ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 48
http://ppantip.com/topic/33510991
กองไฟถูกกลบคืนป่าแล้ว เท้าทั้งสี่คู่ออกเดินไปภายใต้แสงจันทร์ที่ทอแสงส่องให้ป่าสว่างเรืองมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาด้วยความมั่นใจ ความห่วงใยต่อท่านลุงไกรศักดิ์และพรานโละทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะทนนั่งรออยู่หน้ากองไฟบนเนินจนรุ่งเช้าได้ โจลั่นไกปืนส่งเสียงสัญญาณออกไปทุกช่วงสิบนาทีแล้วเงี่ยหูรอฟังเสียงสัญญาณตอบกลับ
ผู้เป็นทัพหน้าก้าวเดินนำไปอย่างมั่นคง สร้อยแก้ว เหมียว สลับฟันปลาเดินตามไปมีโจคอยปิดหลัง คบไฟในมือพีกับโจลุกโพลง แสงสว่างของคบและความสว่างในใจของคนทั้งสี่นำพาให้พวกเขาเดินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ไม่รู้ดึกรู้ดื่น
จนเกือบรุ่งสาง
“ปัง”
เสียงส่งสัญญาณพุ่งออกจากปากกระบอกปืนในมือโจขึ้นฟ้าไปอีกหนึ่งนัด เมื่อทั้งสี่มาหยุดยืนพักอยู่บนเนินฐานของสิ่งก่อสร้างโบราณไม่ห่างจากจุดเริ่มต้นของพื้นราบที่เริ่มไต่ระดับความลาดชันขึ้นสู่เทือกเขา
“เพี้ยะ” “โอ้ย”
เสียงฝ่ามือกระทบท้ายทอย ตามมาด้วยเสียงร้องของโจที่ยืนคลำหัวจ้องหน้าเพื่อนรักอยู่
“จะยิงจะเยิงบอกกันก่อนไอ้เวร ตกใจหมด” พีพูดเรียบๆมองไปรอบบริเวณ
“ใครจะไปรู้ว่าเอ็งขวัญอ่อน” โจพูดงอนๆ
“ไม่ได้ขวัญอ่อนโว้ย กำลังจ้องระวังภัยอยู่” พีพูดหันมามองหน้าเพื่อน
“ผ่ายิงปืนไม่บอกไม่กล่าวกันก่อน” พีบอก
“ได้เรื่องล่ะ เราน่าจะอยู่ในอาณาบริเวณของอินทปัตถ์นครแล้ว” โจพูด
“ใช่ ใกล้เมืองโบราณ ใกล้คุณลุง แล้วก็ใกล้ไอ้ภูติบ้านั่นกับนายมันด้วย” พีบอกเสียงเบาลง
“ฟ้าใกล้สว่างแล้ว เอายังไงดีคะ บนฐานก่อสร้างนี่ก็ราบดี แต่ อย่าวางใจ” เหมียวพูดแล้วชูคบไฟขึ้นเพื่อมองไปรอบๆตัว
“เราควรลงจากฐานดินนี่ก่อนอย่างที่เหมียวว่าแล้วก่อกองไฟรอสัญญาณคุณลุง” พีพูด
“ป่าเปียกอย่างนี้เราจะก่อไฟได้ยังไงคะ” เหมียวถาม
“ได้จ้ะ เราใช้ยางไม้ก่อได้จ้ะพี่เหมียว” สร้อยแก้วบอกสิ่งที่พรานรู้
“ไป ถ้าอย่างนั้นเราหาทำเลเหมาะๆแถวนี้ล่ะ” โจพูด
ทั้งสี่เดินลงมาจากฐานเนินดินตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ โชคดีของพวกเขาที่เปลือกของต้นไม้ชนิดนี้มียางไม้ที่ปริอยู่มากมายบนลำต้น พราน
สาวกับพี่เหมียวช่วยกันใช้ปลายมีดขุดยางไม้เปลือกไม้ออกมา โจและพีสองหนุ่มก็ช่วยกันเดินหาไม้ฟืนที่เปียกน้อยที่สุดมากองไว้ที่โคนต้น
ไม่นานยางไม้ที่มีคุณสมบัติเป็นไต้อย่างดีก็ติดไฟขึ้นส่งกลิ่นเหม็นฉุนน้อยๆออกมา สองสาวประคองเติมเชื้อไฟลงที่ละน้อยจนกองไฟเริ่มขยายใหญ่ขึ้น สองหนุ่มก็คอยเดินถือปืนระวังภัยให้อยู่รอบๆโคนต้นไม้ใหญ่นั้น
“ความจริงฟ้าก็เริ่มเรืองที่ขอบฟ้านั่นแล้วนะ จะก่อไฟทำไม” โจมาหยุดยืนพูดหน้ากองไฟ
“สัญญาณควันค่ะที่รัก” เหมียวพูดไม่ได้มองหน้า
“เออจริงนะ ผมลืมคิดไป” โจยิ้มแหยๆ
“คุณลุงกับพี่โละน่าจะไม่ห่างเราเท่าไหร่แล้ว” เหมียวพูด
“ขออย่างเดียว” พีพูด
“ขออะไร” โจถาม
“เมื่อคืนคุณลุงท่าน เอาเป็นว่าท่านไล่ความชั่วร้ายมาทางนี้ แล้วท่านเลยไม่มาทางนี้” พีตอบทอดสายตาออกไป
“เป็นไปไม่ได้ค่ะ” เหมียวพูดทันที
“ทำไมล่ะครับ” โจถาม
“ศัตรูมันประกาศสงครามก่อน คุณลุงท่านเป็นทหาร” เหมียวอธิบาย
“ท่านคิดแบบทหาร ศัตรูอยู่ทางไหนก็ต้องเดินไปหามันทางนั้นเพื่อสู้กัน”
“ถ้าเป็นคุณลุงเมื่อคืน ท่านมาแน่ เชื่อเหมียว” หญิงสาวพูด
สามคนโจ พีและสร้อยแก้วนั่งมองยิ้มให้มันสมองของครอบครัวอย่างภาคภูมิใจ
“จิระประไพแปลว่าอะไร” โจถามยิ้มๆมองหน้าเหมียว
“แปลว่าผู้มีแสงสว่างนาน รุ่งเรืองนาน” เหมียวมองหน้าตอบ
“ถามทำไมคะ”
“ก็เป็นมเหสีของพระอาทิตย์ได้น่ะสิ” โจยิ้มทำเสียงกรุ้มกริ่ม
“พูดไม่เกรงใจใครเลยนะ
” พีพูดหัวเราะหึหึ
สาวเหมียวตวัดค้อนให้ขวับหนึ่งแล้วหยิกหนึบที่แขน
“ใกล้แดนศัตรูยังจะมีแก่ใจพูดเล่นอีกนะ เช้าแล้ว ทำอะไรต่อ” เหมียวพูด
“รอให้สว่างอีกนิดแล้วตั้งค่ายหาอาหารกัน มองเห็นชัดๆก็คงรู้ว่าจะทำอะไรต่อนะครับ” พีพูด
“ท่านพี่ออกหาของกินกับสร้อยแก้วดีไหมจ้ะ ใกล้ๆนี้พอกู่ถึงกัน” พรานสาวออกความเห็น
“ก็ดีเหมือนกัน ข้ากับน้องสร้อยแก้วจะอยู่ไม่ไกล เอ็งกับเหมียวเฝ้าค่าย” พีหันไปพูดกับโจ
“ตกลงตามนั้น เออ ถ้าเจอแหล่งน้ำก็ดีนะ เราจะย้ายค่ายกัน” โจรับคำแล้วพูดเสริม
“ได้ ไปสร้อยแก้วเราไปกัน” พียืนขึ้นพยักหน้าชวนพรานสาว
ทัพหน้าสะพายดาบคู่ถือปืนเดินออกไปมีสร้อยแก้วถือดาบเดินป่าตามไปข้างๆ เหมียวจัดวางเป้หลังของทุกคนเป็นระเบียบแล้วยืนขึ้นใช้กล้องส่องทางไกลกวาดสำรวจไปรอบๆอย่างถี่ถ้วน โจก็ลุกขึ้นเดินไปมองหาไม้ฟืนใกล้ๆกลับมาโยนทิ้งไว้เพิ่มเติม เขานึกขึ้นมาได้อย่างหนึ่งจึงตะโกนเรียกพี
“เฮ้ยไอ้พี” โจเรียก
พีกับสร้อยแก้วหันกลับมามอง
“ข้าจะยิงปืนสัญญาณทีละนัดนะ ถ้ายิงหลายนัดคือมีปัญหา เอ็งด้วย ตามนี้นะ” โจตะโกนนัดแนะไป
พีชูปืนในมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ารับทราบแล้วเดินต่อไป
พื้นป่าโบราณสว่างโล่งแล้วเมื่อเวลาผ่านไป นายท่านไกรศักดิ์กับพรานโละยังคงก้าวเท้าตรงมายังเทือกเขาอยู่ ในมือของทั้งสองมีผลไม้ป่าที่พบ
ระหว่างทางเดินกินมาด้วย จนทั้งสองมาหยุดพักบนเนินดินที่หมายตาจะใช้สำรวจระยะไกล พรานโละแหงนหน้ามองต้นไม้ที่คิดว่าสูงที่สุดแล้วปีนขึ้นไปทันที
“ระวังตัวนะโละ” นายท่านไกรศักดิ์ร้องบอกเตือนตามหลังแล้วนั่งลงที่โคนต้น
ไม่นานพรานโละก็ปีนกลับลงมาด้วยสีหน้ายิ้มดีใจ
“นายท่าน มีควันไฟทางทิศนั้น” พรานโละบอกแล้วชี้มือไปทางเทือกเขา
ท่านไกรศักดิ์ลุกพรวดขึ้นยืนทันที
“ลูกหลานเราแน่ ไปโละรีบไป” นายท่านตบไหล่พรานโละสีหน้าดีใจเช่นกัน
“ปัง”
ปืนในมือท่านไกรศักดิ์ยิงขึ้นท้องฟ้าไปทันทีเพื่อส่งสัญญาณก่อนออกเดิน
ควันไฟที่ลอยขึ้นจากพื้นป่าในระยะไกลเพื่อบอกตำแหน่ง เป็นกำลังใจให้ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าไปยังจุดนั้น ความห่วงใยและความกังวลต่อสภาวะของลูกหลานทั้งสี่เบาบางลงไปมาก อย่างน้อยจะต้องมีหนึ่งคนที่ก่อกองไฟขึ้น
“เป็นสี่คนรึมิใช่นายท่าน” พรานโละถามขณะจ้ำเท้าเดินไปข้างหน้า
“สี่คนเลยโละ” นายท่านตอบ
“นายท่านปลงใจเยี่ยงนั้นรึจ๊ะ” พรานโละถามอีก
“ฉันแน่ใจ ฉันรู้” นายท่านหันมายิ้มบอก
นายพรานเลิกถาม เขาเดินยิ้มด้วยความสบายใจ คำว่าฉันรู้ที่นายท่านพูดออกมานั้นพรานโละเชื่อมั่นเต็มที่
“ปัง”
ท่านไกรศักดิ์เหนี่ยวไกปืนส่งหัวกระสุนขึ้นฟ้าไปอีก
พีกับสร้อยแก้วหันขวับไปพร้อมกันทางเสียงที่แว่วมาแผ่วๆ มือที่กำลังช่วยกันตัดเครือกล้วยป่าหยุดนิ่งเพื่อเงี่ยหูคอยฟัง โจกับเหมียวที่ค่ายพักก็เช่นกัน ทั้งสองหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ลุกขึ้นยืนคอยฟัง
“ปัง”
โจส่งสัญญาณตอบออกไปทันที
พีแบกเครือกล้วยขึ้นบ่าวิ่งกลับมาค่ายพักอย่างเร็วโดยมีสร้อยแก้ววิ่งกลับมาด้วย เขาแน่ใจแล้วว่าเสียงปืนที่แว่วมาอย่างแผ่วเบานั้นโจกับเหมียวก็ได้ยินด้วยเช่นกันเพื่อนของเขาจึงยิงปืนสัญญาณตอบ
“เฮ้ย ได้ยินใช่มั้ย” พีพูดเมื่อวิ่งกระหืดกระหอบกลับมา
“เออ ดีแล้วที่เอ็งก็ได้ยิน ตอนแรกคิดว่าหูแว่ว” โจรีบพูด
“ปัง”
เสียงปืนดังเริ่มฟังชัดขึ้น สร้อยแก้วคว้าปืนทำท่าจะออกวิ่งไปตามทิศทางของเสียงทันทีด้วยความห่วงใยท่านพ่อไกรศักดิ์และพ่อโละของเธอ พีฉุดแขนพรานสาวไว้
“เดี๋ยวก่อนสร้อยแก้ว ตกลงกันก่อน” พีรั้งเธอไว้
สร้อยแก้วหยุดมองหน้าพีสลับกับมองไปทางเสียงปืนทำท่าละล้าละลัง
“สร้อยแก้วห่วงท่านพ่อ” พรานสาวพูดเสียงสั่นเครือ
“ใจเย็นๆก่อน พี่ก็ห่วง” พีบอกแล้วจับตัวเธอไว้
“เอาอย่างนี้นะ ไอ้โจ เอ็งกับเหมียวคอยสนับสนุนให้ห่างจากค่ายพอมองเห็น” พีพูด
“ข้ากับสร้อยแก้วจะสวนทางไปหาคุณลุงกับพี่โละ สัญญาณปืน”
“หนึ่งนัด บอกตำแหน่ง ถ้าไม่ปกติยิงเร็วเลย ตามนี้นะ” พีนัดแนะ
“โอเค ตามนั้น” โจรับคำ
“ปัง”
พีส่งกระสุนออกไปแล้วทั้งสี่ก็ออกวิ่งสวนทางกับที่มาของเสียงปืน โจกับเหมียวหยุดอยู่ตรงบริเวณที่ยังคงมองเห็นค่ายพักได้ตามที่ตกลงกันไว้ พีกับสร้อยแก้วยังคงวิ่งต่อไป
“ระวังตัวนะไอ้พีสร้อยแก้ว” โจตะโกนบอกไป
“เออ เอ็งกับเหมียวด้วย” พีตะโกนตอบขณะวิ่งไปโดยไม่ได้หันกลับมา
สองคนที่จ้ำเท้ามุ่งหน้าไปเทือกเขาสวนทางมาหยุดยืนนิ่งฟัง
“ได้ยินมั้ยโละ” นายท่านไกรศักดิ์ถาม
“เสียงปืนจ้ะ” พรานโละตอบ
“ไป” นายท่านบอกสั้นๆแล้วออกเดินเร่งฝีเท้า
“ปัง” ท่านลุงส่งสัญญาณไปอีก
เสียงปืนดังบอกทิศทางกันไปมาเป็นระยะเริ่มชัดเจนขึ้นแล้วสำหรับทั้งสองด้านเมื่อเวลาผ่านไป ความหวังกลับเปลี่ยนเป็นแน่ใจและดีใจ ด้านหนุ่มสาววิ่งสุดฝีเท้าไปหา อีกด้านเร่งฝีเท้าเดินมาด้วยสังขารที่จำกัด เวลานี้สามตำแหน่งหกชีวิตรับรู้เสียงสัญญาณเป็นภาษาเดียวกันแล้ว โจกับเหมียวที่คอยระวังเฝ้าค่ายรอสนับสนุน จึงเพียงยืนฟังการส่งสัญญาณตอบกลับกันไปมาระหว่างท่านลุงกับพรานโละ และพีกับสร้อยแก้วเท่านั้น
“ปัง” เสียงสัญญาณนัดสุดท้ายดังขึ้นอย่างชัดเจนจากท่านลุงไกรศักดิ์
“ท่านพ่อ พ่อ” สร้อยแก้วตะโกนเรียกสุดเสียงวิ่งกะเพลกไปสุดฝีเท้าลืมความเจ็บ น้ำตาเธอไหลพรากออกมา
พีวิ่งตามติดหลังพรานสาวไปไม่ห่าง
“สร้อยแก้ว” เสียงเรียกชื่อดังแว่วมา
“ท่านพ่อ พ่อ” พรานสาวตะโกนตอบ
แล้วสี่ชีวิตก็พบหน้ากันที่ชายป่า สร้อยแก้วโผไปหาพ่อทั้งสองคนทรุดตัวลงกอดขาร้องไห้โฮออกมา ท่านพ่อไกรศักดิ์และพ่อโละนั่งลงกอดเธอเอาไว้ด้วยกัน พียืนร้องไห้เงียบๆใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาด้วยความดีใจ
ท่านลุงไกรศักดิ์เงยหน้ามองหลานชายแล้วลุกเดินไปหา ใช้สองมือลูบหน้าลูบหัวพีแล้วดึงเข้ามากอดไว้
“ลุงดีใจเหลือเกิน” ท่านลุงบอก
พีพยักหน้ารับรู้เท่านั้น เขายังคงสะอื้นเบาๆอยู่
“แล้วโจกับลูกเหมียวล่ะ” ท่านลุงถามมือยังกุมสองไหล่ชายหนุ่มไว้
“ไม่เป็นอะไรครับ อยู่ด้วยกันกับเราสองคน” พีตอบเสียงสะอื้นมือยังเช็ดน้ำตาอยู่
“ไป เรารีบไปสมทบกับสองคนกัน” ท่านลุงบอก
พ่อโละดึงตัวลูกสาวให้ลุกขึ้น แต่การวิ่งมาอย่างเร็วทำให้บาดแผลที่น่องของพรานสาวกำเริบความเจ็บปวดขึ้นมาอีก เวลานี้เธอเจ็บจนแทบยืนทรงตัวไม่ไหว
“ลูกบาดเจ็บหรือยังไง” ท่านพ่อไกรศักดิ์ขมวดคิ้วถาม
“สร้อยแก้วมีแผลที่น่องเหมือนโดนธนูยิงครับคุณลุง” พีช่วยตอบแทน
“ธนูที่ไหนยิงลูก ใครยิง” ท่านพ่อถามต่อ
“สร้อยแก้วมิรู้ดอกจ้ะ ตื่นขึ้นก็มีแผลเยี่ยงนี้แล้ว” ลูกสาวตอบ
“ผมอุ้มสร้อยแก้วกลับเองครับคุณลุง” พีพูดแล้วก้มลงช้อนตัวพรานสาวอุ้มขึ้น
“ไป เราไปกัน อย่างอื่นค่อยคุยทีหลัง” ท่านลุงพูด
“คุณลุงยิงบอกไอ้โจมันด้วยครับ มันคงรอฟังอยู่” พีบอกลุงไกร
“ได้” ไกรศักดิ์รับคำแล้วยิงปืนออกไป
ธารทิพย์ บทที่ 49
ธารทิพย์ บทที่ 48 http://ppantip.com/topic/33510991
กองไฟถูกกลบคืนป่าแล้ว เท้าทั้งสี่คู่ออกเดินไปภายใต้แสงจันทร์ที่ทอแสงส่องให้ป่าสว่างเรืองมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาด้วยความมั่นใจ ความห่วงใยต่อท่านลุงไกรศักดิ์และพรานโละทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะทนนั่งรออยู่หน้ากองไฟบนเนินจนรุ่งเช้าได้ โจลั่นไกปืนส่งเสียงสัญญาณออกไปทุกช่วงสิบนาทีแล้วเงี่ยหูรอฟังเสียงสัญญาณตอบกลับ
ผู้เป็นทัพหน้าก้าวเดินนำไปอย่างมั่นคง สร้อยแก้ว เหมียว สลับฟันปลาเดินตามไปมีโจคอยปิดหลัง คบไฟในมือพีกับโจลุกโพลง แสงสว่างของคบและความสว่างในใจของคนทั้งสี่นำพาให้พวกเขาเดินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ไม่รู้ดึกรู้ดื่น
จนเกือบรุ่งสาง
“ปัง”
เสียงส่งสัญญาณพุ่งออกจากปากกระบอกปืนในมือโจขึ้นฟ้าไปอีกหนึ่งนัด เมื่อทั้งสี่มาหยุดยืนพักอยู่บนเนินฐานของสิ่งก่อสร้างโบราณไม่ห่างจากจุดเริ่มต้นของพื้นราบที่เริ่มไต่ระดับความลาดชันขึ้นสู่เทือกเขา
“เพี้ยะ” “โอ้ย”
เสียงฝ่ามือกระทบท้ายทอย ตามมาด้วยเสียงร้องของโจที่ยืนคลำหัวจ้องหน้าเพื่อนรักอยู่
“จะยิงจะเยิงบอกกันก่อนไอ้เวร ตกใจหมด” พีพูดเรียบๆมองไปรอบบริเวณ
“ใครจะไปรู้ว่าเอ็งขวัญอ่อน” โจพูดงอนๆ
“ไม่ได้ขวัญอ่อนโว้ย กำลังจ้องระวังภัยอยู่” พีพูดหันมามองหน้าเพื่อน
“ผ่ายิงปืนไม่บอกไม่กล่าวกันก่อน” พีบอก
“ได้เรื่องล่ะ เราน่าจะอยู่ในอาณาบริเวณของอินทปัตถ์นครแล้ว” โจพูด
“ใช่ ใกล้เมืองโบราณ ใกล้คุณลุง แล้วก็ใกล้ไอ้ภูติบ้านั่นกับนายมันด้วย” พีบอกเสียงเบาลง
“ฟ้าใกล้สว่างแล้ว เอายังไงดีคะ บนฐานก่อสร้างนี่ก็ราบดี แต่ อย่าวางใจ” เหมียวพูดแล้วชูคบไฟขึ้นเพื่อมองไปรอบๆตัว
“เราควรลงจากฐานดินนี่ก่อนอย่างที่เหมียวว่าแล้วก่อกองไฟรอสัญญาณคุณลุง” พีพูด
“ป่าเปียกอย่างนี้เราจะก่อไฟได้ยังไงคะ” เหมียวถาม
“ได้จ้ะ เราใช้ยางไม้ก่อได้จ้ะพี่เหมียว” สร้อยแก้วบอกสิ่งที่พรานรู้
“ไป ถ้าอย่างนั้นเราหาทำเลเหมาะๆแถวนี้ล่ะ” โจพูด
ทั้งสี่เดินลงมาจากฐานเนินดินตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ โชคดีของพวกเขาที่เปลือกของต้นไม้ชนิดนี้มียางไม้ที่ปริอยู่มากมายบนลำต้น พราน
สาวกับพี่เหมียวช่วยกันใช้ปลายมีดขุดยางไม้เปลือกไม้ออกมา โจและพีสองหนุ่มก็ช่วยกันเดินหาไม้ฟืนที่เปียกน้อยที่สุดมากองไว้ที่โคนต้น
ไม่นานยางไม้ที่มีคุณสมบัติเป็นไต้อย่างดีก็ติดไฟขึ้นส่งกลิ่นเหม็นฉุนน้อยๆออกมา สองสาวประคองเติมเชื้อไฟลงที่ละน้อยจนกองไฟเริ่มขยายใหญ่ขึ้น สองหนุ่มก็คอยเดินถือปืนระวังภัยให้อยู่รอบๆโคนต้นไม้ใหญ่นั้น
“ความจริงฟ้าก็เริ่มเรืองที่ขอบฟ้านั่นแล้วนะ จะก่อไฟทำไม” โจมาหยุดยืนพูดหน้ากองไฟ
“สัญญาณควันค่ะที่รัก” เหมียวพูดไม่ได้มองหน้า
“เออจริงนะ ผมลืมคิดไป” โจยิ้มแหยๆ
“คุณลุงกับพี่โละน่าจะไม่ห่างเราเท่าไหร่แล้ว” เหมียวพูด
“ขออย่างเดียว” พีพูด
“ขออะไร” โจถาม
“เมื่อคืนคุณลุงท่าน เอาเป็นว่าท่านไล่ความชั่วร้ายมาทางนี้ แล้วท่านเลยไม่มาทางนี้” พีตอบทอดสายตาออกไป
“เป็นไปไม่ได้ค่ะ” เหมียวพูดทันที
“ทำไมล่ะครับ” โจถาม
“ศัตรูมันประกาศสงครามก่อน คุณลุงท่านเป็นทหาร” เหมียวอธิบาย
“ท่านคิดแบบทหาร ศัตรูอยู่ทางไหนก็ต้องเดินไปหามันทางนั้นเพื่อสู้กัน”
“ถ้าเป็นคุณลุงเมื่อคืน ท่านมาแน่ เชื่อเหมียว” หญิงสาวพูด
สามคนโจ พีและสร้อยแก้วนั่งมองยิ้มให้มันสมองของครอบครัวอย่างภาคภูมิใจ
“จิระประไพแปลว่าอะไร” โจถามยิ้มๆมองหน้าเหมียว
“แปลว่าผู้มีแสงสว่างนาน รุ่งเรืองนาน” เหมียวมองหน้าตอบ
“ถามทำไมคะ”
“ก็เป็นมเหสีของพระอาทิตย์ได้น่ะสิ” โจยิ้มทำเสียงกรุ้มกริ่ม
“พูดไม่เกรงใจใครเลยนะ ” พีพูดหัวเราะหึหึ
สาวเหมียวตวัดค้อนให้ขวับหนึ่งแล้วหยิกหนึบที่แขน
“ใกล้แดนศัตรูยังจะมีแก่ใจพูดเล่นอีกนะ เช้าแล้ว ทำอะไรต่อ” เหมียวพูด
“รอให้สว่างอีกนิดแล้วตั้งค่ายหาอาหารกัน มองเห็นชัดๆก็คงรู้ว่าจะทำอะไรต่อนะครับ” พีพูด
“ท่านพี่ออกหาของกินกับสร้อยแก้วดีไหมจ้ะ ใกล้ๆนี้พอกู่ถึงกัน” พรานสาวออกความเห็น
“ก็ดีเหมือนกัน ข้ากับน้องสร้อยแก้วจะอยู่ไม่ไกล เอ็งกับเหมียวเฝ้าค่าย” พีหันไปพูดกับโจ
“ตกลงตามนั้น เออ ถ้าเจอแหล่งน้ำก็ดีนะ เราจะย้ายค่ายกัน” โจรับคำแล้วพูดเสริม
“ได้ ไปสร้อยแก้วเราไปกัน” พียืนขึ้นพยักหน้าชวนพรานสาว
ทัพหน้าสะพายดาบคู่ถือปืนเดินออกไปมีสร้อยแก้วถือดาบเดินป่าตามไปข้างๆ เหมียวจัดวางเป้หลังของทุกคนเป็นระเบียบแล้วยืนขึ้นใช้กล้องส่องทางไกลกวาดสำรวจไปรอบๆอย่างถี่ถ้วน โจก็ลุกขึ้นเดินไปมองหาไม้ฟืนใกล้ๆกลับมาโยนทิ้งไว้เพิ่มเติม เขานึกขึ้นมาได้อย่างหนึ่งจึงตะโกนเรียกพี
“เฮ้ยไอ้พี” โจเรียก
พีกับสร้อยแก้วหันกลับมามอง
“ข้าจะยิงปืนสัญญาณทีละนัดนะ ถ้ายิงหลายนัดคือมีปัญหา เอ็งด้วย ตามนี้นะ” โจตะโกนนัดแนะไป
พีชูปืนในมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ารับทราบแล้วเดินต่อไป
พื้นป่าโบราณสว่างโล่งแล้วเมื่อเวลาผ่านไป นายท่านไกรศักดิ์กับพรานโละยังคงก้าวเท้าตรงมายังเทือกเขาอยู่ ในมือของทั้งสองมีผลไม้ป่าที่พบ
ระหว่างทางเดินกินมาด้วย จนทั้งสองมาหยุดพักบนเนินดินที่หมายตาจะใช้สำรวจระยะไกล พรานโละแหงนหน้ามองต้นไม้ที่คิดว่าสูงที่สุดแล้วปีนขึ้นไปทันที
“ระวังตัวนะโละ” นายท่านไกรศักดิ์ร้องบอกเตือนตามหลังแล้วนั่งลงที่โคนต้น
ไม่นานพรานโละก็ปีนกลับลงมาด้วยสีหน้ายิ้มดีใจ
“นายท่าน มีควันไฟทางทิศนั้น” พรานโละบอกแล้วชี้มือไปทางเทือกเขา
ท่านไกรศักดิ์ลุกพรวดขึ้นยืนทันที
“ลูกหลานเราแน่ ไปโละรีบไป” นายท่านตบไหล่พรานโละสีหน้าดีใจเช่นกัน
“ปัง”
ปืนในมือท่านไกรศักดิ์ยิงขึ้นท้องฟ้าไปทันทีเพื่อส่งสัญญาณก่อนออกเดิน
ควันไฟที่ลอยขึ้นจากพื้นป่าในระยะไกลเพื่อบอกตำแหน่ง เป็นกำลังใจให้ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าไปยังจุดนั้น ความห่วงใยและความกังวลต่อสภาวะของลูกหลานทั้งสี่เบาบางลงไปมาก อย่างน้อยจะต้องมีหนึ่งคนที่ก่อกองไฟขึ้น
“เป็นสี่คนรึมิใช่นายท่าน” พรานโละถามขณะจ้ำเท้าเดินไปข้างหน้า
“สี่คนเลยโละ” นายท่านตอบ
“นายท่านปลงใจเยี่ยงนั้นรึจ๊ะ” พรานโละถามอีก
“ฉันแน่ใจ ฉันรู้” นายท่านหันมายิ้มบอก
นายพรานเลิกถาม เขาเดินยิ้มด้วยความสบายใจ คำว่าฉันรู้ที่นายท่านพูดออกมานั้นพรานโละเชื่อมั่นเต็มที่
“ปัง”
ท่านไกรศักดิ์เหนี่ยวไกปืนส่งหัวกระสุนขึ้นฟ้าไปอีก
พีกับสร้อยแก้วหันขวับไปพร้อมกันทางเสียงที่แว่วมาแผ่วๆ มือที่กำลังช่วยกันตัดเครือกล้วยป่าหยุดนิ่งเพื่อเงี่ยหูคอยฟัง โจกับเหมียวที่ค่ายพักก็เช่นกัน ทั้งสองหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ลุกขึ้นยืนคอยฟัง
“ปัง”
โจส่งสัญญาณตอบออกไปทันที
พีแบกเครือกล้วยขึ้นบ่าวิ่งกลับมาค่ายพักอย่างเร็วโดยมีสร้อยแก้ววิ่งกลับมาด้วย เขาแน่ใจแล้วว่าเสียงปืนที่แว่วมาอย่างแผ่วเบานั้นโจกับเหมียวก็ได้ยินด้วยเช่นกันเพื่อนของเขาจึงยิงปืนสัญญาณตอบ
“เฮ้ย ได้ยินใช่มั้ย” พีพูดเมื่อวิ่งกระหืดกระหอบกลับมา
“เออ ดีแล้วที่เอ็งก็ได้ยิน ตอนแรกคิดว่าหูแว่ว” โจรีบพูด
“ปัง”
เสียงปืนดังเริ่มฟังชัดขึ้น สร้อยแก้วคว้าปืนทำท่าจะออกวิ่งไปตามทิศทางของเสียงทันทีด้วยความห่วงใยท่านพ่อไกรศักดิ์และพ่อโละของเธอ พีฉุดแขนพรานสาวไว้
“เดี๋ยวก่อนสร้อยแก้ว ตกลงกันก่อน” พีรั้งเธอไว้
สร้อยแก้วหยุดมองหน้าพีสลับกับมองไปทางเสียงปืนทำท่าละล้าละลัง
“สร้อยแก้วห่วงท่านพ่อ” พรานสาวพูดเสียงสั่นเครือ
“ใจเย็นๆก่อน พี่ก็ห่วง” พีบอกแล้วจับตัวเธอไว้
“เอาอย่างนี้นะ ไอ้โจ เอ็งกับเหมียวคอยสนับสนุนให้ห่างจากค่ายพอมองเห็น” พีพูด
“ข้ากับสร้อยแก้วจะสวนทางไปหาคุณลุงกับพี่โละ สัญญาณปืน”
“หนึ่งนัด บอกตำแหน่ง ถ้าไม่ปกติยิงเร็วเลย ตามนี้นะ” พีนัดแนะ
“โอเค ตามนั้น” โจรับคำ
“ปัง”
พีส่งกระสุนออกไปแล้วทั้งสี่ก็ออกวิ่งสวนทางกับที่มาของเสียงปืน โจกับเหมียวหยุดอยู่ตรงบริเวณที่ยังคงมองเห็นค่ายพักได้ตามที่ตกลงกันไว้ พีกับสร้อยแก้วยังคงวิ่งต่อไป
“ระวังตัวนะไอ้พีสร้อยแก้ว” โจตะโกนบอกไป
“เออ เอ็งกับเหมียวด้วย” พีตะโกนตอบขณะวิ่งไปโดยไม่ได้หันกลับมา
สองคนที่จ้ำเท้ามุ่งหน้าไปเทือกเขาสวนทางมาหยุดยืนนิ่งฟัง
“ได้ยินมั้ยโละ” นายท่านไกรศักดิ์ถาม
“เสียงปืนจ้ะ” พรานโละตอบ
“ไป” นายท่านบอกสั้นๆแล้วออกเดินเร่งฝีเท้า
“ปัง” ท่านลุงส่งสัญญาณไปอีก
เสียงปืนดังบอกทิศทางกันไปมาเป็นระยะเริ่มชัดเจนขึ้นแล้วสำหรับทั้งสองด้านเมื่อเวลาผ่านไป ความหวังกลับเปลี่ยนเป็นแน่ใจและดีใจ ด้านหนุ่มสาววิ่งสุดฝีเท้าไปหา อีกด้านเร่งฝีเท้าเดินมาด้วยสังขารที่จำกัด เวลานี้สามตำแหน่งหกชีวิตรับรู้เสียงสัญญาณเป็นภาษาเดียวกันแล้ว โจกับเหมียวที่คอยระวังเฝ้าค่ายรอสนับสนุน จึงเพียงยืนฟังการส่งสัญญาณตอบกลับกันไปมาระหว่างท่านลุงกับพรานโละ และพีกับสร้อยแก้วเท่านั้น
“ปัง” เสียงสัญญาณนัดสุดท้ายดังขึ้นอย่างชัดเจนจากท่านลุงไกรศักดิ์
“ท่านพ่อ พ่อ” สร้อยแก้วตะโกนเรียกสุดเสียงวิ่งกะเพลกไปสุดฝีเท้าลืมความเจ็บ น้ำตาเธอไหลพรากออกมา
พีวิ่งตามติดหลังพรานสาวไปไม่ห่าง
“สร้อยแก้ว” เสียงเรียกชื่อดังแว่วมา
“ท่านพ่อ พ่อ” พรานสาวตะโกนตอบ
แล้วสี่ชีวิตก็พบหน้ากันที่ชายป่า สร้อยแก้วโผไปหาพ่อทั้งสองคนทรุดตัวลงกอดขาร้องไห้โฮออกมา ท่านพ่อไกรศักดิ์และพ่อโละนั่งลงกอดเธอเอาไว้ด้วยกัน พียืนร้องไห้เงียบๆใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาด้วยความดีใจ
ท่านลุงไกรศักดิ์เงยหน้ามองหลานชายแล้วลุกเดินไปหา ใช้สองมือลูบหน้าลูบหัวพีแล้วดึงเข้ามากอดไว้
“ลุงดีใจเหลือเกิน” ท่านลุงบอก
พีพยักหน้ารับรู้เท่านั้น เขายังคงสะอื้นเบาๆอยู่
“แล้วโจกับลูกเหมียวล่ะ” ท่านลุงถามมือยังกุมสองไหล่ชายหนุ่มไว้
“ไม่เป็นอะไรครับ อยู่ด้วยกันกับเราสองคน” พีตอบเสียงสะอื้นมือยังเช็ดน้ำตาอยู่
“ไป เรารีบไปสมทบกับสองคนกัน” ท่านลุงบอก
พ่อโละดึงตัวลูกสาวให้ลุกขึ้น แต่การวิ่งมาอย่างเร็วทำให้บาดแผลที่น่องของพรานสาวกำเริบความเจ็บปวดขึ้นมาอีก เวลานี้เธอเจ็บจนแทบยืนทรงตัวไม่ไหว
“ลูกบาดเจ็บหรือยังไง” ท่านพ่อไกรศักดิ์ขมวดคิ้วถาม
“สร้อยแก้วมีแผลที่น่องเหมือนโดนธนูยิงครับคุณลุง” พีช่วยตอบแทน
“ธนูที่ไหนยิงลูก ใครยิง” ท่านพ่อถามต่อ
“สร้อยแก้วมิรู้ดอกจ้ะ ตื่นขึ้นก็มีแผลเยี่ยงนี้แล้ว” ลูกสาวตอบ
“ผมอุ้มสร้อยแก้วกลับเองครับคุณลุง” พีพูดแล้วก้มลงช้อนตัวพรานสาวอุ้มขึ้น
“ไป เราไปกัน อย่างอื่นค่อยคุยทีหลัง” ท่านลุงพูด
“คุณลุงยิงบอกไอ้โจมันด้วยครับ มันคงรอฟังอยู่” พีบอกลุงไกร
“ได้” ไกรศักดิ์รับคำแล้วยิงปืนออกไป