ธารทิพย์ บทที่ 9

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/32957586
ธารทิพย์ บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/32957859
ธารทิพย์ บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/32958019
ธารทิพย์ บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/32958259
ธารทิพย์ บทที่ 5 http://ppantip.com/topic/32974296
ธารทิพย์ บทที่ 6 http://ppantip.com/topic/32978381
ธารทิพย์ บทที่ 7 http://ppantip.com/topic/32986718
ธารทิพย์ บทที่ 8 http://ppantip.com/topic/32995506


            บ้านชาวป่าปลูกสร้างริมลำธารด้วยไม้ ยกสูงจากพื้นดินขนาดบันไดสามขั้นหลังคามุงแฝก แวดล้อมด้วยป่าโปร่งมีต้นไม้สูงใหญ่ให้ร่มครึ้ม หน้าบ้านเป็นลานดินกว้างใหญ่ที่พรานโละถากถางปรับพื้นค่อนข้างเรียบเพื่อใช้ประโยชน์
            
                ควันไฟจากไม้ฟืนลอยคลุ้งจากชานบ้านที่ทำเป็นครัว หัวเผือกหัวมันที่ใช้กินแทนข้าวเผาเสร็จ จัดวางบนใบตอง ปลาจากลำธารสามสี่ตัวเสียบไม้ทาเกลือกำลังปิ้งอยู่บนถ่านไม้ที่นำขี้เถ้ากลบบางๆให้ไฟอ่อน หม้อดินที่วางอยู่บนอีกเตาข้างๆส่งไอหอมของต้มยำไก่ป่า เมนูที่พันตรีไกรศักดิ์ทิ้งเป็นมรดกไว้ให้พรานผาและส่งทอดวิธีทำไปทั่วหมู่เผ่า
    
            โส่ยเคี่ยวไก่ป่าที่สับเป็นชิ้นในน้ำใส่เกลือพอเค็มจนได้ที่ แล้วเทข่าตะไคร้หั่นชิ้นหยาบๆใบมะกรูดลงไป ปรุงเปรี้ยวด้วยมะนาว สุดท้ายพริกขี้หนูป่าบดหยาบกับกระเพราป่าก็ถูกใส่ลงไปเป็นอันเสร็จ

                “พ่อจ๊ะ ข้าหาสำรับแล้ว พ่อมากินเถอะ” โส่ยร้องเรียกพรานโละ

                พรานโละวางขวานในมือที่กำลังตัดฟืนอยู่ริมลำธาร เขาก้มลงล้างหน้าล้างแขนในลำธารแล้วปลดผ้าที่โพกหัวอยู่เช็ดหน้าเดินขึ้นบันไดบ้านมา

                “เจ้าทำอะไรกิน กลิ่นโชยไปหลายบ้าน” พรานโละนั่งลงหน้าสำรับถามแล้วยิ้มให้ลูกสาว

                “ข้าวหมดจ้ะ ข้าเลยเผาเผือกเผามันแทน” “มีปลาปิ้งกับต้มไก่ป่าจ้ะ” โส่ยบอกพ่อ

                พรานโละใช้ช้อนสั้นสแตนเลสตักต้มยำไก่บ้านจากชามกระเบื้องขึ้นซดอยู่หลายช้อน

                “เจ้าเก่งการครัวกว่าผู้ใดเลยนะ” เขาชมลูก

                “แล้วช้อนชามที่นายโจกับนายพีเอามาให้นี่มันก็กินง่ายดี” เขาพูดต่อ

                ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า”นายโจ”ใจของสาวเจ้าสั่นสะท้าน เธอเก็บความรู้สึกไว้เงียบๆไม่ให้พ่อเห็น
                “ถ้ามีทุกบ้านคงจะดีนะจ๊ะพ่อ” โส่ยพูด

                “อีกไม่นานคงมีกันครบ นายท่านเอามาทีละมากๆอยู่”  พรานโละพูดมือยังคงกินไปด้วย

                “นี่อีกไม่กี่วันก็มาแล้ว เห็นว่าจะนอนบ้านเราสองสามคืน”  พรานโละพูด

                “นายท่านบอกพ่อหรือจ๊ะ”  โส่ยถามสีหน้าสดใสขึ้นทันที

                “ใช่”  พรานโละตอบชำเลืองมองลูก  “เจ้าดีใจสินะ”

                “ข้าก็..”  โส่ยไม่รู้จะพูดอย่างไร

                “เอาเถอะ คอยดูแลนายท่านให้ดีแล้วกัน”  พรานโละตัดบทเพราะรู้ว่าลูกอึดอัด

                คำว่าดูแลนั้นสุดแสนดีใจ แต่คำว่านายท่านกลับเหมือนกำแพงสูงเสียดฟ้าในใจโส่ย

                “หลังเจ้าเป็นกระไร” พรานโละถามถึงรอยแผล

                “เพ็ญแรกเมื่อคืนข้าทำตามที่ปู่บอก พอสางตื่นมาข้าไม่มีเจ็บเลยประหลาดนัก” โส่ยบอกพ่อ

                “อีกสี่เพ็ญอย่าลืม”  เขาย้ำเตือน

                “จ้ะพ่อ” “พ่อ..ปู่ทวดอยู่รออะไร”  โส่ยรับคำ เธอแล้วถามมองหน้าพ่อ  พรานโละหยุดเคี้ยวมองสบตาลูกสาว
    
            “พ่อไม่รู้ วันหนึ่งลิขิตจะบอกเจ้าเอง”  เขาทวนคำพูดของปู่ผา

                “พ่อจ๊ะ แม่สวยหรือเปล่า”  โส่ยยังไม่เลิกคุย

                “เจ้าสวยเหมือนแม่เจ้า”  พรานโละตอบ

                “แม่เป็นคนเผ่าไหนจ๊ะ ทำไมหน้าข้าไม่เหมือนคนอื่น”  โส่ยถามอย่างสงสัย

                พรานโละยิ้มไม่ตอบลูก

                “พ่อบอกว่าแม่ดินล่มใส่ตาย”  เธอถามต่อ

                “อืม”  พรานโละทำเสียงตอบ

                “พ่อจำที่ตรงนั้นได้ไหม” “ข้าอยากไปไหว้แม่”  โส่ยพูดจริงจังมองหน้าพ่อ

                “มันไกลจากที่นี่ในป่า ผ่านไปพ่อจะชี้ให้”  พรานโละตอบเพื่อตัดบท

                “พ่อพาข้าเดินป่าไปได้ไหม”  โส่ยยังรบเร้า

                พรานโละเหลือบมองสบตาลูกสาว  
            “ใยเจ้าถึงอยากไปนักลูก”  เขาถามอย่างปราณี

                “ข้าอยากไปไหว้แม่ ข้าอยากเห็นหน้าแม่เวลานึกถึงแม่ข้าจะได้เห็นได้”  โส่ยพูดเสียงเศร้า

                “ไหว้แล้วเจ้าจะนึกหน้าแม่เจ้าได้รึ”  พรานโละถามฉงน

                “ข้าจะขอให้แม่มาหาข้าในฝัน”  โส่ยพูดถึงสิ่งที่หวัง

                ถึงตอนนี้ความรู้สึกที่กลั้นเอาไว้ทำให้พรานโละต้องหันหน้าไปหยิบขันน้ำมายกขึ้นดื่มช้าๆ เขาเพียงตั้งใจจะใช้ขันน้ำนั้นบังหน้าไว้เพื่อซ่อนน้ำตาที่เอ่อคลอออกมาไม่ให้ลูกเห็น

                “พ่อจะพาเจ้าไป”  พรานโละตอบรับแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวลูก

                “จริงนะจ๊ะพ่อ”  โส่ยยิ้มสีหน้าดีใจ

                “อ้ายโละ อ้ายโละ”  เสียงตะโกนเรียกชื่อและเสียงฝีเท้าคนหลายคนวิ่งสวบสาบตรงมาอย่างรีบเร่ง พรานโละกับโส่ยลุกขึ้นจากสำรับ ทั้งสองลงบันไดบ้านมาพบพรานป่าสิบกว่าคนวิ่งกระหืดกระหอบมาถึง

                “อ้ายโละ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”  เสิ่งปาพรานที่วิ่งนำหน้ามาพูดหน้าตื่น

                “มีอะไรเสิ่งปา”  พรานโละถาม

                “อีน่อเซิ่งมันหายไปแต่ก่อนสาง” “มีคนเห็นมันเดินไปทางภูยม ไอ้แงซาพ่อมันตามไปแล้ว”  เสิ่งปารีบบอก

                “แงซามันไปกับใคร”  พรานโละถาม

                “ไปลำพังอ้ายโละ”  เสิ่งปาตอบ

                โส่ยหลังหันวิ่งขึ้นบันไดอย่างเร็ว พรานโละวิ่งตามขึ้นไป อึดใจเดียวสองพ่อลูกก็กลับลงมาด้วยชุดเดินป่าพร้อมอาวุธ
            
            โส่ยร้อนใจอย่างมาก     น่อเซิ่งเด็กหญิงวัยสิบขวบที่หายไปนั้นเธอเป็นดั่งน้องสาวและลูกสาวของโส่ยก็ว่าได้ คอยเดินตามโส่ยไปทุกที่ที่มีโอกาส อาจเป็นเพราะว่าน่อเซิ่งกำพร้าแม่มาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน เธอจึงรักใคร่เอ็นดูกว่าเด็กอื่นๆ

                โส่ยไม่ถามใครอีกเธอออกวิ่งสุดฝีเท้าไปทางภูยมโดยมีพรานผู้พ่อและคนอื่นวิ่งตามไป ในใจเธอได้แต่ภาวนาต่อเจ้าป่าเจ้าเขาขอให้ปกปักษ์รักษาเด็กน้อยอย่าให้มีอันตรายไปตลอดทาง ทุกคนรู้ดีว่าภูยมนั้นเป็นแดนต้องห้าม

                กว่าชั่วโมงของการวิ่งนั้น โส่ยต้องหยุดชะงักเมื่อมาถึงที่ราบไม่กว้างนักของซอกเขา แผ่นหลังของเธอแม้จะไม่มีอาการเจ็บปวดแต่มีเลือดไหลซิบออกจากบาดแผลที่ยังไม่หายดี  ข้างเธอมีร่างของแงซานอนสลบหายใจรวยรินอยู่ กลุ่มคนที่วิ่งตามมาถึงทุกคนต่างเบิกตาโพลงอย่างตกตะลึง หยุดชะงักฝีเท้ายืนนิ่งอยู่ห่างจากด้านหลังโส่ย มีเพียงพรานโละที่มาหยุดยืนข้างลูกสาว

                คนทั้งหมดคุกเข่าลงช้าๆภาพที่ทุกคนเห็นอยู่เบื้องหน้าคือเด็กหญิงตัวน้อยยืนหลับตานิ่ง ผมและชายผ้าที่สวมใส่อยู่ปลิวสะบัดพลิ้วช้าๆเหมือนกำลังลอยลมอยู่ในอากาศ ข้างกายของเธอ พญางูจงอางขนาดลำตัวเท่าต้นตาลขดตัวทอดยาวไปไม่เห็นปลายหาง ชูหัวแผ่แม่เบี้ยเมื่อแหงนมองแล้วสูงเหมือนจะเสียดฟ้า  

                ขณะที่คุกเข่าก้มหน้าอยู่นั้นโส่ยใช้มือข้างหนึ่งปลดปืนออกจากไหล่ พรานโละที่คุกเข่าก้มหน้าอยู่ข้างๆจับมืออีกข้างของเธอไว้เป็นเชิงห้าม เขารู้ดีว่าเวลานี้ไม่มีอาวุธใดจะต่อกรกับพญาจงอางได้

               โส่ยใจเต้นแรง เธอปลดอาวุธทุกอย่างออกจากไหล่และเอววางลงบนพื้นช้าๆ เธอรู้ดีว่าต้องไม่แสดงการคุกคามใดๆ สิ่งเดียวที่หวังได้เวลานี้คือความเมตตาจากพญางูยักษ์เท่านั้น เธอเหลือบสายตาขึ้นมองไปที่เด็กน้อยแล้วตัดสินใจลุกขึ้นเดินช้าๆไปหยุดยืนประจันหน้ากับพญางูซึ่งส่งเสียงขู่ฟ่อดังลั่นแล้วชูแม่เบี้ยสูงขึ้นกว่าเดิม โส่ยหลับตา คุกเข่าสูงบนพื้นอีกครั้งเธอก้มหน้ากำสองมือไว้ที่อกเป็นการคารวะ

                “ข้าแต่นาคราช ข้าผู้น้อยวิงวอนขอชีวิตน้องข้าด้วยเถิด หากท่านไม่เมตตา ก็จงเอาชีวิตข้าไปแทน”  โส่ยกล่าวคำนั้นด้วยเสียงดัง

                พญางูสงบนิ่งหยุดการส่ายไปมาเหมือนรับรู้คำวิงวอนแม่เบี้ยพังพานหุบ ลดหัวลงมาอยู่ตรงหน้าโส่ย ลิ้นที่แลบแปลบปลาบห่างตัวเธอไม่กี่คืบ จ้องมองมนุษย์ผู้พร้อมสละชีวิตของตนเองให้คนอื่นได้ อย่างชื่นชม และมนุษย์ทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าไม่อาจรู้ได้เลยว่า ที่จริงแล้วน่อเซิ่งถูกนำมาด้วยภูติร้ายหมายกลืนกินชีวิต จนพญางูยักษ์ขับไล่พวกมันไปแล้วจึงปักหลักคอยปกป้องเด็กน้อยเอาไว้

            จงอางใหญ่ลดหัวลงแล้วเลื้อยกลับไปทางภูยมเสียงลำตัวที่บดเสียดไปบนพื้นป่าดังน่าเกรงขามนัก  ร่างของเด็กน้อยอ่อนระทวยลงบนพื้นดินช้าๆ โส่ยรีบลุกขึ้นวิ่งเข้าไปอุ้มประคองเธอไว้ในอ้อมแขน พรานโละและคนอื่นๆเข้าไปเขย่าตัวแงซาให้ตื่นขึ้น

                “น่อเซิ่ง น่อเซิ่ง”  โส่ยเรียกแล้วเขย่าตัวปลุกเบาๆ

                เด็กน้อยลืมตาขึ้นอย่างงุนงง เธอผวากอดเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย  “พี่โส่ย”

                แงซาเมื่อตื่นจากการปลุกแล้ว เขาลุกขึ้นนั่งมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดกลัวอยู่ชั่วครู่ พอได้สติแล้วจึงลุกขึ้นรีบวิ่งเข้าไปอุ้มลูกไว้ ทุกคนยกมือไหว้ไปทางภูยมอีกครั้งแล้วรีบเดินกลับหมู่บ้าน ระหว่างทางแงซาได้รับคำบอกเล่าจากพวกพ้องถึงสิ่งที่โส่ยทำลงไปเมื่อครู่

                “โส่ย เจ้ามีบุญคุณกับข้ากับลูกนัก วันหน้าขอเรียกใช้ข้าได้ทุกยาม”  พรานแงซาอุ้มลูกเดินก้มหัวปลกๆให้โส่ย

                “อ้ายแงซา น่อเซิ่งมันก็น้องข้าอ้ายปลงใจเถอะ”  โส่ยพูดยิ้มแล้วตบไหล่แงซาที่เดินอยู่เคียงข้าง
    
            ที่หมู่บ้านมีชาวบ้านกว่าร้อยคนจับกลุ่มพูดคุยรออยู่อย่างกระวนกระวาย ทันทีที่กลุ่มพรานและน่อเซิ่งปรากฏตัวเสียงโห่ร้องดีใจก็ดังขึ้น ทุกคนวิ่งมาจับเนื้อจับตัวถามไถ่กันเซ็งแซ่ คำบอกเล่าถึงวีรกรรมของโส่ยนั้นปากต่อปากขจรขจายอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง พรานโส่ย พรานใหญ่ผู้เผชิญหน้ากับจงอางยักษ์นั่นคือเรื่องที่เล่าขานกันไป
    
            บัดนี้สถานะทางสังคมของโส่ยในชุมชนทะยานสู่จุดสูงสุดเพียงชั่วข้ามคืน เดินไปทางไหนผู้คนในหมู่บ้านต่างยิ้มแย้มทักทายยกมือไหว้นอบน้อมไม่เว้นผู้แก่ผู้เฒ่าจนโส่ยเองต้องออกปากห้ามปรามว่าเธอยังอายุน้อยไม่บังควรที่ผู้คนที่มีอายุมากกว่าจะมายกมือไหว้ คำห้ามปรามนั้นกลับยิ่งก่อให้เกิดความนับถือเพิ่มมากขึ้นอีกจนโส่ยอ่อนใจเลิกออกปาก

                ถึงวันนี้ข้างกายเธอจะมีน่อเซิ่งติดตามไปด้วยทุกที่ กินนอนอยู่กับเธอจนในที่สุดแงซาผู้เป็นพ่อก็ต้องย้ายไปปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆกับบ้านพรานโละด้วย แต่แงซาก็เต็มใจเพราะอยากดูแลรับใช้พรานโละและโส่ยเพื่อแทนคุณ

                เช้าตรู่ของวันนี้ โส่ย พรานโละผู้พ่อ แงซาและน่อเซิ่งนั่งล้อมวงหน้าสำรับอาหารเช้า น่อเซิ่งกินอย่างไม่ค่อยเต็มใจนั่งหน้าง้ำเมื่อเธอเห็นโส่ยและพรานโละสวมชุดเดินป่า

                “ไม่ได้ใจเจ้ารึกินเช้านี้”  พรานโละเอ่ยถามน่อเซิ่งยิ้มๆ

                “ข้าไปไม่นาน เจ้าอยู่กับพ่อนะ”  โส่ยบอกแล้วลูบหัวน่อเซิ่ง

                “ข้าอยากเป็นพรานอย่างพี่โส่ย”  น่อเซิ่งพูด

                “ไว้สักห้าหกขวบปีเจ้าค่อยคิด”  พรานโละบอกน่อเซิ่ง

                “โตเป็นสาวเจ้าอาจไม่อยากเป็นพรานก็ได้นะ”  โส่ยยิ้มบอกน่อเซิ่ง

                “ไม่ ข้าจะเป็นอย่างพี่โส่ย”  เด็กน้อยเถียงหน้าง้ำ โส่ยมองน้องอย่างเอ็นดูไม่อยากพูดอะไรอีกให้เสียความตั้งใจ

                “ข้าคงไปสักห้าวัน เจ้าอยู่ดูแลบ้านข้าด้วย”  พรานโละหันไปบอกแงซา

                “จ้ะอ้ายโละ ข้าจะดูแลเอง”  แงซารับคำ

                เสร็จจากอาหารเช้าแล้วพรานโละกับลูกสาวจัดแจงอาหารแห้งที่จำเป็นกับกระสุนปืนลงย่ามเรียบร้อย ทั้งสองก้าวลงจากบันไดบ้านไปที่กลางลานซึ่งเตรียมดอกไม้กับอาหารไว้ พรานโละและโส่ยนั่งลงทำพิธีเซ่นไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาบอกกล่าวเพื่อขอเปิดป่าแล้วเดินกลับมาหาแงซากับลูกสาว

                “ข้าไปนะ อย่าดื้อกับพ่อเจ้า”  โส่ยวางมือลงบนกระหม่อมบอกน่อเซิ่ง

                “จ้ะ”  น่อเซิ่งตอบสั้นๆไม่ค่อยเต็มใจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่