ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 46
http://ppantip.com/topic/33465019
นางกษัตริย์ชายพระเนตรเหลือบขึ้นมองสบตาช้าๆแล้วรินน้ำใสออกมา
“ใยพระนางจึ่งยลแล้วเคยคุ้นยิ่งนักพุทธเจ้าข้าฯ” กายทิพย์ทูลถาม
นางกษัตริย์สะอื้นไห้สะท้อนทรวงออกมาอีกเมื่อสดับคำทูลถาม
“พระนางมาด้วยประสงค์ขอเข้าเฝ้า” ท่านผาเอ่ยนำ
“ตัวเรานั้นเป็นเพียงข้าแผ่นดิน ใยเรายินว่าขอเข้าเฝ้า” กายทิพย์กล่าวคำที่ฉงน
“อันพระนางนั้นเล่าดำรงฐานันดรสูงส่ง”
“พระนางมีประสงค์อันใดให้ข้าพุทธเจ้ารองพระบาทเจ้าข้าฯ” กายทิพย์ทูลถาม
“พี่ท่านร้างลาเลือนลืมข้าน้อยแล้วรึไร” นางกษัตริย์สะอื้นตรัสพ้อ
กายทิพย์นิ่งจ้องพระนางอยู่อย่างฉงนใจ
“อันมิแจ้งแก่ใจ ข้าพุทธเจ้ามิกล้าทูลตอบ”
“ท่านผู้รู้รอบผู้ข้ามภพ” ท่านผากล่าว
“ผู้ที่น้อมนบอยู่หน้าท่านนั้นคือพระนางอลิยาเทวี คู่บารมีแห่งอุเทนธิกะ”
กายทิพย์ฟังคำท่านผาแล้วมองจ้องดวงหน้าพระนางผู้เลอโฉมนิ่ง
“พี่ท่านละสิ้นอันทรงจำในตัวข้าน้อยแล้วรึไร” นางกษัตริย์ตรัสถาม
“ข้าน้อยนั้นไซร้เฝ้าคอยเสด็จนิวัตน์มาช้านาน”
“ท่านพี่ผาโปรดเล่าขานให้ฉันรู้แจ้งด้วยเถิด” กายทิพย์หันไปถามท่านผา จิตเริ่มป่วนปั่นไม่สงบนิ่ง
“วิญญาณนี้ถือกำเนิดเพื่อคู่บารมีของท่านอีกครั้ง นามว่าลอยา” ท่านผาบอกข้อไขที่ฉงนในใจอยู่ให้
กายทิพย์สั่นคลอนในจิตมากขึ้นมากขึ้นจนสุดสิ้นการควบคุม ท่านผาและพระนางอลิยาเทวีเริ่มพร่าเลือนจางหายกลายเป็นความดำมืดที่ล่วงหล่นลงอย่างรุนแรง
ร่างของท่านไกรศักดิ์ผวาเฮือกขึ้นสุดตัว แอ่นอกหงายคอสูดลมหายใจเต็มแรงอาการเหมือนคนจมน้ำที่โผล่ขึ้นมาสูดอากาศ พรานโละนั่งอยู่ไม่ไกลเห็นดังนั้นจึงรีบถลันเข้ามาจับตัวนายท่านเอาไว้
ไกรศักดิ์นั่งหอบหายใจก้มหน้าหลับตาอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่โดยมีพรานโละคอยประคองเอาไว้ เขาไม่กล้าเอ่ยปากถามสิ่งใดด้วยกลัวว่าจะเป็นอันตรายกับนายท่านของเขา
“โละ” ท่านไกรศักดิ์เรียกเบาๆยังก้มหน้าหลับตาอยู่
“จ๊ะ นายท่าน” โละขานเบาๆ
“นายท่านเป็นเยี่ยงไรจ๊ะ” โละถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไรแล้ว” ท่านไกรศักดิ์บอกด้วยเสียงแผ่วเบา
“จิตฉันสั่นคลอน เลยตกจากกรรมฐาน ไม่ได้ถอยออกมาอย่างที่เคย”
“ฉันจะนำน้ำต้มมาให้นายท่านนะจ๊ะ” โละพูดแล้วผละไปรินน้ำต้มเดือดมาส่งให้
“ขอบใจนะโละ” ท่านไกรศักดิ์ยิ้มน้อยๆแล้วรับกระบอกไม้มาดื่มช้าๆ
“นายท่านเห็นอันใดจ๊ะ” โละถามเมื่อเห็นว่าท่านไกรศักดิ์มีอาการดีขึ้นแล้ว
ท่านไกรศักดิ์เงยหน้ายิ้มให้แล้วหันไปมองทางเนินดินที่ขึ้นไปยืนอยู่เมื่อเวลาเย็น
“ฉันเริ่มเห็นอดีตน่ะ” นายท่านพูด
“เยี่ยงไรจ๊ะ” โละอยากรู้
“ยัง ยังไม่แน่ใจ อีกไม่นานคงเข้าใจ แล้วฉันค่อยเล่าให้โละฟังนะ” นายท่านพูดแล้วตบไหล่พรานเบาๆ
“จ้ะนายท่าน” โละรับคำ
“ฉันตื่นแล้ว โละนอนพักหลับเสียนะ สายๆเราเริ่มออกเดินกัน” นายท่านบอกโละ
“เราจะไปหนใดจ๊ะนายท่าน” โละถาม
นายท่านไกรศักดิ์ลุกขึ้นยืนมองไปรอบตัว
“เราจะออกค้นหาอินทปัตถ์ นครโบราณ” นายท่านพูด
“ไปทิศใดจ๊ะนายท่าน” โละถาม
“ไปทางนั้น” นายท่านตอบแล้วชี้มือไป
“เทือกเขาที่เราเห็นอยู่ไกลๆเมื่อวานนี้”
“จ้ะนายท่าน หากเยี่ยงนั้นฉันขอพักงีบก่อน” โละรับคำ
“นอนเลยโละ นี่ก็ใกล้จะสางแล้ว ฉันนั่งยามเอง” นายท่านบอก
พรานโละเอนหลังลงแตะพื้นไม่นานก็ผล็อยหลับ นายท่านไกรศักดิ์ลุกเดินไปล้างหน้าที่ริมสระน้ำให้ตาสว่างแล้วเดินมองจ้องไปรอบๆที่พัก
“อุเทนธิกะ พระนางอลิยาเทวีเหรอ” ไกรศักดิ์พูดเบาๆกับตัวเอง
ดวงอาทิตย์ทำมุมเฉียงอยู่เหนือขอบฟ้าบอกเวลาว่าสายแล้ว พีเหน็บมีดยาวเดินป่าไว้ที่เอวปีนสูงขึ้นไปบนยอดไม้ที่อยู่ใกล้ๆ โจยืนแหงนหน้ามองเพื่อนรักรออยู่ใต้ต้นไม้เพื่อคอยช่วยเหลือ ปล่อยสองสาวเหมียวกับสร้อยแก้วให้นั่งเก็บข้าวของไปพลางๆ
“เห็นอะไรบ้าง” โจถามเมื่อเพื่อนปีนกลับลงมาถึงพื้น
“ไม่ไกลมากนักภูมิประเทศเป็นเทือกเขา” พีพูดเมื่อทั้งคู่เดินกลับมายังที่พักริมลำธาร
“ซากเมืองโบราณนี่ชื่อเมืองอะไรนะ เราจะรู้ได้ยังไง” โจพูด
“ถามสร้อยแก้วซิคะ” เหมียวพูดไม่ได้มองหน้าใคร
โจและพีหันมองหน้ากันแล้วมองไปที่เหมียวกับสร้อยแก้วด้วยความแปลกใจสิ่งที่เหมียวพูด
“สร้อยแก้วรู้เหรอ” พีเลิกคิ้วถาม
“อินทปัตถ์นครจ้ะ” สร้อยแก้วตอบสีหน้าเรียบเฉย มือยังคงเก็บข้าวของไปด้วย
โจกับพีหันมองกันอีกครั้ง
“ทำไมสร้อยแก้วรู้ล่ะ” โจถามแล้วเอื้อมมือไปจับต้นแขนเธอ
“มิรู้ดอกจ้ะ สร้อยแก้วมิแจ้งแก่ใจว่าใยจึงรู้” สร้อยแก้วเงยหน้าตอบแล้วยิ้มน้อยๆ
“มีเรื่องจะเล่าให้ฟังนิดหน่อย” เหมียวพูด
“อะไรครับเหมียว” พีถาม
โจ พีและสร้อยแก้วหันมาตั้งใจฟัง เหมียวเล่าถึงสัมผัสช่วงสั้นๆที่เธอตั้งใจทดสอบ คำสนทนาสั้นๆทุกคำระหว่างเธอกับพระนางจันทร์สุดาเทวีผ่านริมฝีปากของสร้อยแก้วเมื่อคืนที่ผ่านมา
“จำได้มั้ยตัวเองเคยเรียกเค้าว่าประไพโดยไม่รู้ตัว” เหมียวพูดกับโจ
“เมื่อคืนชื่อนี้ออกมาจากปากสร้อยแก้วอีก” เธอหันไปหาสร้อยแก้วที่ทำหน้างงๆ
“สร้อยแก้วมิรู้รับอันที่พูดกับพี่เหมียวเลยจ้ะ” สร้อยแก้วพูด
“ไม่เป็นไรจ้ะสร้อยแก้ว พี่เหมียวเล่าเพื่อให้พวกเรารับรู้ไว้” เหมียวพูด
“จากนี้ไปเราต้องปะติดปะต่อเรื่องราวในอดีตกัน คงไม่มีใครปรากฏตัวมานั่งเล่าให้ฟังหรอก”
“อินทปัตถ์นครเหรอ” เหมียวพูดชื่อแล้วมองไปไกลๆ
สร้อยแก้วนั่งยืดตัวตรงขึ้นมองไปรอบป่า เส้นขนบนแขนของเธอลุกชันจนเห็นได้ชัด พรานสาวเอื้อมมือไปจับมือพีกุมเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
“ท่านพี่” สร้อยแก้วออกเสียงเรียกเบาๆ
“มีอะไรสร้อยแก้ว” พีถามจ้องหน้ากุมมือเธอไว้ด้วย
โจกับเหมียวก็จ้องหน้ารอฟังพรานสาวอยู่ด้วยเช่นกัน
“ปละขัง” สร้อยแก้วออกชื่อแล้วมองหน้าทั้งสามคน
“อะไร ปละขัง” พีถาม
“สร้อยแก้วรู้สึก” พรานสาวพูดแววตาหวาดกลัว
“ปละขังคืออะไรจ๊ะสร้อยแก้ว” เหมียวเข้ามากุมมือเธออีกข้างไว้ขมวดคิ้วถาม
พรานสาวหลับตานั่งนิ่งตัวยังสั่นเทาอยู่
“อีภูติต่ำช้า เหล่าท่านพึงแลหาให้พบ” เสียงเตือนผ่านริมฝีปากพรานสาวออกมา
“ปละขัง สร้อยแก้วได้ยินจ้ะ” พรานสาวลืมตาขึ้นพูด
พีถอดพระเครื่องที่ห้อยคออยู่ออกสวมให้สร้อยแก้วทันทีด้วยความเป็นห่วง
“ท่านพี่ให้สร้อยแก้วแล้วจะมีอันใดคุ้มครองล่ะจ๊ะ” สร้อยแก้วสีหน้ากังวลทำท่าจะถอดคืน
“อย่าห่วงพี่สร้อยแก้ว ให้คุ้มครองเจ้าไว้ก่อน ลืมแล้วหรือ พี่คือพยัคฆราช” พีพูดไม่มีท่าทีหวาดกลัว
“เหมียวเอาของผมไป” โจจะถอดสร้อยพระ
“ไม่ต้องค่ะโจ” เหมียวห้าม
“ก่อนออกมาจากบ้านคุณลุง เหมียวสวมแหวนพระเก่าแก่ที่คุณลุงให้นี่แล้วไง”
“คุณลุงท่านยังบอกว่าท่านสวมอยู่ตลอดเวลาเมื่อครั้งรบอยู่ในป่า” เหมียวบอก
“ข้าน้อยขอสำนึกในพระกรุณา อันการกล่าวเตือนถึงอันตรายเจ้าค่ะ” เหมียวพนมมือไหว้บอกกล่าว
ทั้งสามคนจึงพนมมือไหว้ตั้งจิตสำนึกในพระกรุณาไปด้วย
“เก็บของเสร็จเราจะออกเดินทางกันเลย” พีพูด
“ไปทางเทือกเขาที่ว่าใช่มั้ย” โจถาม
“คิดว่าใช่นะ” พีตอบ
สองสาวพยักหน้ารับคำแล้วทั้งสี่คนจึงช่วยกันกลบร่องรอยริมลำธารแบกของสะพายอาวุธขึ้นบ่าเริ่มออกเดิน
ห่างออกไปกว่าหมื่นวา ฝ่าเท้าสองคู่ในรองเท้าเดินป่าย่ำไปข้างหน้ายังทิศทางที่ตั้งใจไว้ นายท่านไกรศักดิ์นำหน้าตามหลังมาใกล้ๆกันคือพรานโละ เวลาน่าจะเป็นบ่ายต้นๆที่แสงแดดควรจะเจิดจ้ากลับมืดครึ้มมัวหม่นด้วยพยับเมฆฝนปกคลุมไปทั่วทุ่งทั่วป่าประหนึ่งจงใจจะขัดขวาง ไม่นานความมืดครึ้มก็แปรเปลี่ยนเป็นฐานเมฆม้วนไปมาสีทะมึนดำที่ลอยต่ำอย่างน่ากลัว สายลมเริ่มกระโชก เสียงคำรามสลับกับแสงสว่างภายในดุจดังอสูรร้ายมหึมาที่ค้ำตระหง่านอยู่เหนือหัว แล้วพายุฝนก็สาดลงบนผืนป่าโบราณอย่างดุดัน
แสงแก้วของเมฆขลาแล่นพาดแปลบปลาบอยู่ไปมา แล้วตามด้วยเสียงคำรามของขวานฟ้าแห่งรามสูรดังเกรี้ยวกราดน่าพรั่นพรึง หลายครั้งที่เมฆขลากระหน่ำฟาดสายฟ้าลงสู่พื้นดินเบื้องล่างเพื่อยั่วเย้าพญายักษ์บังเกิดเป็นเส้นแสงขดหยักเจิดจ้าบ่งบอกอานุภาพในตัว ลมฝนที่พัดอวลอึงไปมารุนแรงจนการก้าวเท้าไปข้างหน้าลำบากลำบนหนักหนาเสียเหลือเกิน หลายระลอกรุนแรงจนเม็ดฝนที่ร่วงหล่นลงมาปลิวขนานกับพื้นดิน
นายท่านไกรศักดิ์พาพรานโละมาหยุดนั่งลงพิงก้อนหินใหญ่บนเนินเตี้ยๆ อาวุธปืนถูกสะพายกลับปากกระบอกลงเพื่อกันไม่ให้น้ำเข้า ความหนาแน่นของเม็ดฝนที่สาดใส่บนใบหน้านั้นมากจนลูบออกไม่ทันต้องก้มหน้าไว้
“ใยฝนตกดังฟ้าถล่มเยี่ยงนี้” พรานโละตะโกนแข่งกับเสียงพายุ
“ใครบางคนมันไม่อยากให้เราไป” นายท่านตะโกนตอบ
“ผู้ใดนายท่าน” พรานโละตะโกนถาม
“ฉันเกือบรู้ชื่อมันแล้ว แต่ฟ้าฟาดเสียก่อน เลยได้ยินไม่ถนัด” นายท่านตะโกน
“ฟ้าจะฟาดต้องเราหรือไม่นายท่าน” พรานโละตะโกนถามด้วยกังวลว่าไม่มีที่จะกำบัง
“คงไม่มั้ง” นายท่านตะโกนตอบแล้วแหงนมองพายุฝนเหนือหัว
“นั่งรออย่างนี้ล่ะ มันจะมีฤทธิ์สักแค่ไหน” นายท่านไกรศักดิ์ยิ้มตะโกนบอกแล้วเอื้อมมือไปเขย่าไหล่พรานโละ
“จ้ะนายท่าน” โละรับคำแต่นายพรานรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่กำลังใกล้เข้ามา
ทัพหน้าหยุดยืนบนเนินสูงสองมือจับกล้องส่องทางไกลมองนิ่งอยู่ยังทิศทางที่พายุฝนกำลังกระหน่ำอย่างหนัก โจ เหมียวและสร้อยแก้วยืนอยู่เคียงข้างกัน ความรู้สึกลึกๆของทุกคนที่มีอยู่ในใจเหมือนกันคือความห่วงใยต่ออะไรบางอย่างที่อยู่ในพายุฝนดำทะมึนนั้น
“เราควรเดินไปทางนั้น” พีชี้มือไปหาพายุฝน
“รู้สึกเหมือนกันมั้ย” โจถามตายังมองไปที่จุดเดียวกัน
“คุณลุงกับพี่โละใช่มั้ย” เหมียวพูดเมื่อได้ยินคำถามของโจ
“เมื่อเช้าถึงบ่ายยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีพายุฝนเลย” โจพูด
“ปละขังเหรอ” เหมียวพูดถึงศัตรูที่ได้รับคำเตือน
“มิใช่เยี่ยงนั้นจ้ะ มิใช่ปละขัง” สร้อยแก้วพูด
“ถูกของสร้อยแก้ว ไม่ใช่มัน” พีบอกความรู้สึกของเขา
“เอ็งว่ามันจะเล่นงานเราเมื่อไหร่” โจถามเพื่อน
“ทุกเวลา กลางวันกลางคืน สำคัญว่ามันจะโผล่มารูปแบบไหนเท่านั้น” พีตอบ
“หน้าตามันเป็นยังไงวะ” โจพูดเหมือนถามตัวเอง
“สุดสุดที่เราจะจินตนาการได้ละมัง” พีพูด
“ไป เราเดินต่อ มุ่งหน้าหาพายุฝนนั่น” พีพูดแล้วเริ่มจะก้าวเท้าออกเดิน
“เดี๋ยว ไอ้พีหยุดก่อน” โจฉุดแขนห้ามไว้
ทัพหน้าหันกลับมามองตามเพื่อน เหมียวนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น สร้อยแก้วมองพี่สาวอยู่แล้วค่อยๆนั่งพับเพียบลง ทั้งสองจึงเดินกลับมานั่งลงใกล้ๆเพื่อรอฟัง
ธารทิพย์ บทที่ 47
ธารทิพย์ บทที่ 46 http://ppantip.com/topic/33465019
นางกษัตริย์ชายพระเนตรเหลือบขึ้นมองสบตาช้าๆแล้วรินน้ำใสออกมา
“ใยพระนางจึ่งยลแล้วเคยคุ้นยิ่งนักพุทธเจ้าข้าฯ” กายทิพย์ทูลถาม
นางกษัตริย์สะอื้นไห้สะท้อนทรวงออกมาอีกเมื่อสดับคำทูลถาม
“พระนางมาด้วยประสงค์ขอเข้าเฝ้า” ท่านผาเอ่ยนำ
“ตัวเรานั้นเป็นเพียงข้าแผ่นดิน ใยเรายินว่าขอเข้าเฝ้า” กายทิพย์กล่าวคำที่ฉงน
“อันพระนางนั้นเล่าดำรงฐานันดรสูงส่ง”
“พระนางมีประสงค์อันใดให้ข้าพุทธเจ้ารองพระบาทเจ้าข้าฯ” กายทิพย์ทูลถาม
“พี่ท่านร้างลาเลือนลืมข้าน้อยแล้วรึไร” นางกษัตริย์สะอื้นตรัสพ้อ
กายทิพย์นิ่งจ้องพระนางอยู่อย่างฉงนใจ
“อันมิแจ้งแก่ใจ ข้าพุทธเจ้ามิกล้าทูลตอบ”
“ท่านผู้รู้รอบผู้ข้ามภพ” ท่านผากล่าว
“ผู้ที่น้อมนบอยู่หน้าท่านนั้นคือพระนางอลิยาเทวี คู่บารมีแห่งอุเทนธิกะ”
กายทิพย์ฟังคำท่านผาแล้วมองจ้องดวงหน้าพระนางผู้เลอโฉมนิ่ง
“พี่ท่านละสิ้นอันทรงจำในตัวข้าน้อยแล้วรึไร” นางกษัตริย์ตรัสถาม
“ข้าน้อยนั้นไซร้เฝ้าคอยเสด็จนิวัตน์มาช้านาน”
“ท่านพี่ผาโปรดเล่าขานให้ฉันรู้แจ้งด้วยเถิด” กายทิพย์หันไปถามท่านผา จิตเริ่มป่วนปั่นไม่สงบนิ่ง
“วิญญาณนี้ถือกำเนิดเพื่อคู่บารมีของท่านอีกครั้ง นามว่าลอยา” ท่านผาบอกข้อไขที่ฉงนในใจอยู่ให้
กายทิพย์สั่นคลอนในจิตมากขึ้นมากขึ้นจนสุดสิ้นการควบคุม ท่านผาและพระนางอลิยาเทวีเริ่มพร่าเลือนจางหายกลายเป็นความดำมืดที่ล่วงหล่นลงอย่างรุนแรง
ร่างของท่านไกรศักดิ์ผวาเฮือกขึ้นสุดตัว แอ่นอกหงายคอสูดลมหายใจเต็มแรงอาการเหมือนคนจมน้ำที่โผล่ขึ้นมาสูดอากาศ พรานโละนั่งอยู่ไม่ไกลเห็นดังนั้นจึงรีบถลันเข้ามาจับตัวนายท่านเอาไว้
ไกรศักดิ์นั่งหอบหายใจก้มหน้าหลับตาอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่โดยมีพรานโละคอยประคองเอาไว้ เขาไม่กล้าเอ่ยปากถามสิ่งใดด้วยกลัวว่าจะเป็นอันตรายกับนายท่านของเขา
“โละ” ท่านไกรศักดิ์เรียกเบาๆยังก้มหน้าหลับตาอยู่
“จ๊ะ นายท่าน” โละขานเบาๆ
“นายท่านเป็นเยี่ยงไรจ๊ะ” โละถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไรแล้ว” ท่านไกรศักดิ์บอกด้วยเสียงแผ่วเบา
“จิตฉันสั่นคลอน เลยตกจากกรรมฐาน ไม่ได้ถอยออกมาอย่างที่เคย”
“ฉันจะนำน้ำต้มมาให้นายท่านนะจ๊ะ” โละพูดแล้วผละไปรินน้ำต้มเดือดมาส่งให้
“ขอบใจนะโละ” ท่านไกรศักดิ์ยิ้มน้อยๆแล้วรับกระบอกไม้มาดื่มช้าๆ
“นายท่านเห็นอันใดจ๊ะ” โละถามเมื่อเห็นว่าท่านไกรศักดิ์มีอาการดีขึ้นแล้ว
ท่านไกรศักดิ์เงยหน้ายิ้มให้แล้วหันไปมองทางเนินดินที่ขึ้นไปยืนอยู่เมื่อเวลาเย็น
“ฉันเริ่มเห็นอดีตน่ะ” นายท่านพูด
“เยี่ยงไรจ๊ะ” โละอยากรู้
“ยัง ยังไม่แน่ใจ อีกไม่นานคงเข้าใจ แล้วฉันค่อยเล่าให้โละฟังนะ” นายท่านพูดแล้วตบไหล่พรานเบาๆ
“จ้ะนายท่าน” โละรับคำ
“ฉันตื่นแล้ว โละนอนพักหลับเสียนะ สายๆเราเริ่มออกเดินกัน” นายท่านบอกโละ
“เราจะไปหนใดจ๊ะนายท่าน” โละถาม
นายท่านไกรศักดิ์ลุกขึ้นยืนมองไปรอบตัว
“เราจะออกค้นหาอินทปัตถ์ นครโบราณ” นายท่านพูด
“ไปทิศใดจ๊ะนายท่าน” โละถาม
“ไปทางนั้น” นายท่านตอบแล้วชี้มือไป
“เทือกเขาที่เราเห็นอยู่ไกลๆเมื่อวานนี้”
“จ้ะนายท่าน หากเยี่ยงนั้นฉันขอพักงีบก่อน” โละรับคำ
“นอนเลยโละ นี่ก็ใกล้จะสางแล้ว ฉันนั่งยามเอง” นายท่านบอก
พรานโละเอนหลังลงแตะพื้นไม่นานก็ผล็อยหลับ นายท่านไกรศักดิ์ลุกเดินไปล้างหน้าที่ริมสระน้ำให้ตาสว่างแล้วเดินมองจ้องไปรอบๆที่พัก
“อุเทนธิกะ พระนางอลิยาเทวีเหรอ” ไกรศักดิ์พูดเบาๆกับตัวเอง
ดวงอาทิตย์ทำมุมเฉียงอยู่เหนือขอบฟ้าบอกเวลาว่าสายแล้ว พีเหน็บมีดยาวเดินป่าไว้ที่เอวปีนสูงขึ้นไปบนยอดไม้ที่อยู่ใกล้ๆ โจยืนแหงนหน้ามองเพื่อนรักรออยู่ใต้ต้นไม้เพื่อคอยช่วยเหลือ ปล่อยสองสาวเหมียวกับสร้อยแก้วให้นั่งเก็บข้าวของไปพลางๆ
“เห็นอะไรบ้าง” โจถามเมื่อเพื่อนปีนกลับลงมาถึงพื้น
“ไม่ไกลมากนักภูมิประเทศเป็นเทือกเขา” พีพูดเมื่อทั้งคู่เดินกลับมายังที่พักริมลำธาร
“ซากเมืองโบราณนี่ชื่อเมืองอะไรนะ เราจะรู้ได้ยังไง” โจพูด
“ถามสร้อยแก้วซิคะ” เหมียวพูดไม่ได้มองหน้าใคร
โจและพีหันมองหน้ากันแล้วมองไปที่เหมียวกับสร้อยแก้วด้วยความแปลกใจสิ่งที่เหมียวพูด
“สร้อยแก้วรู้เหรอ” พีเลิกคิ้วถาม
“อินทปัตถ์นครจ้ะ” สร้อยแก้วตอบสีหน้าเรียบเฉย มือยังคงเก็บข้าวของไปด้วย
โจกับพีหันมองกันอีกครั้ง
“ทำไมสร้อยแก้วรู้ล่ะ” โจถามแล้วเอื้อมมือไปจับต้นแขนเธอ
“มิรู้ดอกจ้ะ สร้อยแก้วมิแจ้งแก่ใจว่าใยจึงรู้” สร้อยแก้วเงยหน้าตอบแล้วยิ้มน้อยๆ
“มีเรื่องจะเล่าให้ฟังนิดหน่อย” เหมียวพูด
“อะไรครับเหมียว” พีถาม
โจ พีและสร้อยแก้วหันมาตั้งใจฟัง เหมียวเล่าถึงสัมผัสช่วงสั้นๆที่เธอตั้งใจทดสอบ คำสนทนาสั้นๆทุกคำระหว่างเธอกับพระนางจันทร์สุดาเทวีผ่านริมฝีปากของสร้อยแก้วเมื่อคืนที่ผ่านมา
“จำได้มั้ยตัวเองเคยเรียกเค้าว่าประไพโดยไม่รู้ตัว” เหมียวพูดกับโจ
“เมื่อคืนชื่อนี้ออกมาจากปากสร้อยแก้วอีก” เธอหันไปหาสร้อยแก้วที่ทำหน้างงๆ
“สร้อยแก้วมิรู้รับอันที่พูดกับพี่เหมียวเลยจ้ะ” สร้อยแก้วพูด
“ไม่เป็นไรจ้ะสร้อยแก้ว พี่เหมียวเล่าเพื่อให้พวกเรารับรู้ไว้” เหมียวพูด
“จากนี้ไปเราต้องปะติดปะต่อเรื่องราวในอดีตกัน คงไม่มีใครปรากฏตัวมานั่งเล่าให้ฟังหรอก”
“อินทปัตถ์นครเหรอ” เหมียวพูดชื่อแล้วมองไปไกลๆ
สร้อยแก้วนั่งยืดตัวตรงขึ้นมองไปรอบป่า เส้นขนบนแขนของเธอลุกชันจนเห็นได้ชัด พรานสาวเอื้อมมือไปจับมือพีกุมเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
“ท่านพี่” สร้อยแก้วออกเสียงเรียกเบาๆ
“มีอะไรสร้อยแก้ว” พีถามจ้องหน้ากุมมือเธอไว้ด้วย
โจกับเหมียวก็จ้องหน้ารอฟังพรานสาวอยู่ด้วยเช่นกัน
“ปละขัง” สร้อยแก้วออกชื่อแล้วมองหน้าทั้งสามคน
“อะไร ปละขัง” พีถาม
“สร้อยแก้วรู้สึก” พรานสาวพูดแววตาหวาดกลัว
“ปละขังคืออะไรจ๊ะสร้อยแก้ว” เหมียวเข้ามากุมมือเธออีกข้างไว้ขมวดคิ้วถาม
พรานสาวหลับตานั่งนิ่งตัวยังสั่นเทาอยู่
“อีภูติต่ำช้า เหล่าท่านพึงแลหาให้พบ” เสียงเตือนผ่านริมฝีปากพรานสาวออกมา
“ปละขัง สร้อยแก้วได้ยินจ้ะ” พรานสาวลืมตาขึ้นพูด
พีถอดพระเครื่องที่ห้อยคออยู่ออกสวมให้สร้อยแก้วทันทีด้วยความเป็นห่วง
“ท่านพี่ให้สร้อยแก้วแล้วจะมีอันใดคุ้มครองล่ะจ๊ะ” สร้อยแก้วสีหน้ากังวลทำท่าจะถอดคืน
“อย่าห่วงพี่สร้อยแก้ว ให้คุ้มครองเจ้าไว้ก่อน ลืมแล้วหรือ พี่คือพยัคฆราช” พีพูดไม่มีท่าทีหวาดกลัว
“เหมียวเอาของผมไป” โจจะถอดสร้อยพระ
“ไม่ต้องค่ะโจ” เหมียวห้าม
“ก่อนออกมาจากบ้านคุณลุง เหมียวสวมแหวนพระเก่าแก่ที่คุณลุงให้นี่แล้วไง”
“คุณลุงท่านยังบอกว่าท่านสวมอยู่ตลอดเวลาเมื่อครั้งรบอยู่ในป่า” เหมียวบอก
“ข้าน้อยขอสำนึกในพระกรุณา อันการกล่าวเตือนถึงอันตรายเจ้าค่ะ” เหมียวพนมมือไหว้บอกกล่าว
ทั้งสามคนจึงพนมมือไหว้ตั้งจิตสำนึกในพระกรุณาไปด้วย
“เก็บของเสร็จเราจะออกเดินทางกันเลย” พีพูด
“ไปทางเทือกเขาที่ว่าใช่มั้ย” โจถาม
“คิดว่าใช่นะ” พีตอบ
สองสาวพยักหน้ารับคำแล้วทั้งสี่คนจึงช่วยกันกลบร่องรอยริมลำธารแบกของสะพายอาวุธขึ้นบ่าเริ่มออกเดิน
ห่างออกไปกว่าหมื่นวา ฝ่าเท้าสองคู่ในรองเท้าเดินป่าย่ำไปข้างหน้ายังทิศทางที่ตั้งใจไว้ นายท่านไกรศักดิ์นำหน้าตามหลังมาใกล้ๆกันคือพรานโละ เวลาน่าจะเป็นบ่ายต้นๆที่แสงแดดควรจะเจิดจ้ากลับมืดครึ้มมัวหม่นด้วยพยับเมฆฝนปกคลุมไปทั่วทุ่งทั่วป่าประหนึ่งจงใจจะขัดขวาง ไม่นานความมืดครึ้มก็แปรเปลี่ยนเป็นฐานเมฆม้วนไปมาสีทะมึนดำที่ลอยต่ำอย่างน่ากลัว สายลมเริ่มกระโชก เสียงคำรามสลับกับแสงสว่างภายในดุจดังอสูรร้ายมหึมาที่ค้ำตระหง่านอยู่เหนือหัว แล้วพายุฝนก็สาดลงบนผืนป่าโบราณอย่างดุดัน
แสงแก้วของเมฆขลาแล่นพาดแปลบปลาบอยู่ไปมา แล้วตามด้วยเสียงคำรามของขวานฟ้าแห่งรามสูรดังเกรี้ยวกราดน่าพรั่นพรึง หลายครั้งที่เมฆขลากระหน่ำฟาดสายฟ้าลงสู่พื้นดินเบื้องล่างเพื่อยั่วเย้าพญายักษ์บังเกิดเป็นเส้นแสงขดหยักเจิดจ้าบ่งบอกอานุภาพในตัว ลมฝนที่พัดอวลอึงไปมารุนแรงจนการก้าวเท้าไปข้างหน้าลำบากลำบนหนักหนาเสียเหลือเกิน หลายระลอกรุนแรงจนเม็ดฝนที่ร่วงหล่นลงมาปลิวขนานกับพื้นดิน
นายท่านไกรศักดิ์พาพรานโละมาหยุดนั่งลงพิงก้อนหินใหญ่บนเนินเตี้ยๆ อาวุธปืนถูกสะพายกลับปากกระบอกลงเพื่อกันไม่ให้น้ำเข้า ความหนาแน่นของเม็ดฝนที่สาดใส่บนใบหน้านั้นมากจนลูบออกไม่ทันต้องก้มหน้าไว้
“ใยฝนตกดังฟ้าถล่มเยี่ยงนี้” พรานโละตะโกนแข่งกับเสียงพายุ
“ใครบางคนมันไม่อยากให้เราไป” นายท่านตะโกนตอบ
“ผู้ใดนายท่าน” พรานโละตะโกนถาม
“ฉันเกือบรู้ชื่อมันแล้ว แต่ฟ้าฟาดเสียก่อน เลยได้ยินไม่ถนัด” นายท่านตะโกน
“ฟ้าจะฟาดต้องเราหรือไม่นายท่าน” พรานโละตะโกนถามด้วยกังวลว่าไม่มีที่จะกำบัง
“คงไม่มั้ง” นายท่านตะโกนตอบแล้วแหงนมองพายุฝนเหนือหัว
“นั่งรออย่างนี้ล่ะ มันจะมีฤทธิ์สักแค่ไหน” นายท่านไกรศักดิ์ยิ้มตะโกนบอกแล้วเอื้อมมือไปเขย่าไหล่พรานโละ
“จ้ะนายท่าน” โละรับคำแต่นายพรานรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่กำลังใกล้เข้ามา
ทัพหน้าหยุดยืนบนเนินสูงสองมือจับกล้องส่องทางไกลมองนิ่งอยู่ยังทิศทางที่พายุฝนกำลังกระหน่ำอย่างหนัก โจ เหมียวและสร้อยแก้วยืนอยู่เคียงข้างกัน ความรู้สึกลึกๆของทุกคนที่มีอยู่ในใจเหมือนกันคือความห่วงใยต่ออะไรบางอย่างที่อยู่ในพายุฝนดำทะมึนนั้น
“เราควรเดินไปทางนั้น” พีชี้มือไปหาพายุฝน
“รู้สึกเหมือนกันมั้ย” โจถามตายังมองไปที่จุดเดียวกัน
“คุณลุงกับพี่โละใช่มั้ย” เหมียวพูดเมื่อได้ยินคำถามของโจ
“เมื่อเช้าถึงบ่ายยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีพายุฝนเลย” โจพูด
“ปละขังเหรอ” เหมียวพูดถึงศัตรูที่ได้รับคำเตือน
“มิใช่เยี่ยงนั้นจ้ะ มิใช่ปละขัง” สร้อยแก้วพูด
“ถูกของสร้อยแก้ว ไม่ใช่มัน” พีบอกความรู้สึกของเขา
“เอ็งว่ามันจะเล่นงานเราเมื่อไหร่” โจถามเพื่อน
“ทุกเวลา กลางวันกลางคืน สำคัญว่ามันจะโผล่มารูปแบบไหนเท่านั้น” พีตอบ
“หน้าตามันเป็นยังไงวะ” โจพูดเหมือนถามตัวเอง
“สุดสุดที่เราจะจินตนาการได้ละมัง” พีพูด
“ไป เราเดินต่อ มุ่งหน้าหาพายุฝนนั่น” พีพูดแล้วเริ่มจะก้าวเท้าออกเดิน
“เดี๋ยว ไอ้พีหยุดก่อน” โจฉุดแขนห้ามไว้
ทัพหน้าหันกลับมามองตามเพื่อน เหมียวนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น สร้อยแก้วมองพี่สาวอยู่แล้วค่อยๆนั่งพับเพียบลง ทั้งสองจึงเดินกลับมานั่งลงใกล้ๆเพื่อรอฟัง