ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 32
http://ppantip.com/topic/33231364
“นายท่าน” พรานโละพูดแผ่ว
“ชู่…” ท่านไกรศักดิ์ใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากส่งสัญญาณเบาๆให้เงียบไว้
หกคนนั่งนิ่งสนิทแทบจะไม่หายใจ
มีแต่พีที่สีหน้านิ่งขรึมสองมือกำด้ามดาบคู่ไว้ ทีท่าของเขาพร้อมเปลือยใบออกจากฝัก แววตาแข็งกร้าวเหลียวหน้ามองไปมาช้าๆแล้วก้มหน้าลงสงบนิ่ง
ครอบครัวอีกห้าชีวิตมองเขาด้วยความรู้สึกเชื่อมั่นว่าโพยภัยอันตรายใดๆก็ตามที่จะต้องเผชิญ ทัพหน้าของพวกเขาจะสำแดงอานุภาพออกมาให้ได้เห็น เช่นขณะนี้ที่พญาจงอางวนเวียนอยู่รอบๆไม่ปรากฏกายก็มิอาจสั่นคลอนให้พยัคฆราชแสดงความเกรงกลัวออกมาได้
ท่านไกรศักดิ์ยังคงนิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปเพื่อรอดูสัญญาณ จนกระทั่งพีเงยหน้ายิ้มมองคนอื่นๆไปมาทำหน้าทะเล้น
“นั่งเฉยล้อมวงอย่างนี้แจกไพ่เลยดีมั้ย” พีพูดทำลายความเงียบ
ลุงไกรศักดิ์ขยับตัวถอนหายใจยาวมองหน้าพียิ้มๆ สัญญาณว่าอันตรายผ่านไปแล้วปรากฏ คนที่เหลือก็พลอยถอนหายใจที่กลั้นไว้แสนนานออกมาด้วย โล่งอกไปตามๆกัน
“ขมุกขมัวแบบนี้ไปต่อกันไหวมั้ย” ท่านไกรศักดิ์พูดแล้วขยับลุกขึ้นยืน
ทั้งหมดลุกขึ้นตามกระจายตัวกันมองออกไปรอบๆ พีสะพายดาบไขว้หลังแล้วยกเป้ขึ้นสวมก่อนใคร
“เดินไปทั้งหมอกแบบนี้แหละ ขืนรอเมื่อไหร่ก็ไม่รู้จะจาง” พีบอกความเห็นของเขา
“ไป ทัพหน้า แล้วหน้าผาอยู่ทางไหนแล้วล่ะ” ลุงไกรตบไหล่พูดยิ้มๆกับพี
“ตามข้าพเจ้ามา” พีพูดหัวเราะทำเสียงแบบทหารสั่งบุก
พีออกนำเหวี่ยงมีดยาวถางทางไปข้างหน้าไม่มีท่าทีลังเล ท่านพ่อไกรศักดิ์ให้สร้อยแก้วเดินตามเพื่อระวังภัยส่วนหน้าต่อจากพีแล้วตบไหล่ให้โจกับเหมียวเดินต่อ ตัวเขาเองย้ายมาระวังหลังร่วมกับพรานโละ ทัพหน้าฟันถางทางไปอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เขาแทบไม่ได้หันกลับมามองอีกห้าคนที่เดินตามเขามาเลย มีเพียงบางครั้งที่หยุดยืนนิ่งเพื่อมองอะไรสักอย่างแล้วจึงก้าวเดินต่อไป
ดวงอาทิตย์เที่ยงวันขับไล่ม่านหมอกจนกระจายหายไปเกือบหมดแล้ว มีเพียงบางส่วนที่แสงอาทิตย์ตกลงไปไม่ถึง ทัศนวิสัยดีขึ้นมากสำหรับคณะที่จะเร่งฝีเท้าตรงไปยังหน้าผาใหญ่ที่เริ่มใกล้เข้ามา
แนวเนินเตี้ยๆทอดยาวไปทั้งสองด้านขวางอยู่ตรงหน้า เสียงน้ำไหลดังแว่วมาจากหลังเนินนั้น ทัพหน้าหันกลับมาหยุดมองผู้ที่เดินตามมาแล้วชี้มือเป็นสัญญาณให้รีบเดินขึ้นไป
คณะเดินทางมาหยุดยืนอยู่ใต้ต้มไม้ใหญ่บนแนวเนินนั้น เสียงน้ำไหลที่ได้ยินเป็นลำธารกว้างที่ทอดยาวขนานไปกับเนินดินที่พวกเขายืนอยู่ ท่านไกรศักดิ์ยกข้อมือขึ้นดูเข็มนาฬิกาแล้วแหงนมองไปเบื้องบน
“เราเพิ่งเดินได้แค่ห้าชั่วโมงเองวันนี้ แต่ลุงไม่อยากไปเสี่ยงข้างหน้า” ท่านไกรศักดิ์พูด
“ถ้าป่ามืดเร็วอย่างเมื่อวานเราก็น่าจะพักตรงนี้ก่อนดีกว่านะผมว่า” โจพูด
พีไม่ออกความเห็นอะไร เขาปลดเครื่องหลังวางลงที่โคนต้นไม้แล้วปีนขึ้นไปโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรเหน็บมีดยาวเดินป่าขึ้นไปด้วย พรานโละเห็นดังนั้นจึงวางข้าวของแล้วรีบปีนตามพีขึ้นไป
โจแหงนหน้ามองเพื่อนปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆอย่างเป็นห่วงและแปลกใจ
“มา ไม่ต้องห่วง ป่าสูงอย่างนี้บางทีต้องสังเกตการณ์จากที่สูง” ลุงไกรศักดิ์พูดพยักหน้าให้โจมาช่วยยกขอนไม้
“สังเกตการณ์นั่นพอเข้าใจครับ” โจพูดขณะช่วยลุงไกรยกขอนไม้แห้งเตรียมทำฟืนค้างแรม
“แต่อึ้ง ทึ่งที่มันปีนไม่พูดไม่จา”
“ผมเลิกสงสัยแล้วนะครับ จะสงสัยก็มีแต่เรื่องแหวนในนิ้วผมนี่ล่ะว่าคืออะไร” โจพูด
“ถึงเวลาก็รู้เอง” ลุงไกรวางขอนไม้แล้วเงยหน้าพูด
เหมียวนั่งมองสร้อยแก้วเหลาไม้เสี้ยมแหลมแล้วทำตามเตรียมหาปลาในลำธารเป็นอาหาร ครู่เดียวสองสาวก็ได้หอกไม้แหลมสี่ห้าอันเดินมาริมลำธาร
“พี่เหมียวรู้จักแทงปลาไหมจ๊ะ” สร้อยแก้วถาม
“ไม่เคยเลยจ้ะ” เหมียวตอบตามองจ้องในลำธารจดๆจ้องๆมองหาเป้าหมาย
“ถ้าให้พี่เหมียวหาคนเดียวได้อดกินทั้งหมดล่ะคืนนี้” เหมียวพูดหัวเราะจ้องมองปลาอยู่ในท่าเดิม
พีกับพรานโละปีนกลับลงมาจากต้นไม้สูง เมื่อลงเหยียบพื้นดินทั้งสองหันไปช่วยสองสาวที่คนหนึ่งเงอะงะแทงปลาในลำธารยังไม่ได้สักตัว ไม่นานปลาตัวเขื่องหลายตัวที่เจ้าป่าภูยมเมตตาประทานให้ยังชีพก็ถูกเสียบไม้
“ได้กี่ตัวล่ะคุณน่ะ” โจถามยิ้มๆเมื่อสาวเหมียวเดินมานั่งข้างๆ
“ตั้งตัวนึงแน่ะ” เหมียวตอบ
“ตัวไหนล่ะครับ” โจถามมองไปที่ปลาเสียบไม้ที่เรียงแถวรอ ย่างไฟอยู่
“คุณดูออกมั้ยว่าตัวไหน” เหมียวถาม
“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ มันก็เหมือนกันหมด” โจตอบ
“ตัวที่หน้าตามันเซ่อที่สุดนั่นแหละ คุณกินซะด้วย น้ำพักน้ำแรงชั้น” เหมียวพูดอย่างขัดใจ
โจยิ้มเอื้อมมือไปโอบไหล่เธอโยกเบาๆให้หญิงสาวหายหงุดหงิด
กองไฟไม้ฟืนเตรียมพร้อมแล้วสำหรับคืนนี้ แม้ว่าตะวันจะยังไม่คล้อยต่ำลงมามากนักแต่กองทัพน้อยนี้ได้ประสบการณ์ตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้วว่าหากปล่อยให้เวลาใกล้พลบ สภาพป่าที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเร่งรัดจนพวกเขาแทบต้องนอนท่ามกลางความมืด และหากเป็นเช่นนั้นความหนาวเย็นจับขั้วหัวใจอาจฆ่าให้ตายได้
โชคดีของทั้งหกชีวิตที่บริเวณนี้มีไม้แห้งไม้ล้มอยู่จำนวนมาก จึงมีเชื้อฟืนเพียงพอที่จะก่อไฟอีกสองกองขนาบหลังไว้ได้เพื่อช่วยให้ความร้อนอีกแรง
ปลาทั้งหมดที่หามาได้ย่างสุกแล้วเสียบไม้ปักดินอุ่นไว้ข้างกองไฟขณะที่คนทั้งหกมายืนชุมนุมกันอยู่ริมลำธาร
“พวกเราว่าลำธารนี้จะเลี้ยวไปหาหน้าผาที่เราจะไปกันมั้ย” ท่านไกรศักดิ์ขอความเห็น
“น้ำในธารไหลซ้ายไปขวา อีกทั้งขวาเฉียงไปที่ผา” สร้อยแก้วพูด
“แล้วยังไงลูก” ท่านพ่อถาม
“ผาสูงเยี่ยงนี้อันควรเป็นต้นน้ำ แต่ใยน้ำไหลไปหาต้นน้ำ” สร้อยแก้วให้ความเห็น
“แสดงว่าต้นน้ำของลำธารมาจากที่อื่น แล้วไหลไปหาผาสูงนั่นน่ะเหรอครับ” โจพูด
“มันแปลกๆนะ” โจพูดต่อ
“มันก็ไม่แปลกนัก เป็นไปได้ เว้นแต่ว่าใกล้กันหรือติดผาสูงนั่นมีลำน้ำ” ท่านไกรศักดิ์พูด
“แค่เราต้องเลือกว่าจะเดินตัดป่าตรงไปหรือเดินไปตามลำธารใช่มั้ยคะ” เหมียวตั้งคำถาม
“ถูก” ท่านลุงตอบ
“ถ้าเดินไปตามลำธาร เราก็มีน้ำมีอาหาร แต่ไม่รู้ว่ามันจะพาเราไปหาผาสูงนั่นรึเปล่า” เหมียวออกความเห็น
“ถูก” ท่านลุงตอบคำเดิมอีก
“อีกอย่าง แหล่งน้ำกับอาหารไม่ใช่มีแต่พวกเราที่ต้องการอยู่พวกเดียวนะ” โจพูด
“ไม่รู้ว่ามีสัตว์เล็กใหญ่ร้ายกาจแค่ไหนอยู่ตามแนวลำธาร” โจพูดต่อ
“แล้วถ้าตัดตรงไปเลยล่ะ” ลุงไกรศักดิ์ถามความเห็นทุกคน
“โละว่ายังไง” ท่านไกรศักดิ์หันไปถามความเห็นพรานโละ
“ฉันให้บุกป่าตรงไปจ้ะ อีกมิล่วงกว่าวันจะถึง มิต้องห่วงใยน้ำอีกทั้งการกินจ้ะ” พรานโละพูด
“ก็จริงนะ อย่างที่พี่โละพูด ผมเห็นด้วย” พีสนับสนุนความเห็นของพรานโละ
“ยังไม่ต้องตกลงใจ ไป ไปกินกันก่อน ยังมีเวลาคิด” ท่านไกรศักดิ์พูดชวน
ครอบครัวนั่งกินปลาย่างล้อมวงกันรอบกองไฟ น้ำจากลำธารต้มเดือดรินแจกกันไปดื่มแก้หนาวและล้างคอ เสริมด้วยกล้วยป่าแสนอร่อยที่เหลือจากวันวาน เท่านี้ก็ช่วยผ่อนเพลาให้พวกเขาคลายความตึงเครียดลงได้มาก ในใจของพวกเขาเวลานี้แทบจะทิ้งโลกที่จากมาไว้ข้างหลัง เหลือคือผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าซึ่งต้องดูแลกันและกันให้อยู่ครบจนถึงปลายทาง
“เดี๋ยวกินเสร็จ ผมอยากออกไปเดินสำรวจรอบๆนี่หน่อยได้มั้ยครับคุณลุง” พีถาม
“อีกสักชั่วโมงจะมืดแล้วนะ จะดีเหรอลูก พี” ลุงไกรท้วง
“ผมไปไม่ไกลหรอกครับคุณลุง แค่ตะโกนถึงนี่ล่ะ” พียืนยัน
“เอ็งอยากไปดูอะไร” โจขมวดคิ้วถาม
“ไปดูซื้อขนมเค้กให้เอ็งกินละมั้ง” พีพูดเสียงสูงทำเป็นตาขวาง
“ดูนั่น” พีชี้มือข้ามลำธารไป
“เห็นอะไรแปลกมั้ย” พีถามแล้วชี้ไกลๆกวาดซ้ายกวาดขวากว้างๆ
ทุกคนหันมองกวาดตาตามที่เขาชี้มือ
“เห็นมั้ย” พีถามย้ำ
“ไม่เห็น” โจตอบหน้าซื่อ
“แปะ” พีตบท้ายทอยเพื่อน
โจเอามือปิดท้ายทอยที่ถูกเพื่อนตบแล้วหันมาหา
“ก็ไม่เห็นนี่หว่า อะไรแปลกล่ะ” โจพูด
“แนวเนินสูงเทียมกันใช่ไหมจ๊ะ” สร้อยแก้วพูด
“เห็นมั้ย น้องมันยังรู้เลย” พีพูดกับโจ
“เออจริง เก่งนี่” ท่านไกรศักดิ์พูดแล้วลุกขึ้นมองกวาดสายตาออกไป
“ผมขอไปดูหน่อยได้มั้ยครับ ไม่นาน ระยะก็พอมองเห็นกันอยู่” พีบอกลุง
“ก็ไปกันหมดเลยไม่ดีกว่าเหรอ” โจพูด
“ไม่ดี ทิ้งค่ายไปหมดไม่ดี” ลุงไกรศักดิ์พูด
“ถ้าอยากสำรวจจริงๆเอาอย่างนี้” ลุงไกรพูดต่อ
“โละกับเหมียวอยู่นี่ โจกับสร้อยแก้วข้ามลำธารไปคอยยิงคุ้มกัน พีไปกับลุง” ลุงไกรพูด
“ท่านพ่อยิงปืนดีกว่าสร้อยแก้ว ให้สร้อยแก้วไปกับพี่พีเถอะจ้ะ” สร้อยแก้วออกความเห็น
“สร้อยแก้วอ่านป่าออกจ้ะ” สร้อยแก้วพูด
“อย่างนั้นก็ดี โจอยู่กับลุงคอยยิงคุ้มกัน” ลุงไกรหันไปบอกโจ
“ไปกันเลย” พีพูดแล้วหิ้วดาบคู่ขึ้นไขว้หลัง หยิบไรเฟิลสงครามติดมือไปด้วย
สร้อยแก้วถือปืนเดินข้ามลำธารลึกแค่เข่าตามพีไป โจกับลุงไกรศักดิ์ข้ามตามไปด้วยแล้วเดินห่างฝั่งออกไปอีกพอประมาณ ทั้งสองถือไรเฟิลสงครามในท่าเตรียมพร้อมยิงคุ้มกันสอดส่ายสายตามองไปกว้างๆด้านหน้า เหมียวยืนถือไรเฟิลติดกล้องเล็งยืนอยู่ฝั่งเดิมประทับปืนใช้กล้องเล็งสอดส่ายไปไกลๆด้วย พรานโละยังเฝ้าค่ายถือปืนยืนมองระวังหลัง
พีเดินอยู่บนยอดเนินที่ทอดยาวเป็นแนวไกลออกไปทั้งสองด้าน เขาตัดฟันกิ่งไม้ต้นไม้เล็กๆที่ขวางตาออกบางส่วนเพื่อจะสำรวจพื้นดิน สร้อยแก้วเดินตามหลังพีกวาดสายตาไปด้วย
“เป็นแนวยาวเหมือนคลื่นนะ รึยังไงสร้อยแก้ว” พีพูดขณะมองออกไปไกลๆ
“เยี่ยงนั้นจ้ะพี่ ใยพื้นราบดั่งมีผู้คนมาโถมแนวดินไว้” สร้อยแก้วพูด
“คิดเหมือนกัน แต่ที่เล่ากันมาก็ว่าไม่เคยมีผู้คนอยู่แถวนี้นี่นา ใช่มั้ย” พีพูด
“ว่ามั้ยสร้อยแก้ว” พีถามซ้ำ ไม่มีเสียงหญิงสาวตอบกลับมา
พีหันกลับมาทันทีที่ไม่ได้ยินสร้อยแก้วตอบรับ
“สร้อย สร้อยแก้ว” พีเรียกเสียงดัง
หญิงสาวทรุดตัวลงคุกเข่าหลับตาหมดสติกำลังจะคว่ำหน้าลงกับพื้น พีรีบคุกเข่าลงอ้าแขนกอดลำตัวรับเธอเอาไว้ได้ทัน สร้อยแก้วคอพับลงที่ไหล่ของเขา
“สร้อยแก้ว สร้อยแก้วเป็นอะไร” พีเรียกชื่อถามยังคงกอดให้เธอซบหน้าบนไหล่อยู่
“ไอ้โจ คุณลุง” พีตะโกนเรียกสุดเสียง
ชายหนุ่มอุ้มร่างหมดสติของสร้อยแก้วขึ้นรีบวิ่งกลับลงมา ท่านพ่อไกรศักดิ์กับโจหันไปมองตามเสียงตะโกนเรียกแล้ววิ่งเข้าไปหาอย่างเร็วเมื่อเห็นพีอุ้มสร้อยแก้ววิ่งกลับมา
เหมียวกระโจนวิ่งข้ามลำธารตามมา พ่อพรานโละเองก็ละค่ายพักวิ่งตามมาอีกคน
โจกับท่านพ่อไกรศักดิ์วิ่งสุดฝีเท้าเข้ามาจะช่วยพีโดยยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น” โจตะโกนถามเมื่อกำลังจะวิ่งถึงกัน
“ไม่รู้เหมือนกัน” พีตะโกนสวนมา
“มากูช่วย” โจตะโกนบอก
“ไม่ต้อง ระวังหลังให้ด้วย” พีร้องบอก
ธารทิพย์ บทที่ 33
ธารทิพย์ บทที่ 32 http://ppantip.com/topic/33231364
“นายท่าน” พรานโละพูดแผ่ว
“ชู่…” ท่านไกรศักดิ์ใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากส่งสัญญาณเบาๆให้เงียบไว้
หกคนนั่งนิ่งสนิทแทบจะไม่หายใจ
มีแต่พีที่สีหน้านิ่งขรึมสองมือกำด้ามดาบคู่ไว้ ทีท่าของเขาพร้อมเปลือยใบออกจากฝัก แววตาแข็งกร้าวเหลียวหน้ามองไปมาช้าๆแล้วก้มหน้าลงสงบนิ่ง
ครอบครัวอีกห้าชีวิตมองเขาด้วยความรู้สึกเชื่อมั่นว่าโพยภัยอันตรายใดๆก็ตามที่จะต้องเผชิญ ทัพหน้าของพวกเขาจะสำแดงอานุภาพออกมาให้ได้เห็น เช่นขณะนี้ที่พญาจงอางวนเวียนอยู่รอบๆไม่ปรากฏกายก็มิอาจสั่นคลอนให้พยัคฆราชแสดงความเกรงกลัวออกมาได้
ท่านไกรศักดิ์ยังคงนิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปเพื่อรอดูสัญญาณ จนกระทั่งพีเงยหน้ายิ้มมองคนอื่นๆไปมาทำหน้าทะเล้น
“นั่งเฉยล้อมวงอย่างนี้แจกไพ่เลยดีมั้ย” พีพูดทำลายความเงียบ
ลุงไกรศักดิ์ขยับตัวถอนหายใจยาวมองหน้าพียิ้มๆ สัญญาณว่าอันตรายผ่านไปแล้วปรากฏ คนที่เหลือก็พลอยถอนหายใจที่กลั้นไว้แสนนานออกมาด้วย โล่งอกไปตามๆกัน
“ขมุกขมัวแบบนี้ไปต่อกันไหวมั้ย” ท่านไกรศักดิ์พูดแล้วขยับลุกขึ้นยืน
ทั้งหมดลุกขึ้นตามกระจายตัวกันมองออกไปรอบๆ พีสะพายดาบไขว้หลังแล้วยกเป้ขึ้นสวมก่อนใคร
“เดินไปทั้งหมอกแบบนี้แหละ ขืนรอเมื่อไหร่ก็ไม่รู้จะจาง” พีบอกความเห็นของเขา
“ไป ทัพหน้า แล้วหน้าผาอยู่ทางไหนแล้วล่ะ” ลุงไกรตบไหล่พูดยิ้มๆกับพี
“ตามข้าพเจ้ามา” พีพูดหัวเราะทำเสียงแบบทหารสั่งบุก
พีออกนำเหวี่ยงมีดยาวถางทางไปข้างหน้าไม่มีท่าทีลังเล ท่านพ่อไกรศักดิ์ให้สร้อยแก้วเดินตามเพื่อระวังภัยส่วนหน้าต่อจากพีแล้วตบไหล่ให้โจกับเหมียวเดินต่อ ตัวเขาเองย้ายมาระวังหลังร่วมกับพรานโละ ทัพหน้าฟันถางทางไปอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เขาแทบไม่ได้หันกลับมามองอีกห้าคนที่เดินตามเขามาเลย มีเพียงบางครั้งที่หยุดยืนนิ่งเพื่อมองอะไรสักอย่างแล้วจึงก้าวเดินต่อไป
ดวงอาทิตย์เที่ยงวันขับไล่ม่านหมอกจนกระจายหายไปเกือบหมดแล้ว มีเพียงบางส่วนที่แสงอาทิตย์ตกลงไปไม่ถึง ทัศนวิสัยดีขึ้นมากสำหรับคณะที่จะเร่งฝีเท้าตรงไปยังหน้าผาใหญ่ที่เริ่มใกล้เข้ามา
แนวเนินเตี้ยๆทอดยาวไปทั้งสองด้านขวางอยู่ตรงหน้า เสียงน้ำไหลดังแว่วมาจากหลังเนินนั้น ทัพหน้าหันกลับมาหยุดมองผู้ที่เดินตามมาแล้วชี้มือเป็นสัญญาณให้รีบเดินขึ้นไป
คณะเดินทางมาหยุดยืนอยู่ใต้ต้มไม้ใหญ่บนแนวเนินนั้น เสียงน้ำไหลที่ได้ยินเป็นลำธารกว้างที่ทอดยาวขนานไปกับเนินดินที่พวกเขายืนอยู่ ท่านไกรศักดิ์ยกข้อมือขึ้นดูเข็มนาฬิกาแล้วแหงนมองไปเบื้องบน
“เราเพิ่งเดินได้แค่ห้าชั่วโมงเองวันนี้ แต่ลุงไม่อยากไปเสี่ยงข้างหน้า” ท่านไกรศักดิ์พูด
“ถ้าป่ามืดเร็วอย่างเมื่อวานเราก็น่าจะพักตรงนี้ก่อนดีกว่านะผมว่า” โจพูด
พีไม่ออกความเห็นอะไร เขาปลดเครื่องหลังวางลงที่โคนต้นไม้แล้วปีนขึ้นไปโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรเหน็บมีดยาวเดินป่าขึ้นไปด้วย พรานโละเห็นดังนั้นจึงวางข้าวของแล้วรีบปีนตามพีขึ้นไป
โจแหงนหน้ามองเพื่อนปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆอย่างเป็นห่วงและแปลกใจ
“มา ไม่ต้องห่วง ป่าสูงอย่างนี้บางทีต้องสังเกตการณ์จากที่สูง” ลุงไกรศักดิ์พูดพยักหน้าให้โจมาช่วยยกขอนไม้
“สังเกตการณ์นั่นพอเข้าใจครับ” โจพูดขณะช่วยลุงไกรยกขอนไม้แห้งเตรียมทำฟืนค้างแรม
“แต่อึ้ง ทึ่งที่มันปีนไม่พูดไม่จา”
“ผมเลิกสงสัยแล้วนะครับ จะสงสัยก็มีแต่เรื่องแหวนในนิ้วผมนี่ล่ะว่าคืออะไร” โจพูด
“ถึงเวลาก็รู้เอง” ลุงไกรวางขอนไม้แล้วเงยหน้าพูด
เหมียวนั่งมองสร้อยแก้วเหลาไม้เสี้ยมแหลมแล้วทำตามเตรียมหาปลาในลำธารเป็นอาหาร ครู่เดียวสองสาวก็ได้หอกไม้แหลมสี่ห้าอันเดินมาริมลำธาร
“พี่เหมียวรู้จักแทงปลาไหมจ๊ะ” สร้อยแก้วถาม
“ไม่เคยเลยจ้ะ” เหมียวตอบตามองจ้องในลำธารจดๆจ้องๆมองหาเป้าหมาย
“ถ้าให้พี่เหมียวหาคนเดียวได้อดกินทั้งหมดล่ะคืนนี้” เหมียวพูดหัวเราะจ้องมองปลาอยู่ในท่าเดิม
พีกับพรานโละปีนกลับลงมาจากต้นไม้สูง เมื่อลงเหยียบพื้นดินทั้งสองหันไปช่วยสองสาวที่คนหนึ่งเงอะงะแทงปลาในลำธารยังไม่ได้สักตัว ไม่นานปลาตัวเขื่องหลายตัวที่เจ้าป่าภูยมเมตตาประทานให้ยังชีพก็ถูกเสียบไม้
“ได้กี่ตัวล่ะคุณน่ะ” โจถามยิ้มๆเมื่อสาวเหมียวเดินมานั่งข้างๆ
“ตั้งตัวนึงแน่ะ” เหมียวตอบ
“ตัวไหนล่ะครับ” โจถามมองไปที่ปลาเสียบไม้ที่เรียงแถวรอ ย่างไฟอยู่
“คุณดูออกมั้ยว่าตัวไหน” เหมียวถาม
“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ มันก็เหมือนกันหมด” โจตอบ
“ตัวที่หน้าตามันเซ่อที่สุดนั่นแหละ คุณกินซะด้วย น้ำพักน้ำแรงชั้น” เหมียวพูดอย่างขัดใจ
โจยิ้มเอื้อมมือไปโอบไหล่เธอโยกเบาๆให้หญิงสาวหายหงุดหงิด
กองไฟไม้ฟืนเตรียมพร้อมแล้วสำหรับคืนนี้ แม้ว่าตะวันจะยังไม่คล้อยต่ำลงมามากนักแต่กองทัพน้อยนี้ได้ประสบการณ์ตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้วว่าหากปล่อยให้เวลาใกล้พลบ สภาพป่าที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเร่งรัดจนพวกเขาแทบต้องนอนท่ามกลางความมืด และหากเป็นเช่นนั้นความหนาวเย็นจับขั้วหัวใจอาจฆ่าให้ตายได้
โชคดีของทั้งหกชีวิตที่บริเวณนี้มีไม้แห้งไม้ล้มอยู่จำนวนมาก จึงมีเชื้อฟืนเพียงพอที่จะก่อไฟอีกสองกองขนาบหลังไว้ได้เพื่อช่วยให้ความร้อนอีกแรง
ปลาทั้งหมดที่หามาได้ย่างสุกแล้วเสียบไม้ปักดินอุ่นไว้ข้างกองไฟขณะที่คนทั้งหกมายืนชุมนุมกันอยู่ริมลำธาร
“พวกเราว่าลำธารนี้จะเลี้ยวไปหาหน้าผาที่เราจะไปกันมั้ย” ท่านไกรศักดิ์ขอความเห็น
“น้ำในธารไหลซ้ายไปขวา อีกทั้งขวาเฉียงไปที่ผา” สร้อยแก้วพูด
“แล้วยังไงลูก” ท่านพ่อถาม
“ผาสูงเยี่ยงนี้อันควรเป็นต้นน้ำ แต่ใยน้ำไหลไปหาต้นน้ำ” สร้อยแก้วให้ความเห็น
“แสดงว่าต้นน้ำของลำธารมาจากที่อื่น แล้วไหลไปหาผาสูงนั่นน่ะเหรอครับ” โจพูด
“มันแปลกๆนะ” โจพูดต่อ
“มันก็ไม่แปลกนัก เป็นไปได้ เว้นแต่ว่าใกล้กันหรือติดผาสูงนั่นมีลำน้ำ” ท่านไกรศักดิ์พูด
“แค่เราต้องเลือกว่าจะเดินตัดป่าตรงไปหรือเดินไปตามลำธารใช่มั้ยคะ” เหมียวตั้งคำถาม
“ถูก” ท่านลุงตอบ
“ถ้าเดินไปตามลำธาร เราก็มีน้ำมีอาหาร แต่ไม่รู้ว่ามันจะพาเราไปหาผาสูงนั่นรึเปล่า” เหมียวออกความเห็น
“ถูก” ท่านลุงตอบคำเดิมอีก
“อีกอย่าง แหล่งน้ำกับอาหารไม่ใช่มีแต่พวกเราที่ต้องการอยู่พวกเดียวนะ” โจพูด
“ไม่รู้ว่ามีสัตว์เล็กใหญ่ร้ายกาจแค่ไหนอยู่ตามแนวลำธาร” โจพูดต่อ
“แล้วถ้าตัดตรงไปเลยล่ะ” ลุงไกรศักดิ์ถามความเห็นทุกคน
“โละว่ายังไง” ท่านไกรศักดิ์หันไปถามความเห็นพรานโละ
“ฉันให้บุกป่าตรงไปจ้ะ อีกมิล่วงกว่าวันจะถึง มิต้องห่วงใยน้ำอีกทั้งการกินจ้ะ” พรานโละพูด
“ก็จริงนะ อย่างที่พี่โละพูด ผมเห็นด้วย” พีสนับสนุนความเห็นของพรานโละ
“ยังไม่ต้องตกลงใจ ไป ไปกินกันก่อน ยังมีเวลาคิด” ท่านไกรศักดิ์พูดชวน
ครอบครัวนั่งกินปลาย่างล้อมวงกันรอบกองไฟ น้ำจากลำธารต้มเดือดรินแจกกันไปดื่มแก้หนาวและล้างคอ เสริมด้วยกล้วยป่าแสนอร่อยที่เหลือจากวันวาน เท่านี้ก็ช่วยผ่อนเพลาให้พวกเขาคลายความตึงเครียดลงได้มาก ในใจของพวกเขาเวลานี้แทบจะทิ้งโลกที่จากมาไว้ข้างหลัง เหลือคือผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าซึ่งต้องดูแลกันและกันให้อยู่ครบจนถึงปลายทาง
“เดี๋ยวกินเสร็จ ผมอยากออกไปเดินสำรวจรอบๆนี่หน่อยได้มั้ยครับคุณลุง” พีถาม
“อีกสักชั่วโมงจะมืดแล้วนะ จะดีเหรอลูก พี” ลุงไกรท้วง
“ผมไปไม่ไกลหรอกครับคุณลุง แค่ตะโกนถึงนี่ล่ะ” พียืนยัน
“เอ็งอยากไปดูอะไร” โจขมวดคิ้วถาม
“ไปดูซื้อขนมเค้กให้เอ็งกินละมั้ง” พีพูดเสียงสูงทำเป็นตาขวาง
“ดูนั่น” พีชี้มือข้ามลำธารไป
“เห็นอะไรแปลกมั้ย” พีถามแล้วชี้ไกลๆกวาดซ้ายกวาดขวากว้างๆ
ทุกคนหันมองกวาดตาตามที่เขาชี้มือ
“เห็นมั้ย” พีถามย้ำ
“ไม่เห็น” โจตอบหน้าซื่อ
“แปะ” พีตบท้ายทอยเพื่อน
โจเอามือปิดท้ายทอยที่ถูกเพื่อนตบแล้วหันมาหา
“ก็ไม่เห็นนี่หว่า อะไรแปลกล่ะ” โจพูด
“แนวเนินสูงเทียมกันใช่ไหมจ๊ะ” สร้อยแก้วพูด
“เห็นมั้ย น้องมันยังรู้เลย” พีพูดกับโจ
“เออจริง เก่งนี่” ท่านไกรศักดิ์พูดแล้วลุกขึ้นมองกวาดสายตาออกไป
“ผมขอไปดูหน่อยได้มั้ยครับ ไม่นาน ระยะก็พอมองเห็นกันอยู่” พีบอกลุง
“ก็ไปกันหมดเลยไม่ดีกว่าเหรอ” โจพูด
“ไม่ดี ทิ้งค่ายไปหมดไม่ดี” ลุงไกรศักดิ์พูด
“ถ้าอยากสำรวจจริงๆเอาอย่างนี้” ลุงไกรพูดต่อ
“โละกับเหมียวอยู่นี่ โจกับสร้อยแก้วข้ามลำธารไปคอยยิงคุ้มกัน พีไปกับลุง” ลุงไกรพูด
“ท่านพ่อยิงปืนดีกว่าสร้อยแก้ว ให้สร้อยแก้วไปกับพี่พีเถอะจ้ะ” สร้อยแก้วออกความเห็น
“สร้อยแก้วอ่านป่าออกจ้ะ” สร้อยแก้วพูด
“อย่างนั้นก็ดี โจอยู่กับลุงคอยยิงคุ้มกัน” ลุงไกรหันไปบอกโจ
“ไปกันเลย” พีพูดแล้วหิ้วดาบคู่ขึ้นไขว้หลัง หยิบไรเฟิลสงครามติดมือไปด้วย
สร้อยแก้วถือปืนเดินข้ามลำธารลึกแค่เข่าตามพีไป โจกับลุงไกรศักดิ์ข้ามตามไปด้วยแล้วเดินห่างฝั่งออกไปอีกพอประมาณ ทั้งสองถือไรเฟิลสงครามในท่าเตรียมพร้อมยิงคุ้มกันสอดส่ายสายตามองไปกว้างๆด้านหน้า เหมียวยืนถือไรเฟิลติดกล้องเล็งยืนอยู่ฝั่งเดิมประทับปืนใช้กล้องเล็งสอดส่ายไปไกลๆด้วย พรานโละยังเฝ้าค่ายถือปืนยืนมองระวังหลัง
พีเดินอยู่บนยอดเนินที่ทอดยาวเป็นแนวไกลออกไปทั้งสองด้าน เขาตัดฟันกิ่งไม้ต้นไม้เล็กๆที่ขวางตาออกบางส่วนเพื่อจะสำรวจพื้นดิน สร้อยแก้วเดินตามหลังพีกวาดสายตาไปด้วย
“เป็นแนวยาวเหมือนคลื่นนะ รึยังไงสร้อยแก้ว” พีพูดขณะมองออกไปไกลๆ
“เยี่ยงนั้นจ้ะพี่ ใยพื้นราบดั่งมีผู้คนมาโถมแนวดินไว้” สร้อยแก้วพูด
“คิดเหมือนกัน แต่ที่เล่ากันมาก็ว่าไม่เคยมีผู้คนอยู่แถวนี้นี่นา ใช่มั้ย” พีพูด
“ว่ามั้ยสร้อยแก้ว” พีถามซ้ำ ไม่มีเสียงหญิงสาวตอบกลับมา
พีหันกลับมาทันทีที่ไม่ได้ยินสร้อยแก้วตอบรับ
“สร้อย สร้อยแก้ว” พีเรียกเสียงดัง
หญิงสาวทรุดตัวลงคุกเข่าหลับตาหมดสติกำลังจะคว่ำหน้าลงกับพื้น พีรีบคุกเข่าลงอ้าแขนกอดลำตัวรับเธอเอาไว้ได้ทัน สร้อยแก้วคอพับลงที่ไหล่ของเขา
“สร้อยแก้ว สร้อยแก้วเป็นอะไร” พีเรียกชื่อถามยังคงกอดให้เธอซบหน้าบนไหล่อยู่
“ไอ้โจ คุณลุง” พีตะโกนเรียกสุดเสียง
ชายหนุ่มอุ้มร่างหมดสติของสร้อยแก้วขึ้นรีบวิ่งกลับลงมา ท่านพ่อไกรศักดิ์กับโจหันไปมองตามเสียงตะโกนเรียกแล้ววิ่งเข้าไปหาอย่างเร็วเมื่อเห็นพีอุ้มสร้อยแก้ววิ่งกลับมา
เหมียวกระโจนวิ่งข้ามลำธารตามมา พ่อพรานโละเองก็ละค่ายพักวิ่งตามมาอีกคน
โจกับท่านพ่อไกรศักดิ์วิ่งสุดฝีเท้าเข้ามาจะช่วยพีโดยยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น” โจตะโกนถามเมื่อกำลังจะวิ่งถึงกัน
“ไม่รู้เหมือนกัน” พีตะโกนสวนมา
“มากูช่วย” โจตะโกนบอก
“ไม่ต้อง ระวังหลังให้ด้วย” พีร้องบอก