๏ ... ธิดาซาตาน 2 : สี่สาวไสยเวทย์ ... ๏ | ตอนที่ 2
การต่อสู้และการแย่งชิง
บทประพันธ์ : V4OK
บทนำ :
การต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างธารใสและเอื้องทรายกับลุงรามกำลังดำเนินไปอย่างหนักหน่วง เสียงกระทบกันของพลังธาตุทำให้ห้องสั่นสะเทือน ทั้งธารใสและเอื้องทรายต่างใช้พลังธาตุน้ำและธาตุดินในการต่อสู้เพื่อหยุดยั้งลุงรามที่มาพร้อมกับพลังมืดที่น่ากลัว ทุกครั้งที่ลุงรามโจมตี พลังอันชั่วร้ายของเขาก็ทำให้พื้นดินแตกกระจายไปในทุกทิศทาง
ธารใสควบคุมพลังธาตุน้ำอย่างชำนาญ สายน้ำที่แหลมคมเหมือนดาบพุ่งตรงไปที่ลุงราม แต่เขาก็สามารถหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว ร่างของเขาหมุนวนไปในอากาศ ขณะที่พลังมืดพุ่งมาทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า
“เจ้าไม่สามารถชนะข้าได้! จงกลับไปกับข้าเถิด!”
ลุงรามตะโกนเสียงดัง ขณะใช้พลังมืดสร้างกำแพงป้องกันจากการโจมตีของธารใส
เอื้องทรายใช้พลังธาตุดินสร้างกำแพงขนาดใหญ่ขึ้นมาปกป้องตัวเองและธารใส ขณะที่เขาโจมตีอีกครั้งด้วยพลังน้ำเต็มที่
“ลุงรามทำไมฟื้นกลับมาครั้งนี้ ถึงเก่งมากขนาดนี้!” เอื้องทรายพ้อ
แต่ในขณะที่การต่อสู้ทวีความรุนแรงขึ้น เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงที่เต็มไปด้วยพลังมาถึงหูทุกคน
ทันใดนั้น วายุตาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเชนทร์ พลังธาตุลมของวายุตาเริ่มปะทะกับพลังมืดของลุงราม ขณะที่เชนทร์รีบไปหลบอยู่ในมุมห้อง
ลุงรามที่เห็นว่าเขาไม่สามารถเอาชนะการรวมพลังของทั้งสามได้ ถอนหายใจแล้วพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
“แล้วข้าจะกลับมา! ครั้งนี้แค่เริ่มต้นเท่านั้น!”
ทันใดนั้น เขาก็ปล่อยพลังมืดขนาดมหึมาออกมา ปกคลุมพื้นที่รอบตัว และหนีหายไปในความมืด
ธารใสยืนหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย เขามองไปที่ลุงรามที่หายไปแล้ว ก่อนจะหันไปหาวายุตา “เราควรจะไปตามเขาหรือเปล่า?”
“อย่าเลย พวกเราตามหาตำราก่อนดีกว่า” วายุตาตอบอย่างใจเย็น
“ลุงรามยังไม่สิ้นฤทธิ์แบบนี้ ชั้นว่าต้องมีมากกว่าที่เราเห็นแน่ๆ”
ในขณะเดียวกันที่อีกฝั่งหนึ่งของโลก เพลิงพิศนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่เต็มไปด้วยไฟที่ลุกไหม้ เขากำลังมองในกระจกที่สะท้อนถึงเหตการณ์ดังกล่าว ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน
“ แกร่งขึ้นมากเลยนะ นังเพื่อนทรยศ ได้แล้วเราจะได้เจอกัน”
แต่การแย่งชิงพลังธาตุนั้นไม่ง่ายดายเช่นที่เขาคิดไว้ เพราะธารใส, เอื้องทราย, วายุตา ก็ยังคงเป็นผู้ยืนหยัดปกป้องพลังเหล่านั้นอย่างไม่ลดละ
เพลิงพิศยิ้มอย่างร้ายกาจ “สุดท้ายพลังธาตุทั้งสาม… น้ำ ดิน และลม… ก็ต้องตกมาเป็นของฉัน ! ”
การต่อสู้และแผนการที่ซับซ้อนกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง…
ในโลกวิญญาณ เพลิงพิศนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ปกคลุมด้วยเงามืด ความเจ็บปวดจากการต่อสู้ครั้งก่อนยังคงฝังลึกในหัวใจของเขา ความทรงจำเกี่ยวกับการพ่ายแพ้ต่อธารใสและเพื่อนๆ ของเขา ทำให้เขายังไม่อาจลืมเลือนได้ แม้ว่าร่างกายของเขาจะดับสลายไปในสมรภูมิแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้ตายไปจริงๆ เพราะวิญญาณของเขาถูกดึงเข้าไปในโลกวิญญาณโดยผู้ที่เขาเคารพ นั่นก็คือ "ท่านพ่อ" หัวหน้าซาตาน บุรุษซาตานปริศนาคนหนึ่ง ที่เคยปรากฏตัวก่อนหน้านี้ ยังคงยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีดำ ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัว
ท่านพ่อ ผู้ทรงพลังที่สุดในบรรดาซาตานทั้งหลาย มองไปที่เขาด้วยดวงตาที่ไม่อาจคาดเดาได้
“เจ้าได้เสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไปแล้ว เพลิงพิศ… เจ้าต้องหยุดคิดถึงอดีตได้แล้ว”
เพลิงพิศก้มหน้า หัวใจเต็มไปด้วยความขมขื่น
“ข้าล้มเหลว ท่านพ่อ ข้าไม่สามารถทำลายพวกเขาได้…”
ท่านพ่อหัวเราะเบาๆ และพูดด้วยเสียงที่ลึกลับ
“เจ้าพูดถูก พวกมันรวมกันแล้วมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่ความจริงแล้ว เจ้ายังไม่ได้เห็นพลังที่แท้จริงของพวกมันหรอก เจ้าคิดว่าเจ้าคนเดียวจะสามารถต่อสู้กับพวกนั้นได้หรือ? เจ้ายังไม่เข้าใจความสำคัญของการมีพันธมิตร”
ในขณะที่เพลิงพิศยังคงรู้สึกท้อถอย ท่านพ่อก็ยื่นมือออกไปข้างหน้า และในพริบตา วิญญาณของลุงรามก็ก้าวออกจากความมืด ลุงรามยืนอยู่ข้างๆ เพลิงพิศ ท่าทางของเขาดูสงบ แต่ภายในก็เต็มไปด้วยความโกรธและความเคียดแค้นที่ยังคั่งค้าง
“ท่านพ่อ ข้าต้องยอมรับว่าขีดจำกัดของข้าเองทำให้ข้าล้มเหลวในการหยุดยั้งพวกมัน หากทั้งสามคน—เอื้องทราย, ธารใส, และวายุตารวมกัน พลังของพวกเขาจะเกินกว่าที่ข้าจะรับมือได้ ข้าไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง” ลุงรามกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
ท่านพ่อมองทั้งสองด้วยดวงตาเย็นชา
“ใช่ มันไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น พวกเจ้าทั้งสองต้องเข้าใจ ว่าพลังที่พวกมันมี ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเอาชนะได้โดยง่าย แต่หากเจ้าสองคนทำข้อตกลงตามที่ข้าบอก ข้าจะคืนพลังให้เจ้า ทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมวิญญาณที่จะช่วยให้เจ้าประสบความสำเร็จ”
เพลิงพิศและลุงรามมองหน้ากัน ก่อนที่จะตอบด้วยเสียงที่แน่วแน่
“ข้าพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อกลับมา! ”
ท่านพ่อยิ้มอย่างลึกลับ
“ข้าจะไม่เพียงแค่คืนพลังให้เจ้าทั้งสอง แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้าทั้งสองในการกลับไปยังโลกมนุษย์ แต่เงื่อนไขมีอยู่ว่า เจ้าต้องนำวิญญาณของอีกสามคน สามธุาตุธิดาซาตาน กลับมาให้ได้—ไม่ว่าจะเป็นการรื้อฟื้นชีวิตหรือแม้กระทั่งการเอาชีวิตไป”
เพลิงพิศและลุงรามมองภาพทั้งสามคนที่ลอยอยู่ในอากาศ ความโกรธและความมุ่งมั่นเริ่มก่อตัวในใจของพวกเขา พวกเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้พลังที่จะกลับไปแก้แค้น
“ข้าจะทำให้สำเร็จ!” เพลิงพิศพูดเสียงแข็งขัน ขณะที่ลุงรามก็พยักหน้าเห็นด้วย
ท่านพ่อมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ดี… พวกเจ้า จงตามพวกมันให้ดี อย่าให้หลุดรอดไปจากสายตา และคอยสังเกตถึงความผิดปกติของพวกมัน ”
“ท่านพ่อ ข้ารู้จุดอ่อนของพวกนั้น”
ลุงรามและท่านพ่อหันไปมองเพลิงพิศ พร้อมกับแววตาที่เปลี่ยนไป “เจ้าบอกว่าพวกมันมีจุดอ่อน?” ลุงรามถามด้วยความสงสัย
เพลิงพิศยิ้มเย็นชา ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า
“ใช่… จุดอ่อนของทั้งสามคน—เอื้องทราย, ธารใส และวายุตา—มีแต่ ‘ฉัน’ เท่านั้นที่รู้” เขามองท่านพ่อและลุงรามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพวกมัน และข้าก็รู้ว่าพวกมันยังคงมีความลับที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใครเห็น”
ท่านพ่อและลุงรามนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ฟังคำพูดของเพลิงพิศที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ถ้าพวกมันมีจุดอ่อน และเจ้ารู้จุดนั้น ข้าคิดว่าเจ้าคงสามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้”
ท่านพ่อกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มที่ลึกลับ “เจ้าเพลิงพิศ ไม่เสียแรงที่ข้าช่วยเจ้า”
เพลิงพิศก้มศีรษะอย่างต่ำต้อย ก่อนที่จะกล่าวอย่างหนักแน่น
“ข้าจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป ข้าจะใช้จุดอ่อนนี้ในการทำลายพวกมันให้สิ้นซาก และครองอำนาจที่ข้าต้องการ”
ท่านพ่อยิ้มด้วยความพึงพอใจ “ดี… ข้าจะคอยดูการดำเนินการของเจ้า อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
ลุงรามมองไปที่เพลิงพิศด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัย “เจ้าแน่ใจเหรอว่าเธอคนนี้จะเป็นจุดอ่อนจริงๆ? ”
เพลิงพิศยิ้มเย็นชา “ข้าพร้อมที่จะเสี่ยง ทุกอย่างจะต้องได้ผล… เพราะมันคือวิธีเดียวที่เราจะกลับไปยังโลกได้”
การเดินทางของเพลิงพิศและลุงรามในโลกวิญญาณกำลังจะเข้าสู่ช่วงสำคัญ ในขณะที่ทั้งสาม—เอื้องทราย, ธารใส, และวายุตา—ยืนอยู่ที่ฝั่งของการต่อสู้ครั้งใหญ่ สิ่งที่พวกเขายังไม่รู้คือ ใครกันที่รู้จุดอ่อนของพวกเขา…
ตัดมายังโลกมนุษย์
ในค่ำคืนนั้น ธารใสยังเดินไปมาภายในห้องหนังสือใหญ่ที่เต็มไปด้วยตำราโบราณและร่องรอยของความรู้เก่าแก่ เสียงแสงจากเทียนส่องสว่างจางๆ บนผิวหนังสือที่มีฝุ่นเกาะจนหนา เธอหายใจถี่และรู้สึกไม่สบายใจ การต่อสู้กับเพลิงพิศในครั้งที่แล้วยังคงทำให้หัวใจของเธอไม่สงบ ความเกลียดชังและแรงอาฆาตจากเขายังคงแผ่กระจายออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ธารใสรู้สึกว่าพวกเขายังไม่ปลอดภัยแม้จะพ้นจากการต่อสู้ครั้งนั้นแล้ว
“เราต้องหาวิธีที่จะแข็งแกร่งกว่านี้… ต้องหาตำราอสูร…” ธารใสพึมพำกับตัวเอง
ขณะที่มือของเธอพลิกหน้าหนังสือไปทีละเล่ม เธอรู้ดีว่าตำราอสูรที่กล่าวถึงในตำนานนั้นสามารถล้มแผนของเพลิงพิศได้ แต่หากไม่พบตำรานั้นในเวลาอันรวดเร็ว เธอกลัวว่าเพลิงพิศจะกลับมาและครอบครองพลังที่เขาต้องการอย่างสมบูรณ์
ขณะที่ธารใสมุ่งมั่นตามหาตำรา เอื้องทรายและวายุตาเดินเข้ามาในห้อง มองเห็นธารใสที่ไม่หยุดพักในการค้นหาตำราแม้แต่เสี้ยววินาที
“ธารใส… หยุดพักบ้างเถอะ”
เอื้องทรายพูดพร้อมกับยืดแขนที่เมื่อยล้า
วายุตาเองก็ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยสบาย “ชั้นเองก็เหนื่อยจนไม่ไหวแล้วนะ ธารใส ถ้าเรายังไม่หยุดพัก บางทีเราก็อาจจะทำอะไรไม่ได้เลยในที่สุด”
ธารใสหันไปมองพวกเขา เห็นความเหนื่อยล้าที่ปรากฏชัดบนใบหน้าของทั้งสอง เธอถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ขอโทษนะ… ฉันรู้ว่าพวกเธอเหนื่อย แต่ฉันต้องหาทางหยุดยั้งเพลิงพิศให้ได้อ่ะ”
เอื้องทรายมองหน้าธารใสด้วยความกังวล “ธารใส… ถึงเพลิงพิศกลับมาจริงๆ แต่เธอไม่ได้ต่อสู้คนเดียวนะ เธอยังมีพวกเราอยู่ข้างๆ ยังไงเพลิงพิศก็ทำอะไรเราไม่ได้มากหรอก”
ธารใสยิ้มให้กับความหวังของเอื้องทราย แต่ในใจของเธอยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับพลังที่เพลิงพิศอาจจะได้มาครอบครองในอนาคต
“ขอบคุณนะ…ชั้นแค่อยากเตรียมตัวให้ดีอ่ะ” เธอกล่าวเสียงเบา ก่อนจะหันกลับไปมองตำราต่อไป
ในขณะเดียวกัน เชนทร์กับน็อตกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานที่วิทยาลัย กังวลกับปัญหาที่เขาต้องเผชิญในการทำให้วิทยาลัยกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง งานกอบกู้สถานศึกษาที่เคยล่มสลายกำลังอยู่ในขั้นตอนสำคัญ เชนทร์ต้องการให้สถานศึกษานี้เป็นศูนย์กลางของความรู้และการพัฒนาในอนาคต แต่เขากลับพบกับปัญหาที่ยากจะคาดเดา
“มันเป็นเรื่องยากที่จะกลับมาทุกอย่างในเวลาอันสั้นนะ เชนทร์” น็อตพูดกับเชนทร์ ขณะมองเอกสารบนโต๊ะ เขารู้ว่าการฟื้นฟูวิทยาลัยให้กลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งไปกว่านั้น ความกดดันจากผู้บริหารและการขาดทรัพยากรยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ที่เขาต้องจัดการ
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เชนทร์เงยหน้าขึ้นจากเอกสารและเห็นเตอร์เข้ามาพร้อมข่าวสารใหม่ “เชนทร์ เรามีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการงบประมาณจากผู้บริจาค พวกเขาต้องการให้เราปรับแผนใหม่ หากเราไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ วิทยาลัยอาจต้องปิดตัวไปจริงๆ”
เชนทร์รู้สึกกระทบกระเทือนจากข่าวนี้ แต่เขาก็พยายามรักษาความสงบ “เราต้องหาทางแก้ไขอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่อยากให้ทุกอย่างพังลงไป ”
ในขณะที่ธารใสและเพื่อนๆ กำลังพยายามค้นหาทางต่อสู้กับภัยคุกคามที่ยังไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใด เชนทร์ก็เผชิญกับปัญหาที่ท้าทายไม่แพ้กันในวิทยาลัย ทุกคนต่างมีภารกิจของตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าการเดินทางในเส้นทางที่เต็มไปด้วยความท้าทายนี้จะนำพาพวกเขาไปสู่สิ่งใด…
๏ ... ธิดาซาตาน 2 : สี่สาวไสยเวทย์ ... ๏ | ตอนที่ 2
การต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างธารใสและเอื้องทรายกับลุงรามกำลังดำเนินไปอย่างหนักหน่วง เสียงกระทบกันของพลังธาตุทำให้ห้องสั่นสะเทือน ทั้งธารใสและเอื้องทรายต่างใช้พลังธาตุน้ำและธาตุดินในการต่อสู้เพื่อหยุดยั้งลุงรามที่มาพร้อมกับพลังมืดที่น่ากลัว ทุกครั้งที่ลุงรามโจมตี พลังอันชั่วร้ายของเขาก็ทำให้พื้นดินแตกกระจายไปในทุกทิศทาง
ธารใสควบคุมพลังธาตุน้ำอย่างชำนาญ สายน้ำที่แหลมคมเหมือนดาบพุ่งตรงไปที่ลุงราม แต่เขาก็สามารถหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว ร่างของเขาหมุนวนไปในอากาศ ขณะที่พลังมืดพุ่งมาทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า
เอื้องทรายใช้พลังธาตุดินสร้างกำแพงขนาดใหญ่ขึ้นมาปกป้องตัวเองและธารใส ขณะที่เขาโจมตีอีกครั้งด้วยพลังน้ำเต็มที่
“ลุงรามทำไมฟื้นกลับมาครั้งนี้ ถึงเก่งมากขนาดนี้!” เอื้องทรายพ้อ
แต่ในขณะที่การต่อสู้ทวีความรุนแรงขึ้น เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงที่เต็มไปด้วยพลังมาถึงหูทุกคน
ทันใดนั้น วายุตาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเชนทร์ พลังธาตุลมของวายุตาเริ่มปะทะกับพลังมืดของลุงราม ขณะที่เชนทร์รีบไปหลบอยู่ในมุมห้อง
ลุงรามที่เห็นว่าเขาไม่สามารถเอาชนะการรวมพลังของทั้งสามได้ ถอนหายใจแล้วพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
“แล้วข้าจะกลับมา! ครั้งนี้แค่เริ่มต้นเท่านั้น!”
ทันใดนั้น เขาก็ปล่อยพลังมืดขนาดมหึมาออกมา ปกคลุมพื้นที่รอบตัว และหนีหายไปในความมืด
ธารใสยืนหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย เขามองไปที่ลุงรามที่หายไปแล้ว ก่อนจะหันไปหาวายุตา “เราควรจะไปตามเขาหรือเปล่า?”
“อย่าเลย พวกเราตามหาตำราก่อนดีกว่า” วายุตาตอบอย่างใจเย็น
“ลุงรามยังไม่สิ้นฤทธิ์แบบนี้ ชั้นว่าต้องมีมากกว่าที่เราเห็นแน่ๆ”
ในขณะเดียวกันที่อีกฝั่งหนึ่งของโลก เพลิงพิศนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่เต็มไปด้วยไฟที่ลุกไหม้ เขากำลังมองในกระจกที่สะท้อนถึงเหตการณ์ดังกล่าว ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน
“ แกร่งขึ้นมากเลยนะ นังเพื่อนทรยศ ได้แล้วเราจะได้เจอกัน”
แต่การแย่งชิงพลังธาตุนั้นไม่ง่ายดายเช่นที่เขาคิดไว้ เพราะธารใส, เอื้องทราย, วายุตา ก็ยังคงเป็นผู้ยืนหยัดปกป้องพลังเหล่านั้นอย่างไม่ลดละ
เพลิงพิศยิ้มอย่างร้ายกาจ “สุดท้ายพลังธาตุทั้งสาม… น้ำ ดิน และลม… ก็ต้องตกมาเป็นของฉัน ! ”
การต่อสู้และแผนการที่ซับซ้อนกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง…
ในโลกวิญญาณ เพลิงพิศนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ปกคลุมด้วยเงามืด ความเจ็บปวดจากการต่อสู้ครั้งก่อนยังคงฝังลึกในหัวใจของเขา ความทรงจำเกี่ยวกับการพ่ายแพ้ต่อธารใสและเพื่อนๆ ของเขา ทำให้เขายังไม่อาจลืมเลือนได้ แม้ว่าร่างกายของเขาจะดับสลายไปในสมรภูมิแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้ตายไปจริงๆ เพราะวิญญาณของเขาถูกดึงเข้าไปในโลกวิญญาณโดยผู้ที่เขาเคารพ นั่นก็คือ "ท่านพ่อ" หัวหน้าซาตาน บุรุษซาตานปริศนาคนหนึ่ง ที่เคยปรากฏตัวก่อนหน้านี้ ยังคงยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีดำ ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัว
ท่านพ่อ ผู้ทรงพลังที่สุดในบรรดาซาตานทั้งหลาย มองไปที่เขาด้วยดวงตาที่ไม่อาจคาดเดาได้
“เจ้าได้เสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไปแล้ว เพลิงพิศ… เจ้าต้องหยุดคิดถึงอดีตได้แล้ว”
เพลิงพิศก้มหน้า หัวใจเต็มไปด้วยความขมขื่น
“ข้าล้มเหลว ท่านพ่อ ข้าไม่สามารถทำลายพวกเขาได้…”
ท่านพ่อหัวเราะเบาๆ และพูดด้วยเสียงที่ลึกลับ
“เจ้าพูดถูก พวกมันรวมกันแล้วมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่ความจริงแล้ว เจ้ายังไม่ได้เห็นพลังที่แท้จริงของพวกมันหรอก เจ้าคิดว่าเจ้าคนเดียวจะสามารถต่อสู้กับพวกนั้นได้หรือ? เจ้ายังไม่เข้าใจความสำคัญของการมีพันธมิตร”
ในขณะที่เพลิงพิศยังคงรู้สึกท้อถอย ท่านพ่อก็ยื่นมือออกไปข้างหน้า และในพริบตา วิญญาณของลุงรามก็ก้าวออกจากความมืด ลุงรามยืนอยู่ข้างๆ เพลิงพิศ ท่าทางของเขาดูสงบ แต่ภายในก็เต็มไปด้วยความโกรธและความเคียดแค้นที่ยังคั่งค้าง
“ท่านพ่อ ข้าต้องยอมรับว่าขีดจำกัดของข้าเองทำให้ข้าล้มเหลวในการหยุดยั้งพวกมัน หากทั้งสามคน—เอื้องทราย, ธารใส, และวายุตารวมกัน พลังของพวกเขาจะเกินกว่าที่ข้าจะรับมือได้ ข้าไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง” ลุงรามกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
ท่านพ่อมองทั้งสองด้วยดวงตาเย็นชา
“ใช่ มันไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น พวกเจ้าทั้งสองต้องเข้าใจ ว่าพลังที่พวกมันมี ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเอาชนะได้โดยง่าย แต่หากเจ้าสองคนทำข้อตกลงตามที่ข้าบอก ข้าจะคืนพลังให้เจ้า ทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมวิญญาณที่จะช่วยให้เจ้าประสบความสำเร็จ”
เพลิงพิศและลุงรามมองหน้ากัน ก่อนที่จะตอบด้วยเสียงที่แน่วแน่
“ข้าพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อกลับมา! ”
ท่านพ่อยิ้มอย่างลึกลับ
“ข้าจะไม่เพียงแค่คืนพลังให้เจ้าทั้งสอง แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้าทั้งสองในการกลับไปยังโลกมนุษย์ แต่เงื่อนไขมีอยู่ว่า เจ้าต้องนำวิญญาณของอีกสามคน สามธุาตุธิดาซาตาน กลับมาให้ได้—ไม่ว่าจะเป็นการรื้อฟื้นชีวิตหรือแม้กระทั่งการเอาชีวิตไป”
เพลิงพิศและลุงรามมองภาพทั้งสามคนที่ลอยอยู่ในอากาศ ความโกรธและความมุ่งมั่นเริ่มก่อตัวในใจของพวกเขา พวกเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้พลังที่จะกลับไปแก้แค้น
“ข้าจะทำให้สำเร็จ!” เพลิงพิศพูดเสียงแข็งขัน ขณะที่ลุงรามก็พยักหน้าเห็นด้วย
ท่านพ่อมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ดี… พวกเจ้า จงตามพวกมันให้ดี อย่าให้หลุดรอดไปจากสายตา และคอยสังเกตถึงความผิดปกติของพวกมัน ”
“ท่านพ่อ ข้ารู้จุดอ่อนของพวกนั้น”
ลุงรามและท่านพ่อหันไปมองเพลิงพิศ พร้อมกับแววตาที่เปลี่ยนไป “เจ้าบอกว่าพวกมันมีจุดอ่อน?” ลุงรามถามด้วยความสงสัย
เพลิงพิศยิ้มเย็นชา ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า
“ใช่… จุดอ่อนของทั้งสามคน—เอื้องทราย, ธารใส และวายุตา—มีแต่ ‘ฉัน’ เท่านั้นที่รู้” เขามองท่านพ่อและลุงรามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพวกมัน และข้าก็รู้ว่าพวกมันยังคงมีความลับที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใครเห็น”
ท่านพ่อและลุงรามนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ฟังคำพูดของเพลิงพิศที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ถ้าพวกมันมีจุดอ่อน และเจ้ารู้จุดนั้น ข้าคิดว่าเจ้าคงสามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้”
ท่านพ่อกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มที่ลึกลับ “เจ้าเพลิงพิศ ไม่เสียแรงที่ข้าช่วยเจ้า”
เพลิงพิศก้มศีรษะอย่างต่ำต้อย ก่อนที่จะกล่าวอย่างหนักแน่น
“ข้าจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป ข้าจะใช้จุดอ่อนนี้ในการทำลายพวกมันให้สิ้นซาก และครองอำนาจที่ข้าต้องการ”
ท่านพ่อยิ้มด้วยความพึงพอใจ “ดี… ข้าจะคอยดูการดำเนินการของเจ้า อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
ลุงรามมองไปที่เพลิงพิศด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัย “เจ้าแน่ใจเหรอว่าเธอคนนี้จะเป็นจุดอ่อนจริงๆ? ”
เพลิงพิศยิ้มเย็นชา “ข้าพร้อมที่จะเสี่ยง ทุกอย่างจะต้องได้ผล… เพราะมันคือวิธีเดียวที่เราจะกลับไปยังโลกได้”
การเดินทางของเพลิงพิศและลุงรามในโลกวิญญาณกำลังจะเข้าสู่ช่วงสำคัญ ในขณะที่ทั้งสาม—เอื้องทราย, ธารใส, และวายุตา—ยืนอยู่ที่ฝั่งของการต่อสู้ครั้งใหญ่ สิ่งที่พวกเขายังไม่รู้คือ ใครกันที่รู้จุดอ่อนของพวกเขา…
ตัดมายังโลกมนุษย์
ในค่ำคืนนั้น ธารใสยังเดินไปมาภายในห้องหนังสือใหญ่ที่เต็มไปด้วยตำราโบราณและร่องรอยของความรู้เก่าแก่ เสียงแสงจากเทียนส่องสว่างจางๆ บนผิวหนังสือที่มีฝุ่นเกาะจนหนา เธอหายใจถี่และรู้สึกไม่สบายใจ การต่อสู้กับเพลิงพิศในครั้งที่แล้วยังคงทำให้หัวใจของเธอไม่สงบ ความเกลียดชังและแรงอาฆาตจากเขายังคงแผ่กระจายออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ธารใสรู้สึกว่าพวกเขายังไม่ปลอดภัยแม้จะพ้นจากการต่อสู้ครั้งนั้นแล้ว
“เราต้องหาวิธีที่จะแข็งแกร่งกว่านี้… ต้องหาตำราอสูร…” ธารใสพึมพำกับตัวเอง
ขณะที่มือของเธอพลิกหน้าหนังสือไปทีละเล่ม เธอรู้ดีว่าตำราอสูรที่กล่าวถึงในตำนานนั้นสามารถล้มแผนของเพลิงพิศได้ แต่หากไม่พบตำรานั้นในเวลาอันรวดเร็ว เธอกลัวว่าเพลิงพิศจะกลับมาและครอบครองพลังที่เขาต้องการอย่างสมบูรณ์
ขณะที่ธารใสมุ่งมั่นตามหาตำรา เอื้องทรายและวายุตาเดินเข้ามาในห้อง มองเห็นธารใสที่ไม่หยุดพักในการค้นหาตำราแม้แต่เสี้ยววินาที
“ธารใส… หยุดพักบ้างเถอะ”
เอื้องทรายพูดพร้อมกับยืดแขนที่เมื่อยล้า
วายุตาเองก็ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยสบาย “ชั้นเองก็เหนื่อยจนไม่ไหวแล้วนะ ธารใส ถ้าเรายังไม่หยุดพัก บางทีเราก็อาจจะทำอะไรไม่ได้เลยในที่สุด”
ธารใสหันไปมองพวกเขา เห็นความเหนื่อยล้าที่ปรากฏชัดบนใบหน้าของทั้งสอง เธอถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ขอโทษนะ… ฉันรู้ว่าพวกเธอเหนื่อย แต่ฉันต้องหาทางหยุดยั้งเพลิงพิศให้ได้อ่ะ”
เอื้องทรายมองหน้าธารใสด้วยความกังวล “ธารใส… ถึงเพลิงพิศกลับมาจริงๆ แต่เธอไม่ได้ต่อสู้คนเดียวนะ เธอยังมีพวกเราอยู่ข้างๆ ยังไงเพลิงพิศก็ทำอะไรเราไม่ได้มากหรอก”
ธารใสยิ้มให้กับความหวังของเอื้องทราย แต่ในใจของเธอยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับพลังที่เพลิงพิศอาจจะได้มาครอบครองในอนาคต
“ขอบคุณนะ…ชั้นแค่อยากเตรียมตัวให้ดีอ่ะ” เธอกล่าวเสียงเบา ก่อนจะหันกลับไปมองตำราต่อไป
ในขณะเดียวกัน เชนทร์กับน็อตกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานที่วิทยาลัย กังวลกับปัญหาที่เขาต้องเผชิญในการทำให้วิทยาลัยกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง งานกอบกู้สถานศึกษาที่เคยล่มสลายกำลังอยู่ในขั้นตอนสำคัญ เชนทร์ต้องการให้สถานศึกษานี้เป็นศูนย์กลางของความรู้และการพัฒนาในอนาคต แต่เขากลับพบกับปัญหาที่ยากจะคาดเดา
“มันเป็นเรื่องยากที่จะกลับมาทุกอย่างในเวลาอันสั้นนะ เชนทร์” น็อตพูดกับเชนทร์ ขณะมองเอกสารบนโต๊ะ เขารู้ว่าการฟื้นฟูวิทยาลัยให้กลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งไปกว่านั้น ความกดดันจากผู้บริหารและการขาดทรัพยากรยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ที่เขาต้องจัดการ
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เชนทร์เงยหน้าขึ้นจากเอกสารและเห็นเตอร์เข้ามาพร้อมข่าวสารใหม่ “เชนทร์ เรามีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการงบประมาณจากผู้บริจาค พวกเขาต้องการให้เราปรับแผนใหม่ หากเราไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ วิทยาลัยอาจต้องปิดตัวไปจริงๆ”
เชนทร์รู้สึกกระทบกระเทือนจากข่าวนี้ แต่เขาก็พยายามรักษาความสงบ “เราต้องหาทางแก้ไขอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่อยากให้ทุกอย่างพังลงไป ”
ในขณะที่ธารใสและเพื่อนๆ กำลังพยายามค้นหาทางต่อสู้กับภัยคุกคามที่ยังไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใด เชนทร์ก็เผชิญกับปัญหาที่ท้าทายไม่แพ้กันในวิทยาลัย ทุกคนต่างมีภารกิจของตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าการเดินทางในเส้นทางที่เต็มไปด้วยความท้าทายนี้จะนำพาพวกเขาไปสู่สิ่งใด…