต้องเรียกท่านพี่หรอก” ชายหนุ่มบอก
“สร้อยแก้วอยากเรียกขานว่าท่านพี่” หญิงสาวพูด
“ทำไมล่ะ” พีถาม
สร้อยแก้วยิ้มไม่ตอบ เธอไม่กล้าบอกความรู้สึกที่อยากจะเรียกอย่างนั้นให้เหมือนที่แม่ลอยาเรียกท่านพ่อไกรศักดิ์
“ว่ายังไง ไม่เห็นตอบพี่เลย” พียังถามย้ำ
“ท่านพี่กล้าหาญเยี่ยงท่านพ่อจ้ะ อีกท่านพี่ช่วยสร้อยแก้วไว้” สร้อยแก้วตอบเฉไฉ
“อย่างนั้นเชียว พี่ไม่เทียบเท่าท่านพ่อหรอก” พีพูดถ่อมตัว
“ส่วนเรื่องที่พี่อุ้มสร้อยกลับมาน่ะ มันเป็นสิ่งที่ผู้ชายต้องทำ”
“พี่จะวิ่งหนีปล่อยให้สร้อยแก้วนอนหมดสติอยู่อย่างนั้นได้ยังไง” พีพยายามพูดให้เป็นเรื่องที่ต้องทำโดยปกติ แต่ในใจเขาก็คิดย้อนกลับไปมองความรู้สึกตัวเองว่ามีอะไรมากกว่านั้นอยู่ลึกๆ
“ท่านพี่มิได้ช่วยสร้อยแก้วด้วยมีห่วงใยรึจ๊ะ” สร้อยแก้วมองตาถามน้ำตาเริ่มเอ่อออกมา
พีมองสบตาหญิงสาวแล้วอึ้งไปครู่หนึ่งยังไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ความรู้สึกแปลกใหม่ที่เขาเริ่มมีต่อเธอนั้น ตัวเขาเองยังตอบตัวเองไม่ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มแน่ใจคือต้องปกป้องเธอแม้ต้องแลกด้วยตัวเอง
“ไม่ใช่อย่างนั้น” พีพูดมองตาเธอน้ำเสียงจริงจัง
“ห่วงซิ ห่วงมากๆด้วย ใครจะแตะต้องสร้อยแก้วของพี่ไม่ได้ถ้าพี่ยังอยู่” เขาจ้องตาให้เธอรู้ว่าพูดจริง
“อย่าน้อยใจ อย่าร้องไห้นะ เดี๋ยวท่านพี่ร้องด้วยนะ” ชายหนุ่มยิ้มพูดแล้วโอบเอวเธอมาเดินข้างๆชวนให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้น
“จ้ะท่านพี่” สร้อยแก้วยิ้มทั้งน้ำตา เธอรู้สึกดีขึ้นกับคำที่เขาพูด
ปฏิสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวที่เดินอยู่ข้างหน้านั้นอยู่ในสายตาของท่านพ่อไกรศักดิ์ โจและเหมียวด้วย โจยังไม่รู้สึกว่าแปลกอะไร ที่ผ่านมาเขาคุ้นเคยกับอุปนิสัยของเพื่อนรักที่มีมนุษย์สัมพันธ์สนุกสนานหยอกล้อกับทุกคน สำหรับเหมียว ด้วยความฉลาดหลักแหลมและละเอียดอ่อน เธอเฝ้ามองทั้งสองมาพักใหญ่แล้วตั้งแต่พีกลับมา แต่เฝ้ามองเพื่อจะเข้าใจสถานการณ์ ไม่ได้มีความรู้สึกเป็นบวกหรือลบอะไร ท่านพ่อไกรศักดิ์เองก็เริ่มมองพีกับสร้อยแก้วลูกสาวมาตั้งแต่เขากลับออกมาเช่นเดียวกับเหมียว ต่างกันตรงที่เขามองไปถึงดวงชะตาของทั้งสองเพื่อให้เข้าใจว่าจะมีผลอย่างไรต่อการเดินไปข้างหน้า ความรู้สึกตื้นๆเรื่องหวงลูกสาวตัดออกไป นั่นไม่ใช่ลักษณะของคนเป็นผู้นำ
สุดทางเดินเสี่ยงทายไว้ในเบื้องต้นแล้วคือตะวันตกเฉียงใต้สู่หน้าผาใหญ่ ตั้งแต่ข้ามแนวเนินดินมาเมื่อเวลาเช้า ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เสียงลำตัวเสียดสีกับพื้นป่าในคืนแรกจนสร้อยแก้วหมดสติไม่รู้ว่าเพราะอะไรเมื่อเย็นวาน นอกนั้นจนถึงเวลานี้ยังไม่มีสัญญาณอันตรายใดปรากฏขึ้นอีก
หกชีวิตยืนแหงนคอตั้งบ่ามองยอดสูงของหน้าผาที่ทอดยาวออกไปทั้งซ้ายและขวาไกลลิบ สรุปคือตั้งตระหง่านดุจกำแพงมหึมากั้นขวางเส้นทางของพวกเขาไว้ ดั่งจะบอกให้มนุษย์ทบทวนความอุตสาหะอีกครั้ง
พวกเขายืนส่ายหน้ายิ้มให้กับชะตากรรมของตนเอง เมื่อที่ราบที่คิดว่าจะเดินมาได้จนถึงติดหน้าผากลับถูกขั้นไว้ด้วยโตรกเหวตัดดิ่งลึกลงไปเบื้องล่างที่มีสายธารเชี่ยวกรากรออยู่เป็นอีกด่านหนึ่ง
“ประมาณสองร้อยฟุต” ท่านไกรศักดิ์บอกเมื่อชะโงกมองคาดการณ์ความลึกของช่องเหว
“มีแต่หิน ไม่มีต้นไม้เลยค่ะ” เหมียวพูดเสริมที่ชะโงกไปดูด้วย
“นึกว่าที่เอ็งชี้มือมาจะเจอบันไดเลื่อนซะอีก” พีพูดหัวเราะหึหึหันไปมองหน้าโจ
“โทษกูอีก” โจพูดมองค้อนเพื่อน
“สิบกว่าเมตรได้นะ ความกว้างเนี่ย” โจพูด
“ใช่ ประมาณนั้น” พีพูดเห็นด้วย
“ปัญหามีอยู่ว่า เราจะข้ามช่องโตรกเหวนี่แล้วเดินทะลุหน้าผาไปได้ยังไง” พีพูดต่อ
“หลักการคือเราต้องทะลุหรือข้ามไป ทิศทางเดิม” เหมียวพูด
“ข้ามไม่มีปัญหา เราเอาเครื่องยิงสลิงมา” โจพูด
“ข้ามตรงไหนดีล่ะคะ”เหมียวถามความเห็น
“เดินสำรวจก่อน ทั้งซ้ายทั้งขวาอาจมีทางเลือกที่ดีกว่า” ท่านไกรศักดิ์พูด
“โละ พี สร้อยแก้วไปทางซ้าย โจกับเหมียวไปกับลุงทางขวา เลาะไปแล้วกลับมาเจอกันที่นี่” ท่านไกรศักดิ์พูด
“ตามนั้นครับ ไปพี่โละ สร้อยแก้ว ไปกับท่านพี่” พีพูด หันไปยิ้มให้แล้วจับมือสร้อยแก้วจูงเดินออกไป
“ถ้าไม่เจออะไรชั่วโมงนึงกลับมาเจอกันที่เดิมนะ เดี๋ยวจะค่ำ” ท่านไกรศักดิ์ย้ำ
“ครับผม” พีพูดรับคำ
แล้วครอบครัวก็แยกกันเดินเลาะหน้าผาไปคนละทาง
ชั่วโมงเศษผ่านไป ทั้งหมดกลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่จุดเดิมเมื่อเดินมาถึง
“เหมือนเดิมครับคุณลุง ไม่พบอะไร” พีรายงาน
“ทางนี้ก็ไม่เจออะไรเหมือนกัน” ท่านลุงพูด
“เราลงแรมคืนกันก่อนรึไรนายท่าน ใกล้จะพลบแล้ว” พรานโละบอกท่านไกรศักดิ์เมื่อเขาแหงนหน้ามองฟ้า
“อืม คงต้องอย่างนั้น พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่” ท่านไกรศักดิ์เห็นด้วย
“ไป เราหาทำเลหาฟืนกันเถอะ” พีพูด
“เราถอยร่นเข้าไปหน่อยดีมั้ยครับคุณลุง อยู่ติดหน้าผาอย่างนี้ไม่ค่อยดี” โจถามลุง
“ถูกเลย ขืนอยู่ตรงนี้อะไรโผล่มาได้ตกหน้าผากันมั่งล่ะ” ลุงไกรศักดิ์พูดแล้วตบไหล่ให้เขาเดินกลับเข้าป่าห่างหน้าผาออกไป
ครอบครัวเดินกลับเข้าแนวป่าไปห้าหกสิบเมตรห่างจากขอบหน้าผา หาทำเลเหมาะแล้วจึงช่วยกันหาฟืนเตรียมค้างแรมคืนที่สาม
มืดหมดทั้งป่าแล้ว ความหนาวเย็น สายลมและสายหมอกเข้าปกคลุมเช่นเคย แต่คืนนี้มีเสียงสายน้ำเชี่ยวในโตรกลึกดังแว่วมาเสริม หกคนกำลังนั่งแบ่งกันกินน้ำร้อนและปลาย่างที่ตุนไว้ตั้งแต่คืนวาน
“เสียงน้ำไหลนี่ดีเหมือนกันนะ” พีพูดขึ้น
“ดียังไงวะ” โจถาม
“อย่างน้อยก็มีอะไรซักอย่างที่เคลื่อนไหวได้เป็นเพื่อนไง” พีบอกเพื่อน
“อืม จริงของเอ็ง แต่พอนึกถึงความลึกที่มันอยู่แล้ววังเวงว่ะ” โจพูดความรู้สึกของเขา
“ก็อย่าไปนึกสิคะ” เหมียวพูดแล้วชายตามามองโจ
พีลุกขึ้นขยับเปลี่ยนที่มานั่งลงข้างสร้อยแก้ว
“คืนนี้รู้สึกอะไรไม่ปกติรึเปล่าสร้อยแก้ว” เขาถามเปลี่ยนเสียงเป็นจริงจัง
“สร้อยแก้วมิเป็นไรจ้ะท่านพี่” สร้อยแก้วตอบ
“อืมดีแล้ว รู้สึกอะไรไม่ดีรีบบอกพี่นะ” พีบอกสร้อยแก้ว
“จ้ะ ท่านพี่” สร้อยแก้วตอบ
ทั้งสองไม่ทันสังเกตว่าท่านพ่อไกรศักดิ์ เหมียวและโจลอบมองการสนทนาอยู่ โดยเฉพาะประเด็นของคำที่สร้อยแก้วเรียกพีว่าท่านพี่
พรานโละเอนตัวหลับพักผ่อนไปนานแล้วเพื่อเตรียมรับเวรยามพลัดต่อไป ห้าคนยังพูดคุยกันอยู่
“พรุ่งนี้เราจะตัดสินใจยังไงดีล่ะครับคุณลุง” โจถาม
“หน้าผาชันมาก ข้ามเหวด้วยสลิง แล้วข้ามเขาด้วยอะไร” ลุงไกรศักดิ์พูดด้วยคำถามที่ถามตัวเองด้วย
“คนสองคนยังดูแลช่วยฉุดกันได้ แต่นี่หกคน เสี่ยงมากเลย” ลุงไกรพูดต่อ
“ถ้าเราคิดจะตัดตรง โดยปีนหน้าผาขึ้นไป” โจพูด
“จะเรียกว่าดันทุรังมั้ยครับ ถ้าไม่สมควรพูดผมขออภัยนะครับ” โจพูดต่อ
“ไม่หรอกลูกโจ พูดได้ เพราะเรามีหกชีวิตที่ต้องรักษา” ท่านลุงไกรศักดิ์บอกเขา
“เราจะเดินอ้อมหาทางไป คงมีสักทางที่เราจะผ่านไปได้” ลุงพูดต่อ
“ตราบใดที่เราไม่คิดถอยกลับ เราจะต้องเจอทางไปค่ะ” เหมียวพูด
“ตกลงตามนั้น” พีพูด
“ลุงนอนพักก่อนนะ เดี๋ยวจะลุกขึ้นมานั่งยามกับโละ” ลุงไกรศักดิ์บอก
“ครับคุณลุง ไอ้โจ เอ็งกับเหมียวก็นอนเถอะ กูนั่งยามแรกกับสร้อยแก้วเอง” พีหันไปบอกโจกับเหมียว
“โอเค งั้นนอนกันเถอะครับเหมียว” โจพูด
“พี่เหมียวนอนก่อนนะสร้อยแก้ว” เหมียวหันไปยิ้มบอก
“จ้ะ ฉันนั่งยามกับท่านพี่เองจ้ะ” สร้อยแก้วยิ้มรับคำ
สี่คนหลับลงหมดแล้ว เหลือสร้อยแก้วนั่งจิบน้ำร้อนกับท่านพี่พี ทั้งสองมองไปรอบๆระวังภัย
“สร้อยแก้วนอนมั้ย พี่นั่งคนเดียวก็ได้” พีบอกเธอ
“ไม่จ้ะ สร้อยแก้วจะอยู่ด้วย” เธอพูดยืนยัน
พีลุกขึ้นไปหอบฟืนสามสี่ท่อนมาโยนลงกองไฟแล้วยืนมองไปรอบๆครู่ใหญ่จึงกลับมานั่งลงข้างเธอ
“ท่านพี่จ๊ะ” สร้อยแก้วเรียกเบาๆ
“หือ” พีขานในลำคอหันมายิ้มมองหน้าเธอ
“ท่านพี่จำอะไรมิได้เลยรึจ๊ะ ที่ท่านพี่เดินออกไป” สร้อยแก้วถามถึงวันที่เขาหายไป
“ไม่ได้ ไม่ได้เลย” เขาตอบเบาๆตามองจ้องในกองไฟ
สร้อยแก้วเอื้อมมือมากุมมือชายหนุ่มเอาไว้ เธอเพียงรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้ทำอย่างนั้นพีมองสบตาเธอยิ้มให้แล้วยื่นอีกมือหนึ่งมาลูบหัวเบาๆ
“สักวัน พี่คงจะได้รู้ ว่าพี่เดินไปไหน ไปทำอะไร” พีพูดช้าๆ
ชายหนุ่มมองดวงหน้างดงามบริสุทธิ์ของหญิงสาว ประกายตาสดใสดั่งแก้วสวยแวววาวยามเมื่อต้องแสงสะบัดพลิ้วของเปลวไฟสบกัน สามัญสำนึกของเขาสับสน ระหว่างพี่พีกับน้องสร้อยและความรู้สึกทรงพลังที่ออกมาจากจิตใต้สำนึก พีละสายตาหลบก้มหน้าลงหันซ้ายหันขวาเพื่อสลัดความสับสนนั้นออกไป ในที่สุดชายหนุ่มก็พ่ายแพ้
เขาละมือที่ถูกหญิงสาวกุมไว้ออก ประคองให้ดวงหน้างามนั้นโน้มเข้ามาหาแล้วประทับจูบเรือนผมข้างขมับ ฝังจมูกหอมที่ตรงนั้นอีกครั้งแล้วติดนิ่งให้แก้มแนบกันอยู่
หญิงสาวบัดนี้ก็พ่ายแพ้ต่ออานุภาพนั้นแล้วโดยสิ้นเชิงเฉกเช่นกัน เธอปลดปล่อยจิตอันปฏิพัทธ์ออกมาผ่านวงแขนอกอิ่มที่สวมกอดชายหนุ่มไว้แนบแน่นเพื่อตอบสนองความกำซาบที่แล่นขึ้นประทับเต็มหัวใจ
“ฟ้าเป็นพยาน” เสียงกระซิบของชายหนุ่มที่ข้างหูสาวเจ้า
“พี่รอแสนนานอันจะได้แนบข้างเจ้าอีกครั้ง”
เปลือกตาของทั้งสองหลับพริ้มดื่มด่ำอยู่ในภวังค์รัก หญิงสาวเคลื่อนคล้อยดวงหน้าให้สัมผัสกันช้าๆมาหา แตะปลายจมูกเผยอริมฝีปากคลอเคลียกันอยู่เบื้องหน้า
“ท่านพี่” เสียงกระซิบรอดผ่านริมฝีปากคู่งามที่เปิดน้อยๆรอรับ
‘มอบรักที่รอแสนนานเยี่ยงท่านสู่ข้าด้วยเถิด”
ธารทิพย์ บทที่ 34
ธารทิพย์ บทที่ 33 http://ppantip.com/topic/33238018
ค่ายพักถูกกลบลบร่องรอยเพื่อคืนให้ผืนป่าเมื่อตะวันเริ่มฉายแสง หกชีวิตของครอบครัวก้าวข้ามแนวเนินดินมาแล้วด้วยสติมั่นในทุกก้าวย่าง ทัพหน้าเดินฝ่าฟันไปด้วยฝีเท้าที่ลดความเร็วลงเพื่อแบ่งปันประสาทสัมผัสให้ส่วนของการดมกลิ่นอันตรายได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สร้อยแก้วนั้นร่างกายเป็นปกติดีทุกอย่างแล้ว เธอได้รับการบอกเล่าถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ที่หมดสติจนพีอุ้มคุ้มภัยพากลับมาและคำประกาศก้องทายท้าของเขาต่อทุกสิ่งที่หมายแตะต้องตัวเธอ แม้จะเป็นเพียงคำพูดที่บอกกล่าวให้ได้รับรู้แต่ทรงอิทธิพลต่อหัวใจสาวจนหวิวไหว ยามนี้ความรู้สึกของหญิงสาวไม่ต่างจากแม่ลอยาที่ท่านพ่ออุ้มเดินกลับบ้านในวันคืนที่วิ่งไปรับด้วยหัวใจรัก
สร้อยแก้วเดินตามหลังมองพินิจไปยังชายหนุ่มที่ก้าวเท้าไปข้างหน้าด้วยท่าทีองอาจกล้าหาญ ความรู้สึกหนึ่งบอกเธอให้เร่งฝีเท้าตามไป
“สร้อยแก้ว” พีหันมายิ้มเรียกชื่อเมื่อหญิงสาวเร่งฝีเท้ามาเดินอยู่ข้างๆ
“มาเดินข้างพี่เดี๋ยวอะไรโผล่มาจะหลบไม่ทันนะ” พีเตือน
“สร้อยแก้วปลงใจเดินข้างท่านพี่จ้ะ” หญิงสาวตอบ
“เกิดอะไรโผล่มาพี่กันให้ไม่ทันจะทำยังไง” พีพูดมองหน้าเธอ
“หากมีภัยสร้อยแก้วจะสู้ด้วยกับท่านพี่จ้ะ” เธอบอกความตั้งใจ
“อย่างนั้นมันผิดวิธีเดินทัพนะจ๊ะ” พียิ้มบอกเธอถึงสิ่งที่ควรปฏิบัติ
“แล้วก็เรียกพี่เฉยๆก็ได้ ไม่ต้องเรียกท่านพี่หรอก” ชายหนุ่มบอก
“สร้อยแก้วอยากเรียกขานว่าท่านพี่” หญิงสาวพูด
“ทำไมล่ะ” พีถาม
สร้อยแก้วยิ้มไม่ตอบ เธอไม่กล้าบอกความรู้สึกที่อยากจะเรียกอย่างนั้นให้เหมือนที่แม่ลอยาเรียกท่านพ่อไกรศักดิ์
“ว่ายังไง ไม่เห็นตอบพี่เลย” พียังถามย้ำ
“ท่านพี่กล้าหาญเยี่ยงท่านพ่อจ้ะ อีกท่านพี่ช่วยสร้อยแก้วไว้” สร้อยแก้วตอบเฉไฉ
“อย่างนั้นเชียว พี่ไม่เทียบเท่าท่านพ่อหรอก” พีพูดถ่อมตัว
“ส่วนเรื่องที่พี่อุ้มสร้อยกลับมาน่ะ มันเป็นสิ่งที่ผู้ชายต้องทำ”
“พี่จะวิ่งหนีปล่อยให้สร้อยแก้วนอนหมดสติอยู่อย่างนั้นได้ยังไง” พีพยายามพูดให้เป็นเรื่องที่ต้องทำโดยปกติ แต่ในใจเขาก็คิดย้อนกลับไปมองความรู้สึกตัวเองว่ามีอะไรมากกว่านั้นอยู่ลึกๆ
“ท่านพี่มิได้ช่วยสร้อยแก้วด้วยมีห่วงใยรึจ๊ะ” สร้อยแก้วมองตาถามน้ำตาเริ่มเอ่อออกมา
พีมองสบตาหญิงสาวแล้วอึ้งไปครู่หนึ่งยังไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ความรู้สึกแปลกใหม่ที่เขาเริ่มมีต่อเธอนั้น ตัวเขาเองยังตอบตัวเองไม่ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มแน่ใจคือต้องปกป้องเธอแม้ต้องแลกด้วยตัวเอง
“ไม่ใช่อย่างนั้น” พีพูดมองตาเธอน้ำเสียงจริงจัง
“ห่วงซิ ห่วงมากๆด้วย ใครจะแตะต้องสร้อยแก้วของพี่ไม่ได้ถ้าพี่ยังอยู่” เขาจ้องตาให้เธอรู้ว่าพูดจริง
“อย่าน้อยใจ อย่าร้องไห้นะ เดี๋ยวท่านพี่ร้องด้วยนะ” ชายหนุ่มยิ้มพูดแล้วโอบเอวเธอมาเดินข้างๆชวนให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้น
“จ้ะท่านพี่” สร้อยแก้วยิ้มทั้งน้ำตา เธอรู้สึกดีขึ้นกับคำที่เขาพูด
ปฏิสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวที่เดินอยู่ข้างหน้านั้นอยู่ในสายตาของท่านพ่อไกรศักดิ์ โจและเหมียวด้วย โจยังไม่รู้สึกว่าแปลกอะไร ที่ผ่านมาเขาคุ้นเคยกับอุปนิสัยของเพื่อนรักที่มีมนุษย์สัมพันธ์สนุกสนานหยอกล้อกับทุกคน สำหรับเหมียว ด้วยความฉลาดหลักแหลมและละเอียดอ่อน เธอเฝ้ามองทั้งสองมาพักใหญ่แล้วตั้งแต่พีกลับมา แต่เฝ้ามองเพื่อจะเข้าใจสถานการณ์ ไม่ได้มีความรู้สึกเป็นบวกหรือลบอะไร ท่านพ่อไกรศักดิ์เองก็เริ่มมองพีกับสร้อยแก้วลูกสาวมาตั้งแต่เขากลับออกมาเช่นเดียวกับเหมียว ต่างกันตรงที่เขามองไปถึงดวงชะตาของทั้งสองเพื่อให้เข้าใจว่าจะมีผลอย่างไรต่อการเดินไปข้างหน้า ความรู้สึกตื้นๆเรื่องหวงลูกสาวตัดออกไป นั่นไม่ใช่ลักษณะของคนเป็นผู้นำ
สุดทางเดินเสี่ยงทายไว้ในเบื้องต้นแล้วคือตะวันตกเฉียงใต้สู่หน้าผาใหญ่ ตั้งแต่ข้ามแนวเนินดินมาเมื่อเวลาเช้า ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เสียงลำตัวเสียดสีกับพื้นป่าในคืนแรกจนสร้อยแก้วหมดสติไม่รู้ว่าเพราะอะไรเมื่อเย็นวาน นอกนั้นจนถึงเวลานี้ยังไม่มีสัญญาณอันตรายใดปรากฏขึ้นอีก
หกชีวิตยืนแหงนคอตั้งบ่ามองยอดสูงของหน้าผาที่ทอดยาวออกไปทั้งซ้ายและขวาไกลลิบ สรุปคือตั้งตระหง่านดุจกำแพงมหึมากั้นขวางเส้นทางของพวกเขาไว้ ดั่งจะบอกให้มนุษย์ทบทวนความอุตสาหะอีกครั้ง
พวกเขายืนส่ายหน้ายิ้มให้กับชะตากรรมของตนเอง เมื่อที่ราบที่คิดว่าจะเดินมาได้จนถึงติดหน้าผากลับถูกขั้นไว้ด้วยโตรกเหวตัดดิ่งลึกลงไปเบื้องล่างที่มีสายธารเชี่ยวกรากรออยู่เป็นอีกด่านหนึ่ง
“ประมาณสองร้อยฟุต” ท่านไกรศักดิ์บอกเมื่อชะโงกมองคาดการณ์ความลึกของช่องเหว
“มีแต่หิน ไม่มีต้นไม้เลยค่ะ” เหมียวพูดเสริมที่ชะโงกไปดูด้วย
“นึกว่าที่เอ็งชี้มือมาจะเจอบันไดเลื่อนซะอีก” พีพูดหัวเราะหึหึหันไปมองหน้าโจ
“โทษกูอีก” โจพูดมองค้อนเพื่อน
“สิบกว่าเมตรได้นะ ความกว้างเนี่ย” โจพูด
“ใช่ ประมาณนั้น” พีพูดเห็นด้วย
“ปัญหามีอยู่ว่า เราจะข้ามช่องโตรกเหวนี่แล้วเดินทะลุหน้าผาไปได้ยังไง” พีพูดต่อ
“หลักการคือเราต้องทะลุหรือข้ามไป ทิศทางเดิม” เหมียวพูด
“ข้ามไม่มีปัญหา เราเอาเครื่องยิงสลิงมา” โจพูด
“ข้ามตรงไหนดีล่ะคะ”เหมียวถามความเห็น
“เดินสำรวจก่อน ทั้งซ้ายทั้งขวาอาจมีทางเลือกที่ดีกว่า” ท่านไกรศักดิ์พูด
“โละ พี สร้อยแก้วไปทางซ้าย โจกับเหมียวไปกับลุงทางขวา เลาะไปแล้วกลับมาเจอกันที่นี่” ท่านไกรศักดิ์พูด
“ตามนั้นครับ ไปพี่โละ สร้อยแก้ว ไปกับท่านพี่” พีพูด หันไปยิ้มให้แล้วจับมือสร้อยแก้วจูงเดินออกไป
“ถ้าไม่เจออะไรชั่วโมงนึงกลับมาเจอกันที่เดิมนะ เดี๋ยวจะค่ำ” ท่านไกรศักดิ์ย้ำ
“ครับผม” พีพูดรับคำ
แล้วครอบครัวก็แยกกันเดินเลาะหน้าผาไปคนละทาง
ชั่วโมงเศษผ่านไป ทั้งหมดกลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่จุดเดิมเมื่อเดินมาถึง
“เหมือนเดิมครับคุณลุง ไม่พบอะไร” พีรายงาน
“ทางนี้ก็ไม่เจออะไรเหมือนกัน” ท่านลุงพูด
“เราลงแรมคืนกันก่อนรึไรนายท่าน ใกล้จะพลบแล้ว” พรานโละบอกท่านไกรศักดิ์เมื่อเขาแหงนหน้ามองฟ้า
“อืม คงต้องอย่างนั้น พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่” ท่านไกรศักดิ์เห็นด้วย
“ไป เราหาทำเลหาฟืนกันเถอะ” พีพูด
“เราถอยร่นเข้าไปหน่อยดีมั้ยครับคุณลุง อยู่ติดหน้าผาอย่างนี้ไม่ค่อยดี” โจถามลุง
“ถูกเลย ขืนอยู่ตรงนี้อะไรโผล่มาได้ตกหน้าผากันมั่งล่ะ” ลุงไกรศักดิ์พูดแล้วตบไหล่ให้เขาเดินกลับเข้าป่าห่างหน้าผาออกไป
ครอบครัวเดินกลับเข้าแนวป่าไปห้าหกสิบเมตรห่างจากขอบหน้าผา หาทำเลเหมาะแล้วจึงช่วยกันหาฟืนเตรียมค้างแรมคืนที่สาม
มืดหมดทั้งป่าแล้ว ความหนาวเย็น สายลมและสายหมอกเข้าปกคลุมเช่นเคย แต่คืนนี้มีเสียงสายน้ำเชี่ยวในโตรกลึกดังแว่วมาเสริม หกคนกำลังนั่งแบ่งกันกินน้ำร้อนและปลาย่างที่ตุนไว้ตั้งแต่คืนวาน
“เสียงน้ำไหลนี่ดีเหมือนกันนะ” พีพูดขึ้น
“ดียังไงวะ” โจถาม
“อย่างน้อยก็มีอะไรซักอย่างที่เคลื่อนไหวได้เป็นเพื่อนไง” พีบอกเพื่อน
“อืม จริงของเอ็ง แต่พอนึกถึงความลึกที่มันอยู่แล้ววังเวงว่ะ” โจพูดความรู้สึกของเขา
“ก็อย่าไปนึกสิคะ” เหมียวพูดแล้วชายตามามองโจ
พีลุกขึ้นขยับเปลี่ยนที่มานั่งลงข้างสร้อยแก้ว
“คืนนี้รู้สึกอะไรไม่ปกติรึเปล่าสร้อยแก้ว” เขาถามเปลี่ยนเสียงเป็นจริงจัง
“สร้อยแก้วมิเป็นไรจ้ะท่านพี่” สร้อยแก้วตอบ
“อืมดีแล้ว รู้สึกอะไรไม่ดีรีบบอกพี่นะ” พีบอกสร้อยแก้ว
“จ้ะ ท่านพี่” สร้อยแก้วตอบ
ทั้งสองไม่ทันสังเกตว่าท่านพ่อไกรศักดิ์ เหมียวและโจลอบมองการสนทนาอยู่ โดยเฉพาะประเด็นของคำที่สร้อยแก้วเรียกพีว่าท่านพี่
พรานโละเอนตัวหลับพักผ่อนไปนานแล้วเพื่อเตรียมรับเวรยามพลัดต่อไป ห้าคนยังพูดคุยกันอยู่
“พรุ่งนี้เราจะตัดสินใจยังไงดีล่ะครับคุณลุง” โจถาม
“หน้าผาชันมาก ข้ามเหวด้วยสลิง แล้วข้ามเขาด้วยอะไร” ลุงไกรศักดิ์พูดด้วยคำถามที่ถามตัวเองด้วย
“คนสองคนยังดูแลช่วยฉุดกันได้ แต่นี่หกคน เสี่ยงมากเลย” ลุงไกรพูดต่อ
“ถ้าเราคิดจะตัดตรง โดยปีนหน้าผาขึ้นไป” โจพูด
“จะเรียกว่าดันทุรังมั้ยครับ ถ้าไม่สมควรพูดผมขออภัยนะครับ” โจพูดต่อ
“ไม่หรอกลูกโจ พูดได้ เพราะเรามีหกชีวิตที่ต้องรักษา” ท่านลุงไกรศักดิ์บอกเขา
“เราจะเดินอ้อมหาทางไป คงมีสักทางที่เราจะผ่านไปได้” ลุงพูดต่อ
“ตราบใดที่เราไม่คิดถอยกลับ เราจะต้องเจอทางไปค่ะ” เหมียวพูด
“ตกลงตามนั้น” พีพูด
“ลุงนอนพักก่อนนะ เดี๋ยวจะลุกขึ้นมานั่งยามกับโละ” ลุงไกรศักดิ์บอก
“ครับคุณลุง ไอ้โจ เอ็งกับเหมียวก็นอนเถอะ กูนั่งยามแรกกับสร้อยแก้วเอง” พีหันไปบอกโจกับเหมียว
“โอเค งั้นนอนกันเถอะครับเหมียว” โจพูด
“พี่เหมียวนอนก่อนนะสร้อยแก้ว” เหมียวหันไปยิ้มบอก
“จ้ะ ฉันนั่งยามกับท่านพี่เองจ้ะ” สร้อยแก้วยิ้มรับคำ
สี่คนหลับลงหมดแล้ว เหลือสร้อยแก้วนั่งจิบน้ำร้อนกับท่านพี่พี ทั้งสองมองไปรอบๆระวังภัย
“สร้อยแก้วนอนมั้ย พี่นั่งคนเดียวก็ได้” พีบอกเธอ
“ไม่จ้ะ สร้อยแก้วจะอยู่ด้วย” เธอพูดยืนยัน
พีลุกขึ้นไปหอบฟืนสามสี่ท่อนมาโยนลงกองไฟแล้วยืนมองไปรอบๆครู่ใหญ่จึงกลับมานั่งลงข้างเธอ
“ท่านพี่จ๊ะ” สร้อยแก้วเรียกเบาๆ
“หือ” พีขานในลำคอหันมายิ้มมองหน้าเธอ
“ท่านพี่จำอะไรมิได้เลยรึจ๊ะ ที่ท่านพี่เดินออกไป” สร้อยแก้วถามถึงวันที่เขาหายไป
“ไม่ได้ ไม่ได้เลย” เขาตอบเบาๆตามองจ้องในกองไฟ
สร้อยแก้วเอื้อมมือมากุมมือชายหนุ่มเอาไว้ เธอเพียงรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้ทำอย่างนั้นพีมองสบตาเธอยิ้มให้แล้วยื่นอีกมือหนึ่งมาลูบหัวเบาๆ
“สักวัน พี่คงจะได้รู้ ว่าพี่เดินไปไหน ไปทำอะไร” พีพูดช้าๆ
ชายหนุ่มมองดวงหน้างดงามบริสุทธิ์ของหญิงสาว ประกายตาสดใสดั่งแก้วสวยแวววาวยามเมื่อต้องแสงสะบัดพลิ้วของเปลวไฟสบกัน สามัญสำนึกของเขาสับสน ระหว่างพี่พีกับน้องสร้อยและความรู้สึกทรงพลังที่ออกมาจากจิตใต้สำนึก พีละสายตาหลบก้มหน้าลงหันซ้ายหันขวาเพื่อสลัดความสับสนนั้นออกไป ในที่สุดชายหนุ่มก็พ่ายแพ้
เขาละมือที่ถูกหญิงสาวกุมไว้ออก ประคองให้ดวงหน้างามนั้นโน้มเข้ามาหาแล้วประทับจูบเรือนผมข้างขมับ ฝังจมูกหอมที่ตรงนั้นอีกครั้งแล้วติดนิ่งให้แก้มแนบกันอยู่
หญิงสาวบัดนี้ก็พ่ายแพ้ต่ออานุภาพนั้นแล้วโดยสิ้นเชิงเฉกเช่นกัน เธอปลดปล่อยจิตอันปฏิพัทธ์ออกมาผ่านวงแขนอกอิ่มที่สวมกอดชายหนุ่มไว้แนบแน่นเพื่อตอบสนองความกำซาบที่แล่นขึ้นประทับเต็มหัวใจ
“ฟ้าเป็นพยาน” เสียงกระซิบของชายหนุ่มที่ข้างหูสาวเจ้า
“พี่รอแสนนานอันจะได้แนบข้างเจ้าอีกครั้ง”
เปลือกตาของทั้งสองหลับพริ้มดื่มด่ำอยู่ในภวังค์รัก หญิงสาวเคลื่อนคล้อยดวงหน้าให้สัมผัสกันช้าๆมาหา แตะปลายจมูกเผยอริมฝีปากคลอเคลียกันอยู่เบื้องหน้า
“ท่านพี่” เสียงกระซิบรอดผ่านริมฝีปากคู่งามที่เปิดน้อยๆรอรับ
‘มอบรักที่รอแสนนานเยี่ยงท่านสู่ข้าด้วยเถิด”