๏ ... ธิดาซาตาน 2 : สี่สาวไสยเวทย์ ... ๏ | ตอนที่ 3
การต่อสู้และการแย่งชิง
บทประพันธ์ : V4OK
เชนทร์กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงาน ครุ่นคิดถึงการเดินทางไปนครนายกเพื่อพูดคุยกับนายกสมาคมการศึกษาเรื่องการจัดการงบประมาณต่างๆ เขารู้ดีว่าการเจรจาครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูวิทยาลัยของเขา แต่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“นี่คือโอกาสของเรา…” เชนทร์พึมพำกับตัวเอง ขณะพยายามเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดก่อนเดินทาง เชนทร์คิดเร็ว ตัดสินใจเร็ว จึงรีบออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้นทันที
เมื่อเชนทร์เดินทางถึงนครนายก เขาก็พบกับนายกสมาคมการศึกษาในสถานที่จัดการประชุม ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่มีอำนาจและอิทธิพลในแวดวงการศึกษา แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อเขาออกจากสถานที่ประชุมเพื่อเดินทางกลับ
ในระหว่างที่ขับรถกลับ เชนทร์รู้สึกถึงเสียงเครื่องยนต์ของรถดังไปตามถนนที่เปลี่ยว แต่ท่ามกลางความเงียบเชียบ เขากลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากที่ไกลๆ เสียงดังหวิวๆ ที่เขาไม่สามารถเพิกเฉยได้
ทันใดนั้น เงาที่เขาคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในที่ห่างไกล เพลิงพิศ! ร่างของเพลิงพิศที่ดูเหมือนจะกลับมาอีกครั้ง เขายืนอยู่ท่ามกลางเงามืดบนทางเล็กๆ ที่ทอดไปยังป่า
“เชนทร์… อย่าเพิ่งรีบกลับสิ ชั้นมีเรื่องสนุก ๆ ให้นายรออยู่” เสียงของเพลิงพิศดังก้องในอากาศ
เชนทร์หันขวับไปมองและรู้สึกถึงความกลัวที่แผ่เข้ามาในหัวใจทันที เขารู้ดีว่าไม่สามารถหลบหนีจากเพลิงพิศได้ง่ายๆ จึงตัดสินใจใช้ความเร็วในการขับรถเพื่อหนีออกไปจากจุดนั้น แต่ทว่า ถนนที่เขาขับไปกลับเริ่มเปลี่ยนทิศทางอย่างแปลกประหลาด เขาพบว่ารถของเขาเริ่มจะหลุดออกจากเส้นทางเดิม และไม่นานก็วิ่งเข้าป่าที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
การขับขี่ของเขาหยุดลงเมื่อรถบังเอิญเข้าไปติดอยู่ในบริเวณของป่าที่เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ มองไปด้านหน้าเขาก็เห็นแต่ความมืดและเงารอบตัว ที่ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวได้เอง
“ไม่ดีแล้ว…” เชนทร์พึมพำกับตัวเอง ขณะมองไปที่ป่ารอบๆ เขาเริ่มรู้สึกถึงพลังที่แปลกประหลาดและมืดมนที่แผ่ซ่านออกมา
เสียงห้าวของเพลิงพิศจึงดังขึ้นจากความมืด “ยินดีต้อนรับสู่ป่าอาถรรพ์นะ เชนทร์!!”
เชนทร์ที่ยังไม่เคยเจอภัยคุกคามเช่นนี้รู้สึกถึงความกลัวและความอึดอัดในใจ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ!” เขาตลั่นอกมาด้วยเสียงที่สั่น “เพลิงพิศเธอปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้นะ!”
ทันใดนั้น เพลิงพิศก็ปรากฏตัวออกมาจากความมืด ร่างของเขาเต็มไปด้วยเปลวไฟที่ลุกโชน และสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“หลบไม่พ้นหรอก… เชนทร์” เพลิงพิศกล่าวพร้อมกับยิ้มเย็นชา “รู้ไหมว่าชั้นรอเวลานี้มานานแค่ไหน ?”
เชนทร์ที่รู้ว่าไม่สามารถสู้กับเพลิงพิศได้ จึงตัดสินใจหาทางหนี เขากระโจนออกจากรถและวิ่งไปในทิศทางที่เขาคิดว่าอาจจะพาเขาออกจากป่าอาถรรพ์นี้ได้ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ ในป่าแห่งนี้มีทั้งกับดักและพลังมืดที่ไม่มีใครสามารถหนีไปได้ง่ายๆ
“นั่น แกจะไปไหน?” เพลิงพิศเดินตามหลังเชนทร์ด้วยความเร็วที่เหนือชั้นกว่า “ไม่มีที่ไหนที่เแกจะหนีพ้นจากชั้นได้หรอก!”
ในขณะที่เชนทร์วิ่งไปข้างหน้า เขาพบว่ามีเงาเคลื่อนไหวรอบตัวเขาเต็มไปหมด ดินแดนแห่งนี้ไม่ได้มีแค่เพลิงพิศเท่านั้นที่เขาต้องเผชิญ—มันยังเต็มไปด้วยกับดักและพลังแห่งความมืดที่คอยกักขังผู้ที่หลงเข้ามา
ขณะที่เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า ความมืดและพลังอันตรายเริ่มมาบีบคั้นอย่างช้าๆ
ตัดไปอีกด้าน หญิงนิลยืนอยู่ในห้องกว้างที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยทองคำและเครื่องประดับที่เต็มไปด้วยความหรูหรา ข้างๆ ทั้งหมดคือมรดกที่เพลิงพิศทิ้งไว้หลังจากที่เธอตายไปแล้ว เงินทองและทรัพย์สินที่มีมูลค่ามหาศาล เธอมองมันด้วยความภาคภูมิใจ และไม่สามารถหลีกหนีจากความรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เธอมีตอนนี้ล้วนเป็นผลมาจากความพ่ายแพ้ของผู้อื่น
“ในที่สุด…ทั้งหมดก็คือของชั้น” หญิงนิลพึมพำกับตัวเอง ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความพอใจ ขณะที่สายตาของเธอกวาดไปทั่วห้อง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเคยฝันถึงตอนนี้กลายเป็นจริงแล้ว หญิงนิลมองไปที่กระจกและเห็นภาพตัวเองในมุมที่แสนสวยงาม ท่าทางของเธอสะท้อนออกมาเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต
ในอีกด้านหนึ่ง เตอร์และวายุตากำลังนั่งอยู่ในห้องเล็กๆ ของบ้านที่วางอยู่ในเขตพื้นที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ ทั้งสองคนที่เพิ่งเริ่มเป็นแฟนกัน แต่ความสัมพันธ์นี้กลับมีปัญหาที่ยากจะรักษาไว้ได้
“อันนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ ชั้นทนกับนายไม่ไหวแล้วนะ?” วายุตาพูดด้วยเสียงที่โกรธจัด ขณะยืนอยู่หน้าทีวีที่เปิดทิ้งไว้โดยไม่สนใจอะไร
“เธอก็รู้ว่า บ้านเราไม่ได้รวย แต่เธอก็ยังอยู่แบบฟุ่มเฟือยตลอด!”
เตอร์มองหน้าเธอด้วยความไม่พอใจ
“เป็นผู้ชายประสาอะไร ! ไม่มีเงินเลี้ยงดูแฟนตัวเอง นายนี่มันห่วยมากเลยนะ”
วายุตากลับเดินไปอีกทาง หน้าของเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“เธอก็ช่วยประหยัดๆหน่อยสิ เธอรู้ไหมเป็นแฟนกับเธอแค่ไม่กี่วัน ตอนนี้เงินใบบัญชีชั้นมีไม่ถึง 100 แล้วนะ”
เตอร์มองวายุตาด้วยสายตาที่เจ็บปวด “ถ้าชั้นรู้ว่าเธอนิสัยแบบนี้นะ ไม่มีทางขอเธอเป็นแฟนหรอก!!?”
วายุตาหันไปมองเขา “ไอ้บ้าเตอร์ ไอ้กระจอก ผู้ชายแบบนาย ไม่ควรไปเป็นแฟนกับผู้หญิงคนไหนเลยนะ”
เตอร์ถอนหายใจ “งั้นชั้นว่าเลิกกันดีกว่านะ เธอจะได้ไปหาผู้ชายคนใหม่ไงล่ะ”
วายุตายืนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะหันกลับมาหาเตอร์ เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดในใจ เพราะรู้ดีว่าเธอก็รักเขาจริงๆ แต่ความแตกต่างของฐานะมันกลับเป็นอุปสรรคที่ยากจะข้ามผ่าน
'นี่ นายจะเลิกกับชั้นหรอ” วายุตาพูดเสียงเบา ก่อนจะหันหน้าหนีไปอย่างไม่สามารถหาคำตอบที่เหมาะสมได้
“ใช่ ชั้นว่าเราไปกันไม่ได้หรอก” เตอร์พูดและเดินเข้ามาหาเธอ เขาจับมือวายุตาและมองไปที่เธอด้วยความจริงใจ “ถึงเราจะเลิกกัน แต่เราเป็นเพื่อนกันได้นิ”
แม้ว่าจะยังคงมีความขัดแย้งในใจ แต่ทั้งสองคนก็ยังคงจับมือกันไว้ โดยที่ยังไม่สามารถหาทางออกที่ชัดเจนได้ในตอนนี้
“ธารใส… ชั้นเจอตำราอสูรแล้ว” เสียงขอเอื้องทรายดังขึ้นจากด้านหลัง ธารใสหันกลับไปมองเห็นเพื่อนสนิทของเขายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆที่ลอยอยู่รอบตัว “หาเจอแล้วหรอ?” ธารใสถามอย่างสงสัย เอื้องทรายมองไปที่ฟ้าแล้วกล่าวอย่างหนักแน่น “ใช่ นี่ไง ชั้นไปเจอมันใต้ชั้นวางหนังสือ แต่เสียดายที่เนื้อหาข้างในตำรา ชั้นอ่านไม่ออก” เอื้องทรายยื่นหนังสือให้ธารใส ธารใสเปิดหน้าต่างๆจนหมดเล่ม
“เราจำเป็นต้องหาคนอ่านตำรานี้ให้ได้ เสียดายลุงราม ถ้าเขาไม่ฝักใฝ่ในความชั่วร้าย เขาต้องช่วยเราได้แน่ๆ…” “ธารใสบอก
“ตำราโบราณๆแบบนี้ ชั้นว่าคงมีแต่พวกหมอผีหรือไม่ก็ท่านอาจารย์ น่าจะอ่านมันได้” เอื้องทรายกล่าวเสริม
ธารใสหันมองไปยังแนวภูเขาห่างไกล เขารู้สึกถึงการคุกคามที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเขาจะต้องเดินทางไปยังจุดที่ลึกที่สุดในโลก—ที่ซึ่งพลังอันมืดมนและบิดเบี้ยวรอคอยเขาอยู่
ในป่าที่มืดมิดและเต็มไปด้วยความลึกลับ เชนทร์ที่หนีเพลิงพิศได้ถลำลึกเข้าไปป่าลึกมากกว่าเดิม เขาได้แต่มองไปยังพื้นดินอย่างไร้เรี่ยวแรง กระนั้นดวงตาของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะหาทางหลบหนี
จู่ๆ เชนทร์ได้ยินเสียงลมหายใจของใครบางคนที่มาจากด้านหลัง เขาหันกลับไปทันทีและพบกับสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น—
ทันใดนั้น เพลิงพิศที่ยืนอยู่ห่างออกไป เมื่อเห็นเชนทร์ เธอรีบก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็หยุดอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าว
“หนีไม่รอดแล้วหรอ?” เพลิงพิศถามเสียงต่ำ
เชนทร์เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปหยดน้ำตา “ปล่อยชั้นไปเถอะนะ”
เพลิงพิศยิ้มกว้างขึ้น ดวงตาของเธอเป็นเพลิงสีแดงที่สามารถมองทะลุเข้าไปในจิตใจของทุกคนที่เห็น
คืนที่มืดมิดปกคลุมไปทั่วผืนป่าอาถรรพ์ ความเงียบสงัดนั้นถูกทำลายด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากท่ามกลางต้นไม้ที่โค้งงอไปมา เสียงหอบหายใจของชายคนหนึ่งดังขึ้นในความมืด เขาคือเชนทร์ ที่ถูกเพลิงพิศจับกุมและบังคับให้เข้าไปข้างในป่าอาถรรรพ์จนไม่รุ้จุดหมายปลายทาง
“จะพาชั้นไปไหนอ่ะ”
เชนทร์ตะโกนถามเพลิงพิศ
“นายจะต้องทำตามคำสั่งชั้นทุกอย่าง แล้วอย่าคิดจะหนีนะ เพราะในนี้ไม่มีใครช่วยนายได้” เพลิงพิศลั่น
เชนทร์หน้าซีดเผือด “เธอทำแบบนี้ทำไมอ่ะ?”
“คำตอบนั้นไม่มีความหมายสำหรับนายหรอก เชนทร์” เพลิงพิศตอบ ก่อนจะกดพลังของเชนทร์ให้เขาทรุดลงไปนั่งกับพื้น
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที!” เชนทร์พยายามตะโกน แต่เสียงของเขาดูเหมือนจะไร้ค่าในป่าที่มีแต่ความมืดมิด
เพลิวพิศหันมองไปยังแม่น้ำ ปรากฏภาพธารใสกับเอื้องทรายที่กำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่าง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย
“นายคิดว่า ถ้าพวกมันรู้ว่านายถูกจับตัวไป พวกมันจะมาช่วยไหม… ?”
เวลาผ่านไปหนึ่งวันแล้ว เชนทร์ยังคงหายไปอย่างไร้ร่องรอย ธารใสรู้สึกถึงความกังวลที่เริ่มก่อตัวในใจ เธอพยายามที่จะหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
"นี่เชนทร์หายไป 1 วันแล้วนะ…” ธารใสพึมพำกับตัวเอง ขณะยืนมองไปยังแผนที่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในห้องทำงาน “เขาไม่เคยหายไปขนาดนี้ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา?”
เอื้องทรายที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นท่าทางของธารใสที่เริ่มวิตกกังวลเช่นกัน
“หรืออาจจะถูกใครบางคนจับตัวไป?”
“ไม่รู้…” ธารใสตอบเสียงเบา “ช่วงนี้ สถานการณ์ยิ่งไม่ดีอยู่ด้วยอ่ะ”
ในขณะที่ธารใสและเอื้องทรายกำลังพูดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น วายุตาก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“เราต้องหาทางออกแล้วนะ ถ้าเขาอยู่ในอันตรายจริงๆ เราอาจจะต้องเข้าไปช่วยเขา”
ในที่สุด เตอร์และน็อตที่ได้ยินข่าวต่างก็มารวมตัวกันที่บ้านของธารใส พวกเขาตัดสินใจที่จะตามหาเชนทร์ทันที
“ปลกๆ นะ…” น็อตพูดเบาๆ ขณะเปิดแผนที่บนมือถือ “จากข้อมูลที่ได้ มีรายงานว่าเจอรถของนายเชนทร์ในป่าที่นครนายก”
“นครนายก?” เอื้องทรายถาม
“ตามรายงานจากสถานีตำรวจ ดูเหมือนจะเจอเพียงแค่รถเท่านั้น แต่ยังไม่พบตัวเขา” น็อตตอบ “ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในป่าแห่งนั้น”
ธารใสรับรู้ถึงความเสี่ยงในการตามหาครั้งนี้ แต่ความกังวลในใจทำให้เธอไม่สามารถนิ่งเฉยได้ “พวกเราไม่มีทางเลือก น็อต เตอร์ วายุตา เอื้องทราย เราไปกันเถอะ”
หลังจากที่ตัดสินใจร่วมกัน พวกเขาจึงออกเดินทางไปยังนครนายกทันที
การเดินทางเริ่มต้นขึ้น พวกเขาขับรถไปตามทางที่สถานีตำรวจชี้แจงให้ แม้ว่าจะมีความวิตกกังวลในใจ แต่ทุกคนยังคงมั่นใจว่าเขาจะต้องหาตัวเชนทร์ให้เจอ
ระหว่างทาง ธารใสรู้สึกถึงบางสิ่งที่แปลกประหลาดในอากาศ แต่เธอไม่พูดออกมา เพียงแต่บอกทุกคนให้ระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่
พวกเขามาถึงป่าที่นครนายกแล้ว แต่ทันทีที่ลงจากรถ กลิ่นอายของความมืดและอันตรายก็เริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว ข้างหน้าเป็นเพียงเส้นทางแคบๆ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณหนาแน่น
“พวกเราแยกกันออกตามหาดีกว่า” วายุตาพูดอย่างระมัดระวัง
แต่ทันทีที่พวกเขาก้าวขาเข้าสู่ป่า ก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน—เสียงลมที่พัดผ่านดูเหมือนจะเป็นการเตือนภัยอย่างหนึ่ง สิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ๆ
ธารใสรู้สึกได้ว่าอะไรบางอย่างกำลังรอพวกเขาอยู่ในความมืดของป่าแห่งนี้…สัญชาตญาณของธารใสบอกเธอว่าเขายังอยู่ในที่นี่
ขณะที่เเอื้องทรายที่เดินเคียงข้าง รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่ทำให้ขนลุก “ธารใส… ฉันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง… พลังนี่มันเป็นของเพลิงพิษ”
ธารใสพยักหน้า “ฉันรู้… เราต้องรีบไปช่วยเชนทร์” ไม่นานหลังจากนั้น
ทุกคนก็พบกับป่าอาถรรพ์ที่เต็มไปด้วยรากไม้โค้งงอราวกับมีชีวิต รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมจับจ้องอยู่จากทุกทิศทาง
ทันใดนั้น เสียงของเพลิงพิศก็ดังขึ้นจากเงามืด “ยินดีต้อนรับทุกคน สุ่ป่าอาถรรพ์”
ทุกคนหันไปมองและเห็นร่างของเพลิงพิศยืนอยู่ท่ามกลางความมืด
“ถ้าเธออยากได้เชนทร์กลับไป… พวกเธอก็ต้องทำตามเงื่อนไขของชั้น”
เพลิงพิศพูดพร้อมกับชูเชนทร์ขึ้นมาให้ทั้ทุกคนเห็น เขาถูกพันธนาการอยู่ในอ้อมแขนของเธอในสภาพที่ไร้เรี่ยวแรง
“เชนทร์!” ธารใสร้องขึ้นด้วยความตกใจ “ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้!”
เพลิงพิศยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม “เธอมีสิทธิ์อะไรที่มาสั่งชั่น"
ขณะที่ทุกสิ่งรอบตัวล้วนแต่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ไม่มีใครสามารถทำนายได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในต่อไป
[/cen
๏ ... ธิดาซาตาน 2 : สี่สาวไสยเวทย์ ... ๏ | ตอนที่ 3
การต่อสู้และการแย่งชิง
บทประพันธ์ : V4OK
“นี่คือโอกาสของเรา…” เชนทร์พึมพำกับตัวเอง ขณะพยายามเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดก่อนเดินทาง เชนทร์คิดเร็ว ตัดสินใจเร็ว จึงรีบออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้นทันที
เมื่อเชนทร์เดินทางถึงนครนายก เขาก็พบกับนายกสมาคมการศึกษาในสถานที่จัดการประชุม ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่มีอำนาจและอิทธิพลในแวดวงการศึกษา แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อเขาออกจากสถานที่ประชุมเพื่อเดินทางกลับ
ในระหว่างที่ขับรถกลับ เชนทร์รู้สึกถึงเสียงเครื่องยนต์ของรถดังไปตามถนนที่เปลี่ยว แต่ท่ามกลางความเงียบเชียบ เขากลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากที่ไกลๆ เสียงดังหวิวๆ ที่เขาไม่สามารถเพิกเฉยได้
ทันใดนั้น เงาที่เขาคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในที่ห่างไกล เพลิงพิศ! ร่างของเพลิงพิศที่ดูเหมือนจะกลับมาอีกครั้ง เขายืนอยู่ท่ามกลางเงามืดบนทางเล็กๆ ที่ทอดไปยังป่า
“เชนทร์… อย่าเพิ่งรีบกลับสิ ชั้นมีเรื่องสนุก ๆ ให้นายรออยู่” เสียงของเพลิงพิศดังก้องในอากาศ
เชนทร์หันขวับไปมองและรู้สึกถึงความกลัวที่แผ่เข้ามาในหัวใจทันที เขารู้ดีว่าไม่สามารถหลบหนีจากเพลิงพิศได้ง่ายๆ จึงตัดสินใจใช้ความเร็วในการขับรถเพื่อหนีออกไปจากจุดนั้น แต่ทว่า ถนนที่เขาขับไปกลับเริ่มเปลี่ยนทิศทางอย่างแปลกประหลาด เขาพบว่ารถของเขาเริ่มจะหลุดออกจากเส้นทางเดิม และไม่นานก็วิ่งเข้าป่าที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
การขับขี่ของเขาหยุดลงเมื่อรถบังเอิญเข้าไปติดอยู่ในบริเวณของป่าที่เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ มองไปด้านหน้าเขาก็เห็นแต่ความมืดและเงารอบตัว ที่ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวได้เอง
“ไม่ดีแล้ว…” เชนทร์พึมพำกับตัวเอง ขณะมองไปที่ป่ารอบๆ เขาเริ่มรู้สึกถึงพลังที่แปลกประหลาดและมืดมนที่แผ่ซ่านออกมา
เสียงห้าวของเพลิงพิศจึงดังขึ้นจากความมืด “ยินดีต้อนรับสู่ป่าอาถรรพ์นะ เชนทร์!!”
เชนทร์ที่ยังไม่เคยเจอภัยคุกคามเช่นนี้รู้สึกถึงความกลัวและความอึดอัดในใจ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ!” เขาตลั่นอกมาด้วยเสียงที่สั่น “เพลิงพิศเธอปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้นะ!”
ทันใดนั้น เพลิงพิศก็ปรากฏตัวออกมาจากความมืด ร่างของเขาเต็มไปด้วยเปลวไฟที่ลุกโชน และสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“หลบไม่พ้นหรอก… เชนทร์” เพลิงพิศกล่าวพร้อมกับยิ้มเย็นชา “รู้ไหมว่าชั้นรอเวลานี้มานานแค่ไหน ?”
เชนทร์ที่รู้ว่าไม่สามารถสู้กับเพลิงพิศได้ จึงตัดสินใจหาทางหนี เขากระโจนออกจากรถและวิ่งไปในทิศทางที่เขาคิดว่าอาจจะพาเขาออกจากป่าอาถรรพ์นี้ได้ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ ในป่าแห่งนี้มีทั้งกับดักและพลังมืดที่ไม่มีใครสามารถหนีไปได้ง่ายๆ
“นั่น แกจะไปไหน?” เพลิงพิศเดินตามหลังเชนทร์ด้วยความเร็วที่เหนือชั้นกว่า “ไม่มีที่ไหนที่เแกจะหนีพ้นจากชั้นได้หรอก!”
ในขณะที่เชนทร์วิ่งไปข้างหน้า เขาพบว่ามีเงาเคลื่อนไหวรอบตัวเขาเต็มไปหมด ดินแดนแห่งนี้ไม่ได้มีแค่เพลิงพิศเท่านั้นที่เขาต้องเผชิญ—มันยังเต็มไปด้วยกับดักและพลังแห่งความมืดที่คอยกักขังผู้ที่หลงเข้ามา
ขณะที่เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า ความมืดและพลังอันตรายเริ่มมาบีบคั้นอย่างช้าๆ
ตัดไปอีกด้าน หญิงนิลยืนอยู่ในห้องกว้างที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยทองคำและเครื่องประดับที่เต็มไปด้วยความหรูหรา ข้างๆ ทั้งหมดคือมรดกที่เพลิงพิศทิ้งไว้หลังจากที่เธอตายไปแล้ว เงินทองและทรัพย์สินที่มีมูลค่ามหาศาล เธอมองมันด้วยความภาคภูมิใจ และไม่สามารถหลีกหนีจากความรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เธอมีตอนนี้ล้วนเป็นผลมาจากความพ่ายแพ้ของผู้อื่น
“ในที่สุด…ทั้งหมดก็คือของชั้น” หญิงนิลพึมพำกับตัวเอง ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความพอใจ ขณะที่สายตาของเธอกวาดไปทั่วห้อง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเคยฝันถึงตอนนี้กลายเป็นจริงแล้ว หญิงนิลมองไปที่กระจกและเห็นภาพตัวเองในมุมที่แสนสวยงาม ท่าทางของเธอสะท้อนออกมาเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต
ในอีกด้านหนึ่ง เตอร์และวายุตากำลังนั่งอยู่ในห้องเล็กๆ ของบ้านที่วางอยู่ในเขตพื้นที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ ทั้งสองคนที่เพิ่งเริ่มเป็นแฟนกัน แต่ความสัมพันธ์นี้กลับมีปัญหาที่ยากจะรักษาไว้ได้
“อันนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ ชั้นทนกับนายไม่ไหวแล้วนะ?” วายุตาพูดด้วยเสียงที่โกรธจัด ขณะยืนอยู่หน้าทีวีที่เปิดทิ้งไว้โดยไม่สนใจอะไร
“เธอก็รู้ว่า บ้านเราไม่ได้รวย แต่เธอก็ยังอยู่แบบฟุ่มเฟือยตลอด!”
เตอร์มองหน้าเธอด้วยความไม่พอใจ
“เป็นผู้ชายประสาอะไร ! ไม่มีเงินเลี้ยงดูแฟนตัวเอง นายนี่มันห่วยมากเลยนะ”
วายุตากลับเดินไปอีกทาง หน้าของเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“เธอก็ช่วยประหยัดๆหน่อยสิ เธอรู้ไหมเป็นแฟนกับเธอแค่ไม่กี่วัน ตอนนี้เงินใบบัญชีชั้นมีไม่ถึง 100 แล้วนะ”
เตอร์มองวายุตาด้วยสายตาที่เจ็บปวด “ถ้าชั้นรู้ว่าเธอนิสัยแบบนี้นะ ไม่มีทางขอเธอเป็นแฟนหรอก!!?”
วายุตาหันไปมองเขา “ไอ้บ้าเตอร์ ไอ้กระจอก ผู้ชายแบบนาย ไม่ควรไปเป็นแฟนกับผู้หญิงคนไหนเลยนะ”
เตอร์ถอนหายใจ “งั้นชั้นว่าเลิกกันดีกว่านะ เธอจะได้ไปหาผู้ชายคนใหม่ไงล่ะ”
วายุตายืนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะหันกลับมาหาเตอร์ เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดในใจ เพราะรู้ดีว่าเธอก็รักเขาจริงๆ แต่ความแตกต่างของฐานะมันกลับเป็นอุปสรรคที่ยากจะข้ามผ่าน
'นี่ นายจะเลิกกับชั้นหรอ” วายุตาพูดเสียงเบา ก่อนจะหันหน้าหนีไปอย่างไม่สามารถหาคำตอบที่เหมาะสมได้
“ใช่ ชั้นว่าเราไปกันไม่ได้หรอก” เตอร์พูดและเดินเข้ามาหาเธอ เขาจับมือวายุตาและมองไปที่เธอด้วยความจริงใจ “ถึงเราจะเลิกกัน แต่เราเป็นเพื่อนกันได้นิ”
แม้ว่าจะยังคงมีความขัดแย้งในใจ แต่ทั้งสองคนก็ยังคงจับมือกันไว้ โดยที่ยังไม่สามารถหาทางออกที่ชัดเจนได้ในตอนนี้
“ธารใส… ชั้นเจอตำราอสูรแล้ว” เสียงขอเอื้องทรายดังขึ้นจากด้านหลัง ธารใสหันกลับไปมองเห็นเพื่อนสนิทของเขายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆที่ลอยอยู่รอบตัว “หาเจอแล้วหรอ?” ธารใสถามอย่างสงสัย เอื้องทรายมองไปที่ฟ้าแล้วกล่าวอย่างหนักแน่น “ใช่ นี่ไง ชั้นไปเจอมันใต้ชั้นวางหนังสือ แต่เสียดายที่เนื้อหาข้างในตำรา ชั้นอ่านไม่ออก” เอื้องทรายยื่นหนังสือให้ธารใส ธารใสเปิดหน้าต่างๆจนหมดเล่ม
“เราจำเป็นต้องหาคนอ่านตำรานี้ให้ได้ เสียดายลุงราม ถ้าเขาไม่ฝักใฝ่ในความชั่วร้าย เขาต้องช่วยเราได้แน่ๆ…” “ธารใสบอก
“ตำราโบราณๆแบบนี้ ชั้นว่าคงมีแต่พวกหมอผีหรือไม่ก็ท่านอาจารย์ น่าจะอ่านมันได้” เอื้องทรายกล่าวเสริม
ธารใสหันมองไปยังแนวภูเขาห่างไกล เขารู้สึกถึงการคุกคามที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเขาจะต้องเดินทางไปยังจุดที่ลึกที่สุดในโลก—ที่ซึ่งพลังอันมืดมนและบิดเบี้ยวรอคอยเขาอยู่
ในป่าที่มืดมิดและเต็มไปด้วยความลึกลับ เชนทร์ที่หนีเพลิงพิศได้ถลำลึกเข้าไปป่าลึกมากกว่าเดิม เขาได้แต่มองไปยังพื้นดินอย่างไร้เรี่ยวแรง กระนั้นดวงตาของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะหาทางหลบหนี
จู่ๆ เชนทร์ได้ยินเสียงลมหายใจของใครบางคนที่มาจากด้านหลัง เขาหันกลับไปทันทีและพบกับสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น—
ทันใดนั้น เพลิงพิศที่ยืนอยู่ห่างออกไป เมื่อเห็นเชนทร์ เธอรีบก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็หยุดอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าว
“หนีไม่รอดแล้วหรอ?” เพลิงพิศถามเสียงต่ำ
เชนทร์เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปหยดน้ำตา “ปล่อยชั้นไปเถอะนะ”
เพลิงพิศยิ้มกว้างขึ้น ดวงตาของเธอเป็นเพลิงสีแดงที่สามารถมองทะลุเข้าไปในจิตใจของทุกคนที่เห็น
คืนที่มืดมิดปกคลุมไปทั่วผืนป่าอาถรรพ์ ความเงียบสงัดนั้นถูกทำลายด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากท่ามกลางต้นไม้ที่โค้งงอไปมา เสียงหอบหายใจของชายคนหนึ่งดังขึ้นในความมืด เขาคือเชนทร์ ที่ถูกเพลิงพิศจับกุมและบังคับให้เข้าไปข้างในป่าอาถรรรพ์จนไม่รุ้จุดหมายปลายทาง
“จะพาชั้นไปไหนอ่ะ”
เชนทร์ตะโกนถามเพลิงพิศ
“นายจะต้องทำตามคำสั่งชั้นทุกอย่าง แล้วอย่าคิดจะหนีนะ เพราะในนี้ไม่มีใครช่วยนายได้” เพลิงพิศลั่น
เชนทร์หน้าซีดเผือด “เธอทำแบบนี้ทำไมอ่ะ?”
“คำตอบนั้นไม่มีความหมายสำหรับนายหรอก เชนทร์” เพลิงพิศตอบ ก่อนจะกดพลังของเชนทร์ให้เขาทรุดลงไปนั่งกับพื้น
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที!” เชนทร์พยายามตะโกน แต่เสียงของเขาดูเหมือนจะไร้ค่าในป่าที่มีแต่ความมืดมิด
เพลิวพิศหันมองไปยังแม่น้ำ ปรากฏภาพธารใสกับเอื้องทรายที่กำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่าง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย
“นายคิดว่า ถ้าพวกมันรู้ว่านายถูกจับตัวไป พวกมันจะมาช่วยไหม… ?”
เวลาผ่านไปหนึ่งวันแล้ว เชนทร์ยังคงหายไปอย่างไร้ร่องรอย ธารใสรู้สึกถึงความกังวลที่เริ่มก่อตัวในใจ เธอพยายามที่จะหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
"นี่เชนทร์หายไป 1 วันแล้วนะ…” ธารใสพึมพำกับตัวเอง ขณะยืนมองไปยังแผนที่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในห้องทำงาน “เขาไม่เคยหายไปขนาดนี้ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา?”
เอื้องทรายที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นท่าทางของธารใสที่เริ่มวิตกกังวลเช่นกัน
“หรืออาจจะถูกใครบางคนจับตัวไป?”
“ไม่รู้…” ธารใสตอบเสียงเบา “ช่วงนี้ สถานการณ์ยิ่งไม่ดีอยู่ด้วยอ่ะ”
ในขณะที่ธารใสและเอื้องทรายกำลังพูดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น วายุตาก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“เราต้องหาทางออกแล้วนะ ถ้าเขาอยู่ในอันตรายจริงๆ เราอาจจะต้องเข้าไปช่วยเขา”
ในที่สุด เตอร์และน็อตที่ได้ยินข่าวต่างก็มารวมตัวกันที่บ้านของธารใส พวกเขาตัดสินใจที่จะตามหาเชนทร์ทันที
“ปลกๆ นะ…” น็อตพูดเบาๆ ขณะเปิดแผนที่บนมือถือ “จากข้อมูลที่ได้ มีรายงานว่าเจอรถของนายเชนทร์ในป่าที่นครนายก”
“นครนายก?” เอื้องทรายถาม
“ตามรายงานจากสถานีตำรวจ ดูเหมือนจะเจอเพียงแค่รถเท่านั้น แต่ยังไม่พบตัวเขา” น็อตตอบ “ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในป่าแห่งนั้น”
ธารใสรับรู้ถึงความเสี่ยงในการตามหาครั้งนี้ แต่ความกังวลในใจทำให้เธอไม่สามารถนิ่งเฉยได้ “พวกเราไม่มีทางเลือก น็อต เตอร์ วายุตา เอื้องทราย เราไปกันเถอะ”
หลังจากที่ตัดสินใจร่วมกัน พวกเขาจึงออกเดินทางไปยังนครนายกทันที
การเดินทางเริ่มต้นขึ้น พวกเขาขับรถไปตามทางที่สถานีตำรวจชี้แจงให้ แม้ว่าจะมีความวิตกกังวลในใจ แต่ทุกคนยังคงมั่นใจว่าเขาจะต้องหาตัวเชนทร์ให้เจอ
ระหว่างทาง ธารใสรู้สึกถึงบางสิ่งที่แปลกประหลาดในอากาศ แต่เธอไม่พูดออกมา เพียงแต่บอกทุกคนให้ระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่
พวกเขามาถึงป่าที่นครนายกแล้ว แต่ทันทีที่ลงจากรถ กลิ่นอายของความมืดและอันตรายก็เริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว ข้างหน้าเป็นเพียงเส้นทางแคบๆ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณหนาแน่น
“พวกเราแยกกันออกตามหาดีกว่า” วายุตาพูดอย่างระมัดระวัง
แต่ทันทีที่พวกเขาก้าวขาเข้าสู่ป่า ก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน—เสียงลมที่พัดผ่านดูเหมือนจะเป็นการเตือนภัยอย่างหนึ่ง สิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ๆ
ธารใสรู้สึกได้ว่าอะไรบางอย่างกำลังรอพวกเขาอยู่ในความมืดของป่าแห่งนี้…สัญชาตญาณของธารใสบอกเธอว่าเขายังอยู่ในที่นี่
ขณะที่เเอื้องทรายที่เดินเคียงข้าง รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่ทำให้ขนลุก “ธารใส… ฉันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง… พลังนี่มันเป็นของเพลิงพิษ”
ธารใสพยักหน้า “ฉันรู้… เราต้องรีบไปช่วยเชนทร์” ไม่นานหลังจากนั้น
ทุกคนก็พบกับป่าอาถรรพ์ที่เต็มไปด้วยรากไม้โค้งงอราวกับมีชีวิต รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมจับจ้องอยู่จากทุกทิศทาง
ทันใดนั้น เสียงของเพลิงพิศก็ดังขึ้นจากเงามืด “ยินดีต้อนรับทุกคน สุ่ป่าอาถรรพ์”
ทุกคนหันไปมองและเห็นร่างของเพลิงพิศยืนอยู่ท่ามกลางความมืด
“ถ้าเธออยากได้เชนทร์กลับไป… พวกเธอก็ต้องทำตามเงื่อนไขของชั้น”
เพลิงพิศพูดพร้อมกับชูเชนทร์ขึ้นมาให้ทั้ทุกคนเห็น เขาถูกพันธนาการอยู่ในอ้อมแขนของเธอในสภาพที่ไร้เรี่ยวแรง
“เชนทร์!” ธารใสร้องขึ้นด้วยความตกใจ “ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้!”
เพลิงพิศยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม “เธอมีสิทธิ์อะไรที่มาสั่งชั่น"
ขณะที่ทุกสิ่งรอบตัวล้วนแต่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ไม่มีใครสามารถทำนายได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในต่อไป
[/cen