ธารทิพย์ บทที่ 19

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 18 http://ppantip.com/topic/33052098

            ย่างเข้าวันที่สี่แล้วในการเร่งฝีเท้าเดินทางกลับ ความไม่ปกติบนเส้นทางที่ผ่านมาทำให้คณะต้องตรวจตราระแวดระวังมากขึ้น ไกรศักดิ์และพรานทั้งสามคนกระสากลิ่นสาบของเจ้าลายพาดกลอนที่แรงมากขึ้น เขาเองก็สนเท่ห์กับความเคลื่อนไหวของพวกมัน มันยังคงรักษาระยะห่างอยู่เท่าเดิมตามหลังมา แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือมันเพิ่มจำนวนเป็นกว่าสิบตัวที่ตรวจจับได้จากกล้องส่องทางไกล มันไม่ใช่วิสัยหรือธรรมชาติของพวกมันที่จะรวมกันได้มากอย่างนี้

                “คุณลุงบอกไม่ได้หรือครับ” โจถามขณะที่หยุดพัก

                “ลุงไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน” ไกรศักดิ์ตอบ

                “มันไม่เป็นธรรมชาติแน่ๆ” เขาพูดต่อ

                “นายท่านเพ่งทางทิพย์ดูได้รึไม่จ๊ะ” พรานโละถาม

                “ฉันทำแล้ว มองไม่เห็น อาจยังไม่ถึงเวลาที่จะรู้” ไกรศักดิ์ตอบพรานโละ

                “ฉันเดาใจมันไม่ถูก แต่ยังแน่ใจว่ามันไม่ต้องการทำร้าย จะว่ามันคุ้มกันให้ก็ไม่อยากเชื่อ คุ้มกันจากอะไรล่ะ” ไกรศักดิ์พูดถึงความคิดของเขา

                “ระหว่างนี้ก็เฝ้ามองพวกมันไปก่อน ใครอย่าลั่นกระสุนทำร้ายมันนะ” เขาสั่ง

                “ไป เราไปกันต่อ” ไกรศักดิ์จบการสนทนาลุกขึ้นเดินออกไป

                ขบวนเดินทางเปลี่ยนตำแหน่ง แงซากับพรีโม่นำไปข้างหน้าเช่นเดิมตามด้วยพี โจและเหมียว ไกรศักดิ์กับสร้อยแก้วขยับมาเสริมพรานโละปิดท้าย

                กว่าสามชั่วโมงแล้วที่ไม่มีใครพูดจาอะไร โจเดินคิดถึงอะไรบางอย่างจึงหันไปพูดกับเหมียวที่เดินตามมา

                “ผมอยากให้คุณกลับ” โจพูด เหมียวฟังแล้วจึงเร่งฝีเท้ามาเดินอยู่ข้างๆ

                “กลับยังไง ให้ว่ายน้ำไปเหรอ” เหมียวพูดยิ้มๆให้เขาผ่อนคลาย
    
            “ผมกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ฟังเรื่องภูยมแล้วผมเป็นห่วงคุณ” โจพูด

                “แล้วยังไง จะขับเรือบินไปส่งแล้วขับกลับมาใหม่นี่นะ” เธอพูดขำๆแล้วเกาะแขนเขาไว้

                “ผมซีเรียสนะเนี่ย” โจหันมาบอกเธอ

                “อยากให้หายซีเรียสมั้ย” เหมียวยังคงยิ้ม

                “ทำยังไงครับ” โจถามต่อ

                “ฉันอยากถูกอุ้มบ้าง แบบคุณลุงไกร” เหมียวพูดอมยิ้มมองหน้าเขา

                “ได้ อุ้มให้ถึงเย็นเลย แต่พอค้างแรมขอต่อนะ” โจพูดไม่มองหน้า

                “บ้า” เหมียวผลักไหล่โจไป

                “เอาเป็นว่าเลิกคิดเรื่องห่วงเหมียวได้แล้ว คิดเรื่องทำบ่วงคล้องคอจงอางดีกว่า” เธอพูดดึงเขามากอดข้างๆทีหนึ่งแล้วผลักออกไปใหม่

                พีเหลียวหลังกลับมามองการหยอกล้อของทั้งสอง เขายิ้มสีหน้าเนือยๆแล้วหันกลับไป โจและเหมียวจึงเข้าไปเดินอยู่ข้างๆ

                “กูขอโทษนะ แค่อยากพูดคลายเครียดเท่านั้นล่ะ” โจจับไหล่เพื่อน

                พีเดินยิ้มมองไปข้างหน้า

                “กูไม่ได้อิจฉาหรอกนะ อย่ากังวล แค่กูรู้สึกยังไงก็ไม่รู้ว่ะ” พีหันมองโจกับเหมียว

                “เฮ้ยไอ้พีตาทำไมแดงๆวะ” โจพูด

                “นั่นล่ะ กูเคืองตายังไงไม่รู้ สงสัยน้ำในลำธารเล่นกูซะแล้วมั้ง” พีบอกเพื่อน

                “แล้วอย่างอื่นล่ะคะ ไข้มีมั้ย” เหมียวถาม

                “มันบอกไม่ถูกเหมียว ซึมๆเนือยๆยังไงก็ไม่รู้ แต่ไม่รู้สึกเป็นไข้นะ เรี่ยวแรงก็ยังปกติ” พีบอก

                “เหมียวว่าบอกคุณลุงพักก่อนดีกว่า” เธอพูดแล้วชะลอฝีเท้าหันหลังเดินไป

                “มีอะไรลูกเหมียว” ไกรศักดิ์ถามเมื่อเห็นเหมียวหยุดรอ

                “พี่พีอาการเหมือนจะป่วยค่ะคุณลุง” เหมียวบอก

                ไกรศักดิ์เป่าปากเสียงนกวี๊ดหนึ่ง แงซาที่เดินนำหน้าหันกลับมาหยุดยืนมองแล้วเดินมาหาเมื่อไกรศักดิ์ยกมือสัญญาณให้หยุด

                “ไปพักกันที่ใต้ต้นไม้สองต้นนั่น” ไกรศักดิ์สั่ง

                พรานโละกับพรานแงซาเดินล่วงหน้าไปก่อนเพื่อตรวจพื้นที่ด้านล่างและบนต้มไม้ซึ่งอาจมีงูพิษหรือเสือดำเสือดาวซุ่มตัวอยู่ พรานโละหันมายกมือเป็นสัญญาณว่าปลอดภัยคนที่เหลือจึงเดินเข้าไปนั่งรวมกลุ่มปลดเครื่องหลังออก

                “ไหนเป็นยังไงลูกพี” ไกรศักดิ์ถาม

                “แค่ตาแดงน่ะครับ สงสัยแพ้น้ำในลำธาร” พีบอก

                “เมื่อกี้บอกเนือยๆซึมๆ” โจพูด

                “ก็ใช่ แต่ทั่วๆไปก็ยังโอเคครับคุณลุง” พีบอกย้ำ

                ไกรศักดิ์เงยหน้ามองดวงอาทิตย์อีกครั้งแล้วหันไปถามคนอื่นๆ

                “จะพักกันที่นี่เลยมั้ย อีกสักสองชั่วโมงก็มืดแล้ว จะได้ให้พีพักก่อนด้วย” เขาถาม

                “ดีจ้ะท่านพ่อ เดินอีกสองชั่วยามไหล่เนินจะมาก เสือมันซุ่มง่ายจ้ะ” สร้อยแก้วออกความเห็นอย่างชำนาญทาง

                “งั้นเอาตามนั้น ไปพวกเรา ตั้งค่าย” ไกรศักดิ์สั่งสรุป

                ใกล้ค่ำวันนี้สภาวะค่อนข้างตึงเครียด พีมีอาการแย่ลงเขาเริ่มมีไข้หนาวสั่นมากขึ้น เหมียวกับสร้อยแก้วเอาผลไม้ให้กินก่อนแล้วจัดที่ให้นอนไม่ห่างจากกองไฟนัก

                เสียงเสือคำรามดังไม่ขาดระยะเมื่อพลบค่ำ ไกรศักดิ์และพรานทั้งสามล้อมวงหันหน้าออกเพื่อเตรียมพร้อม กล้องส่องทางไกลไน้ท์วิชั่นที่ไกรศักดิ์แจกจ่ายให้ถูกยกขึ้นส่องตรวจอยู่เป็นระยะ

                “ทำไมวันนี้มันคำรามตลอดเลยคะคุณลุง” เหมียวถาม

                “มันน่าจะสำเหนียกว่ามีเหยื่ออ่อนแอหรือบาดเจ็บ” ลุงไกรบอกแล้วมองไปที่พี

                “มันจะโจมตีมั้ยครับคืนนี้” โจถาม

                “เดาใจมันไม่ถูกว่ามันจะทำอะไร” ลุงไกรตอบหลาน

                “ถ้ามันล่าเหยื่อ มันก็ไม่ใช่แบบนี้” เขาประเมิน

                “มันยังรักษาระยะห่างอยู่เท่าเดิม ยังไงก็ระวังกันไว้แล้วกัน” ไกรศักดิ์บอก

                “ถ้าพีมันป่วยมากขึ้น เราจะกลับทันมั้ยครับ” โจถาม

                “ทันจากอะไร” ไกรศักดิ์ถาม

                “เราอาจต้องพามันกลับเข้าโรงพยาบาลนะครับคุณลุง” โจบอก

                “ก็ต้องลำบากกันหนักกว่าเดิม ต้องหามเปลด้วย” ไกรศักดิ์พูดขมวดคิ้วเริ่มกังวล

                เสียงคำรามหยุดไปนานแล้วเมื่อเริ่มดึกดื่นขึ้น ความตึงเครียดผ่อนคลายลงเพราะกล้องตรวจไม่พบกลุ่มเสือโคร่งอีกหลายชั่วโมงที่อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมทำให้เริ่มอ่อนล้า พรานโละและแงซาซึ่งคุ้นชินกับสภาวะเช่นนี้ยังคงเดินไปเดินมาหยิบโน่นทำนี่อยู่ เหมียวกับสร้อยแก้วช่วยกันจับตัวดูอาการของพีอยู่ไม่ห่าง

                “นายท่านพักผ่อนเถอะจ้ะ พวกมันถอยไปห่างแล้ว ฉันกับแงซาจะนั่งยามเอง” พรานโละเดินมาบอกไกรศักดิ์

                “ดีเหมือนกัน แล้วปลุกฉันกับโจด้วยนะ” ไกรศักดิ์บอก

                “นายท่านหลับเถอะจ้ะ” พรานโละยิ้มบอก

                พรานโละกับแงซาช่วยกันเติมฟืนแล้วกลับมานั่งยาม คนที่เหลือขยับล้มตัวลงนอนเอาแรง โจเดินมามองดูพีอีกครั้งขณะที่เหมียวกำลังเช็ดหน้าให้พีเพื่อลดไข้

                “ไข้สูงมั้ยคุณ” โจถาม

                “สูงนะ ตัวร้อนมาก” เหมียวตอบ

                “ทานยาแก้ไข้ไปสองครั้งแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น” เธอแสดงความกังวล

                “คุณนอนเถอะเหมียวจะดูแลเอง” เธอบอก

                “มีอะไรเรียกผมนะ” โจบอก

                เหมียวพยักหน้ารับแล้วเอนตัวนอน โจนอนลงใกล้ๆกับเธอ

                ดึกสงัดใกล้จะค่อนรุ่งไกรศักดิ์ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น พรานโละมองเขาอยู่ด้วยสีหน้าเครียดจัด แงซานั่งหน้าตื่นอยู่ข้างๆเขาด้วย

                “เกิดเรื่องใหญ่แล้วนายท่าน” พรานโละพูด
    
            ไกรศักดิ์รีบลุกขึ้นนั่งจ้องหน้พรานโละ

                “อะไร มีอะไรโละ” เขาถาม

                “นายพีหายไปจ้ะท่าน” พรานโละบอก

                “หา” ไกรศักดิ์อุทานแล้วลุกพรวดพราดขึ้น

                ไกรศักดิ์มองไปรอบๆตัว ที่ๆพีนอนอยู่เมื่อคืนว่างเปล่า ข้าวของเครื่องใช้ของพียังอยู่ครบ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ใดๆให้เห็นเหมือนพีลุกขึ้นไปเอง

                “เมื่อไหร่” ไกรศักดิ์หันไปถามพรานโละ

                “ฉันไม่รู้จ้ะนายท่าน” พรานโละตอบ

                “แงซาล่ะ” ไกรศักดิ์หันไปถาม

                “ฉันไม่เห็นเลยจ้ะ” แงซาหน้าตื่นพูดยกมือไหว้
    
            สร้อยแก้ว โจและเหมียวตื่นขยับตัวเมื่อได้ยินเสียงไต่ถามที่ดังขึ้น

                “มีอันใดจ๊ะพ่อ” สร้อยแก้วเอ่ยถามเธอขยับลุกขึ้น

                “พี่พีไปไหน” เหมียวถามเบาๆเมื่อตื่นแล้วหันไปมองที่ที่พีนอน

                “มาผมนั่งยามต่อ” โจพูดยังงัวเงียอยู่

                “เกิดเรื่องใหญ่แล้วทุกคน” ไกรศักดิ์พูดมองมาที่ทั้งสามคน

                โจ เหมียวและสร้อยแก้วสะบัดหน้าแล้วเอาฝ่ามือลูบใบหน้าให้ตื่น

                “มีอะไรครับ” โจถาม

                “พีหายไป” ไกรศักดิ์พูดเสียงหนัก

                “หา” ทั้งสามอุทานแล้วลุกขึ้นพรวดพราด

                “ไอ้พีหายไปไหนครับ” โจถามอย่างตกใจ

                “เค้าเป็นไข้อยู่จะไปไหนได้คะ” เหมียวพูดแล้วมองไปรอบๆป่าที่ยังมืดสนิทอยู่

                “ของพี่พียังอยู่นี่จ๊ะท่านพ่อ” สร้อยแก้วบอกเมื่อเห็นของที่ยังวางอยู่

                ทุกคนมองหน้ากันไปมาแล้วหันไปหยิบอาวุธแยกย้ายกันเดินออกไปรอบๆบริเวณค่ายพัก แงซารีบหยิบท่อนไม้ฟืนหลายท่อนโยนใส่กองไฟทั้งสามกองเพื่อให้สว่างมากขึ้น

                “ท่านพ่อจ๊ะ นี่รอยเท้า” สร้อยร้องบอกเธอคุกเข่าข้างเดียวก้มมองร่องรอย

                ทุกคนรีบเดินกลับมาหาตำแหน่งที่สร้อยนั่งมองอยู่

                ไกรศักดิ์นั่งลงมองรอยเท้าแล้วหันมองไปทิศทางที่รอยนั้นเดินออกไป เขารีบเดินไปดึงกล้องมองกลางคืนแบบสวมหัวจากเป้หลังออกมาสวมไว้แล้วหันมาสั่งการ

                “คนอื่นอยู่เฝ้าค่าย โละมากับชั้น” ไกรศักดิ์สั่งการ

                “ท่านพ่อ” สร้อยแก้วเรียกพ่อด้วยความเป็นห่วงจะขอตามไปด้วย

                “ลูกต้องอยู่ดูแลที่นี่” ไกรศักดิ์บอกสั้นๆ

                “ผมขอไปด้วย” โจพูด

                “ไม่ได้ อยู่ช่วยกันที่นี่ดูแลเหมียวไว้” ลุงไกรสั่งเด็ดขาดเหมือนทหาร

                ไกรศักดิ์รีบเดินออกไป พรานโละถือคบเพลิงที่ทำขึ้นเอาไว้ใช้เวลาตั้งค่ายเดินตามไปติดๆ
    
            สถานการณ์ที่บีบรัดเขม็งเกลียวอยู่ก่อนแล้วเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุดเวลานี้ หนึ่งในคณะเดินทางหายไปอย่างไม่มีเหตุผล ที่ร้ายกว่านั้นก็คือรอยเท้านั้นมุ่งย้อนกลับไปถ้ำตโมหรสวนทางกับกลุ่มเสือโคร่งที่ตามหลังมา
    
            ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกินในการตามรอยเวลากลางคืน พรานโละใช้คบเพลิงส่องมองหาร่องรอยนำไปข้างหน้า โดยมีไกรศักดิ์ที่สวมกล้องมองในความมืดคอยคุ้มกัน ทั้งสองต้องค่อยๆแกะรอยไปอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้พลาด แต่ในใจกลับร้อนรนอย่างเหลือเกิน เขาครุ่นคิดอย่างหนักว่ามันคืออะไรกัน

            หลานชายที่เขารับปากวิเชียรกับแสงดาวว่าจะดูแลหายไปกับกลุ่มเสือโคร่ง เขาป่วยแทบไม่มีแรง ไม่มีร่องรอยของการเป็นเหยื่อ
    
            ฟ้าสางแล้ว สี่คนที่ค่ายเดินไปเดินมาร้อนรุ่มกระวนกระวายอย่างหนัก หนึ่งที่หายไปแล้วกับอีกสองที่ตามไปแล้วยังไม่กลับ

                สร้อยแก้วร้อนรนยิ่งกว่าใครทั้งหมด เธอรู้ดีว่าวิถีของการเดินป่าควรทำเช่นไรยามนี้ แต่ความเป็นห่วงท่านพ่อที่เพิ่งจะได้พบกัน พ่อโละที่เลี้ยงดูมาไหนจะพี่พีซึ่งรักใคร่ดุจพี่ชายอีก เธอยั้งเท้าอยู่หลายครั้งลังเลที่จะออกตามหรือนั่งรอตามคำสั่งท่านพ่อ

                “ถ้าป่าแจ้งแล้วท่านพ่อไม่กลับ อ้ายแงซาอยู่เฝ้าพี่สองคนนะ ฉันจะออกตาม” สร้อยแก้วหันไปบอกแงซา

                “ถ้าสว่างแล้วก็ควรไปด้วยกันหมดนี่ล่ะ” โจพูด

                “ไม่ควรจ้ะ อาจยังมีเสือหลายตัวเฝ้าอยู่” สร้อยแก้วหันไปพูดกับโจ

                “ค่อยๆคิดกันดีกว่า” เหมียวพูดขึ้น

                ลุงไกรศักดิ์และพรานโละปรากฏตัวเดินออกมาจากราวป่าเพียงสองคน ทั้งสี่หน้าเสียเมื่อไม่เห็นพีกลับมาด้วยจึงรีบวิ่งเข้าไปหา

                “ไม่เจอไอ้พีเหรอครับ” โจถามละล่ำละลัก

                “ไม่เจอ” ไกรศักดิ์ตอบสั้นๆก้มหน้าแล้วทรุดนั่งลงบนขอนไม้

                “พ่อจ๊ะ รอยเป็นเยี่ยงไรจ๊ะ” สร้อยแก้วรีบถามพ่อโละ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่