ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 40
http://ppantip.com/topic/33340183
“การเดินทางไปวะสะธารานั่นก็ยากแล้ว ยากตรงที่เราไม่สามารถคิดอะไรได้เองเลย” ลุงไกรพูด
“ในฐานะของมนุษย์ เมื่อเราไม่รู้ว่าสถานที่นั้นอยู่ที่ไหน จะเดินไปหนทางไหน นั่นคือความกดดัน” ลุงไกรพูดต่อ
“แค่ลุงจะไปบอกกล่าวขอขมาลอยา ยังจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไร”
“กลับมีบุพกรรมในชาติภพอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย” ลุงไกรพูดแล้วมองหน้าทุกคนที่ตั้งใจฟังอยู่
“แล้วทีนี้จะคิดอย่างไรต่อไปล่ะ ยากขึ้นอีกหลายเท่า” ลุงไกรพูด
“ลุงสัมผัสได้ว่า ลอยามีเวรกรรมผูกกับท่านแม่ทัพพยัคฆราชไว้แต่ปางก่อน”
“ไหนจะลูกสร้อยแก้ว พระนางจันทร์สุดา แล้วอีกคนที่ต้องไม่ลืม”
“คุณยายแก่ที่ให้ดาบคู่ ก้อนแร่สีเทา แหวนสองวงแล้วก็แท่งไม้สีน้ำเงินกับลุงมา ท่านเป็นใคร”
“คำพูดที่ให้ลุงสัญญาว่า นำความรักแห่งข้า อีกทั้งเมตตาแห่งเจ้าไปมอบให้ลูกข้า” ท่านไกรศักดิ์พูดจบ
“น่าจะเป็นท่านแม่ของท่านแม่ทัพพยัคฆราชหรือเปล่าคะ” เหมียวพูด
“คงใช่ ท่านถึงมอบดาบคู่มาให้ แล้วก็คำว่า มอบความรักแห่งข้าให้ลูก” ลุงไกรศักดิ์พูด
“และเมตตาแห่งเจ้า”
“คำนี้ลุงคิดไม่ออก ว่าลุงจะมอบความเมตตาของลุงให้ท่านแม่ทัพพยัคฆราชได้อย่างไร” ลุงไกรพูด
“เพลาเยี่ยงนี้นายพีกับนายโจพึงหมั่นเพียรกรรมฐานเถอะจ้ะ” พรานโละพูดเบาๆ
ทั้งหมดหันไปมองหน้าพรานโละซึ่งโดยปกติจะไม่ค่อยพูดออกความเห็นอะไร
“โละพูดถูก” ท่านลุงพูด
“จริงอย่างพี่โละพูด อีกอย่าง” พีพูดยิ้มแล้วจับมือพรานโละที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“พี่โละเรียกชื่อผมสองคนเฉยๆเถอะ อย่าเรียกนายพีนายโจเลย” พีพูด
“ผมสองคนถือพี่โละเป็นญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวนะ” โจพูด
“นายหญิงด้วย เลิกเรียกได้แล้วนะจ๊ะ เรียกเหมียวเฉยๆ” เหมียวยิ้มพูดกับพรานโละ
“จ้ะ” พรานโละพูดยิ้มตอบทั้งสามคน
ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกที่ปลายขอบฟ้ามาสามครั้งแล้วจากการหมุนรอบตัวเองของโลกใบนี้ หกชีวิตยังถูกกักอยู่ในถ้ำทิพย์เช่นเดิม เวลาแห่งการรอคอยถูกใช้ไปในการสนทนาทั้งประเมินสถานการณ์และพูดคุยเรื่องเฮฮาเบาๆให้ผ่อนคลาย เล่นน้ำดำน้ำสำรวจเพื่อหวังจะได้พบสัญญาณที่คืบหน้า แต่พวกเขายังหาทางออกไม่พบอยู่จนถึงเวลานี้
ท่านลุงไกรศักดิ์ พีและโจอยู่ในกรรมฐานอย่างมุ่งมั่น สภาวะจิตที่นิ่งสงบเท่านั้นจึงจะสัมผัสกับสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ ลุงไกรบอกชายหนุ่มทั้งสองเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ดังเช่นกลางดึกคืนนี้ตามเวลาการหมุนของโลก
เหมียวเอนตัวนอนไขว้สองแขนรองหัวอยู่บนเป้หลังที่ใช้แทนหมอน ปล่อยความคิดให้ล่องลอยออกไป ตามองอยู่ที่ด้านหลังของโจซึ่งนั่งขัดสมาธินิ่งหันหน้าเข้าหาริมแอ่งน้ำ ความรู้สึกของหญิงสาวเวลานี้ถ้านอกจากเรื่องพ่อแม่ที่อยู่ที่โพรว๊องซ์ฝรั่งเศสแล้ว เธอคิดว่าลิขิตได้ชักนำให้เธอเดินมาถูกทางแล้วในชีวิต บุรุษที่นั่งหันหลังให้ผู้นี้ต่างจากหนุ่มหล่อสำอางที่ตามจีบเธอตั้งแต่ยุโรปยันประเทศไทยโดยสิ้นเชิง เขามีสาระของชีวิต มีความมุ่งมั่นอยู่ในตัว และที่หญิงสาวนิยมชมชอบที่สุดคือเขาไม่เคยวางหรือมีมาดของลูกเศรษฐีหมื่นล้านที่ทำตัวไร้สาระปรากฏให้เห็นเลย เธอมั่นใจตั้งแต่นาทีแรกที่ตัดสินใจร่วมทางมา ว่าสิ่งมีค่าทั้งหลายในโลกนั้นจะไม่มีวันหยิบฉวยมาครอบครองได้โดยง่าย โดยเฉพาะเมื่อสิ่งมีค่านั้นคือมนุษย์ มิตรจิตต้องแลกมาด้วยมิตรใจ อยากได้ความรักต้องแลกด้วยความรัก อยากได้หัวใจก็ต้องเอาหัวใจเข้าแลก และเธอก็พร้อมจะพิสูจน์ให้ชายหนุ่มเห็นว่า เธอคืออัญมณีเม็ดงามที่เขาควรไขว่คว้ามาประดับชีวิตเช่นกัน
“เหมียวรักคุณมากนะ รู้หรือเปล่า” คำที่หญิงสาวคิดในใจถึงเขาแล้วอมยิ้มหลับตาพริ้มลง
สร้อยแก้วอีกสาวหนึ่งก็เช่นเดียวกัน เธอนอนมองร่างที่เธอเชื่อสนิทใจว่าเขาคือแม่ทัพหน้าพยัคฆราช บุรุษผู้เป็นความรักของพระนางจันทร์สุดาในอดีตชาติ คำพูดของท่านพ่อไกรศักดิ์ในสิ่งที่ท่านปู่ผาบอกกล่าวทำให้เธอแน่แก่ใจว่า ที่เธอนุ่งซิ่นของนางกษัตริย์ในความฝันเดียวกันกับเขานั้น บอกกล่าวถึงการเป็นคู่รักที่ข้ามภพชาติมาเกิด หญิงสาวนอนตะแคงตัวหนุนแขนมองเขาอยู่จนผล็อยหลับไป
พรานโละเมื่อดูแลทุกอย่างเสร็จแล้วจึงเอนกายลงพักผ่อน พรานป่ามองท่านไกรศักดิ์ที่นั่งสงบนิ่งอยู่ในกรรมฐาน ความคิดของเขาย้อนไปยังอดีตที่จอมพยัคฆแห่งพงไพรผู้นี้ได้ช่วยชีวิตเขากับลอยาน้องสาวหอบหิ้วกันมา ทั้งย้อนคิดถึงคำสอนของพ่อครูพรานผาที่เคยสั่งสอนให้เริ่มฝึกสมาธิจิต พรานป่านอนถามตัวเองว่านี่ถึงเวลาที่เขาควรปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพ่อครูแล้วหรือไม่เพื่อท่านผู้มีพระคุณ เพื่อครอบครัวทั้งหมด และเพื่อตนเองด้วย พรานโละขยับตัวลุกขึ้นด้วยแรงบันดาลใจดังกล่าว เขารวบรวมความทรงจำถึงสิ่งที่พ่อครูพรานผาสอนสั่งในการฝึกกรรมฐานแล้วนั่งขัดสมาธิสงบจิตลง
ดึกสงัดแล้ว โพรงถ้ำใหญ่สงบปราศจากเสียงใดๆอีกครั้งเมื่อสี่มนุษย์ผู้ชายนั่งนิ่งอยู่ในกรรมฐาน กับอีกสองมนุษย์ผู้หญิงหลับนิ่งอยู่ในความฝัน
ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น เสียงที่ฟังคุ้นหูเป็นเสียงของวัตถุสองชิ้นกระทบผิวน้ำก็ดังขึ้น ปลุกท่านลุงไกรศักดิ์และโจให้ลืมตาขึ้นจากกรรมฐาน รวมทั้งสาวเหมียวด้วย เธอลืมตาตื่นทันทีแล้วลุกขึ้นนั่งเงี่ยหูฟังเสียงนั้น พีและพรานโละยังนั่งสงบ สร้อยแก้วก็ยังหลับนิ่งอยู่เช่นเดิม
ทั้งท่านลุงไกรศักดิ์ โจและเหมียวขมวดคิ้วมองจ้องไปบนผิวน้ำของแอ่งที่ยังคงเรียบสนิท ไม่มีการกระเพื่อมใดๆเกิดขึ้นบนผิวน้ำที่ควรจะสอดคล้องกับเสียงที่ได้ยิน ไม่ถึงอึดใจสิ่งแปลกประหลาดอันเป็นที่มาของเสียงนั้นก็ปรากฏขึ้น
วัตถุสองชิ้นค่อยๆลอยขึ้นจากส่วนลึกของก้นแอ่งช้าๆ มองเห็นได้อย่างเลือนรางด้วยความลึกแล้วค่อยๆชัดขึ้นชัดขึ้นเมื่อใกล้จะถึงผิวน้ำ เหมียวรีบลุกขึ้นขยับมายืนมองที่ริมแอ่งน้ำ ท่านลุงไกรศักดิ์และโจก็ขยับจากท่านั่งขัดสมาธิลุกขึ้นยืนมองด้วย พวกเขาขนลุกเกลียวทั้งตัวเมื่อวัตถุสองชิ้นนั้นลอยมาถึงผิวน้ำ มันผ่านผิวน้ำโดยไม่มีการกระเพื่อมแล้วลอยขึ้นช้าๆจนไปติดนิ่งอยู่บนเพดานถ้ำ
อึดใจใหญ่ๆที่ทั้งสามคนยืนแข็งทื่อจ้องมองวัตถุสองชิ้นบนเพดานถ้ำอยู่นั้น ท่านลุงไกรศักดิ์จึงพูดขึ้นเบาๆ
“ปลุกทุกคน” ท่านลุงไกรศักดิ์สั่ง แหงนหน้ามองนิ่งอยู่ที่วัตถุสองชิ้นนั้น
โจรีบเดินไปแตะเบาๆที่แขนพีและพรานโละให้รู้สึกตัวออกจากกรรมฐาน เหมียวก็ปลุกสร้อยแก้วเบาๆให้ตื่นขึ้นด้วย ทั้งสามคนรู้สึกตัวกลับสู่สามัญสำนึกแล้วและเริ่มรับรู้ว่าถูกปลุกเพราะมีความไม่ปกติเกิดขึ้นด้วยการพยักหน้าพูดบอกเบาๆให้ตามมาที่ริมแอ่งน้ำพร้อมกัน
ครอบครัวทั้งหกคนแหงนหน้าตะลึงมองด้วยกันที่เพดานถ้ำ สิ่งที่ลอยขึ้นไปติดอยู่นั้นคือดาบสองเล่มที่ยังอยู่ในฝักดาบ และเหตุที่พวกเขาต้องตะลึงอยู่อย่างนั้นเพราะมันเหมือนกันกับดาบคู่ที่ลุงไกรได้มาจากหญิงชราซึ่งมอบให้พีผู้เป็นทัพหน้าสะพายมาตลอดทาง
พีหันไปมองดาบคู่ของเขาซึ่งยังคงวางอยู่ที่เดิมแล้วพูดขึ้น
“ดาบคู่ของผมยังอยู่ตรงนั้น แล้วดาบคู่นั่นล่ะ” พีพูดเบาๆ ทั้งห้าคนหันไปมองดาบของพีที่วางอยู่พร้อมกัน
“มาจากไหนครับ” พีพูดต่อ
“กำลังนั่งกรรมฐานอยู่ รู้สึกตัวเพราะมีเสียงของตกน้ำเลยลืมตาขึ้น” ท่านลุงไกรศักดิ์พูด
“พอลืมตาขึ้นมาเห็นผิวน้ำยังนิ่งอยู่เลยนั่งคอยมอง” โจพูด
“แล้วดาบสองเล่มบนนั้นก็ลอยขึ้นมาจากก้นแอ่ง ผ่านผิวน้ำโดยไม่กระเพื่อม”
“แล้วก็ลอยขึ้นไปติดอยู่บนเพดานถ้ำนั่นล่ะ” โจพูดจบ
สามคนที่ถูกปลุกขึ้นมาทีหลังฟังแล้วขนลุกเกลียวตามไปด้วย
“โอ้โห…” พีอุทานยาวเบาๆแล้วก้มลงยิ้มส่ายหน้าให้กับความรู้สึกลึกลับที่เกิดขึ้นใหม่
“ลำพังปริศนาเดิมก็ยังคิดไม่ตกอยู่แล้วนะ แล้วนี่อะไรอีก” พีบ่นพึมพำเบาๆ
“บนเส้นทางนี้ แค่ความดี อุตสาหะและศรัทธาไม่พอค่ะ ต้องมีปัญญาด้วย”เหมียวพูดขึ้น
“นี่อาจจะเป็นทางออกของพวกเราก็ได้”
“นั่งลงช่วยกันไตร่ตรองให้ดี” หญิงสาวพูด
ทั้งหกคนนั่งลงที่ริมแอ่งน้ำด้วยกัน มองลงไปในน้ำสลับกับแหงนมองดาบที่ติดอยู่ข้างบนสลับกันไปมา นานครู่ใหญ่ที่พวกเขายังงุนงงกับปรากฏการณ์ประหลาด แม้จะครุ่นคิดตีความอย่างไรก็ยังไขปริศนาไม่ออก
พีลุกขึ้นไปหยิบเอากล้องส่องทางไกลและดาบคู่ของเขากลับมานั่งลงริมแอ่งน้ำ เขาส่องมองรายละเอียดของดาบคู่ที่ติดอยู่บนเพดานถ้ำเทียบกับดาบคู่ของเขาแบบเทียบกันทุกตารางนิ้ว
“ดาบคู่เดียวกัน เหมือนกันทุกอย่าง” พีพูดแล้วเหลือบตามองทุกคน
“จะว่ามีท่านใดส่งมาให้ก็ไม่ใช่แน่” พีพูดต่อ
“ทำไมคิดว่าไม่ใช่” โจถาม
“ถ้ามีพระองค์ใดส่งมา ดาบที่ติดอยู่บนเพดานแบบนั้น เราจะขึ้นไปเอามายังไง” พีพูดสีหน้าครุ่นคิด
“แล้วถ้าไม่ใช่ดาบคู่เดียวกันแต่คนที่ทำจงใจจะทำให้เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วล่ะ” โจพูด
“คำถามแบบนั้นเลิกกัน ไม่ต้องหาคำตอบ หยุดคิดได้เลยคิดไม่ออกหรอก” พีตอบ
“นั่นซิคะ” เหมียวเห็นด้วยกับพี
“เอาใหม่นะคะ” เหมียวพูด
“ถ้าเป็นดาบคู่แฝด นั่นเราหยุดคิดเลยอย่างพี่พีพูด เหมียวเห็นด้วย”
“ถ้าเป็นดาบคู่เดียวกัน คู่หนึ่งอยู่ในมือพี่พี อีกคู่หนึ่งลอยขึ้นจากน้ำไปติดอยู่บนเพดาน”
“ทำไมถึงมาปรากฏอยู่ในสถานที่เดียวกันได้” เหมียวแหงนมองเพดานอย่างครุ่นคิด
“เพลาเยี่ยงนี้เรายังติดกักในถ้ำนะจ๊ะ เรามิพึงหาทางปลดออกสู่ภายนอกรึไรจ๊ะ” สร้อยแก้วพูดทักท้วง
“ถูกของน้องสร้อยแก้ว เราลืมเรื่องดาบคู่บนนั้นแล้วหาทางออกกันต่อดีมั้ย” โจพูด
“ในกรรมฐานท่านพ่ออีกทั้งท่านพี่ทั้งสองมิพบสิ่งใดรึจ๊ะ” สร้อยแก้วถาม
“ไม่สัมผัสอะไรเลย” ท่านพ่อไกรศักดิ์ตอบลูก
“ผมก็สงบ ไม่พบอะไรเหมือนกัน” โจพูด
“เอ็งล่ะ เห็นอะไรบ้างมั้ย” โจหันมาถามเพื่อน
พีส่ายหน้าไม่พูดอะไร
“มาทำไม มายังไง มาเพื่ออะไร” พีพูดเหมือนบ่น ชายหนุ่มกำมือใช้ฟันกัดเบาๆที่นิ้วหัวแม่มือ ตามองจ้องลงไปในน้ำสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก
สาวเหมียวก็เช่นกัน เธอกลั่นทุกเซลสมองออกมาใช้เวลานี้เพื่อจะตีความปรากฏการณ์นี้ให้แตกให้ได้ ปริศนานั้นยากเข็ญนักสำหรับมนุษย์ผู้ไม่สามารถที่จะมองเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ด้วยตาเนื้อตาหนังของตนเอง หลายครั้งของความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เริ่มก้าวเท้าไปถ้ำตโมหรเพื่อพบกับพรานผาจนถึงวันนี้ เกือบทุกครั้งท่านลุงไกรศักดิ์จะเป็นผู้ที่สื่อได้และบอกกล่าวให้เป็นประโยชน์ แต่วันนี้ วันที่หกชีวิตติดกับอยู่ในถ้ำทิพย์ไม่มีทางออก ทั้งท่านลุงไกรศักดิ์ โจ พีและพรานโละผู้อยู่ในกรรมฐานกลับบอกอะไรไม่ได้เลย
“มหาเทพฯผู้ทรงฤทธิ์” เหมียวรำพึงออกมาเบาๆจ้องมองผิวน้ำ
อีกห้าคนหันมามองหน้ารอฟังเธอพูด
“พระองค์ทดสอบความอุตสาหะให้เราเดินมาในถ้ำที่ไร้จุดหมายอย่างทุกข์ยาก”
“พระองค์ทดสอบจิตใจมนุษย์ ว่ายอมตายแทนผู้อื่นได้จริงมั้ย”
“และตอนนี้ พระองค์กำลังทดสอบปัญญาของมนุษย์ ว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน”
“เพราะปัญญานั้นจะมีมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับบุญทานบารมีที่สร้างสมมา”
“เพราะฉะนั้น เวลานี้เราควรใคร่ครวญด้วยปัญญาอย่างเดียว”
“หยุดคิดเรื่องดาบไว้ก่อน เราติดกับ สิ่งนี้พระองค์กำลังบอกอะไรเรา” เหมียวพูดจบแล้วมองจ้องหน้าทุกคน
ท่านลุงไกรศักดิ์เอื้อมมือมาจับไหล่เธอยิ้มให้
ธารทิพย์ บทที่ 41
ธารทิพย์ บทที่ 40 http://ppantip.com/topic/33340183
“การเดินทางไปวะสะธารานั่นก็ยากแล้ว ยากตรงที่เราไม่สามารถคิดอะไรได้เองเลย” ลุงไกรพูด
“ในฐานะของมนุษย์ เมื่อเราไม่รู้ว่าสถานที่นั้นอยู่ที่ไหน จะเดินไปหนทางไหน นั่นคือความกดดัน” ลุงไกรพูดต่อ
“แค่ลุงจะไปบอกกล่าวขอขมาลอยา ยังจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไร”
“กลับมีบุพกรรมในชาติภพอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย” ลุงไกรพูดแล้วมองหน้าทุกคนที่ตั้งใจฟังอยู่
“แล้วทีนี้จะคิดอย่างไรต่อไปล่ะ ยากขึ้นอีกหลายเท่า” ลุงไกรพูด
“ลุงสัมผัสได้ว่า ลอยามีเวรกรรมผูกกับท่านแม่ทัพพยัคฆราชไว้แต่ปางก่อน”
“ไหนจะลูกสร้อยแก้ว พระนางจันทร์สุดา แล้วอีกคนที่ต้องไม่ลืม”
“คุณยายแก่ที่ให้ดาบคู่ ก้อนแร่สีเทา แหวนสองวงแล้วก็แท่งไม้สีน้ำเงินกับลุงมา ท่านเป็นใคร”
“คำพูดที่ให้ลุงสัญญาว่า นำความรักแห่งข้า อีกทั้งเมตตาแห่งเจ้าไปมอบให้ลูกข้า” ท่านไกรศักดิ์พูดจบ
“น่าจะเป็นท่านแม่ของท่านแม่ทัพพยัคฆราชหรือเปล่าคะ” เหมียวพูด
“คงใช่ ท่านถึงมอบดาบคู่มาให้ แล้วก็คำว่า มอบความรักแห่งข้าให้ลูก” ลุงไกรศักดิ์พูด
“และเมตตาแห่งเจ้า”
“คำนี้ลุงคิดไม่ออก ว่าลุงจะมอบความเมตตาของลุงให้ท่านแม่ทัพพยัคฆราชได้อย่างไร” ลุงไกรพูด
“เพลาเยี่ยงนี้นายพีกับนายโจพึงหมั่นเพียรกรรมฐานเถอะจ้ะ” พรานโละพูดเบาๆ
ทั้งหมดหันไปมองหน้าพรานโละซึ่งโดยปกติจะไม่ค่อยพูดออกความเห็นอะไร
“โละพูดถูก” ท่านลุงพูด
“จริงอย่างพี่โละพูด อีกอย่าง” พีพูดยิ้มแล้วจับมือพรานโละที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“พี่โละเรียกชื่อผมสองคนเฉยๆเถอะ อย่าเรียกนายพีนายโจเลย” พีพูด
“ผมสองคนถือพี่โละเป็นญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวนะ” โจพูด
“นายหญิงด้วย เลิกเรียกได้แล้วนะจ๊ะ เรียกเหมียวเฉยๆ” เหมียวยิ้มพูดกับพรานโละ
“จ้ะ” พรานโละพูดยิ้มตอบทั้งสามคน
ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกที่ปลายขอบฟ้ามาสามครั้งแล้วจากการหมุนรอบตัวเองของโลกใบนี้ หกชีวิตยังถูกกักอยู่ในถ้ำทิพย์เช่นเดิม เวลาแห่งการรอคอยถูกใช้ไปในการสนทนาทั้งประเมินสถานการณ์และพูดคุยเรื่องเฮฮาเบาๆให้ผ่อนคลาย เล่นน้ำดำน้ำสำรวจเพื่อหวังจะได้พบสัญญาณที่คืบหน้า แต่พวกเขายังหาทางออกไม่พบอยู่จนถึงเวลานี้
ท่านลุงไกรศักดิ์ พีและโจอยู่ในกรรมฐานอย่างมุ่งมั่น สภาวะจิตที่นิ่งสงบเท่านั้นจึงจะสัมผัสกับสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ ลุงไกรบอกชายหนุ่มทั้งสองเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ดังเช่นกลางดึกคืนนี้ตามเวลาการหมุนของโลก
เหมียวเอนตัวนอนไขว้สองแขนรองหัวอยู่บนเป้หลังที่ใช้แทนหมอน ปล่อยความคิดให้ล่องลอยออกไป ตามองอยู่ที่ด้านหลังของโจซึ่งนั่งขัดสมาธินิ่งหันหน้าเข้าหาริมแอ่งน้ำ ความรู้สึกของหญิงสาวเวลานี้ถ้านอกจากเรื่องพ่อแม่ที่อยู่ที่โพรว๊องซ์ฝรั่งเศสแล้ว เธอคิดว่าลิขิตได้ชักนำให้เธอเดินมาถูกทางแล้วในชีวิต บุรุษที่นั่งหันหลังให้ผู้นี้ต่างจากหนุ่มหล่อสำอางที่ตามจีบเธอตั้งแต่ยุโรปยันประเทศไทยโดยสิ้นเชิง เขามีสาระของชีวิต มีความมุ่งมั่นอยู่ในตัว และที่หญิงสาวนิยมชมชอบที่สุดคือเขาไม่เคยวางหรือมีมาดของลูกเศรษฐีหมื่นล้านที่ทำตัวไร้สาระปรากฏให้เห็นเลย เธอมั่นใจตั้งแต่นาทีแรกที่ตัดสินใจร่วมทางมา ว่าสิ่งมีค่าทั้งหลายในโลกนั้นจะไม่มีวันหยิบฉวยมาครอบครองได้โดยง่าย โดยเฉพาะเมื่อสิ่งมีค่านั้นคือมนุษย์ มิตรจิตต้องแลกมาด้วยมิตรใจ อยากได้ความรักต้องแลกด้วยความรัก อยากได้หัวใจก็ต้องเอาหัวใจเข้าแลก และเธอก็พร้อมจะพิสูจน์ให้ชายหนุ่มเห็นว่า เธอคืออัญมณีเม็ดงามที่เขาควรไขว่คว้ามาประดับชีวิตเช่นกัน
“เหมียวรักคุณมากนะ รู้หรือเปล่า” คำที่หญิงสาวคิดในใจถึงเขาแล้วอมยิ้มหลับตาพริ้มลง
สร้อยแก้วอีกสาวหนึ่งก็เช่นเดียวกัน เธอนอนมองร่างที่เธอเชื่อสนิทใจว่าเขาคือแม่ทัพหน้าพยัคฆราช บุรุษผู้เป็นความรักของพระนางจันทร์สุดาในอดีตชาติ คำพูดของท่านพ่อไกรศักดิ์ในสิ่งที่ท่านปู่ผาบอกกล่าวทำให้เธอแน่แก่ใจว่า ที่เธอนุ่งซิ่นของนางกษัตริย์ในความฝันเดียวกันกับเขานั้น บอกกล่าวถึงการเป็นคู่รักที่ข้ามภพชาติมาเกิด หญิงสาวนอนตะแคงตัวหนุนแขนมองเขาอยู่จนผล็อยหลับไป
พรานโละเมื่อดูแลทุกอย่างเสร็จแล้วจึงเอนกายลงพักผ่อน พรานป่ามองท่านไกรศักดิ์ที่นั่งสงบนิ่งอยู่ในกรรมฐาน ความคิดของเขาย้อนไปยังอดีตที่จอมพยัคฆแห่งพงไพรผู้นี้ได้ช่วยชีวิตเขากับลอยาน้องสาวหอบหิ้วกันมา ทั้งย้อนคิดถึงคำสอนของพ่อครูพรานผาที่เคยสั่งสอนให้เริ่มฝึกสมาธิจิต พรานป่านอนถามตัวเองว่านี่ถึงเวลาที่เขาควรปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพ่อครูแล้วหรือไม่เพื่อท่านผู้มีพระคุณ เพื่อครอบครัวทั้งหมด และเพื่อตนเองด้วย พรานโละขยับตัวลุกขึ้นด้วยแรงบันดาลใจดังกล่าว เขารวบรวมความทรงจำถึงสิ่งที่พ่อครูพรานผาสอนสั่งในการฝึกกรรมฐานแล้วนั่งขัดสมาธิสงบจิตลง
ดึกสงัดแล้ว โพรงถ้ำใหญ่สงบปราศจากเสียงใดๆอีกครั้งเมื่อสี่มนุษย์ผู้ชายนั่งนิ่งอยู่ในกรรมฐาน กับอีกสองมนุษย์ผู้หญิงหลับนิ่งอยู่ในความฝัน
ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น เสียงที่ฟังคุ้นหูเป็นเสียงของวัตถุสองชิ้นกระทบผิวน้ำก็ดังขึ้น ปลุกท่านลุงไกรศักดิ์และโจให้ลืมตาขึ้นจากกรรมฐาน รวมทั้งสาวเหมียวด้วย เธอลืมตาตื่นทันทีแล้วลุกขึ้นนั่งเงี่ยหูฟังเสียงนั้น พีและพรานโละยังนั่งสงบ สร้อยแก้วก็ยังหลับนิ่งอยู่เช่นเดิม
ทั้งท่านลุงไกรศักดิ์ โจและเหมียวขมวดคิ้วมองจ้องไปบนผิวน้ำของแอ่งที่ยังคงเรียบสนิท ไม่มีการกระเพื่อมใดๆเกิดขึ้นบนผิวน้ำที่ควรจะสอดคล้องกับเสียงที่ได้ยิน ไม่ถึงอึดใจสิ่งแปลกประหลาดอันเป็นที่มาของเสียงนั้นก็ปรากฏขึ้น
วัตถุสองชิ้นค่อยๆลอยขึ้นจากส่วนลึกของก้นแอ่งช้าๆ มองเห็นได้อย่างเลือนรางด้วยความลึกแล้วค่อยๆชัดขึ้นชัดขึ้นเมื่อใกล้จะถึงผิวน้ำ เหมียวรีบลุกขึ้นขยับมายืนมองที่ริมแอ่งน้ำ ท่านลุงไกรศักดิ์และโจก็ขยับจากท่านั่งขัดสมาธิลุกขึ้นยืนมองด้วย พวกเขาขนลุกเกลียวทั้งตัวเมื่อวัตถุสองชิ้นนั้นลอยมาถึงผิวน้ำ มันผ่านผิวน้ำโดยไม่มีการกระเพื่อมแล้วลอยขึ้นช้าๆจนไปติดนิ่งอยู่บนเพดานถ้ำ
อึดใจใหญ่ๆที่ทั้งสามคนยืนแข็งทื่อจ้องมองวัตถุสองชิ้นบนเพดานถ้ำอยู่นั้น ท่านลุงไกรศักดิ์จึงพูดขึ้นเบาๆ
“ปลุกทุกคน” ท่านลุงไกรศักดิ์สั่ง แหงนหน้ามองนิ่งอยู่ที่วัตถุสองชิ้นนั้น
โจรีบเดินไปแตะเบาๆที่แขนพีและพรานโละให้รู้สึกตัวออกจากกรรมฐาน เหมียวก็ปลุกสร้อยแก้วเบาๆให้ตื่นขึ้นด้วย ทั้งสามคนรู้สึกตัวกลับสู่สามัญสำนึกแล้วและเริ่มรับรู้ว่าถูกปลุกเพราะมีความไม่ปกติเกิดขึ้นด้วยการพยักหน้าพูดบอกเบาๆให้ตามมาที่ริมแอ่งน้ำพร้อมกัน
ครอบครัวทั้งหกคนแหงนหน้าตะลึงมองด้วยกันที่เพดานถ้ำ สิ่งที่ลอยขึ้นไปติดอยู่นั้นคือดาบสองเล่มที่ยังอยู่ในฝักดาบ และเหตุที่พวกเขาต้องตะลึงอยู่อย่างนั้นเพราะมันเหมือนกันกับดาบคู่ที่ลุงไกรได้มาจากหญิงชราซึ่งมอบให้พีผู้เป็นทัพหน้าสะพายมาตลอดทาง
พีหันไปมองดาบคู่ของเขาซึ่งยังคงวางอยู่ที่เดิมแล้วพูดขึ้น
“ดาบคู่ของผมยังอยู่ตรงนั้น แล้วดาบคู่นั่นล่ะ” พีพูดเบาๆ ทั้งห้าคนหันไปมองดาบของพีที่วางอยู่พร้อมกัน
“มาจากไหนครับ” พีพูดต่อ
“กำลังนั่งกรรมฐานอยู่ รู้สึกตัวเพราะมีเสียงของตกน้ำเลยลืมตาขึ้น” ท่านลุงไกรศักดิ์พูด
“พอลืมตาขึ้นมาเห็นผิวน้ำยังนิ่งอยู่เลยนั่งคอยมอง” โจพูด
“แล้วดาบสองเล่มบนนั้นก็ลอยขึ้นมาจากก้นแอ่ง ผ่านผิวน้ำโดยไม่กระเพื่อม”
“แล้วก็ลอยขึ้นไปติดอยู่บนเพดานถ้ำนั่นล่ะ” โจพูดจบ
สามคนที่ถูกปลุกขึ้นมาทีหลังฟังแล้วขนลุกเกลียวตามไปด้วย
“โอ้โห…” พีอุทานยาวเบาๆแล้วก้มลงยิ้มส่ายหน้าให้กับความรู้สึกลึกลับที่เกิดขึ้นใหม่
“ลำพังปริศนาเดิมก็ยังคิดไม่ตกอยู่แล้วนะ แล้วนี่อะไรอีก” พีบ่นพึมพำเบาๆ
“บนเส้นทางนี้ แค่ความดี อุตสาหะและศรัทธาไม่พอค่ะ ต้องมีปัญญาด้วย”เหมียวพูดขึ้น
“นี่อาจจะเป็นทางออกของพวกเราก็ได้”
“นั่งลงช่วยกันไตร่ตรองให้ดี” หญิงสาวพูด
ทั้งหกคนนั่งลงที่ริมแอ่งน้ำด้วยกัน มองลงไปในน้ำสลับกับแหงนมองดาบที่ติดอยู่ข้างบนสลับกันไปมา นานครู่ใหญ่ที่พวกเขายังงุนงงกับปรากฏการณ์ประหลาด แม้จะครุ่นคิดตีความอย่างไรก็ยังไขปริศนาไม่ออก
พีลุกขึ้นไปหยิบเอากล้องส่องทางไกลและดาบคู่ของเขากลับมานั่งลงริมแอ่งน้ำ เขาส่องมองรายละเอียดของดาบคู่ที่ติดอยู่บนเพดานถ้ำเทียบกับดาบคู่ของเขาแบบเทียบกันทุกตารางนิ้ว
“ดาบคู่เดียวกัน เหมือนกันทุกอย่าง” พีพูดแล้วเหลือบตามองทุกคน
“จะว่ามีท่านใดส่งมาให้ก็ไม่ใช่แน่” พีพูดต่อ
“ทำไมคิดว่าไม่ใช่” โจถาม
“ถ้ามีพระองค์ใดส่งมา ดาบที่ติดอยู่บนเพดานแบบนั้น เราจะขึ้นไปเอามายังไง” พีพูดสีหน้าครุ่นคิด
“แล้วถ้าไม่ใช่ดาบคู่เดียวกันแต่คนที่ทำจงใจจะทำให้เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วล่ะ” โจพูด
“คำถามแบบนั้นเลิกกัน ไม่ต้องหาคำตอบ หยุดคิดได้เลยคิดไม่ออกหรอก” พีตอบ
“นั่นซิคะ” เหมียวเห็นด้วยกับพี
“เอาใหม่นะคะ” เหมียวพูด
“ถ้าเป็นดาบคู่แฝด นั่นเราหยุดคิดเลยอย่างพี่พีพูด เหมียวเห็นด้วย”
“ถ้าเป็นดาบคู่เดียวกัน คู่หนึ่งอยู่ในมือพี่พี อีกคู่หนึ่งลอยขึ้นจากน้ำไปติดอยู่บนเพดาน”
“ทำไมถึงมาปรากฏอยู่ในสถานที่เดียวกันได้” เหมียวแหงนมองเพดานอย่างครุ่นคิด
“เพลาเยี่ยงนี้เรายังติดกักในถ้ำนะจ๊ะ เรามิพึงหาทางปลดออกสู่ภายนอกรึไรจ๊ะ” สร้อยแก้วพูดทักท้วง
“ถูกของน้องสร้อยแก้ว เราลืมเรื่องดาบคู่บนนั้นแล้วหาทางออกกันต่อดีมั้ย” โจพูด
“ในกรรมฐานท่านพ่ออีกทั้งท่านพี่ทั้งสองมิพบสิ่งใดรึจ๊ะ” สร้อยแก้วถาม
“ไม่สัมผัสอะไรเลย” ท่านพ่อไกรศักดิ์ตอบลูก
“ผมก็สงบ ไม่พบอะไรเหมือนกัน” โจพูด
“เอ็งล่ะ เห็นอะไรบ้างมั้ย” โจหันมาถามเพื่อน
พีส่ายหน้าไม่พูดอะไร
“มาทำไม มายังไง มาเพื่ออะไร” พีพูดเหมือนบ่น ชายหนุ่มกำมือใช้ฟันกัดเบาๆที่นิ้วหัวแม่มือ ตามองจ้องลงไปในน้ำสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก
สาวเหมียวก็เช่นกัน เธอกลั่นทุกเซลสมองออกมาใช้เวลานี้เพื่อจะตีความปรากฏการณ์นี้ให้แตกให้ได้ ปริศนานั้นยากเข็ญนักสำหรับมนุษย์ผู้ไม่สามารถที่จะมองเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ด้วยตาเนื้อตาหนังของตนเอง หลายครั้งของความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เริ่มก้าวเท้าไปถ้ำตโมหรเพื่อพบกับพรานผาจนถึงวันนี้ เกือบทุกครั้งท่านลุงไกรศักดิ์จะเป็นผู้ที่สื่อได้และบอกกล่าวให้เป็นประโยชน์ แต่วันนี้ วันที่หกชีวิตติดกับอยู่ในถ้ำทิพย์ไม่มีทางออก ทั้งท่านลุงไกรศักดิ์ โจ พีและพรานโละผู้อยู่ในกรรมฐานกลับบอกอะไรไม่ได้เลย
“มหาเทพฯผู้ทรงฤทธิ์” เหมียวรำพึงออกมาเบาๆจ้องมองผิวน้ำ
อีกห้าคนหันมามองหน้ารอฟังเธอพูด
“พระองค์ทดสอบความอุตสาหะให้เราเดินมาในถ้ำที่ไร้จุดหมายอย่างทุกข์ยาก”
“พระองค์ทดสอบจิตใจมนุษย์ ว่ายอมตายแทนผู้อื่นได้จริงมั้ย”
“และตอนนี้ พระองค์กำลังทดสอบปัญญาของมนุษย์ ว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน”
“เพราะปัญญานั้นจะมีมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับบุญทานบารมีที่สร้างสมมา”
“เพราะฉะนั้น เวลานี้เราควรใคร่ครวญด้วยปัญญาอย่างเดียว”
“หยุดคิดเรื่องดาบไว้ก่อน เราติดกับ สิ่งนี้พระองค์กำลังบอกอะไรเรา” เหมียวพูดจบแล้วมองจ้องหน้าทุกคน
ท่านลุงไกรศักดิ์เอื้อมมือมาจับไหล่เธอยิ้มให้