ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 25
http://ppantip.com/topic/33137258
บัดนี้ คำถามที่อยู่ในใจของสองพ่อลูกพรานโละและสร้อยแก้วมาเนิ่นนานได้เปิดเผยจนกระจ่างหมดแล้ว จากปากท่านพ่อไกรศักดิ์ซึ่งยืนยันความจริงด้วยคำสั่งเสียสุดท้ายของปู่ทวดพรานผา
สร้อยแก้วเข้าใจแล้วว่า ปู่ทวดพาเธอไปทำอะไรที่ถ้ำตโมหร ทำไมใบหน้าของเธอจึงต่างจากคนอื่นๆในหมู่เผ่า และทำไมคนในหมู่เผ่าจึงไม่มีใครรู้จักแม่ของเธอ
พ่อพรานโละหันไปลูบหัวสร้อยแก้วเด็กที่เขาพากเพียรเลี้ยงดูมายี่สิบปี
“พ่อกระจ่างใจแล้ว สมใจพ่อนักที่เหนื่อยยากเลี้ยงดูเจ้ามา” พรานโละน้ำตาไหล เขายิ้มบอกความรู้สึก
“เป็นเยี่ยงนี้เอง” สร้อยแก้วรำพึง
“สร้อยแก้วขอกราบเท้าท่านพ่ออีกพ่อโละที่ให้ชีพสร้อยแก้วยืนมาถึงเพลานี้จ้ะ” สร้อยแก้วพูดแล้วก้มลงกราบที่เท้าของท่านพ่อไกรศักดิ์และพ่อโละ
ท่านไกรศักดิ์และพรานโละลูบหัวลูกสาวของเขาทั้งสองพร้อมๆกัน
“ขอให้ลูกของพ่ออายุมั่นขวัญยืนนะ” ท่านพ่อไกรศักดิ์ให้พร
“แล้วต่อจากเพลานั้นเป็นเยี่ยงไรจ๊ะ” สร้อยแก้วเงยหน้าขึ้นเกาะเข่าถามท่านพ่อ
“พ่อกับปู่ทวดผารีบกลับมาพบโละนอนสลบอยู่ในกองเถ้าถ่าน” ท่านพ่อไกรศักดิ์พูด
“จากนั้นเราเดินทางลงใต้ ตั้งใจมุ่งมาลงเรือนที่ทะเลสาบแห่งนี้”
“ปู่ทวดผาท่านจำต้องปดกับโละว่าแม่ลอยาถูกดินหินถล่มทับตาย”
“เพราะกลัวว่าถ้าพ่อโละรู้ความจริงว่าพ่อยิงใส่แม่ลอยา พ่อโละอาจทำใจไม่ได้”
“คิดแค้นเคืองทำเสียเรื่องให้ลิชิตบิดผันไปไม่เป็นเช่นวันนี้” ท่านพ่อไกรศักดิ์เล่าจบลง
ไกรศักดิ์โอบกอดลูกกับพรานโละพร้อมๆกันอีกครั้ง เขามีน้ำตาไหลรินลงมา
“พ่อขอโทษ” เขาพูด
“เพลานี้ฉันกระจ่างใจยิ่งแล้ว ฉันขอไปเป็นตายกับท่าน” พรานโละพูด
“สร้อยแก้วสำนึกในคุณของท่านพ่อแล้วจ้ะ” สร้อยแก้วบอก
โจกับเหมียวนั่งฟังเรื่องราวในอดีตของครอบครัวลุงไกรศักดิ์จบลงด้วยความรันทดและซาบซึ้งในใจระคนกัน สัมพันธภาพของพวกเขาที่มีมาช้านานนั้นเต็มไปด้วยความรัก ความผูกพันจริงใจที่พร้อมจะมอบให้แก่กันและกันด้วยชีวิตของตนเอง นี่กระมัง ความรักภักดีที่ลุงไกรศักดิ์พูดถึงบ่อยๆ และนี่กระมัง สิ่งที่เขาต้องสร้างขึ้นเองในจิตวิญญาณ โจคิด
สิ่งหนึ่งผุดขึ้นมาเป็นบทเรียนสำคัญในใจของโจ พ่อสุรเกียรติของเขาประสบความสำเร็จอย่างสูงมากในทางโลก แม้ว่าพ่อจะเป็นคนดีมีศีลธรรมไม่เบียดเบียนใคร แต่เมื่อเวลาแห่งกรรมมาถึง ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านั้นไม่สามารถช่วยอะไรครอบครัวของเขาได้เลย ต่างกับลุงไกรศักดิ์ แม้ชะตากรรมที่โหดร้ายเพียงใดจะเกิดกับครอบครัว พวกเขาก็ยังคงยึดมั่นที่จะแก้ไขเพื่อเกื้อกูลให้ทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือวิญญาณได้สงบสุข
โจตั้งปณิธานขึ้นในใจแล้วอย่างแน่วแน่มั่นคง ครอบครัวของเขามีเพียงเขาคนเดียวเป็นความหวัง จากวันนี้ไปจนชั่วชีวิตจะหมั่นเพียรสั่งสมบุญบารมี ปฏิบัติกรรมฐานให้แก่กล้าเฉกเช่นลุงไกรศักดิ์ ผู้ที่เขาเคารพและภาคภูมิอยู่ในใจ
โจเปลี่ยนความรู้สึกกลับมาคิดเรื่องเฉพาะหน้าอีกครั้งถึงเรื่องการรอวันพระจันทร์เต็มดวง กับปริศนาใหม่คำว่าพยัคฆราชจะหวนคืน
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องปรับแผนกันใหม่หมด แล้วระหว่างที่รอเวลาเราจะทำอะไรกันดีครับ” โจถาม
“ผมเองน่ะมีงานทำล่ะ คือตรวจเช็คเรือบินใหม่หมด หยุดนิ่งมาตั้งเดือนแล้ว” โจพูด
“เหมียวจะไปช่วยเป็นลูกมือให้แล้วกัน” เธอออกปากอาสา
“อืม ก็ดีนะ เดี๋ยวลุงไปช่วยด้วย คงแบ่งเบาได้หลายอย่างเลยล่ะ” ไกรศักดิ์บอก
“ถ้ายังไม่เดินทาง นี่ก็ใกล้จะสายแล้วเราช่วยกันเก็บข้าวของขึ้นเรือนก่อนดีกว่าค่ะ” เหมียวพูด
“เดี๋ยวสร้อยแก้วช่วยกันกับพี่เหมียวเก็บเรือนให้สะอาดก่อนนะจ๊ะ” เธอหันไปยิ้มพูดกับสร้อยแก้ว
“เอ้า อย่างนั้นเราทุกคนช่วยกันตรงนี้ก่อนเลย” ลุงไกรศักดิ์สรุป
“ก่อนอื่นครับ” โจพูดเสียงดังขึ้นทำให้ทั้งสี่คนหันมามอง
“ผมอยากให้คุณลุงพาผมกับเหมียวไปกราบไหว้เคารพป้าลอยาหน่อยน่ะครับ” โจบอก
“คือผมอยากให้ป้าท่านรู้ว่า ครอบครัวของท่านยังมีพวกผมรวมอยู่ด้วยครับ” โจพูดจากความรู้สึก
เหมียวมองหน้าจับมือโจไว้แล้วพูด
“หนูด้วยค่ะ หนูอยากเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวทั้งหมดค่ะ” เธอพูดจากใจเช่นกัน
“ผมสองคนอยากให้รู้ว่า เราจะเดินไปสู้ด้วยกัน ด้วยหัวใจดวงเดียวกันครับ” โจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ไกรศักดิ์ สร้อยแก้วและพรานโละมองหน้าแล้วยิ้มให้โจกับเหมียว
“ขอบใจมากนะ” ไกรศักดิ์พูดเบาๆอย่างซาบซึ้งแล้วเดินมาโอบไหล่ทั้งสองไว้
โจและเหมียวกอดตอบ แล้วทั้งสองจึงเดินไปพลัดกันกอดสร้อยแก้วกับพรานโละด้วย
เป็นนาทีที่ทุกคนน้ำตาคลอ เมื่อได้บอกความจริงใจให้แก่กันได้รับรู้ ทั้งห้าคนต่างยิ้มจับมือให้กันและกันไปมาเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นหนึ่งเดียว
“เอา เราไปหาลอยาพร้อมกันนะ” ท่านไกรศักดิ์ยิ้มพูด
ไกรศักดิ์นั่งขัดสมาธิหลับตาสงบจิตอยู่ข้างแคร่บูชาห่อกระดูกชั่วอึดใจ เขาขยับวางมือข้างหนึ่งบนห่อนั้นพูดขณะที่ยังหลับตาอยู่
“ขยับเข้ามา” เขาพูดชี้มือไปที่โจกับเหมียว
โจกับเหมียวขยับตัวมานั่งคุกเข่าข้างหน้าแล้วก้มลงกราบ
“พูดออกมา” ไกรศักดิ์หลับตาบอกทั้งสองคน
“ผมโจครับป้าลอยา เป็นหลานของลุงไกรศักดิ์และป้าลอยาครับ ผมมากราบไหว้เคารพเพื่อบอกกล่าวครับ” โจพูด
“หนูชื่อเหมียวค่ะคุณป้าลอยา หนูมากราบไหว้เคารพคุณป้าค่ะ” เหมียวพูด
ใบหน้าของไกรศักดิ์ยิ้มละไมให้ทั้งสองคน
“ขอเจ้าป่าเจ้าเขาให้พรท่านทั้งสองคนจงจำเริญนะ” ร่างของไกรศักดิ์หลับตาพูดเนิบๆ
“อ้ายโละ” ร่างไกรศักดิ์หันไปเรียกพรานโละ
พรานโละรีบคลานเข้ามานั่งข้างหน้า น้ำตาไหลปรี่ด้วยความดีใจที่จะได้สัมผัสสิ่งที่เขาเชื่อว่าคือลอยาน้องสาว
“จ้ะลอยา” พรานโละขานรับ มองใบหน้าของไกรศักดิ์อย่างตั้งใจ
“ข้าขอบใจที่พี่ทุกข์ยากเลี้ยงลูกข้ามา” ร่างไกรศักดิ์พูด
“ฉันดีใจที่สุดแล้วลอยา” พรานโละพูดเช็ดน้ำตาไปพลาง
“ฉันขอโทษที่โง่เขลามิได้อยู่ปกป้องท่าน” พรานโละพูดต่อ
“เป็นบุพกรรม อ้ายโละอย่าถือโทษตัวเองเลย ขอเจ้าป่าเจ้าเขาให้พรอ้ายโละจงจำเริญนะ” ร่างไกรศักดิ์พูด
ร่างไกรศักดิ์หันไปมองสร้อยแก้วที่นั่งจ้องหน้าน้ำตาไหลพรากรออยู่
“เข้ามาหาแม่เถิดเจ้า” ร่างไกรศักดิ์พูด
พรานโละ โจและเหมียวรีบขยับถอยออกไปให้สร้อยแก้วคลานเข้ามาข้างหน้า สร้อยแก้วคลานเข้าไปกราบเท้าแม่ลอยาที่ร่างของไกรศักดิ์ แล้วเงยหน้านองน้ำตาขึ้นมอง
“จงอดทน โดยแท้แล้วนั้น แม่มิปลงใจให้เจ้าอีกทั้งท่านพ่อ ต้องยากเข็ญ”
“หากแต่แม่มิอาจทัดทานอันใดได้”
“ลูกจงรู้ แม่อยู่เคียงเจ้าอีกทั้งท่านพ่อมิห่างทุกเพลา” ร่างไกรศักดิ์บอกกล่าวลูกสาว
“สร้อยแก้วจะได้พูดจากับแม่อีกเมื่อใดจ๊ะ” ลูกสาวสะอื้นถาม
“แม่มิอาจบอกเจ้าได้ลูกแม่” ร่างไกรศักดิ์พูด
“อันที่ประจักษ์ต่อตาเจ้าเพลานี้ กำลังบารมีท่านพ่อจะถดถอยลงมากหลาย”
“อันที่แม่เป็นอยู่มิมีกำลังใดก่อให้ประจักษ์ต่อตาเจ้าได้”
“อีกทั้งลูกแม่จงกราบไหว้ท่านพ่อผา ที่ประทับลงข้างกายท่านพ่อด้วยเพลานี้” ร่างไกรศักดิ์บอก
ทั้งสี่คนเมื่อได้สดับคำบอกกล่าวจึงรีบก้มลงกราบ หันไปที่ข้างกายของท่านไกรศักดิ์ซึ่งว่างเปล่าอยู่นั้น
“จงจำเริญ” ร่างไกรศักดิ์พูดให้พรด้วยกระแสเสียงที่เปลี่ยนไป
ร่างของท่านไกรศักดิ์สูดลมหายใจยาวลึกแล้วค่อยๆลืมตาขึ้น จากนั้นจึงเปิดรอยยิ้มมองมาที่ทั้งสี่คน
“โอย เหนื่อย” ท่านไกรศักดิ์พูดขึ้นอย่างปกติ
ทุกคนยังนั่งมองนิ่งอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งท่านไกรศักดิ์พูดขึ้นอีก
“แม่เขาต้องไปแล้วนะ” เขาหันไปบอกลูกสาว
สร้อยแก้วนั่งยิ้มทั้งน้ำตาคลอเบ้า ถึงแม้จะไม่มีร่างของแม่ลอยานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว แต่เธอก็รู้สึกอบอุ่นดั่งกับว่าทั้งพ่อและแม่ยังอยู่ด้วยกันกับเธอ ความรู้สึกว้าเหว่ของเด็กกำพร้าแม่หายไปจากใจเธอแล้ว
“เอาล่ะ เราทำธุระของเรากันต่อ” ท่านไกรศักดิ์พูด
“มา ช่วยกันเก็บกวาดเรือนให้สะอาด” เขาพูดแล้วเริ่มหันไปหยิบจับสิ่งของที่ระเกะระกะให้เข้าที่
เหมียวกับสร้อยแก้วกุลีกุจอช่วยกันเก็บทำความสะอาดเรือนโดยมีท่านพ่อไกรศักดิ์ช่วยทำที่แคร่บูชาแม่ลอยา โจเดินลงไปหยิบไม้กวาดลานบ้านที่ทำจากกิ่งไม้นำมามัดรวมกันกวาดใบไม้ที่ร่วงเกลื่อนกราดไปกองรวมไว้ในลานก่อกองไฟ พรานโละเดินไปริมลำธารตัดแยกท่อนไม้ใหญ่เป็นท่อนๆมาทำฟืน จนเวลาล่วงเลยใกล้บ่าย
ทุกคนลงจากเรือนมาเดินเล่นนั่งเล่นอยู่ที่ลานหน้าบ้าน โจเดินไปยืนอยู่ริมลำธารแหงนหน้ามองท้องฟ้านิ่งอยู่คนเดียว เหมียวสังเกตเห็นว่าเขายืนครุ่นคิดกอดอกมือลูบคางอยู่จึงเดินเข้าไปหา
“คิดอะไรอยู่คะที่รัก” เหมียวยิ้มถามเมื่อเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ เธอแกล้งใช้คำเพื่อให้เขาคลายเครียด
“กำลังคิดว่าที่โน่นไปถึงไหนแล้ว” โจพูด เขาไม่อยากใช้คำว่าบ้านเพื่อปลอบใจตัวเอง
เหมียวนั่งลงวักน้ำในลำธารเล่น เธอก็จนปัญญาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี โจนั่งลงข้างๆเธอแล้วโอบไหล่เขย่าเบาๆ
“ขอโทษนะ ผมไม่ควรพูด คุณถามผมเลยรีบตอบไปหน่อย” เขาบอกเธอ
“ทำไมไม่ควรพูดล่ะ” เหมียวหันมาถาม
“คุณก็มีที่โน่นเหมือนกันยังไง” โจพูด
“แล้วตอนนี้ล่ะ” เหมียวถาม เธอยังมองน้ำในลำธารอยู่
“ผมต้องมาด้วยเหตุที่สูญเสียครอบครัว” โจพูด นั่งชันเข่ามองไปยังราวป่า
“ส่วนคุณ ไม่ได้สูญเสียอะไรแต่มา”
“แล้วก็ตั้งใจมาแบบร่วมเป็นร่วมตายเสียด้วย นั่นคือคำถามที่วันนึง ผมคงได้รู้คำตอบ”
“น้องผมตายไปแล้ว พ่อผมแม่ผมจวนเจียน แต่นี่ก็ผ่านมาเดือนแล้วนะ” โจเว้นไว้ไม่พูดต่อ
“วันนี้ผมมีอยู่ห้าคนในครอบครัว และที่สำคัญคือมีคุณอยู่ด้วย” โจพูดจบแล้วหันไปมองสบตาเธอที่หันมา
“แล้วยังไง” เหมียวถาม
“ก็ไม่ยังไง” โจตอบ
“ฉันรอฟังอยู่” เธอพูดอย่างมีนัยสำคัญถึงบางอย่างที่อยากฟัง
ทั้งสองมองสบตากันเพื่อให้สื่อถึงใจ
“ผมรู้แล้วว่าอะไรคือสาระสำคัญของชีวิต วันนึงผมจะเป็นอย่างคุณลุงไกรศักดิ์ให้ได้” โจพูด
“แต่วันนี้ ผมมีเหมือนลุงอย่างเดียวสำหรับคุณ”
“ไม่ว่าคุณจะนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุใด ไม่ว่าผมจะได้รู้หรือไม่ได้รู้”
“และ ไม่ว่าคุณจะรักหรือไม่รักตอบ”
“ผมจะรักภักดีต่อคุณจนวันตาย เจ้าป่าเจ้าเขาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยาน” โจพูดแล้วหันกลับไปเงยหน้ามองท้องฟ้า
เหมียวยังคงจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มนิ่งอยู่ เธอกัดริมฝีปากเบาๆอมยิ้มอยู่ในใจอย่างสุขสม เหตุผลหนึ่งผุดขึ้นในใจ
“เหมียวรู้แล้วว่ามาที่นี่ทำไม” เธอพูดช้าๆให้ชายหนุ่มตั้งใจฟัง
โจหันมามองใบหน้าของหญิงสาวที่เปื้อนยิ้มอยู่
“ลิขิตบอกว่า อยากได้ความรักภักดี ต้องแลกมาด้วยการร่วมทุกข์ร่วมสุขยังไง” หญิงสาวยิ้มพูดกระซิบรัก
“เหมียวก็รักคุณ ให้เจ้าป่าเจ้าเขาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยาน” เธอกระซิบบอกเช่นกัน
ธารทิพย์ บทที่ 26
ธารทิพย์ บทที่ 25 http://ppantip.com/topic/33137258
บัดนี้ คำถามที่อยู่ในใจของสองพ่อลูกพรานโละและสร้อยแก้วมาเนิ่นนานได้เปิดเผยจนกระจ่างหมดแล้ว จากปากท่านพ่อไกรศักดิ์ซึ่งยืนยันความจริงด้วยคำสั่งเสียสุดท้ายของปู่ทวดพรานผา
สร้อยแก้วเข้าใจแล้วว่า ปู่ทวดพาเธอไปทำอะไรที่ถ้ำตโมหร ทำไมใบหน้าของเธอจึงต่างจากคนอื่นๆในหมู่เผ่า และทำไมคนในหมู่เผ่าจึงไม่มีใครรู้จักแม่ของเธอ
พ่อพรานโละหันไปลูบหัวสร้อยแก้วเด็กที่เขาพากเพียรเลี้ยงดูมายี่สิบปี
“พ่อกระจ่างใจแล้ว สมใจพ่อนักที่เหนื่อยยากเลี้ยงดูเจ้ามา” พรานโละน้ำตาไหล เขายิ้มบอกความรู้สึก
“เป็นเยี่ยงนี้เอง” สร้อยแก้วรำพึง
“สร้อยแก้วขอกราบเท้าท่านพ่ออีกพ่อโละที่ให้ชีพสร้อยแก้วยืนมาถึงเพลานี้จ้ะ” สร้อยแก้วพูดแล้วก้มลงกราบที่เท้าของท่านพ่อไกรศักดิ์และพ่อโละ
ท่านไกรศักดิ์และพรานโละลูบหัวลูกสาวของเขาทั้งสองพร้อมๆกัน
“ขอให้ลูกของพ่ออายุมั่นขวัญยืนนะ” ท่านพ่อไกรศักดิ์ให้พร
“แล้วต่อจากเพลานั้นเป็นเยี่ยงไรจ๊ะ” สร้อยแก้วเงยหน้าขึ้นเกาะเข่าถามท่านพ่อ
“พ่อกับปู่ทวดผารีบกลับมาพบโละนอนสลบอยู่ในกองเถ้าถ่าน” ท่านพ่อไกรศักดิ์พูด
“จากนั้นเราเดินทางลงใต้ ตั้งใจมุ่งมาลงเรือนที่ทะเลสาบแห่งนี้”
“ปู่ทวดผาท่านจำต้องปดกับโละว่าแม่ลอยาถูกดินหินถล่มทับตาย”
“เพราะกลัวว่าถ้าพ่อโละรู้ความจริงว่าพ่อยิงใส่แม่ลอยา พ่อโละอาจทำใจไม่ได้”
“คิดแค้นเคืองทำเสียเรื่องให้ลิชิตบิดผันไปไม่เป็นเช่นวันนี้” ท่านพ่อไกรศักดิ์เล่าจบลง
ไกรศักดิ์โอบกอดลูกกับพรานโละพร้อมๆกันอีกครั้ง เขามีน้ำตาไหลรินลงมา
“พ่อขอโทษ” เขาพูด
“เพลานี้ฉันกระจ่างใจยิ่งแล้ว ฉันขอไปเป็นตายกับท่าน” พรานโละพูด
“สร้อยแก้วสำนึกในคุณของท่านพ่อแล้วจ้ะ” สร้อยแก้วบอก
โจกับเหมียวนั่งฟังเรื่องราวในอดีตของครอบครัวลุงไกรศักดิ์จบลงด้วยความรันทดและซาบซึ้งในใจระคนกัน สัมพันธภาพของพวกเขาที่มีมาช้านานนั้นเต็มไปด้วยความรัก ความผูกพันจริงใจที่พร้อมจะมอบให้แก่กันและกันด้วยชีวิตของตนเอง นี่กระมัง ความรักภักดีที่ลุงไกรศักดิ์พูดถึงบ่อยๆ และนี่กระมัง สิ่งที่เขาต้องสร้างขึ้นเองในจิตวิญญาณ โจคิด
สิ่งหนึ่งผุดขึ้นมาเป็นบทเรียนสำคัญในใจของโจ พ่อสุรเกียรติของเขาประสบความสำเร็จอย่างสูงมากในทางโลก แม้ว่าพ่อจะเป็นคนดีมีศีลธรรมไม่เบียดเบียนใคร แต่เมื่อเวลาแห่งกรรมมาถึง ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านั้นไม่สามารถช่วยอะไรครอบครัวของเขาได้เลย ต่างกับลุงไกรศักดิ์ แม้ชะตากรรมที่โหดร้ายเพียงใดจะเกิดกับครอบครัว พวกเขาก็ยังคงยึดมั่นที่จะแก้ไขเพื่อเกื้อกูลให้ทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือวิญญาณได้สงบสุข
โจตั้งปณิธานขึ้นในใจแล้วอย่างแน่วแน่มั่นคง ครอบครัวของเขามีเพียงเขาคนเดียวเป็นความหวัง จากวันนี้ไปจนชั่วชีวิตจะหมั่นเพียรสั่งสมบุญบารมี ปฏิบัติกรรมฐานให้แก่กล้าเฉกเช่นลุงไกรศักดิ์ ผู้ที่เขาเคารพและภาคภูมิอยู่ในใจ
โจเปลี่ยนความรู้สึกกลับมาคิดเรื่องเฉพาะหน้าอีกครั้งถึงเรื่องการรอวันพระจันทร์เต็มดวง กับปริศนาใหม่คำว่าพยัคฆราชจะหวนคืน
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องปรับแผนกันใหม่หมด แล้วระหว่างที่รอเวลาเราจะทำอะไรกันดีครับ” โจถาม
“ผมเองน่ะมีงานทำล่ะ คือตรวจเช็คเรือบินใหม่หมด หยุดนิ่งมาตั้งเดือนแล้ว” โจพูด
“เหมียวจะไปช่วยเป็นลูกมือให้แล้วกัน” เธอออกปากอาสา
“อืม ก็ดีนะ เดี๋ยวลุงไปช่วยด้วย คงแบ่งเบาได้หลายอย่างเลยล่ะ” ไกรศักดิ์บอก
“ถ้ายังไม่เดินทาง นี่ก็ใกล้จะสายแล้วเราช่วยกันเก็บข้าวของขึ้นเรือนก่อนดีกว่าค่ะ” เหมียวพูด
“เดี๋ยวสร้อยแก้วช่วยกันกับพี่เหมียวเก็บเรือนให้สะอาดก่อนนะจ๊ะ” เธอหันไปยิ้มพูดกับสร้อยแก้ว
“เอ้า อย่างนั้นเราทุกคนช่วยกันตรงนี้ก่อนเลย” ลุงไกรศักดิ์สรุป
“ก่อนอื่นครับ” โจพูดเสียงดังขึ้นทำให้ทั้งสี่คนหันมามอง
“ผมอยากให้คุณลุงพาผมกับเหมียวไปกราบไหว้เคารพป้าลอยาหน่อยน่ะครับ” โจบอก
“คือผมอยากให้ป้าท่านรู้ว่า ครอบครัวของท่านยังมีพวกผมรวมอยู่ด้วยครับ” โจพูดจากความรู้สึก
เหมียวมองหน้าจับมือโจไว้แล้วพูด
“หนูด้วยค่ะ หนูอยากเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวทั้งหมดค่ะ” เธอพูดจากใจเช่นกัน
“ผมสองคนอยากให้รู้ว่า เราจะเดินไปสู้ด้วยกัน ด้วยหัวใจดวงเดียวกันครับ” โจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ไกรศักดิ์ สร้อยแก้วและพรานโละมองหน้าแล้วยิ้มให้โจกับเหมียว
“ขอบใจมากนะ” ไกรศักดิ์พูดเบาๆอย่างซาบซึ้งแล้วเดินมาโอบไหล่ทั้งสองไว้
โจและเหมียวกอดตอบ แล้วทั้งสองจึงเดินไปพลัดกันกอดสร้อยแก้วกับพรานโละด้วย
เป็นนาทีที่ทุกคนน้ำตาคลอ เมื่อได้บอกความจริงใจให้แก่กันได้รับรู้ ทั้งห้าคนต่างยิ้มจับมือให้กันและกันไปมาเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นหนึ่งเดียว
“เอา เราไปหาลอยาพร้อมกันนะ” ท่านไกรศักดิ์ยิ้มพูด
ไกรศักดิ์นั่งขัดสมาธิหลับตาสงบจิตอยู่ข้างแคร่บูชาห่อกระดูกชั่วอึดใจ เขาขยับวางมือข้างหนึ่งบนห่อนั้นพูดขณะที่ยังหลับตาอยู่
“ขยับเข้ามา” เขาพูดชี้มือไปที่โจกับเหมียว
โจกับเหมียวขยับตัวมานั่งคุกเข่าข้างหน้าแล้วก้มลงกราบ
“พูดออกมา” ไกรศักดิ์หลับตาบอกทั้งสองคน
“ผมโจครับป้าลอยา เป็นหลานของลุงไกรศักดิ์และป้าลอยาครับ ผมมากราบไหว้เคารพเพื่อบอกกล่าวครับ” โจพูด
“หนูชื่อเหมียวค่ะคุณป้าลอยา หนูมากราบไหว้เคารพคุณป้าค่ะ” เหมียวพูด
ใบหน้าของไกรศักดิ์ยิ้มละไมให้ทั้งสองคน
“ขอเจ้าป่าเจ้าเขาให้พรท่านทั้งสองคนจงจำเริญนะ” ร่างของไกรศักดิ์หลับตาพูดเนิบๆ
“อ้ายโละ” ร่างไกรศักดิ์หันไปเรียกพรานโละ
พรานโละรีบคลานเข้ามานั่งข้างหน้า น้ำตาไหลปรี่ด้วยความดีใจที่จะได้สัมผัสสิ่งที่เขาเชื่อว่าคือลอยาน้องสาว
“จ้ะลอยา” พรานโละขานรับ มองใบหน้าของไกรศักดิ์อย่างตั้งใจ
“ข้าขอบใจที่พี่ทุกข์ยากเลี้ยงลูกข้ามา” ร่างไกรศักดิ์พูด
“ฉันดีใจที่สุดแล้วลอยา” พรานโละพูดเช็ดน้ำตาไปพลาง
“ฉันขอโทษที่โง่เขลามิได้อยู่ปกป้องท่าน” พรานโละพูดต่อ
“เป็นบุพกรรม อ้ายโละอย่าถือโทษตัวเองเลย ขอเจ้าป่าเจ้าเขาให้พรอ้ายโละจงจำเริญนะ” ร่างไกรศักดิ์พูด
ร่างไกรศักดิ์หันไปมองสร้อยแก้วที่นั่งจ้องหน้าน้ำตาไหลพรากรออยู่
“เข้ามาหาแม่เถิดเจ้า” ร่างไกรศักดิ์พูด
พรานโละ โจและเหมียวรีบขยับถอยออกไปให้สร้อยแก้วคลานเข้ามาข้างหน้า สร้อยแก้วคลานเข้าไปกราบเท้าแม่ลอยาที่ร่างของไกรศักดิ์ แล้วเงยหน้านองน้ำตาขึ้นมอง
“จงอดทน โดยแท้แล้วนั้น แม่มิปลงใจให้เจ้าอีกทั้งท่านพ่อ ต้องยากเข็ญ”
“หากแต่แม่มิอาจทัดทานอันใดได้”
“ลูกจงรู้ แม่อยู่เคียงเจ้าอีกทั้งท่านพ่อมิห่างทุกเพลา” ร่างไกรศักดิ์บอกกล่าวลูกสาว
“สร้อยแก้วจะได้พูดจากับแม่อีกเมื่อใดจ๊ะ” ลูกสาวสะอื้นถาม
“แม่มิอาจบอกเจ้าได้ลูกแม่” ร่างไกรศักดิ์พูด
“อันที่ประจักษ์ต่อตาเจ้าเพลานี้ กำลังบารมีท่านพ่อจะถดถอยลงมากหลาย”
“อันที่แม่เป็นอยู่มิมีกำลังใดก่อให้ประจักษ์ต่อตาเจ้าได้”
“อีกทั้งลูกแม่จงกราบไหว้ท่านพ่อผา ที่ประทับลงข้างกายท่านพ่อด้วยเพลานี้” ร่างไกรศักดิ์บอก
ทั้งสี่คนเมื่อได้สดับคำบอกกล่าวจึงรีบก้มลงกราบ หันไปที่ข้างกายของท่านไกรศักดิ์ซึ่งว่างเปล่าอยู่นั้น
“จงจำเริญ” ร่างไกรศักดิ์พูดให้พรด้วยกระแสเสียงที่เปลี่ยนไป
ร่างของท่านไกรศักดิ์สูดลมหายใจยาวลึกแล้วค่อยๆลืมตาขึ้น จากนั้นจึงเปิดรอยยิ้มมองมาที่ทั้งสี่คน
“โอย เหนื่อย” ท่านไกรศักดิ์พูดขึ้นอย่างปกติ
ทุกคนยังนั่งมองนิ่งอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งท่านไกรศักดิ์พูดขึ้นอีก
“แม่เขาต้องไปแล้วนะ” เขาหันไปบอกลูกสาว
สร้อยแก้วนั่งยิ้มทั้งน้ำตาคลอเบ้า ถึงแม้จะไม่มีร่างของแม่ลอยานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว แต่เธอก็รู้สึกอบอุ่นดั่งกับว่าทั้งพ่อและแม่ยังอยู่ด้วยกันกับเธอ ความรู้สึกว้าเหว่ของเด็กกำพร้าแม่หายไปจากใจเธอแล้ว
“เอาล่ะ เราทำธุระของเรากันต่อ” ท่านไกรศักดิ์พูด
“มา ช่วยกันเก็บกวาดเรือนให้สะอาด” เขาพูดแล้วเริ่มหันไปหยิบจับสิ่งของที่ระเกะระกะให้เข้าที่
เหมียวกับสร้อยแก้วกุลีกุจอช่วยกันเก็บทำความสะอาดเรือนโดยมีท่านพ่อไกรศักดิ์ช่วยทำที่แคร่บูชาแม่ลอยา โจเดินลงไปหยิบไม้กวาดลานบ้านที่ทำจากกิ่งไม้นำมามัดรวมกันกวาดใบไม้ที่ร่วงเกลื่อนกราดไปกองรวมไว้ในลานก่อกองไฟ พรานโละเดินไปริมลำธารตัดแยกท่อนไม้ใหญ่เป็นท่อนๆมาทำฟืน จนเวลาล่วงเลยใกล้บ่าย
ทุกคนลงจากเรือนมาเดินเล่นนั่งเล่นอยู่ที่ลานหน้าบ้าน โจเดินไปยืนอยู่ริมลำธารแหงนหน้ามองท้องฟ้านิ่งอยู่คนเดียว เหมียวสังเกตเห็นว่าเขายืนครุ่นคิดกอดอกมือลูบคางอยู่จึงเดินเข้าไปหา
“คิดอะไรอยู่คะที่รัก” เหมียวยิ้มถามเมื่อเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ เธอแกล้งใช้คำเพื่อให้เขาคลายเครียด
“กำลังคิดว่าที่โน่นไปถึงไหนแล้ว” โจพูด เขาไม่อยากใช้คำว่าบ้านเพื่อปลอบใจตัวเอง
เหมียวนั่งลงวักน้ำในลำธารเล่น เธอก็จนปัญญาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี โจนั่งลงข้างๆเธอแล้วโอบไหล่เขย่าเบาๆ
“ขอโทษนะ ผมไม่ควรพูด คุณถามผมเลยรีบตอบไปหน่อย” เขาบอกเธอ
“ทำไมไม่ควรพูดล่ะ” เหมียวหันมาถาม
“คุณก็มีที่โน่นเหมือนกันยังไง” โจพูด
“แล้วตอนนี้ล่ะ” เหมียวถาม เธอยังมองน้ำในลำธารอยู่
“ผมต้องมาด้วยเหตุที่สูญเสียครอบครัว” โจพูด นั่งชันเข่ามองไปยังราวป่า
“ส่วนคุณ ไม่ได้สูญเสียอะไรแต่มา”
“แล้วก็ตั้งใจมาแบบร่วมเป็นร่วมตายเสียด้วย นั่นคือคำถามที่วันนึง ผมคงได้รู้คำตอบ”
“น้องผมตายไปแล้ว พ่อผมแม่ผมจวนเจียน แต่นี่ก็ผ่านมาเดือนแล้วนะ” โจเว้นไว้ไม่พูดต่อ
“วันนี้ผมมีอยู่ห้าคนในครอบครัว และที่สำคัญคือมีคุณอยู่ด้วย” โจพูดจบแล้วหันไปมองสบตาเธอที่หันมา
“แล้วยังไง” เหมียวถาม
“ก็ไม่ยังไง” โจตอบ
“ฉันรอฟังอยู่” เธอพูดอย่างมีนัยสำคัญถึงบางอย่างที่อยากฟัง
ทั้งสองมองสบตากันเพื่อให้สื่อถึงใจ
“ผมรู้แล้วว่าอะไรคือสาระสำคัญของชีวิต วันนึงผมจะเป็นอย่างคุณลุงไกรศักดิ์ให้ได้” โจพูด
“แต่วันนี้ ผมมีเหมือนลุงอย่างเดียวสำหรับคุณ”
“ไม่ว่าคุณจะนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุใด ไม่ว่าผมจะได้รู้หรือไม่ได้รู้”
“และ ไม่ว่าคุณจะรักหรือไม่รักตอบ”
“ผมจะรักภักดีต่อคุณจนวันตาย เจ้าป่าเจ้าเขาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยาน” โจพูดแล้วหันกลับไปเงยหน้ามองท้องฟ้า
เหมียวยังคงจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มนิ่งอยู่ เธอกัดริมฝีปากเบาๆอมยิ้มอยู่ในใจอย่างสุขสม เหตุผลหนึ่งผุดขึ้นในใจ
“เหมียวรู้แล้วว่ามาที่นี่ทำไม” เธอพูดช้าๆให้ชายหนุ่มตั้งใจฟัง
โจหันมามองใบหน้าของหญิงสาวที่เปื้อนยิ้มอยู่
“ลิขิตบอกว่า อยากได้ความรักภักดี ต้องแลกมาด้วยการร่วมทุกข์ร่วมสุขยังไง” หญิงสาวยิ้มพูดกระซิบรัก
“เหมียวก็รักคุณ ให้เจ้าป่าเจ้าเขาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยาน” เธอกระซิบบอกเช่นกัน