ธารทิพย์ บทที่ 13

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 12 http://ppantip.com/topic/33016862


            หลายวันแล้วที่นกสวรรค์ไม่ได้มาตามที่นัดหมายกันไว้ โส่ยไม่สบายใจเลยเธอหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่เรื้องนี้จนไม่เป็นอันทำอะไร วันแรกที่นกสวรรค์ไม่มาเธอก็นั่งเฝ้ารออยู่ถึงเย็นค่ำที่ริมน้ำ จนพรานโละผู้พ่อและน่อเซิ่งต้องมาตามกลับบ้าน
            
            วันนี้ก็เช่นกัน โส่ยนั่งเล่นอยู่ริมทะเลสาบด้านที่จะสามารถมองเห็นอะไรก็ตามที่เดินทางมาจากขอบฟ้าทิศทางที่เคยมาได้แต่ไกล เธอนั่งชันเข่าหลังพิงต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มครึ้มทอดสายตาเหม่อมองท้องฟ้าสลับกับผิวน้ำทะเลสาบอยู่อย่างนั้นมาหลายชั่วโมงแล้ว ในใจเธอภาวนาต่อเจ้าป่าเจ้าเขาขออย่าให้ผู้ที่เธอรอคอยมีภัยอันใดจนถึงกับต้องห่างหายไปชั่วชีวิต     
            
            โส่ยเอนหลังบนโคนรากต้นไม้เพื่อให้มุมของสายตาพอดีกับขอบฟ้าที่ต้องการเฝ้าดู สายลมเย็นอ่อนของฤดูหนาวและเสียงแมลงป่าขับกล่อมจนเธอผล็อยหลับไป


                “เราจะร่อนลงแล้วรัดเข็มขัดด้วยครับ” พีหันมาบอกไกรศักดิ์และเหมียว

                ไกรศักดิ์มองภูมิประเทศไปรอบๆเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำ ถึงแม้ในอดีตเขาจะเคยย่ำแถวนี้ไปจนทั่วแต่ก็ไม่เคยเห็นจากมุมสูงทางอากาศเช่นนี้ เหมียวเองก็มองไปรอบๆเช่นกัน สัญชาตญาณบอกให้เธอสังเกตทุกอย่างที่จะผ่านสายตาเข้ามาเพื่อจดจำเอาไว้ใช้ประโยชน์ในภารกิจนี้

                “แฟลปฟูลไปเลย” พีทำหน้าที่นักบิน เขาบอกโจอย่างไม่ต้องตามข้อกำหนดอะไร

                โจทำตามและก็ไม่ได้ขานบอกเช่นกัน
    
            คุณเป็ดน้ำร่อนลงแตะผิวทะเลสาบอย่างนุ่มนวลเช่นเคย เขาไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่าเบื้องหน้าห่างออกไปที่ริมฝั่งมีใครบางคนเฝ้ารอจนหลับอยู่

                โส่ยสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อเสียงเครื่องยนต์และเสียงใบพัดตัดอากาศมุ่งตรงมาทางเธอ นกสวรรค์ชะลอความเร็วลงแล้วเลี้ยวไปทางท่าเทียบ เธอลุกพรวดพราดขึ้นวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อจะไปให้ทันที่สะพานท่าเทียบโดยลืมไปแล้วว่านกสวรรค์วิ่งบนน้ำตรงไปแต่เธอต้องวิ่งอ้อมทะเลสาบบนพื้นป่า ผลคือเธอไปไม่ทันเมื่อนกสวรรค์เทียบท่า

                คุณเป็ดน้ำลอยตัวอยู่ใกล้ๆท่าเทียบยังไม่มีใครมาช่วยดึงเข้าจอด เพราะการมาโดยไม่ได้นัดหมายทำให้ชาวบ้านพวกผู้ชายไม่สามารถมาทัน บริเวณท่าเทียบก็มีเพียงผู้หญิงและเด็กๆที่มาใช้ท่าเพื่อซักผ้าตักน้ำกันอยู่เพียงไม่กี่คน เพียงครู่เดียวก็มากันอย่างเนืองแน่น ผู้ชายหลายคนลงน้ำไปช่วยกันดึงจนเรือบินเทียบท่าได้เรียบร้อย

                พรานโละเดินนำหน้าเข้ามารอต้อนรับขณะที่พีเปิดประตูโดดลงไปบนท่า เขาเปิดประตูข้างให้ลุงไกรศักดิ์ก้าวลงมาตามด้วยเหมียวเจ้าพรีโม่และโจเป็นคนสุดท้าย พรานโละชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นไกรศักดิ์ลงมา เขายังจำได้แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีที่ไม่ได้พบเจอ ชาวบ้านคนอื่นๆต่างก็หยุดมองพูดจากันห่างๆถึงสองอาคันตุกะหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเคยเห็น

                ไกรศักดิ์ลืมเรื่องภารกิจสำคัญไปชั่วครู่ เขาก้าวลงมาด้วยความรู้สึกอบอุ่นเป็นสุข ถึงเวลาที่ได้กลับบ้านเสียที เขาเฝ้าจดจ่อรอเวลานี้มาหลายปี เงื่อนเวลาที่ลิขิตเป็นผู้กำหนด

                ไกรศักดิ์ยืนกวาดสายตามองไปจนทั่ว หลายสิ่งที่เขาคุ้นเคยในอดีตยังคงเป็นอยู่เช่นเดิม จะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็คงจะเป็นท่าเทียบที่ยืนอยู่ขณะนี้  ภาพความทรงจำเริ่มผุดชัดเจนขึ้นทีละน้อยจนมาถึงดวงหน้าของใครคนหนึ่งที่เขาควรเริ่มมองหา

                “ท่าน ฉันไหว้จ้ะ” พรานโละพูดยกมือไหว้

                “โละ โละใช่มั้ย” ไกรศักดิ์จับไหล่พรานโละยิ้มทักทาย เขายังจำเค้าหน้าของโละชายหนุ่มที่เดินตามพรานผาได้

                “เอ่อ จ้ะท่าน” พรานโละตอบไม่ค่อยกล้าสบตา

                “นี่ฉันไง ยังจำฉันได้มั้ย” ไกรศักดิ์ย้ำถาม
    
            “จำได้จ้ะ ท่านไกรศักดิ์” พรานโละตอบ
    
            ไกรศักดิ์โอบกอดเขาไว้อย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ทำให้พรานโละรู้สึกอบอุ่น ความเป็นกันเองกลับมาอีกครั้ง

                “พวกเรา นี่ท่านไกรศักดิ์” พรานโละหันไปบอกชาวบ้านด้วยเสียงดัง

                ชื่อท่านไกรศักดิ์ แม้พวกชาวบ้านป่าส่วนใหญ่จะไม่เคยเห็นหน้าและมีเพียงคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพรานโละไม่กี่คนที่เคยเห็นบ้างเมื่อนานมาแล้ว ต่างก็รู้ดีว่านี่คือคนที่ดูแลอุปถัมภ์พวกเขาอยู่ ชาวบ้านจึงพากันนั่งลงไหว้ไว้ท่วมหัวจนไกรศักดิ์ต้องร้องห้าม

                “ไม่เอา ไม่เอา โละบอกให้เขาลุกขึ้น” ไกรศักดิ์รีบบอกยกสองมือห้าม

                “เอา พอ พอ” พรานโละหันไปร้องบอก

                พวกชาวบ้านลุกขึ้นอย่างเกรงๆ อีกหลายคนก็ยังนั่งไหว้อยู่อย่างนั้น

                “พี่โละสวัสดี” พียกมือไหว้สีหน้าท่าทีเนือยๆของเขาต่างจากที่เคยเป็น

                “พี่โละผมไหว้ครับ” โจพูด เหมียวที่ยืนอยู่ด้วยเธอยิ้มให้แล้วจึงยกมือไหว้ตาม
    
            พรานโละเริ่มสำเหนียกถึงความไม่ปกติในท่าทีของโจและพี เขาอึดอัดทำอะไรไม่ถูก ตนเองเป็นชาวป่าถึงสงสัยอะไรก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามนาย

                “โละให้คนเอาของลงนะ ส่วนของบางอย่างให้เค้าขนไปที่บ้านโละฉันจะ...” ไกรศักดิ์หยุดพูด เขานึกขึ้นมาได้

                “ตายล่ะ ฉันลืมเสียแล้ว พี่ผาของฉันล่ะ” ไกรศักดิ์ถามมองหาที่กลุ่มชาวบ้าน

                “พี่ผาอยู่ไหน” ไกรศักดิ์ถามพรานโละที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่

                “พ่อครู...” พรานโละอึกอักพูดไม่ออก
    
            “พี่ผาเป็นอะไรรึเปล่า” ไกรศักดิ์ถามเสียงดุสีหน้าเริ่มเครียด

                “พ่อครูบำเพ็ญอยู่ถ้ำในป่าจ้ะ” พรานโละตอบ

                ไกรศักดิ์ถอนหายใจโล่งอก

                “โจ พี ลูกสองคนไปดูแยกของๆเราที่จะต้องขนไปบ้านโละไว้นะ” เขาหันไปสั่งพีกับโจ

                ทั้งสองคนพยักหน้ารับคำ ยังไม่ทันที่ไกรศักดิ์จะพูดอะไรต่อ ชาวบ้านที่ยืนกันอยู่ขยับตัวหลีกทางให้ใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามา
    
            โส่ยหยุดนั่งหอบอยู่ตรงหน้าทุกคน เธอวิ่งมาจากท้ายทะเลสาบที่ไปนั่งรออยู่

                “โส่ย ลูกไหว้ท่านเสีย” พรานโละบอกลูกสาว เธอเงยหน้ามองแล้วยกมือไหว้พูดไม่ออกยังหอบตัวโยนอยู่

                ไกรศักดิ์ยืนจ้องมองเธอนิ่ง ภาพของ ลอยา ที่เคยวิ่งมาหยุดหอบอยู่ตรงหน้าเขากลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ไกรศักดิ์ไม่แสดงอาการอะไรออกมา เขาอยากจะเข้าไปกอดเธอไว้อย่างเหลือเกิน อาการนั่งหอบตัวโยนที่เป็นอยู่นั้นยังความน่าเวทนาที่สุดในใจของเขาขณะนี้

                “เหนื่อยมากหรือลูก วิ่งจากที่ไหนมา” ไกรศักดิ์ถามแล้วเข้าไปนั่งใกล้ลูบหัวเธอเบาๆ เขาเป็นสุขอย่างเหลือล้นที่ได้สัมผัสและเรียกเธอว่าลูก

                “ไปนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนลูก” เขาพูดแล้วลุกขึ้นจับแขนช่วยพาไปนั่งที่แคร่ใหญ่ริมฝั่ง
    
            โส่ยหันมายิ้มให้ ไกรศักดิ์นั่งลงข้างๆโดยมีพรานโละตามมานั่งด้วย โจ พีและเหมียวตามขึ้นมาหลังจากดูแลแยกข้าวของเสร็จแล้ว โส่ยเริ่มสังเกตเห็นสาวสวยจากเมืองใหญ่และสีหน้าเรียบเฉยของทั้งโจและพี

                “ท่านมาเยือน ฉันดีใจจ้ะ” พรานโละเริ่มกล้าพูดขึ้น

                “ฉันก็ดีใจที่ได้มา มันนานมากแล้วนะเมื่อฉันต้องจากไป” ไกรศักดิ์ยิ้มพูดตอบแล้วหันไปมองหน้าโส่ย

                “นี่ใช่มั้ยสร้อย” ไกรศักดิ์ลูบหัวโส่ยหันไปถามโจกับพี เขาทำเหมือนไม่รู้จักมาก่อน

                “ครับคุณลุง” พีตอบ

                “พูดกับฉันสักคำซิ” ไกรศักดิ์พูดแล้วยิ้มให้เธออย่างรักใคร่เอ็นดู

                โส่ยเริ่มดีขึ้นแล้วจากอาการหอบ เธอยิ้มให้ไกรศักดิ์

            “ข้า เอ่อฉันไหว้จ้ะ” โส่ยพูดอึกอักแล้วก้มลงไม่กล้าสบตา

                “ไม่ต้องกลัวฉันนะสร้อย ฉันเรียกสร้อยได้มั้ย” ไกรศักดิ์ถามเสียงนุ่มนวล

                “ได้จ้ะท่าน” โส่ยยิ้มตอบ

                ไกรศักดิ์หันไปมองหน้าพรานโละแล้วเอื้อมมือมาวางบนไหล่ เขามองตาพรานโละเพื่อสื่อความหมายถึงการขอบคุณ พรานโละเองก็ยิ้มน้อยๆอย่างเข้าใจ

                “ต่อไปไม่ต้องเรียกฉันว่าท่านแล้วนะ” ไกรศักดิ์ยิ้มบอกสร้อย

                สร้อยยิ้มรับ “จ้ะ” เธอตอบไปอย่างงงๆไม่เข้าใจว่าทำไม

                “ท่านมีคุณกับเรานัก เจ้าเรียกท่านว่าพ่อนั่นเหมาะนักแล้ว” พรานโละช่วยพูด

                “ได้จ้ะ ท่านพ่อ” สร้อยยิ้มตอบรับ แล้วเรียกพ่อ

                “พ่อ”คำนี้ไกรศักดิ์รอมาชั่วชีวิต ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยเรื่องในอดีตให้ลูกหรือใครรับฟังได้ เขายิ้มแล้วลุกขึ้นเดินออกไปที่ริมน้ำเพื่อปล่อยให้น้ำตามันไหลลงชะล้างหัวใจที่ทุกข์ระทมมาเนิ่นนาน หลายปีที่ผ่านมาทุกลมหายใจเข้าออกของเขา ไม่เคยมีสักวันที่จะลืมทารกตัวน้อยผู้เป็นดวงใจที่ต้องฝากไว้ในอ้อมกอดของพรานผา ไกรศักดิ์นั่งลงแล้วก้มวักน้ำที่ริมตลิ่งขึ้นมาล้างหน้า เสียงหัวร่อต่อกระซิกในอดีตดังแว่วมาประหนึ่งว่าสายน้ำได้บันทึกความรักของเขาและ ลอยา เอาไว้

                “พี่โละ ให้คนผูกเรือให้เรียบร้อยนะครับแล้วขนลังที่กองอยู่นั่นไปบ้านพี่” โจบอกพรานโละ

                “เราจะไปพักที่บ้านพี่โละ อาจต้องอยู่หลายวัน” เขาพูดต่อ

                พรานโละพยักหน้ารับคำแล้วเดินไปสั่งความกับชาวบ้านที่ช่วยกันขนของอยู่ สร้อยหันมามองอย่างแปลกใจ การมาครั้งนี้ต่างจากทุกครั้งที่เคยมา ทั้งคนที่แปลกหน้าข้าวของคำพูดและสีหน้าของทั้งโจและพีก็ไม่เหมือนเดิม เธอเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้น

                “สร้อย สบายดีรึเปล่า” พีทักแล้วขยับมานั่งข้างๆเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเธอไม่ค่อยสบายใจ

                “สบายดีจ้ะ” สร้อยตอบยิ้มเจื่อนๆ

                “คนนั้นเค้าชื่อพี่เหมียวนะ รู้จักกันไว้” พีพูดชี้ไปที่เหมียว เหมียวส่งยิ้มมาให้

                “สวัสดีจ้ะสร้อย” เธอเอ่ยทักก่อน

                “ฉันไหว้จ้ะ” สร้อยทักตอบแล้วยกมือไหว้

                โจมองสร้อย เขายกมือเป็นเชิงทักทายแล้วยิ้มให้นิดหนึ่งโดยไม่พูดอะไรออกมา สร้อยเองก็เพียงยกมือไหว้แล้วยิ้มให้ เธองุนงงกับความไม่ปกติที่เห็นอยู่ตรงหน้าจึงไม่กล้าเอ่ยปากพูดทัก

                ไกรศักดิ์เดินจากริมน้ำไปยืนอยู่บนสะพานท่าเทียบ พูดคุยกับพรานโละที่กำลังดูแลเรื่องข้าวของที่กำลังขนลงจากเรือบิน ทั้งสองชี้มือไปทางโน้นบ้างทางนี้บ้างเหมือนกำลังหารืออะไรกันอยู่ โจกับพีลุกขึ้นเมื่อเห็นการขนของลงใกล้จะเสร็จ ทั้งสองเดินไปสมทบที่สะพานเทียบเพื่อดูแลการผูกโยงคุณเป็ดน้ำ ทิ้งเหมียวไว้ให้อยู่กับสร้อย

                “ชื่อสร้อยหรือจ๊ะ” เหมียวขยับเข้ามาหาแล้วยิ้มถาม

                “ฉันชื่อโส่ยจ้ะ แต่พี่เรียกสร้อย” เธอตอบ

                “กางเกงเดินป่านี่สวยดีนะสร้อย” เหมียวพูดชวนคุยชี้มือไปที่กางเกง

                “จ้ะ พี่โจให้จ้ะ” สร้อยบอก

                “สร้อยอายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ” เหมียวถาม เธอพยายามใช้คำพูดแบบเดียวกับสร้อย

                “ยี่สิบขวบปีจ้ะ” สร้อยตอบ

                “พี่เหมียวอายุยี่สิบหกจ้ะ สร้อยสวยมากเลยรู้มั้ย” เหมียวพูดชม

                สร้อยยิ้มอายๆ เธอไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

                “พี่เป็นเพื่อนกับพี่พีพี่โจนะ งั้นพี่เป็นเพื่อนกับสร้อยด้วยแล้วกัน” เหมียวพยายามสร้างความสนิทสนม

                “จ้ะ” สร้อยยิ้มตอบรับ

            พรานโละและสร้อยเดินนำคนทั้งสี่ไปยังบ้านของเขา ลูกบ้านหลายคนช่วยกันแบกข้าวของตามหลังมา พรีโม่วิ่งนำไปข้างหน้าดมกลิ่นสำรวจไปพลางหันกลับมามองเจ้านายไปพลางจนเข้าใกล้เขตบ้านพรานโละ

                ไกรศักดิ์ชะงักฝีเท้าหยุดยืนนิ่ง คนอื่นๆไม่ทันสังเกตเห็นจึงเดินเลยต่อไป

                “ฉันมาดี มาเพื่อชดใช้ เราจะพูดกัน” ไกรศักดิ์ยืนหลับตาพูดเบาๆเมื่อมีบางสิ่งเข้ามาปะทะอย่างรุนแรง

                บ้านพรานโละคืนนี้สว่างไสวด้วยกองไฟหลายกอง ชาวบ้านมากหน้าหลายตามารวมตัวกันเพื่อต้อนรับนายท่านไกรศักดิ์ ต่างคนต่างนำอาหารหลายชนิดมาร่วมแบ่งปัน น่อเซิ่งวิ่งเล่นสนุกสนานกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันรวมทั้งเจ้าพรีโม่ด้วย เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะรื่นเริงของชาวบ้านเหมือนงานฉลอง ทุกคนรับรู้เพียงว่านายท่านมาเยี่ยมเยือน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่