ธารทิพย์ บทที่ 49

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 48 http://ppantip.com/topic/33510991

            กองไฟถูกกลบคืนป่าแล้ว เท้าทั้งสี่คู่ออกเดินไปภายใต้แสงจันทร์ที่ทอแสงส่องให้ป่าสว่างเรืองมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาด้วยความมั่นใจ ความห่วงใยต่อท่านลุงไกรศักดิ์และพรานโละทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะทนนั่งรออยู่หน้ากองไฟบนเนินจนรุ่งเช้าได้ โจลั่นไกปืนส่งเสียงสัญญาณออกไปทุกช่วงสิบนาทีแล้วเงี่ยหูรอฟังเสียงสัญญาณตอบกลับ
    
            ผู้เป็นทัพหน้าก้าวเดินนำไปอย่างมั่นคง สร้อยแก้ว เหมียว สลับฟันปลาเดินตามไปมีโจคอยปิดหลัง คบไฟในมือพีกับโจลุกโพลง แสงสว่างของคบและความสว่างในใจของคนทั้งสี่นำพาให้พวกเขาเดินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ไม่รู้ดึกรู้ดื่น
    
            จนเกือบรุ่งสาง

                “ปัง”

                เสียงส่งสัญญาณพุ่งออกจากปากกระบอกปืนในมือโจขึ้นฟ้าไปอีกหนึ่งนัด เมื่อทั้งสี่มาหยุดยืนพักอยู่บนเนินฐานของสิ่งก่อสร้างโบราณไม่ห่างจากจุดเริ่มต้นของพื้นราบที่เริ่มไต่ระดับความลาดชันขึ้นสู่เทือกเขา

                “เพี้ยะ” “โอ้ย”

                เสียงฝ่ามือกระทบท้ายทอย ตามมาด้วยเสียงร้องของโจที่ยืนคลำหัวจ้องหน้าเพื่อนรักอยู่

                “จะยิงจะเยิงบอกกันก่อนไอ้เวร ตกใจหมด” พีพูดเรียบๆมองไปรอบบริเวณ

                “ใครจะไปรู้ว่าเอ็งขวัญอ่อน” โจพูดงอนๆ

                “ไม่ได้ขวัญอ่อนโว้ย กำลังจ้องระวังภัยอยู่” พีพูดหันมามองหน้าเพื่อน

                “ผ่ายิงปืนไม่บอกไม่กล่าวกันก่อน” พีบอก

                “ได้เรื่องล่ะ เราน่าจะอยู่ในอาณาบริเวณของอินทปัตถ์นครแล้ว” โจพูด

                “ใช่ ใกล้เมืองโบราณ ใกล้คุณลุง แล้วก็ใกล้ไอ้ภูติบ้านั่นกับนายมันด้วย” พีบอกเสียงเบาลง

                “ฟ้าใกล้สว่างแล้ว เอายังไงดีคะ บนฐานก่อสร้างนี่ก็ราบดี แต่ อย่าวางใจ” เหมียวพูดแล้วชูคบไฟขึ้นเพื่อมองไปรอบๆตัว

                “เราควรลงจากฐานดินนี่ก่อนอย่างที่เหมียวว่าแล้วก่อกองไฟรอสัญญาณคุณลุง” พีพูด

                “ป่าเปียกอย่างนี้เราจะก่อไฟได้ยังไงคะ” เหมียวถาม

                “ได้จ้ะ เราใช้ยางไม้ก่อได้จ้ะพี่เหมียว” สร้อยแก้วบอกสิ่งที่พรานรู้

                “ไป ถ้าอย่างนั้นเราหาทำเลเหมาะๆแถวนี้ล่ะ” โจพูด

                ทั้งสี่เดินลงมาจากฐานเนินดินตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ โชคดีของพวกเขาที่เปลือกของต้นไม้ชนิดนี้มียางไม้ที่ปริอยู่มากมายบนลำต้น พราน
สาวกับพี่เหมียวช่วยกันใช้ปลายมีดขุดยางไม้เปลือกไม้ออกมา โจและพีสองหนุ่มก็ช่วยกันเดินหาไม้ฟืนที่เปียกน้อยที่สุดมากองไว้ที่โคนต้น

                ไม่นานยางไม้ที่มีคุณสมบัติเป็นไต้อย่างดีก็ติดไฟขึ้นส่งกลิ่นเหม็นฉุนน้อยๆออกมา สองสาวประคองเติมเชื้อไฟลงที่ละน้อยจนกองไฟเริ่มขยายใหญ่ขึ้น สองหนุ่มก็คอยเดินถือปืนระวังภัยให้อยู่รอบๆโคนต้นไม้ใหญ่นั้น

                “ความจริงฟ้าก็เริ่มเรืองที่ขอบฟ้านั่นแล้วนะ จะก่อไฟทำไม” โจมาหยุดยืนพูดหน้ากองไฟ

                “สัญญาณควันค่ะที่รัก” เหมียวพูดไม่ได้มองหน้า

                “เออจริงนะ ผมลืมคิดไป” โจยิ้มแหยๆ

                “คุณลุงกับพี่โละน่าจะไม่ห่างเราเท่าไหร่แล้ว” เหมียวพูด

                “ขออย่างเดียว” พีพูด

                “ขออะไร” โจถาม

                “เมื่อคืนคุณลุงท่าน เอาเป็นว่าท่านไล่ความชั่วร้ายมาทางนี้ แล้วท่านเลยไม่มาทางนี้” พีตอบทอดสายตาออกไป

                “เป็นไปไม่ได้ค่ะ” เหมียวพูดทันที

                “ทำไมล่ะครับ” โจถาม

                “ศัตรูมันประกาศสงครามก่อน คุณลุงท่านเป็นทหาร” เหมียวอธิบาย

                “ท่านคิดแบบทหาร ศัตรูอยู่ทางไหนก็ต้องเดินไปหามันทางนั้นเพื่อสู้กัน”

                “ถ้าเป็นคุณลุงเมื่อคืน ท่านมาแน่ เชื่อเหมียว” หญิงสาวพูด

                สามคนโจ พีและสร้อยแก้วนั่งมองยิ้มให้มันสมองของครอบครัวอย่างภาคภูมิใจ

                “จิระประไพแปลว่าอะไร” โจถามยิ้มๆมองหน้าเหมียว

                “แปลว่าผู้มีแสงสว่างนาน รุ่งเรืองนาน” เหมียวมองหน้าตอบ

                “ถามทำไมคะ”

                “ก็เป็นมเหสีของพระอาทิตย์ได้น่ะสิ” โจยิ้มทำเสียงกรุ้มกริ่ม

                “พูดไม่เกรงใจใครเลยนะ ยิ้ม” พีพูดหัวเราะหึหึ

                สาวเหมียวตวัดค้อนให้ขวับหนึ่งแล้วหยิกหนึบที่แขน

                “ใกล้แดนศัตรูยังจะมีแก่ใจพูดเล่นอีกนะ เช้าแล้ว ทำอะไรต่อ” เหมียวพูด

                “รอให้สว่างอีกนิดแล้วตั้งค่ายหาอาหารกัน มองเห็นชัดๆก็คงรู้ว่าจะทำอะไรต่อนะครับ” พีพูด

                “ท่านพี่ออกหาของกินกับสร้อยแก้วดีไหมจ้ะ ใกล้ๆนี้พอกู่ถึงกัน” พรานสาวออกความเห็น

                “ก็ดีเหมือนกัน ข้ากับน้องสร้อยแก้วจะอยู่ไม่ไกล เอ็งกับเหมียวเฝ้าค่าย” พีหันไปพูดกับโจ

                “ตกลงตามนั้น เออ ถ้าเจอแหล่งน้ำก็ดีนะ เราจะย้ายค่ายกัน” โจรับคำแล้วพูดเสริม

                “ได้ ไปสร้อยแก้วเราไปกัน” พียืนขึ้นพยักหน้าชวนพรานสาว

                ทัพหน้าสะพายดาบคู่ถือปืนเดินออกไปมีสร้อยแก้วถือดาบเดินป่าตามไปข้างๆ เหมียวจัดวางเป้หลังของทุกคนเป็นระเบียบแล้วยืนขึ้นใช้กล้องส่องทางไกลกวาดสำรวจไปรอบๆอย่างถี่ถ้วน โจก็ลุกขึ้นเดินไปมองหาไม้ฟืนใกล้ๆกลับมาโยนทิ้งไว้เพิ่มเติม เขานึกขึ้นมาได้อย่างหนึ่งจึงตะโกนเรียกพี

                “เฮ้ยไอ้พี” โจเรียก

                พีกับสร้อยแก้วหันกลับมามอง

                “ข้าจะยิงปืนสัญญาณทีละนัดนะ ถ้ายิงหลายนัดคือมีปัญหา เอ็งด้วย ตามนี้นะ” โจตะโกนนัดแนะไป

                พีชูปืนในมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ารับทราบแล้วเดินต่อไป

                พื้นป่าโบราณสว่างโล่งแล้วเมื่อเวลาผ่านไป นายท่านไกรศักดิ์กับพรานโละยังคงก้าวเท้าตรงมายังเทือกเขาอยู่ ในมือของทั้งสองมีผลไม้ป่าที่พบ
ระหว่างทางเดินกินมาด้วย จนทั้งสองมาหยุดพักบนเนินดินที่หมายตาจะใช้สำรวจระยะไกล พรานโละแหงนหน้ามองต้นไม้ที่คิดว่าสูงที่สุดแล้วปีนขึ้นไปทันที

                “ระวังตัวนะโละ” นายท่านไกรศักดิ์ร้องบอกเตือนตามหลังแล้วนั่งลงที่โคนต้น

                ไม่นานพรานโละก็ปีนกลับลงมาด้วยสีหน้ายิ้มดีใจ

                 “นายท่าน มีควันไฟทางทิศนั้น” พรานโละบอกแล้วชี้มือไปทางเทือกเขา

                ท่านไกรศักดิ์ลุกพรวดขึ้นยืนทันที

                “ลูกหลานเราแน่ ไปโละรีบไป” นายท่านตบไหล่พรานโละสีหน้าดีใจเช่นกัน

                “ปัง”

                ปืนในมือท่านไกรศักดิ์ยิงขึ้นท้องฟ้าไปทันทีเพื่อส่งสัญญาณก่อนออกเดิน

                ควันไฟที่ลอยขึ้นจากพื้นป่าในระยะไกลเพื่อบอกตำแหน่ง เป็นกำลังใจให้ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าไปยังจุดนั้น ความห่วงใยและความกังวลต่อสภาวะของลูกหลานทั้งสี่เบาบางลงไปมาก อย่างน้อยจะต้องมีหนึ่งคนที่ก่อกองไฟขึ้น

                “เป็นสี่คนรึมิใช่นายท่าน” พรานโละถามขณะจ้ำเท้าเดินไปข้างหน้า

                “สี่คนเลยโละ” นายท่านตอบ

                “นายท่านปลงใจเยี่ยงนั้นรึจ๊ะ” พรานโละถามอีก

                “ฉันแน่ใจ ฉันรู้” นายท่านหันมายิ้มบอก

                นายพรานเลิกถาม เขาเดินยิ้มด้วยความสบายใจ คำว่าฉันรู้ที่นายท่านพูดออกมานั้นพรานโละเชื่อมั่นเต็มที่

                “ปัง”

                ท่านไกรศักดิ์เหนี่ยวไกปืนส่งหัวกระสุนขึ้นฟ้าไปอีก

                พีกับสร้อยแก้วหันขวับไปพร้อมกันทางเสียงที่แว่วมาแผ่วๆ มือที่กำลังช่วยกันตัดเครือกล้วยป่าหยุดนิ่งเพื่อเงี่ยหูคอยฟัง โจกับเหมียวที่ค่ายพักก็เช่นกัน ทั้งสองหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ลุกขึ้นยืนคอยฟัง

               “ปัง”

                โจส่งสัญญาณตอบออกไปทันที

                พีแบกเครือกล้วยขึ้นบ่าวิ่งกลับมาค่ายพักอย่างเร็วโดยมีสร้อยแก้ววิ่งกลับมาด้วย เขาแน่ใจแล้วว่าเสียงปืนที่แว่วมาอย่างแผ่วเบานั้นโจกับเหมียวก็ได้ยินด้วยเช่นกันเพื่อนของเขาจึงยิงปืนสัญญาณตอบ

               “เฮ้ย ได้ยินใช่มั้ย” พีพูดเมื่อวิ่งกระหืดกระหอบกลับมา

               “เออ ดีแล้วที่เอ็งก็ได้ยิน ตอนแรกคิดว่าหูแว่ว” โจรีบพูด

                “ปัง”

                เสียงปืนดังเริ่มฟังชัดขึ้น สร้อยแก้วคว้าปืนทำท่าจะออกวิ่งไปตามทิศทางของเสียงทันทีด้วยความห่วงใยท่านพ่อไกรศักดิ์และพ่อโละของเธอ พีฉุดแขนพรานสาวไว้

                “เดี๋ยวก่อนสร้อยแก้ว ตกลงกันก่อน” พีรั้งเธอไว้

                สร้อยแก้วหยุดมองหน้าพีสลับกับมองไปทางเสียงปืนทำท่าละล้าละลัง

                “สร้อยแก้วห่วงท่านพ่อ” พรานสาวพูดเสียงสั่นเครือ

                “ใจเย็นๆก่อน พี่ก็ห่วง” พีบอกแล้วจับตัวเธอไว้

                “เอาอย่างนี้นะ ไอ้โจ เอ็งกับเหมียวคอยสนับสนุนให้ห่างจากค่ายพอมองเห็น” พีพูด

                “ข้ากับสร้อยแก้วจะสวนทางไปหาคุณลุงกับพี่โละ สัญญาณปืน”

                “หนึ่งนัด บอกตำแหน่ง ถ้าไม่ปกติยิงเร็วเลย ตามนี้นะ” พีนัดแนะ

                “โอเค ตามนั้น” โจรับคำ

                “ปัง”

                พีส่งกระสุนออกไปแล้วทั้งสี่ก็ออกวิ่งสวนทางกับที่มาของเสียงปืน โจกับเหมียวหยุดอยู่ตรงบริเวณที่ยังคงมองเห็นค่ายพักได้ตามที่ตกลงกันไว้ พีกับสร้อยแก้วยังคงวิ่งต่อไป

                “ระวังตัวนะไอ้พีสร้อยแก้ว” โจตะโกนบอกไป

                “เออ เอ็งกับเหมียวด้วย” พีตะโกนตอบขณะวิ่งไปโดยไม่ได้หันกลับมา

                สองคนที่จ้ำเท้ามุ่งหน้าไปเทือกเขาสวนทางมาหยุดยืนนิ่งฟัง

                “ได้ยินมั้ยโละ” นายท่านไกรศักดิ์ถาม

                “เสียงปืนจ้ะ” พรานโละตอบ

                “ไป” นายท่านบอกสั้นๆแล้วออกเดินเร่งฝีเท้า

                “ปัง” ท่านลุงส่งสัญญาณไปอีก

                เสียงปืนดังบอกทิศทางกันไปมาเป็นระยะเริ่มชัดเจนขึ้นแล้วสำหรับทั้งสองด้านเมื่อเวลาผ่านไป ความหวังกลับเปลี่ยนเป็นแน่ใจและดีใจ ด้านหนุ่มสาววิ่งสุดฝีเท้าไปหา อีกด้านเร่งฝีเท้าเดินมาด้วยสังขารที่จำกัด เวลานี้สามตำแหน่งหกชีวิตรับรู้เสียงสัญญาณเป็นภาษาเดียวกันแล้ว โจกับเหมียวที่คอยระวังเฝ้าค่ายรอสนับสนุน จึงเพียงยืนฟังการส่งสัญญาณตอบกลับกันไปมาระหว่างท่านลุงกับพรานโละ และพีกับสร้อยแก้วเท่านั้น

                “ปัง” เสียงสัญญาณนัดสุดท้ายดังขึ้นอย่างชัดเจนจากท่านลุงไกรศักดิ์

                “ท่านพ่อ พ่อ” สร้อยแก้วตะโกนเรียกสุดเสียงวิ่งกะเพลกไปสุดฝีเท้าลืมความเจ็บ น้ำตาเธอไหลพรากออกมา

                พีวิ่งตามติดหลังพรานสาวไปไม่ห่าง

                “สร้อยแก้ว” เสียงเรียกชื่อดังแว่วมา

                “ท่านพ่อ พ่อ” พรานสาวตะโกนตอบ

                แล้วสี่ชีวิตก็พบหน้ากันที่ชายป่า สร้อยแก้วโผไปหาพ่อทั้งสองคนทรุดตัวลงกอดขาร้องไห้โฮออกมา ท่านพ่อไกรศักดิ์และพ่อโละนั่งลงกอดเธอเอาไว้ด้วยกัน พียืนร้องไห้เงียบๆใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาด้วยความดีใจ

                ท่านลุงไกรศักดิ์เงยหน้ามองหลานชายแล้วลุกเดินไปหา ใช้สองมือลูบหน้าลูบหัวพีแล้วดึงเข้ามากอดไว้

                “ลุงดีใจเหลือเกิน” ท่านลุงบอก

                พีพยักหน้ารับรู้เท่านั้น เขายังคงสะอื้นเบาๆอยู่

                “แล้วโจกับลูกเหมียวล่ะ” ท่านลุงถามมือยังกุมสองไหล่ชายหนุ่มไว้

                “ไม่เป็นอะไรครับ อยู่ด้วยกันกับเราสองคน” พีตอบเสียงสะอื้นมือยังเช็ดน้ำตาอยู่

                “ไป เรารีบไปสมทบกับสองคนกัน” ท่านลุงบอก

                พ่อโละดึงตัวลูกสาวให้ลุกขึ้น แต่การวิ่งมาอย่างเร็วทำให้บาดแผลที่น่องของพรานสาวกำเริบความเจ็บปวดขึ้นมาอีก เวลานี้เธอเจ็บจนแทบยืนทรงตัวไม่ไหว

                “ลูกบาดเจ็บหรือยังไง” ท่านพ่อไกรศักดิ์ขมวดคิ้วถาม

                “สร้อยแก้วมีแผลที่น่องเหมือนโดนธนูยิงครับคุณลุง” พีช่วยตอบแทน

                “ธนูที่ไหนยิงลูก ใครยิง” ท่านพ่อถามต่อ

                “สร้อยแก้วมิรู้ดอกจ้ะ ตื่นขึ้นก็มีแผลเยี่ยงนี้แล้ว” ลูกสาวตอบ

                “ผมอุ้มสร้อยแก้วกลับเองครับคุณลุง” พีพูดแล้วก้มลงช้อนตัวพรานสาวอุ้มขึ้น

                “ไป เราไปกัน อย่างอื่นค่อยคุยทีหลัง” ท่านลุงพูด

                “คุณลุงยิงบอกไอ้โจมันด้วยครับ มันคงรอฟังอยู่” พีบอกลุงไกร

                “ได้” ไกรศักดิ์รับคำแล้วยิงปืนออกไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่