ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 14
http://ppantip.com/topic/33024561
ที่โรงพยาบาล เลขานุการของสุรเกียรติกับผู้ช่วยของเธอยืนรออยู่หน้าห้องไอซียูแล้วขณะที่พ่อเลี้ยงวิเชียรและแม่หญิงแสงดาวเดินออกมาพบ
“ท่านคะ กลุ่มผู้ถือหุ้นเร่งรัดมาขอความชัดเจนเรื่องท่านสุรเกียรติค่ะ” เธอรายงานสีหน้าร้อนใจ
“พวกเขาอยากให้ทำอะไรครับ” วิเชียรถาม
“คือพวกเขาเกรงว่าธุรกิจจะเสียหายหากท่านสุรเกียรติไม่สามารถกลับไปทำงานได้ค่ะ” เธอบอก
“แล้วคุณพูดกับพวกเขาว่ายังไง” วิเขียรถามต่อ
“ดิฉันก็ได้แต่ประทังเอาไว้ว่าให้รอท่านไกรศักดิ์หรือคุณโจก่อน ค่ะ” เธอตอบ
“ขอบคุณมากเลย สถานการณ์ตอนนี้คุณคิดว่าจะยื้อไว้ได้นานสักเท่าไหร่” วิเชียรถามเพื่อประเมิน
“ดิฉันไม่แน่ใจค่ะท่าน ตามข่าวที่ออกไปเหมือนกับว่าท่านสุรเกียรติคงไม่สามารถกลับมาทำงานได้เร็วๆนี้อย่างแน่นอน ทำให้ผู้ถือหุ้นคิดว่าควรมีผู้ที่เข้ามาบริหารงานแทนค่ะ” เธอบอกวิเชียร
“แล้วทั้งสองท่านจะกลับมาเมื่อไหร่คะท่าน” เธอถามต่อ
“บอกตรงๆนะ ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ยังไงคุณก็ช่วยอีกแรงแล้วกัน ผมเข้าใจนะว่าสุดท้ายผู้ถือหุ้นเขาจะเข้าควบคุมเอง เอาไว้ถ้าถึงจุดนั้นเราค่อยมาว่ากันอีกที” วิเชียรพูด
“ค่ะท่าน ดิฉันจะพยายามรั้งไว้ให้ถึงที่สุดค่ะ มีอะไรจะรีบบอกให้ท่านทราบนะคะ” เธอพูด
“ขอบคุณมากเลยนะ ขอบคุณ” วิเชียรพูด
เธอยกมือไหว้ลาทั้งสองแล้วเดินกลับออกไปอย่างเร่งรีบกับผู้ช่วยสาวของเธอ
วิเชียรยืนหายใจอึดอัดสีหน้ากังวล ไหนจะเรื่องของเพื่อนรักสุรเกียรติไหนจะธุรกิจของตัวเอง ซึ่งส่วนนั้นตัวเขายังพูดได้บอกได้อยู่ อาศัยเทคโนโลยีการประชุมผ่านออนไลน์ก็ยังพอประทังไปได้
“เราจะทำอย่างไรต่อไปดีคะคุณพี่” แสงดาวถามสามี
“ก็คงต้องปะทะหน้ากันไปพลางๆก่อนจนกว่าพวกเค้าจะกลับกันมาละนะคุณ” วิเชียรตอบอย่างอ่อนใจ
“แล้วถ้ากลุ่มผู้ถือหุ้นเค้ายึดล่ะคะ จะเป็นยังไง” แสงดาวถาม
“ไม่เป็นยังไงหรอกคุณ พวกเขาก็ทำได้แค่ใช้กฎหมายตลาดหลักทรัพย์บังคับซื้อหุ้น พวกเขาก็ได้อำนาจบริหาร ก็แค่นั้น เงินทองทรัพย์สินของเกียรติมันก็เหลืออยู่มากโข ผมห่วงแต่เรื่องชีวิตคนมากกว่านะ” วิเชียรบอกภรรยาของเขา
“ตรงนี้ก็สามชีวิต ที่ไปนั่นอีกสี่ นั่นเท่ากับเจ็ดชีวิตของเราที่ไม่รู้ชะตากรรมเลย” วิเชียรพูดเสียงสั่นเครือ
“พวกเขาอยู่ที่ไหนกันนะตอนนี้” วิเชียรพูดแล้วเหม่อมองออกไปภายนอก
ห่างออกไปนับพันกิโลเมตรพวกเขายังคงย่ำเท้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคงกลางป่าลึก เส้นทางเริ่มลำบากมากขึ้น ป่าเริ่มดิบทึบขึ้นเรื่อยๆ จนล่วงเข้าวันที่เจ็ดของการเดินทาง ไกรศักดิ์ตัดสินใจหยุดค้างแรมเมื่อมาถึงพื้นป่าที่เป็นผาลาดชันลงไปเบื้องล่าง เขายกกล้องส่องทางไกลที่ห้อยคออยู่ส่องสำรวจไปเบื้องหน้า คนอื่นๆจึงใช้กล้องที่มีอยู่ส่องตามไปด้วย พรานโละและแงซายืนมองสำรวจด้านหลังเพื่อจับความเคลื่อนไหวของเสือโคร่งสองตัวที่ตามหลังมา
“เราค้างที่นี่ก่อนดีมั้ยครับคุณลุง ไม่น่าลงผาลาดไปตอนนี้ เย็นแล้ว” พีพูด
“ถูก เริ่มใช้ได้แล้วนี่” ไกรศักดิ์ลดกล้องลงพูด เขายิ้มตบไหล่พีเบาๆ
“อยู่นั่นใช่มั้ยโละ” ไกรศักดิ์ถามพรานโละที่เดินเข้ามาหา ชี้มือไปยังภูเขาสูงที่อยู่ไกลริบๆ
“จ้ะท่าน” พรานโละตอบ
โจ เหมียวและสร้อยเข้ามายืนมองตามไปด้วย
“อย่างน้อยเราก็ใกล้เวย์พ้อยต์แรกแล้วไอ้โจ” พียังมองไปที่เขาสูง เขาพูดให้โจได้ยินด้วยภาษาการบินสั้นๆอันหมายถึงจุดผ่านจุดแรกบนเส้นทางของภารกิจ นั่นคือทักษะการเรียกขวัญของเขา
ทั้งเจ็ดช่วยกันก่อไฟตั้งค่ายพักแรม น้ำในกระติกถูกนำมาต้มจนเดือดบนเตาหินสามเส้า สร้อยกับเหมียวเอากล้วยและเผือกป่าออกมาช่วยกันเผาข้างกองไฟ พรานโละนำผลไม้ป่ามาวางไว้ตรงกลาง ทั้งหมดล้อมวงกินด้วยกัน เหมียวโรยเกลือที่นำมาบนเผือกเผาบางๆ
“เผือกเผาใส่เกลือนี่รสชาติดีเหมือนกันนะ” เธอพูดยิ้มแล้วส่งซองเกลือให้สร้อย
“เราควรเร่งฝีเท้าขึ้นอีก” ไกรศักดิ์พูด
“เหมียวยังไหวอยู่มั้ยลูก” เขาหันไปถามเหมียว
“หนูยังสบายอยู่ค่ะ ปกติดีแค่ไม่ค่อยได้อาบน้ำเท่านั้นค่ะคุณลุง” เธอตอบ
“เดินอีกวันมีบึงจ้ะ” สร้อยบอก เหมียวยิ้มๆคิดในใจอีกตั้งวันถึงจะได้อาบน้ำ
“แล้วเสือสองตัวนั่นล่ะครับคุณลุง” โจถามไกรศักดิ์
“ถึงตอนนี้ไม่ค่อยห่วง มันตามเรามาหกวันแล้ว” ไกรศักดิ์บอก
“ตามมาหกวันแล้วไม่น่าห่วง หมายความว่ายังไงครับคุณลุง” พีถามอย่างฉงน
ไกรศักดิ์หันไปมองพวกพรานที่ไม่แสดงความกังวลเช่นเดียวกัน
“โดยธรรมชาติมันควรโอบซ้ายโอบขวาเข้ามาซุ่มดู แต่นี่มันเดินตามหลังรักษาระยะห่างเท่าเดิม มันไม่ใช่ลักษณะการตามเหยื่อ” ไกรศักดิ์อธิบาย
“แล้วมันตามมาทำไมครับ” โจถาม
“สุดจะคาดเดา” ไกรศักดิ์ตอบยิ้มๆ “ไม่ต้องกังวล โละกับแงซาเขาก็คอยเฝ้ามองมันอยู่”
“มันตามหลังเราแล้วเรารู้ได้ยังไงครับว่ามันอยู่ที่ไหน” พียังไม่หายสงสัย
“เคยได้ยินมันคำรามหรือเปล่า” ไกรศักดิ์ถามพี
“เคยครับ นานๆที” พีตอบ
“เสียงกับกลิ่นยังไง พรานเขาประเมินได้ ยิ่งเรามีกล้องมองด้วยบางครั้งมันก็ปรากฏตัวอยู่ไกลๆให้เห็น” ไกรศักดิ์บอก
“คุณลุงไม่ทราบจริงๆหรือครับว่าพวกมันตามมาทำไม” โจย้ำถาม
“รู้แล้วจะบอกก็แล้วกันนะ” ไกรศักดิ์ตอบ
ความเครียดตั้งแต่ระเบิดวินาศกรรมที่สนามบินหาดใหญ่เริ่มทำงานมาจนถึงวันนี้ กดดันให้โจมีอารมณ์ผันแปรอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามควบคุมเอาไว้แต่ก็ไม่วายเมื่อได้ยินคำตอบของลุงไกรศักดิ์
“คุณลุงครับ ผมอึดอัด” โจพูดจ้องหน้าไกรศักดิ์ ความกดดันทำให้เขาสับสนและเริ่มสูญเสียการควบคุมอารมณ์
“ว่ามา” ไกรศักดิ์พูด เขารับรู้ในน้ำเสียงห้วนๆของหลานชายว่ากำลังเริ่มเครียด
“นี่ถึงเวลาที่คุณลุงจะบอกพวกเราได้หรือยังครับว่าเรามาที่นี่ทำไม” โจถาม
“ยัง” ไกรศักดิ์ตอบสั้นๆเพื่อปั่นประสาทโจ
“แล้วเมื่อไหร่ครับ” โจเริ่มมีอารมณ์โกรธ
“น้องผมตาย พ่อผมกำลังจะตาย แม่ผมตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ผมควรได้รู้บ้างว่ากำลังทำอะไรอยู่” โจพูด
ไกรศักดิ์ยังคงนิ่งไม่ตอบ เขาอยากทดสอบหลานว่ามีความอดทนแค่ไหนในสภาวะเช่นนี้เพราะนี่เพียงเริ่มต้นเท่านั้นในเส้นทาง
“ว่าไงครับลุง” โจย้ำถามเสียงดังขึ้น
“พรานทั้งสามคนพาพวกแกกลับได้พรุ่งนี้นะ ถ้าอยากกลับ” ไกรศักดิ์ยังกดดันต่อ
“ลุงพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงครับ” โจลุกขึ้นยืนพูด
“ไอ้โจ” พีเรียกเตือนแล้วยืนขึ้นตาม
“ผมมาจนถึงที่นี่ แล้วลุงมาบอกให้ผมกลับ ผมก็แค่ต้องการรู้ว่ามาทำอะไรที่นี่แค่นั้น” โจตะโกนใส่
“ฉันไม่ได้ไล่แกกลับ แต่ถ้าแกอ่อนแออย่างนี้มันจะเสียการ” ไกรศักดิ์เน้นคำว่าอ่อนแอเพื่อให้โจโกรธ
“ผมน่ะเหรอครับอ่อนแอ” โจเสียการควบคุมในที่สุด
“ไอ้โจใจเย็นๆ” พีจับแขนพูดเตือนเพื่อน โจสะบัดมือพีออก เหมียวจึงลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อม
ไกรศักดิ์ลุกขึ้นหันหลังเดินออกไปเพื่อทดสอบปฏิกิริยา
“ลุง” โจตะโกนใส่ลุงของเขาแล้วกราดเข้ามาเอื้อมมือจะจับไหล่
ไกรศักดิ์บุรุษผู้คร่ำหวอดกับการต่อสู้มาทั้งชีวิต เขาเอี้ยวตัวหันมาอย่างเร็ว มือข้างหนึ่งจับข้อมือโจกระชากแล้วใช้เท้ายันเท้าโจจนเสียหลักคว่ำหน้าลงกับพื้น จากนั้นจึงบิดแขนให้พับล็อกอยู่ที่หลังแล้วกดโจไว้บนพื้นด้วยเข่าที่หลังและต้นคอ พีและเหมียวถลันเข้ามาจะห้าม ไกรศักดิ์หันมาจ้องหน้า ทั้งสองคนจึงต้องหยุด
“ไอ้โจหลานชั้นที่มีปัญญามันหายไปไหนแล้ว” ไกรศักดิ์ก้มลงพูดคำรามใส่ข้างหูโจ แล้วปล่อยแขนลุกขึ้น
โจยังนอนคว่ำหน้าอยู่เช่นนั้น เขาร้องไห้สะอึกสะอื้น สร้อยขยับจะเข้ามาหาแต่เหมียวถึงตัวโจก่อนสร้อยจึงหยุด เหมียวกับพีพยุงเขาลุกขึ้นมานั่ง ไกรศักดิ์เดินไปนั่งลงไม่พูดอะไรอีก
ทุกคนนั่งเงียบไปครู่ใหญ่ โจรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่แสดงออกไป เขาลุกขึ้นค่อยๆเดินมาก้มกราบไกรศักดิ์
“ผมขอโทษครับคุณลุง” โจพูด แล้วร้องไห้ออกมาอีกเมื่อนึกได้ถึงสิ่งที่พ่อสุรเกียรติเคยเล่าให้ฟัง
พีกับเหมียวตามมานั่งอยู่ด้วย ทั้งสองยกมือไหว้กล่าวคำขอโทษแทนโจ
“พวกเราจะได้รู้ในไม่กี่วันนี้ล่ะ ไม่ใช่จากปากฉัน” ไกรศักดิ์พูดไม่ได้มองหน้าใคร เขาลุกขึ้นหยิบปืนแล้วเดินออกจากกลุ่มหายไปในความมืดของป่า
พีหยิบปืนจะเดินตามออกไปแต่พรานโละห้ามไว้
“อย่าตามไปจ้ะนายพี” พรานโละพูด
“แล้วคุณลุงล่ะคะ” เหมียวหันไปถามพรานโละ
“ไม่มีอันใดแตะต้องนายท่านได้หรอกจ้ะ” พรานโละพูด
เหมียวนั่งกอดประคองโจไว้ พีนั่งอยู่ข้างๆ สร้อยมองอาการของเหมียวด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
“กูขอโทษนะ” โจพูดมองหน้าพีแล้วหันมามองเหมียวด้วย
“ไม่เป็นไร เองก็ใจเย็นๆด้วย กูเชื่อว่าคุณลุงท่านมีเหตุผลบางอย่าง” พีบอกโจ
“ผมก็ต้องขอโทษคุณด้วยนะ” โจหันไปพูดกับเหมียว
“เหมียวเข้าใจ” เธอตอบยังกุมมือเขาไว้
“พี่โละ สร้อย แงซา ผมขอโทษทุกคนนะ” โจพูด ทั้งสามคนพยักหน้ายิ้มรับ
ไกรศักดิ์เดินห่างออกไปในความมืด เขาล้วงเอากล้องส่องกลางคืนแบบสวมหัวสวมใส่ไว้ เขาไม่ได้เดินออกมาด้วยเรื่องของโจแต่ไกรศักดิ์มีเหตุผลอื่น ความจริงแล้วพื้นที่ป่านี้เขารู้จักดีมาตั้งแต่สมัยก่อนที่เขาต้องเอ่ยปากถามพรานโละอยู่เนืองๆเพราะไม่อยากให้หลานทั้งสามคนรู้ว่าเขาเชี่ยวชาญพื้นที่นี้ ไม่เช่นนั้นคำถามอีกมากมายจะตามมา
ไกรศักดิ์มาหยุดยืนมองกองหินที่ถล่มลงมากองปิดปากถ้ำเมื่อนานมาแล้ว กว่ายี่สิบปีที่ธรรมชาติปกปิดร่องรอยไว้ นอกจากต้นไม้เล็กใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมแล้วทุกอย่างยังเป็นเช่นเดิม เหมือนในอดีตที่เขาและพรานผายืนมองอยู่ด้วยกันตรงนี้ เสียงเสือคำรามดังมาจากระยะไม่ไกลมากนัก ไกรศักดิ์มิได้วิตกอะไร เขารู้เหตุผลการตามมาของมันอยู่แล้วจึงยังคงยืนมองแล้วนึกถึงภาพ
“บึ้ม” เสียงระเบิดในอดีตดังก้องขึ้นเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อครู่
“พี่ผา เป็นยังไง” นายทหารหนุ่มตะโกนถามสหาย
“ข้ายังอยู่ดีท่านผู้พัน” พรานผาตอบ
สหายทั้งสองออกจากที่กำบัง กลุ่มควันจากระเบิดและเศษหินเศษดินคลุ้งกระจายไปหมด ทั้งสองเดินมาดูปากถ้ำเมื่อกลุ่มควันจางลง
“เรียบร้อยนะพี่ผา กลบสนิทดี” เขาบอกนายพราน
“ไปผู้พัน เรากลับกันเถอะ ต่อวันหน้าค่อยกลับมาใหม่” พรานผาพูด
แล้วนายทหารจรยุทธกับพรานใหญ่ก็ช่วยกันแบกถุงทะเลขึ้นบ่าเดินจากไป
ไกรศักดิ์ยืนอยู่กับภาพอดีตนั้นจนมีบางสิ่งเข้ามาสัมผัส ลอยาผู้จางพลิ้วลอยอยู่ไม่ห่างจากที่เขายืนอยู่
“พี่ดีใจนะทุกครั้งที่เห็นเจ้าลอยา” เขาหลับตายิ้มพูดออกไป
“อีกไม่นานเราจะได้อยู่ด้วยกัน ดวงใจของพี่” ลอยาจางหายไปอย่างสงบ
ทั้งหกคนขยับตัวเมื่อปรากฏความเคลื่อนไหว เจ้าพรีโม่วิ่งเข้าไปหากลิ่นที่มันรู้จัก ไกรศักดิ์เดินเข้ามา ท่วงท่าจังหวะการเดิน รูปร่างสูงใหญ่ยังสมส่วนเหมือนหลายปีก่อนเมื่อประกอบอุปกรณ์เครื่องสนามและอาวุธสงครามในมือเข้าไปแล้ว เขายังคงสมเป็นพยัคฆ์ร้ายแห่งพงไพรอยู่เช่นเดิม
ธารทิพย์ บทที่ 15
ธารทิพย์ บทที่ 14 http://ppantip.com/topic/33024561
ที่โรงพยาบาล เลขานุการของสุรเกียรติกับผู้ช่วยของเธอยืนรออยู่หน้าห้องไอซียูแล้วขณะที่พ่อเลี้ยงวิเชียรและแม่หญิงแสงดาวเดินออกมาพบ
“ท่านคะ กลุ่มผู้ถือหุ้นเร่งรัดมาขอความชัดเจนเรื่องท่านสุรเกียรติค่ะ” เธอรายงานสีหน้าร้อนใจ
“พวกเขาอยากให้ทำอะไรครับ” วิเชียรถาม
“คือพวกเขาเกรงว่าธุรกิจจะเสียหายหากท่านสุรเกียรติไม่สามารถกลับไปทำงานได้ค่ะ” เธอบอก
“แล้วคุณพูดกับพวกเขาว่ายังไง” วิเขียรถามต่อ
“ดิฉันก็ได้แต่ประทังเอาไว้ว่าให้รอท่านไกรศักดิ์หรือคุณโจก่อน ค่ะ” เธอตอบ
“ขอบคุณมากเลย สถานการณ์ตอนนี้คุณคิดว่าจะยื้อไว้ได้นานสักเท่าไหร่” วิเชียรถามเพื่อประเมิน
“ดิฉันไม่แน่ใจค่ะท่าน ตามข่าวที่ออกไปเหมือนกับว่าท่านสุรเกียรติคงไม่สามารถกลับมาทำงานได้เร็วๆนี้อย่างแน่นอน ทำให้ผู้ถือหุ้นคิดว่าควรมีผู้ที่เข้ามาบริหารงานแทนค่ะ” เธอบอกวิเชียร
“แล้วทั้งสองท่านจะกลับมาเมื่อไหร่คะท่าน” เธอถามต่อ
“บอกตรงๆนะ ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ยังไงคุณก็ช่วยอีกแรงแล้วกัน ผมเข้าใจนะว่าสุดท้ายผู้ถือหุ้นเขาจะเข้าควบคุมเอง เอาไว้ถ้าถึงจุดนั้นเราค่อยมาว่ากันอีกที” วิเชียรพูด
“ค่ะท่าน ดิฉันจะพยายามรั้งไว้ให้ถึงที่สุดค่ะ มีอะไรจะรีบบอกให้ท่านทราบนะคะ” เธอพูด
“ขอบคุณมากเลยนะ ขอบคุณ” วิเชียรพูด
เธอยกมือไหว้ลาทั้งสองแล้วเดินกลับออกไปอย่างเร่งรีบกับผู้ช่วยสาวของเธอ
วิเชียรยืนหายใจอึดอัดสีหน้ากังวล ไหนจะเรื่องของเพื่อนรักสุรเกียรติไหนจะธุรกิจของตัวเอง ซึ่งส่วนนั้นตัวเขายังพูดได้บอกได้อยู่ อาศัยเทคโนโลยีการประชุมผ่านออนไลน์ก็ยังพอประทังไปได้
“เราจะทำอย่างไรต่อไปดีคะคุณพี่” แสงดาวถามสามี
“ก็คงต้องปะทะหน้ากันไปพลางๆก่อนจนกว่าพวกเค้าจะกลับกันมาละนะคุณ” วิเชียรตอบอย่างอ่อนใจ
“แล้วถ้ากลุ่มผู้ถือหุ้นเค้ายึดล่ะคะ จะเป็นยังไง” แสงดาวถาม
“ไม่เป็นยังไงหรอกคุณ พวกเขาก็ทำได้แค่ใช้กฎหมายตลาดหลักทรัพย์บังคับซื้อหุ้น พวกเขาก็ได้อำนาจบริหาร ก็แค่นั้น เงินทองทรัพย์สินของเกียรติมันก็เหลืออยู่มากโข ผมห่วงแต่เรื่องชีวิตคนมากกว่านะ” วิเชียรบอกภรรยาของเขา
“ตรงนี้ก็สามชีวิต ที่ไปนั่นอีกสี่ นั่นเท่ากับเจ็ดชีวิตของเราที่ไม่รู้ชะตากรรมเลย” วิเชียรพูดเสียงสั่นเครือ
“พวกเขาอยู่ที่ไหนกันนะตอนนี้” วิเชียรพูดแล้วเหม่อมองออกไปภายนอก
ห่างออกไปนับพันกิโลเมตรพวกเขายังคงย่ำเท้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคงกลางป่าลึก เส้นทางเริ่มลำบากมากขึ้น ป่าเริ่มดิบทึบขึ้นเรื่อยๆ จนล่วงเข้าวันที่เจ็ดของการเดินทาง ไกรศักดิ์ตัดสินใจหยุดค้างแรมเมื่อมาถึงพื้นป่าที่เป็นผาลาดชันลงไปเบื้องล่าง เขายกกล้องส่องทางไกลที่ห้อยคออยู่ส่องสำรวจไปเบื้องหน้า คนอื่นๆจึงใช้กล้องที่มีอยู่ส่องตามไปด้วย พรานโละและแงซายืนมองสำรวจด้านหลังเพื่อจับความเคลื่อนไหวของเสือโคร่งสองตัวที่ตามหลังมา
“เราค้างที่นี่ก่อนดีมั้ยครับคุณลุง ไม่น่าลงผาลาดไปตอนนี้ เย็นแล้ว” พีพูด
“ถูก เริ่มใช้ได้แล้วนี่” ไกรศักดิ์ลดกล้องลงพูด เขายิ้มตบไหล่พีเบาๆ
“อยู่นั่นใช่มั้ยโละ” ไกรศักดิ์ถามพรานโละที่เดินเข้ามาหา ชี้มือไปยังภูเขาสูงที่อยู่ไกลริบๆ
“จ้ะท่าน” พรานโละตอบ
โจ เหมียวและสร้อยเข้ามายืนมองตามไปด้วย
“อย่างน้อยเราก็ใกล้เวย์พ้อยต์แรกแล้วไอ้โจ” พียังมองไปที่เขาสูง เขาพูดให้โจได้ยินด้วยภาษาการบินสั้นๆอันหมายถึงจุดผ่านจุดแรกบนเส้นทางของภารกิจ นั่นคือทักษะการเรียกขวัญของเขา
ทั้งเจ็ดช่วยกันก่อไฟตั้งค่ายพักแรม น้ำในกระติกถูกนำมาต้มจนเดือดบนเตาหินสามเส้า สร้อยกับเหมียวเอากล้วยและเผือกป่าออกมาช่วยกันเผาข้างกองไฟ พรานโละนำผลไม้ป่ามาวางไว้ตรงกลาง ทั้งหมดล้อมวงกินด้วยกัน เหมียวโรยเกลือที่นำมาบนเผือกเผาบางๆ
“เผือกเผาใส่เกลือนี่รสชาติดีเหมือนกันนะ” เธอพูดยิ้มแล้วส่งซองเกลือให้สร้อย
“เราควรเร่งฝีเท้าขึ้นอีก” ไกรศักดิ์พูด
“เหมียวยังไหวอยู่มั้ยลูก” เขาหันไปถามเหมียว
“หนูยังสบายอยู่ค่ะ ปกติดีแค่ไม่ค่อยได้อาบน้ำเท่านั้นค่ะคุณลุง” เธอตอบ
“เดินอีกวันมีบึงจ้ะ” สร้อยบอก เหมียวยิ้มๆคิดในใจอีกตั้งวันถึงจะได้อาบน้ำ
“แล้วเสือสองตัวนั่นล่ะครับคุณลุง” โจถามไกรศักดิ์
“ถึงตอนนี้ไม่ค่อยห่วง มันตามเรามาหกวันแล้ว” ไกรศักดิ์บอก
“ตามมาหกวันแล้วไม่น่าห่วง หมายความว่ายังไงครับคุณลุง” พีถามอย่างฉงน
ไกรศักดิ์หันไปมองพวกพรานที่ไม่แสดงความกังวลเช่นเดียวกัน
“โดยธรรมชาติมันควรโอบซ้ายโอบขวาเข้ามาซุ่มดู แต่นี่มันเดินตามหลังรักษาระยะห่างเท่าเดิม มันไม่ใช่ลักษณะการตามเหยื่อ” ไกรศักดิ์อธิบาย
“แล้วมันตามมาทำไมครับ” โจถาม
“สุดจะคาดเดา” ไกรศักดิ์ตอบยิ้มๆ “ไม่ต้องกังวล โละกับแงซาเขาก็คอยเฝ้ามองมันอยู่”
“มันตามหลังเราแล้วเรารู้ได้ยังไงครับว่ามันอยู่ที่ไหน” พียังไม่หายสงสัย
“เคยได้ยินมันคำรามหรือเปล่า” ไกรศักดิ์ถามพี
“เคยครับ นานๆที” พีตอบ
“เสียงกับกลิ่นยังไง พรานเขาประเมินได้ ยิ่งเรามีกล้องมองด้วยบางครั้งมันก็ปรากฏตัวอยู่ไกลๆให้เห็น” ไกรศักดิ์บอก
“คุณลุงไม่ทราบจริงๆหรือครับว่าพวกมันตามมาทำไม” โจย้ำถาม
“รู้แล้วจะบอกก็แล้วกันนะ” ไกรศักดิ์ตอบ
ความเครียดตั้งแต่ระเบิดวินาศกรรมที่สนามบินหาดใหญ่เริ่มทำงานมาจนถึงวันนี้ กดดันให้โจมีอารมณ์ผันแปรอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามควบคุมเอาไว้แต่ก็ไม่วายเมื่อได้ยินคำตอบของลุงไกรศักดิ์
“คุณลุงครับ ผมอึดอัด” โจพูดจ้องหน้าไกรศักดิ์ ความกดดันทำให้เขาสับสนและเริ่มสูญเสียการควบคุมอารมณ์
“ว่ามา” ไกรศักดิ์พูด เขารับรู้ในน้ำเสียงห้วนๆของหลานชายว่ากำลังเริ่มเครียด
“นี่ถึงเวลาที่คุณลุงจะบอกพวกเราได้หรือยังครับว่าเรามาที่นี่ทำไม” โจถาม
“ยัง” ไกรศักดิ์ตอบสั้นๆเพื่อปั่นประสาทโจ
“แล้วเมื่อไหร่ครับ” โจเริ่มมีอารมณ์โกรธ
“น้องผมตาย พ่อผมกำลังจะตาย แม่ผมตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ผมควรได้รู้บ้างว่ากำลังทำอะไรอยู่” โจพูด
ไกรศักดิ์ยังคงนิ่งไม่ตอบ เขาอยากทดสอบหลานว่ามีความอดทนแค่ไหนในสภาวะเช่นนี้เพราะนี่เพียงเริ่มต้นเท่านั้นในเส้นทาง
“ว่าไงครับลุง” โจย้ำถามเสียงดังขึ้น
“พรานทั้งสามคนพาพวกแกกลับได้พรุ่งนี้นะ ถ้าอยากกลับ” ไกรศักดิ์ยังกดดันต่อ
“ลุงพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงครับ” โจลุกขึ้นยืนพูด
“ไอ้โจ” พีเรียกเตือนแล้วยืนขึ้นตาม
“ผมมาจนถึงที่นี่ แล้วลุงมาบอกให้ผมกลับ ผมก็แค่ต้องการรู้ว่ามาทำอะไรที่นี่แค่นั้น” โจตะโกนใส่
“ฉันไม่ได้ไล่แกกลับ แต่ถ้าแกอ่อนแออย่างนี้มันจะเสียการ” ไกรศักดิ์เน้นคำว่าอ่อนแอเพื่อให้โจโกรธ
“ผมน่ะเหรอครับอ่อนแอ” โจเสียการควบคุมในที่สุด
“ไอ้โจใจเย็นๆ” พีจับแขนพูดเตือนเพื่อน โจสะบัดมือพีออก เหมียวจึงลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อม
ไกรศักดิ์ลุกขึ้นหันหลังเดินออกไปเพื่อทดสอบปฏิกิริยา
“ลุง” โจตะโกนใส่ลุงของเขาแล้วกราดเข้ามาเอื้อมมือจะจับไหล่
ไกรศักดิ์บุรุษผู้คร่ำหวอดกับการต่อสู้มาทั้งชีวิต เขาเอี้ยวตัวหันมาอย่างเร็ว มือข้างหนึ่งจับข้อมือโจกระชากแล้วใช้เท้ายันเท้าโจจนเสียหลักคว่ำหน้าลงกับพื้น จากนั้นจึงบิดแขนให้พับล็อกอยู่ที่หลังแล้วกดโจไว้บนพื้นด้วยเข่าที่หลังและต้นคอ พีและเหมียวถลันเข้ามาจะห้าม ไกรศักดิ์หันมาจ้องหน้า ทั้งสองคนจึงต้องหยุด
“ไอ้โจหลานชั้นที่มีปัญญามันหายไปไหนแล้ว” ไกรศักดิ์ก้มลงพูดคำรามใส่ข้างหูโจ แล้วปล่อยแขนลุกขึ้น
โจยังนอนคว่ำหน้าอยู่เช่นนั้น เขาร้องไห้สะอึกสะอื้น สร้อยขยับจะเข้ามาหาแต่เหมียวถึงตัวโจก่อนสร้อยจึงหยุด เหมียวกับพีพยุงเขาลุกขึ้นมานั่ง ไกรศักดิ์เดินไปนั่งลงไม่พูดอะไรอีก
ทุกคนนั่งเงียบไปครู่ใหญ่ โจรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่แสดงออกไป เขาลุกขึ้นค่อยๆเดินมาก้มกราบไกรศักดิ์
“ผมขอโทษครับคุณลุง” โจพูด แล้วร้องไห้ออกมาอีกเมื่อนึกได้ถึงสิ่งที่พ่อสุรเกียรติเคยเล่าให้ฟัง
พีกับเหมียวตามมานั่งอยู่ด้วย ทั้งสองยกมือไหว้กล่าวคำขอโทษแทนโจ
“พวกเราจะได้รู้ในไม่กี่วันนี้ล่ะ ไม่ใช่จากปากฉัน” ไกรศักดิ์พูดไม่ได้มองหน้าใคร เขาลุกขึ้นหยิบปืนแล้วเดินออกจากกลุ่มหายไปในความมืดของป่า
พีหยิบปืนจะเดินตามออกไปแต่พรานโละห้ามไว้
“อย่าตามไปจ้ะนายพี” พรานโละพูด
“แล้วคุณลุงล่ะคะ” เหมียวหันไปถามพรานโละ
“ไม่มีอันใดแตะต้องนายท่านได้หรอกจ้ะ” พรานโละพูด
เหมียวนั่งกอดประคองโจไว้ พีนั่งอยู่ข้างๆ สร้อยมองอาการของเหมียวด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
“กูขอโทษนะ” โจพูดมองหน้าพีแล้วหันมามองเหมียวด้วย
“ไม่เป็นไร เองก็ใจเย็นๆด้วย กูเชื่อว่าคุณลุงท่านมีเหตุผลบางอย่าง” พีบอกโจ
“ผมก็ต้องขอโทษคุณด้วยนะ” โจหันไปพูดกับเหมียว
“เหมียวเข้าใจ” เธอตอบยังกุมมือเขาไว้
“พี่โละ สร้อย แงซา ผมขอโทษทุกคนนะ” โจพูด ทั้งสามคนพยักหน้ายิ้มรับ
ไกรศักดิ์เดินห่างออกไปในความมืด เขาล้วงเอากล้องส่องกลางคืนแบบสวมหัวสวมใส่ไว้ เขาไม่ได้เดินออกมาด้วยเรื่องของโจแต่ไกรศักดิ์มีเหตุผลอื่น ความจริงแล้วพื้นที่ป่านี้เขารู้จักดีมาตั้งแต่สมัยก่อนที่เขาต้องเอ่ยปากถามพรานโละอยู่เนืองๆเพราะไม่อยากให้หลานทั้งสามคนรู้ว่าเขาเชี่ยวชาญพื้นที่นี้ ไม่เช่นนั้นคำถามอีกมากมายจะตามมา
ไกรศักดิ์มาหยุดยืนมองกองหินที่ถล่มลงมากองปิดปากถ้ำเมื่อนานมาแล้ว กว่ายี่สิบปีที่ธรรมชาติปกปิดร่องรอยไว้ นอกจากต้นไม้เล็กใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมแล้วทุกอย่างยังเป็นเช่นเดิม เหมือนในอดีตที่เขาและพรานผายืนมองอยู่ด้วยกันตรงนี้ เสียงเสือคำรามดังมาจากระยะไม่ไกลมากนัก ไกรศักดิ์มิได้วิตกอะไร เขารู้เหตุผลการตามมาของมันอยู่แล้วจึงยังคงยืนมองแล้วนึกถึงภาพ
“บึ้ม” เสียงระเบิดในอดีตดังก้องขึ้นเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อครู่
“พี่ผา เป็นยังไง” นายทหารหนุ่มตะโกนถามสหาย
“ข้ายังอยู่ดีท่านผู้พัน” พรานผาตอบ
สหายทั้งสองออกจากที่กำบัง กลุ่มควันจากระเบิดและเศษหินเศษดินคลุ้งกระจายไปหมด ทั้งสองเดินมาดูปากถ้ำเมื่อกลุ่มควันจางลง
“เรียบร้อยนะพี่ผา กลบสนิทดี” เขาบอกนายพราน
“ไปผู้พัน เรากลับกันเถอะ ต่อวันหน้าค่อยกลับมาใหม่” พรานผาพูด
แล้วนายทหารจรยุทธกับพรานใหญ่ก็ช่วยกันแบกถุงทะเลขึ้นบ่าเดินจากไป
ไกรศักดิ์ยืนอยู่กับภาพอดีตนั้นจนมีบางสิ่งเข้ามาสัมผัส ลอยาผู้จางพลิ้วลอยอยู่ไม่ห่างจากที่เขายืนอยู่
“พี่ดีใจนะทุกครั้งที่เห็นเจ้าลอยา” เขาหลับตายิ้มพูดออกไป
“อีกไม่นานเราจะได้อยู่ด้วยกัน ดวงใจของพี่” ลอยาจางหายไปอย่างสงบ
ทั้งหกคนขยับตัวเมื่อปรากฏความเคลื่อนไหว เจ้าพรีโม่วิ่งเข้าไปหากลิ่นที่มันรู้จัก ไกรศักดิ์เดินเข้ามา ท่วงท่าจังหวะการเดิน รูปร่างสูงใหญ่ยังสมส่วนเหมือนหลายปีก่อนเมื่อประกอบอุปกรณ์เครื่องสนามและอาวุธสงครามในมือเข้าไปแล้ว เขายังคงสมเป็นพยัคฆ์ร้ายแห่งพงไพรอยู่เช่นเดิม