ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 37
http://ppantip.com/topic/33297746
เหมียวกับพรานโละลุกขึ้นนั่งคุกเข่าซบหน้าร้องไห้กับสองฝ่ามือ ลุงไกรกับโจยืนขึ้นแล้วแต่ทั้งสองยังทำใจไม่ได้ที่จะเดินไปเห็นสภาพของพี โจไม่อาจทานทนต่อความกดดันนั้นเขาจึงหันไปซบหน้าร้องไห้ที่ไหล่ของลุงไกรขอเป็นที่พึ่ง
“ท่านพี่ ท่านพี่อยู่หนใด” เสียงสร้อยแก้วตะโกนเรียกอยู่ซ้ำๆในความมืด
เหมียวกับพรานโละได้สติอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงสร้อยแก้ว ทั้งสองลุกขึ้นวิ่งตามเธอเข้าไปในความมืด
ลุงไกรจับสองไหล่ของโจดันให้ขยับตัวออกแล้วบีบไหล่โจแรงๆเพื่อพูดกับเขา
“ตั้งสติลูก โจ ตั้งสติให้ดี เราต้องเดินหน้าต่อ” ลุงไกรศักดิ์พูด
“สร้อยแก้ว สร้อยแก้ว” เหมียวตะโกนเรียกหา
ลุงไกรศักดิ์กับโจเปิดไฟฉายในมือวิ่งเข้าไปสมทบ แสงจากไฟฉายสาดความสว่างให้ทุกคนมองเห็น สร้อยแก้วยืนอยู่กลางพื้นถ้ำหมุนตัวคว้างเพื่อมองหาร่างของคนรัก เหมียวกับพรานโละก็มีอาการเช่นเดียวกันเพื่อมองหาสร้อยแก้ว
เสียงตะโกนร้องเรียกกันหยุดลง ทั้งห้าชีวิตถูกตรึงแน่นิ่งเหมือนต้องคำสาบ พวกเขาคิ้วขมวดริมฝีปากสั่นระริกน้ำตาไหลพรากลงอาบใบหน้า ความรู้สึกของพวกเขานั้นเฉกเช่นเดียวกันว่าร้องไห้ให้น้ำตาเป็นสายเลือดก็ยังมิสาสม
บัดนี้ ร่างของทัพหน้าผู้องอาจนอนคว่ำหน้าสงบนิ่งแขนขาป่ายตะกายพื้นในท่าของคนกระ
กระสนก่อนสิ้นลมหายใจ
สร้อยแก้วขยับเดินโซซัดโซเซเข้าไปหาอย่างสิ้นเรี่ยวแรงคุกเข่าลงข้างๆร่างนั้น หญิงสาวค่อยๆวางฝ่ามือระริกสั่นลงสัมผัสร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่อย่างช้าๆแล้วก้มตัวลงซบแก้มกับแผ่นหลัง ไม่มีคำพูดหรือเสียงร้องไห้เปล่งออกมาจากปาก ดวงตาของเธอเหม่อลอยไร้สติแนบนิ่งอยู่เช่นนั้น
เหมียวปล่อยโฮออกมาอีกครั้งสุดจะกลั้นใจไหว เธอทรุดตัวลงนั่งปิดหน้าด้วยสองฝ่ามือเอนตัวพิงผนังถ้ำปล่อยความโศกเศร้าทั้งหมดออกมาเป็นเสียงร้องไห้โหยหวน
พรานโละยืนอยู่ข้างท่านไกรศักดิ์ เขาทรุดตัวลงนั่งกอดขานายท่านที่ยืนจ้องร่างของพีนิ่ง แล้วซบหน้าที่ขาของนายท่านร้องไห้
โจพยุงตัวนั่งลงช้าๆกลางสายน้ำที่รินไหล นั่งกอดเข่าที่ชันอยู่สองข้างซุกครึ่งหน้าไว้ที่หว่างเข่าเหลือบตาอันแดงก่ำจ้องร่างของเพื่อนรักที่เขายังสาดแสงไฟไปหาอยู่ ความรู้สึกของชายหนุ่มบัดนี้หยุดนิ่ง ประโยคเดียวที่เขาอยากเปล่งเสียงคือ
“นี่ใช่มั้ย การชดใช้ที่ต้องแสนเข็ญเยี่ยงกัน” คำพูดเบาๆที่ออกจากปากของโจ
ครอบครัวที่เหลือเพียงห้าชีวิตหยุดเวลานิ่งในท่าเดิมอยู่นาน พวกเขาลืมความหิว ลืมความเหนื่อยล้า ลืมภารกิจ ลืมแม้กระทั่งความตายที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามา จนกระทั่ง
ท่านไกรศักดิ์เริ่มตั้งสติได้ เขาก้มลงลูบหัวลูบไหล่พรานโละเพื่อให้ปล่อยขาที่กอดไว้ออกแล้วเดินช้าๆไปสาดไฟฉายในมือตรวจดูสภาพผนังถ้ำหลังจากระเบิดทำงานอยู่ห่างๆ
แรงระเบิดมิได้ระคายส่วนใดเลยของพื้นผิวผนังถ้ำ เขาสังเกตได้จากการหลงเหลือเพียงควันจางๆของสารเคมีในแท่งระเบิด ไม่มีฝุ่นผงใดๆของเศษหินปรากฏ ไกรศักดิ์ไม่แปลกใจ นี่คือถ้ำทิพย์ที่มนุษย์ไม่อาจแตะต้องทำลายได้
ท่านพ่อไกรศักดิ์เดินไปนั่งลงข้างๆสร้อยแก้วที่ยังนอนแนบแก้มกับหลังของร่างนั้นอยู่ ลูบหัวเธอเบาๆ
“สร้อยแก้ว” ท่านพ่อเรียกชื่อ
หญิงสาวยังนอนลืมตานิ่งแต่สติสัมปชัญญะเริ่มกลับมาเมื่อเสียงท่านพ่อเรียกชื่อ อีกสามคนหันหน้ามองมาด้วย
“ตั้งสติห้ามใจนะลูก เรียกขวัญกลับมา” ท่านพ่อพูดปลอบเบาๆ
“เราเสียไอ้พีไปโดยเปล่าประโยชน์” โจพูดขึ้น
“ไม่เปล่าประโยชน์หรอกนะ ลูกพีได้พิสูจน์ความกล้าหาญของเขาแล้ว” ท่านลุงไกรศักดิ์พูด
“แต่ระเบิดไม่ระคายผิวถ้ำเลย ลุงก็แปลกใจ” ท่านลุงพูดต่อหันไปมองที่สุดผนังถ้ำ
“ผมไม่แปลกใจหรอกครับ ถ้ำนี้คงเป็นทิพย์ หรือว่าหินสีดำนี่แข็งแกร่งมาก” โจพูด
“ไม่นานเราก็ได้ตามมันไป เราไม่มีทางออก” โจพูดต่อ
“ลุงไม่ได้แปลกใจเรื่องนั้น” ท่านลุงพูด
โจ เหมียว พรานโละหันมาตั้งใจฟัง สร้อยแก้วซึ่งยังนอนแนบร่างของพีก็นิ่งฟังอยู่ด้วย
“แรงอัดอากาศกับเสียงของระเบิดสองลูกที่ก้นผนังถ้ำควรกระแทกเรารุนแรงกว่านี้มาก” ท่านลุงอธิบาย
ท่านไกรศักดิ์ลูบคางลดสายตาลงมองพื้นแสดงอาการขบคิดตีความด้วยประสบการณ์และเหตุผล
“เว้นเสียแต่ว่า” ท่านลุงพูดค้างไว้แล้วลุกขึ้นคว้าไฟฉายเดินขึ้นไปที่สุดถ้ำ
ทั้งสามคนมองตามท่านลุงเดินไปที่สุดถ้ำซึ่งยกระดับสูงกว่าก้มมองพื้นที่มีน้ำไหลรินออกมา สร้อยแก้วก็เงยหน้าลุกขึ้นนั่งมองตามท่านพ่อไปด้วย
ท่านแม่ทัพของพวกเขาคุกเข่าลงสองมือยันพื้นตรงที่มีน้ำไหลออกมาแล้วก้มหน้ามองลงไป
“พวกเรามาดูนี่” เสียงท่านไกรศักดิ์เรียกเบาๆ
โจ เหมียวและพรานโละลุกขึ้นเดินเข้ามาหา สร้อยแก้วยังคงนั่งอยู่ข้างร่างพี
บนพื้นที่ยกสูงชันขึ้นมาสุดโพรงถ้ำ ตำแหน่งที่ครอบครัวทั้งหมดไม่ได้เดินเข้ามาดูแต่แรกเพราะคิดว่าเป็นตาน้ำนั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิด มีโพรงขนาดใหญ่พอให้คนรอดผ่านได้ไม่ยากลึกโค้งลงไป ภายในโพรงมีแสงเรืองไม่สว่างนักอยู่ลึกเข้าไป พวกเขาทั้งสี่หันมองหน้ากัน
“ทำไมเราไม่มีใครคิดจะขึ้นมาดูแต่แรก” โจพูดเบาๆ ความรู้สึกเสียใจเรื่องพีวนกลับขึ้นมาอีกครั้ง
“เพราะสภาพของเราทุกคนขาดสติเมื่อเจอทางตัน” เหมียวพูดเบาๆเช่นกันตาจ้องลงไปในโพรง
“เป็นพระประสงค์ขององค์พญายมราช” ลุงไกรพูด
อีกครั้งที่พวกเขาต้องนั่งนิ่งจ้องมองลงไป ไม่มีใครกล้ามองตากันด้วยความรู้สึกผิดมหันตในใจ
“ถ้าเราเป็นไอ้พี เราคงยืนอยู่ห่างๆแล้วจุดขว้างมา” โจจินตนาการเมื่อฉุกคิดถึงบางอย่างขึ้นมาได้
“พอขว้างมา ก็กระทบผนังตกลงไปในโพรงนี้” โจพูดต่อ
“ระเบิดแตกขึ้นในโพรงนี้ลึกลงไป แรงกระแทกที่เรารู้สึกเลยไม่มากเท่าไหร่” ลุงไกรศักดิ์ร่วมคิดด้วย
“พวกเราอ่อนล้าขาดสติ เลยไม่ได้เดินขึ้นมาดู” เหมียวร่วมจินตนาการ
“และตอนนี้” เหมียวพูดแล้วหันกลับไปมองร่างของพี อีกสามคนหันไปมองด้วย
“พวกเราก็โศกเศร้าจนขาดสติกันอีก นอกจากสร้อยแก้วแล้ว ยังไม่มีใครจับตัวพี่พีเลย” เหมียวพูด
ต่อมหมวกไตของทั้งสี่คนหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนออกมาฉับพลันนั้น พวกเขาลุกขึ้นวิ่งกลับลงมายังร่างชายหนุ่มที่นอนสงบนิ่งอยู่อย่างเร็ว
สร้อยแก้วผงะตกใจไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหมียวพุ่งมาถึงร่างของพีก่อนใคร
“สร้อยแก้วถอยออกไป” เธอพูดเสียงดัง
เหมียวพยายามพลิกร่างพีให้หงายขึ้น โจกับลุงไกรศักดิ์ถลันเข้าช่วย เหมียวก้มลงแนบหูที่แผ่นอกของเขา
“พี่พียังหายใจอยู่” เธอตะโกนเสียงดังน้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจสุดขีด
“สร้อยแก้ว พี่พียังอยู่” เธอหันไปบอกสร้อยแก้วเสียงดัง
“ท่านพี่” สร้อยแก้วเรียกเสียงดังดีใจอย่างที่สุดจับมือเขากุมไว้แน่น
ท่านลุงไกรศักดิ์คว้าข้อมือพีขึ้นจับชีพจร
“ชีพจรไม่อ่อนเท่าไหร่” เขาพูดบอกทุกคน
“ค่อยๆเปิดตรวจบาดแผลซิ อย่าแรงนะ” ลุงไกรร้องสั่ง
ไฟฉายสองกระบอกถูกเปิดขึ้น เหมียวปลดกระดุมเสื้อถลกออกเพื่อตรวจลำตัว สร้อยแก้วรีบถอดรองเท้าออกแล้วค่อยๆถอดกางเกงดึงลง เหมียวกับโจช่วยกันอยู่ด้วย ทั้งสามคนพลิกร่างตรวจทั้งหน้าทั้งหลังเพื่อหาบาดแผลแม้จะไม่เห็นรอยเลือดใดๆก็ตาม
“จับหงายขึ้น” ลุงไกรสั่ง
ท่านไกรศักดิ์ก้มลงแนบหูที่ทั่วทั้งช่องอกและช่องท้องเพื่อฟังเสียงผิดปกติแล้วเงยหน้าขึ้น
“ไม่มีอะไรผิดปกติ” ท่านไกรศักดิ์พูด
ทุกคนโดยเฉพาะสร้อยแก้วมีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกเหมือนตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ยังไงอย่างนั้น
ท่านไกรศักดิ์เกิดความไม่ปกติขึ้นเมื่อมีบางสิ่งสัมผัส เขายกตัวขึ้นคุกเข่าสูงหลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงลืมตาอีกครั้ง
“ท่านพี่ผารวมกำลังบารมีเกือบทั้งหมด รับร่างพีไม่ให้หงายหลังหัวฟาดพื้น พีจะไม่ตาย” ท่านลุงพูด
“ขอบคุณนะท่านพี่ผา” ท่านไกรศักดิ์หลับตาพนมมือไหว้เอ่ยนามขอบคุณ
สร้อยแก้ว พรานโละ โจและเหมียวกราบลงบนพื้นด้วยความสำนึกขอบคุณ
“ช่วยกันใส่เสื้อผ้าให้ก่อน พอดีเดี๋ยวรอดมาหนาวตาย” ท่านไกรศักดิ์สั่งความแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวพี
“ขวัญมานะลูก” ท่านไกรศักดิ์บริกรรมคาถาลูบหัวให้พรแล้วลุกขึ้น
พีถูกจับใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยดีแล้ว สร้อยแก้วก้มลงแนบแก้มซบอกอีกครั้ง
“สร้อยแก้วเยี่ยงตายแล้วฟื้นกลับ ท่านพี่” เธอรำพันความรู้สึก
“เหมียว ลูกสร้อยแก้ว ดูแลพีไว้นะ โจ โละ ไปกับลุงช่วยกันขนของมา เราจะรีบสำรวจโพรงนั่นกัน” ท่านลุงสั่ง
“เรามีความหวังแล้วจ้ะสร้อยแก้ว ลองเดินไปดูซิ พี่ดูพี่พีเอง” เหมียวยิ้มบอกสร้อยแก้ว
“จ้ะ พี่เหมียว” สร้อยแก้วตอบรับแล้วลุกขึ้นเดินไปชะโงกมอง
“มีแสงในโพรงจ้ะ” สร้อยแก้วตะโกนบอกมา
“ใช่ อาจจะมีช่องทางทะลุออกไปภายนอกได้” เหมียวตอบกลับไป
ท่านไกรศักดิ์ โจกับพรานโละหิ้วของพะรุงพะรังกลับมาวางลงใกล้ๆกับที่พีนอนอยู่ จากนั้นจึงเร่งมือเลือกอุปกรณ์ที่ต้องใช้หย่อนตัวลงในโพรงเบื้องล่างเพื่อแข่งกับเวลา เมื่อได้มาครบแล้วท่านไกรศักดิ์จึงหันมาพูดกับเหมียว
“ลูกสองคนเฝ้าอยู่นี่นะ ลุงจะรีบลงไป แสงลางๆที่เห็นนั่นน่าจะมีความหวัง” ลุงไกรสั่งแล้วรีบผละเดินไป
เชือกสามเส้นผูกต่อกันได้ความยาวกว่าสามสิบเมตรถูกหย่อนลงไป ไกรศักดิ์เหลือความยาวไว้บนพื้นถ้ำห้าหกเมตรให้โจดึงไว้
“คุณลุงจะลงไปเองหรือครับ” โจถาม
“อืม ลุงลงเอง” ลุงไกรตอบ
“ไม่เหมาะครับ คุณลุงอยู่ในฐานะผู้นำควรอยู่คอยสั่งการ ผมลงไปเอง” โจพูด
“ให้ฉันลงเองเถอะจ้ะ” พรานโละพูด
“ฉันเป็นพรานป่า ฉันรู้การจ้ะ” พรานโละพูดต่อ
“ไป โละลง ไม่มีเวลาถกกันแล้ว เหมียวลูกมาตรงนี้หน่อย สร้อยแก้วลูกดูพี่พีไว้” ท่านพ่อสั่ง
“เข้าใจหน้าที่นะ โละลงไป ลุงแสตนบายปากโพรงถ้าโละขอความช่วยเหลือลุงลงทันที” ลุงไกรพูด
“โจกับเหมียว ดึงเชือกไว้ ถ้าเห็นว่าไม่ไหวเรียกสร้อยแก้วช่วย”
“เข้าใจตามนี้นะ ลูกสร้อยแก้วเข้าใจนะ” ท่านพ่อหันไปถามลูกสาว
“จ้ะท่านพ่อ” สร้อยแก้วยืนขึ้นตอบ
ท่านไกรศักดิ์ส่งปืนกับไฟฉายให้พรานโละแล้วตบไหล่พูด
“ไป ฉันอยู่ปากหลุมร้องขึ้นมาฉันจะตามลงไป” ท่านไกรศักดิ์พูดทำความเข้าใจ
“จ้ะ” พรานโละรับคำสั้นๆแล้วจับเชือกสอดโรยตัวลงไปทันทีไม่รั้งรอ
ท่านไกรศักดิ์ช่วยดึงเชือกพยุงตัวพรานโละอีกแรงที่ปากหลุม เขาสะพายปืนไว้ที่ไหล่เหน็บไฟฉายที่เอวเตรียมพร้อมลงไปสนับสนุน
โพรงที่ลึกลงไปนั้นมีสัณฐานโค้งไปในทิศทางเดียวกันกับแนวของถ้ำด้านบนนี้ แสงสว่างลางๆดับไปแล้วด้วยอาจเป็นเพราะว่าร่างของพรานโละบดบัง อึดใจใหญ่ท่านไกรศักดิ์จึงเริ่มส่งเสียงเรียก
“โละ เป็นยังไงบ้าง” ไกรศักดิ์ร้องถามไปในโพรง
“อีกไม่สักกี่ช่วงคนจ้ะ” เสียงพรานโละตอบกลับ
“เป็นยังไงแล้วโละ” ไกรศักดิ์ร้องถามลงไปอีก
เงียบ ไม่มีเสียงตอบจากพรานโละ
“โละ เป็นยังไง” ไกรศักดิ์ส่งเสียงย้ำลงไป ขยับเตรียมสอดตัวลง
“โจ เหมียว ดึงไว้ลุงจะตามลงไป” ลุงไกรตะโกนสั่ง
ธารทิพย์ บทที่ 38
ธารทิพย์ บทที่ 37 http://ppantip.com/topic/33297746
เหมียวกับพรานโละลุกขึ้นนั่งคุกเข่าซบหน้าร้องไห้กับสองฝ่ามือ ลุงไกรกับโจยืนขึ้นแล้วแต่ทั้งสองยังทำใจไม่ได้ที่จะเดินไปเห็นสภาพของพี โจไม่อาจทานทนต่อความกดดันนั้นเขาจึงหันไปซบหน้าร้องไห้ที่ไหล่ของลุงไกรขอเป็นที่พึ่ง
“ท่านพี่ ท่านพี่อยู่หนใด” เสียงสร้อยแก้วตะโกนเรียกอยู่ซ้ำๆในความมืด
เหมียวกับพรานโละได้สติอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงสร้อยแก้ว ทั้งสองลุกขึ้นวิ่งตามเธอเข้าไปในความมืด
ลุงไกรจับสองไหล่ของโจดันให้ขยับตัวออกแล้วบีบไหล่โจแรงๆเพื่อพูดกับเขา
“ตั้งสติลูก โจ ตั้งสติให้ดี เราต้องเดินหน้าต่อ” ลุงไกรศักดิ์พูด
“สร้อยแก้ว สร้อยแก้ว” เหมียวตะโกนเรียกหา
ลุงไกรศักดิ์กับโจเปิดไฟฉายในมือวิ่งเข้าไปสมทบ แสงจากไฟฉายสาดความสว่างให้ทุกคนมองเห็น สร้อยแก้วยืนอยู่กลางพื้นถ้ำหมุนตัวคว้างเพื่อมองหาร่างของคนรัก เหมียวกับพรานโละก็มีอาการเช่นเดียวกันเพื่อมองหาสร้อยแก้ว
เสียงตะโกนร้องเรียกกันหยุดลง ทั้งห้าชีวิตถูกตรึงแน่นิ่งเหมือนต้องคำสาบ พวกเขาคิ้วขมวดริมฝีปากสั่นระริกน้ำตาไหลพรากลงอาบใบหน้า ความรู้สึกของพวกเขานั้นเฉกเช่นเดียวกันว่าร้องไห้ให้น้ำตาเป็นสายเลือดก็ยังมิสาสม
บัดนี้ ร่างของทัพหน้าผู้องอาจนอนคว่ำหน้าสงบนิ่งแขนขาป่ายตะกายพื้นในท่าของคนกระกระสนก่อนสิ้นลมหายใจ
สร้อยแก้วขยับเดินโซซัดโซเซเข้าไปหาอย่างสิ้นเรี่ยวแรงคุกเข่าลงข้างๆร่างนั้น หญิงสาวค่อยๆวางฝ่ามือระริกสั่นลงสัมผัสร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่อย่างช้าๆแล้วก้มตัวลงซบแก้มกับแผ่นหลัง ไม่มีคำพูดหรือเสียงร้องไห้เปล่งออกมาจากปาก ดวงตาของเธอเหม่อลอยไร้สติแนบนิ่งอยู่เช่นนั้น
เหมียวปล่อยโฮออกมาอีกครั้งสุดจะกลั้นใจไหว เธอทรุดตัวลงนั่งปิดหน้าด้วยสองฝ่ามือเอนตัวพิงผนังถ้ำปล่อยความโศกเศร้าทั้งหมดออกมาเป็นเสียงร้องไห้โหยหวน
พรานโละยืนอยู่ข้างท่านไกรศักดิ์ เขาทรุดตัวลงนั่งกอดขานายท่านที่ยืนจ้องร่างของพีนิ่ง แล้วซบหน้าที่ขาของนายท่านร้องไห้
โจพยุงตัวนั่งลงช้าๆกลางสายน้ำที่รินไหล นั่งกอดเข่าที่ชันอยู่สองข้างซุกครึ่งหน้าไว้ที่หว่างเข่าเหลือบตาอันแดงก่ำจ้องร่างของเพื่อนรักที่เขายังสาดแสงไฟไปหาอยู่ ความรู้สึกของชายหนุ่มบัดนี้หยุดนิ่ง ประโยคเดียวที่เขาอยากเปล่งเสียงคือ
“นี่ใช่มั้ย การชดใช้ที่ต้องแสนเข็ญเยี่ยงกัน” คำพูดเบาๆที่ออกจากปากของโจ
ครอบครัวที่เหลือเพียงห้าชีวิตหยุดเวลานิ่งในท่าเดิมอยู่นาน พวกเขาลืมความหิว ลืมความเหนื่อยล้า ลืมภารกิจ ลืมแม้กระทั่งความตายที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามา จนกระทั่ง
ท่านไกรศักดิ์เริ่มตั้งสติได้ เขาก้มลงลูบหัวลูบไหล่พรานโละเพื่อให้ปล่อยขาที่กอดไว้ออกแล้วเดินช้าๆไปสาดไฟฉายในมือตรวจดูสภาพผนังถ้ำหลังจากระเบิดทำงานอยู่ห่างๆ
แรงระเบิดมิได้ระคายส่วนใดเลยของพื้นผิวผนังถ้ำ เขาสังเกตได้จากการหลงเหลือเพียงควันจางๆของสารเคมีในแท่งระเบิด ไม่มีฝุ่นผงใดๆของเศษหินปรากฏ ไกรศักดิ์ไม่แปลกใจ นี่คือถ้ำทิพย์ที่มนุษย์ไม่อาจแตะต้องทำลายได้
ท่านพ่อไกรศักดิ์เดินไปนั่งลงข้างๆสร้อยแก้วที่ยังนอนแนบแก้มกับหลังของร่างนั้นอยู่ ลูบหัวเธอเบาๆ
“สร้อยแก้ว” ท่านพ่อเรียกชื่อ
หญิงสาวยังนอนลืมตานิ่งแต่สติสัมปชัญญะเริ่มกลับมาเมื่อเสียงท่านพ่อเรียกชื่อ อีกสามคนหันหน้ามองมาด้วย
“ตั้งสติห้ามใจนะลูก เรียกขวัญกลับมา” ท่านพ่อพูดปลอบเบาๆ
“เราเสียไอ้พีไปโดยเปล่าประโยชน์” โจพูดขึ้น
“ไม่เปล่าประโยชน์หรอกนะ ลูกพีได้พิสูจน์ความกล้าหาญของเขาแล้ว” ท่านลุงไกรศักดิ์พูด
“แต่ระเบิดไม่ระคายผิวถ้ำเลย ลุงก็แปลกใจ” ท่านลุงพูดต่อหันไปมองที่สุดผนังถ้ำ
“ผมไม่แปลกใจหรอกครับ ถ้ำนี้คงเป็นทิพย์ หรือว่าหินสีดำนี่แข็งแกร่งมาก” โจพูด
“ไม่นานเราก็ได้ตามมันไป เราไม่มีทางออก” โจพูดต่อ
“ลุงไม่ได้แปลกใจเรื่องนั้น” ท่านลุงพูด
โจ เหมียว พรานโละหันมาตั้งใจฟัง สร้อยแก้วซึ่งยังนอนแนบร่างของพีก็นิ่งฟังอยู่ด้วย
“แรงอัดอากาศกับเสียงของระเบิดสองลูกที่ก้นผนังถ้ำควรกระแทกเรารุนแรงกว่านี้มาก” ท่านลุงอธิบาย
ท่านไกรศักดิ์ลูบคางลดสายตาลงมองพื้นแสดงอาการขบคิดตีความด้วยประสบการณ์และเหตุผล
“เว้นเสียแต่ว่า” ท่านลุงพูดค้างไว้แล้วลุกขึ้นคว้าไฟฉายเดินขึ้นไปที่สุดถ้ำ
ทั้งสามคนมองตามท่านลุงเดินไปที่สุดถ้ำซึ่งยกระดับสูงกว่าก้มมองพื้นที่มีน้ำไหลรินออกมา สร้อยแก้วก็เงยหน้าลุกขึ้นนั่งมองตามท่านพ่อไปด้วย
ท่านแม่ทัพของพวกเขาคุกเข่าลงสองมือยันพื้นตรงที่มีน้ำไหลออกมาแล้วก้มหน้ามองลงไป
“พวกเรามาดูนี่” เสียงท่านไกรศักดิ์เรียกเบาๆ
โจ เหมียวและพรานโละลุกขึ้นเดินเข้ามาหา สร้อยแก้วยังคงนั่งอยู่ข้างร่างพี
บนพื้นที่ยกสูงชันขึ้นมาสุดโพรงถ้ำ ตำแหน่งที่ครอบครัวทั้งหมดไม่ได้เดินเข้ามาดูแต่แรกเพราะคิดว่าเป็นตาน้ำนั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิด มีโพรงขนาดใหญ่พอให้คนรอดผ่านได้ไม่ยากลึกโค้งลงไป ภายในโพรงมีแสงเรืองไม่สว่างนักอยู่ลึกเข้าไป พวกเขาทั้งสี่หันมองหน้ากัน
“ทำไมเราไม่มีใครคิดจะขึ้นมาดูแต่แรก” โจพูดเบาๆ ความรู้สึกเสียใจเรื่องพีวนกลับขึ้นมาอีกครั้ง
“เพราะสภาพของเราทุกคนขาดสติเมื่อเจอทางตัน” เหมียวพูดเบาๆเช่นกันตาจ้องลงไปในโพรง
“เป็นพระประสงค์ขององค์พญายมราช” ลุงไกรพูด
อีกครั้งที่พวกเขาต้องนั่งนิ่งจ้องมองลงไป ไม่มีใครกล้ามองตากันด้วยความรู้สึกผิดมหันตในใจ
“ถ้าเราเป็นไอ้พี เราคงยืนอยู่ห่างๆแล้วจุดขว้างมา” โจจินตนาการเมื่อฉุกคิดถึงบางอย่างขึ้นมาได้
“พอขว้างมา ก็กระทบผนังตกลงไปในโพรงนี้” โจพูดต่อ
“ระเบิดแตกขึ้นในโพรงนี้ลึกลงไป แรงกระแทกที่เรารู้สึกเลยไม่มากเท่าไหร่” ลุงไกรศักดิ์ร่วมคิดด้วย
“พวกเราอ่อนล้าขาดสติ เลยไม่ได้เดินขึ้นมาดู” เหมียวร่วมจินตนาการ
“และตอนนี้” เหมียวพูดแล้วหันกลับไปมองร่างของพี อีกสามคนหันไปมองด้วย
“พวกเราก็โศกเศร้าจนขาดสติกันอีก นอกจากสร้อยแก้วแล้ว ยังไม่มีใครจับตัวพี่พีเลย” เหมียวพูด
ต่อมหมวกไตของทั้งสี่คนหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนออกมาฉับพลันนั้น พวกเขาลุกขึ้นวิ่งกลับลงมายังร่างชายหนุ่มที่นอนสงบนิ่งอยู่อย่างเร็ว
สร้อยแก้วผงะตกใจไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหมียวพุ่งมาถึงร่างของพีก่อนใคร
“สร้อยแก้วถอยออกไป” เธอพูดเสียงดัง
เหมียวพยายามพลิกร่างพีให้หงายขึ้น โจกับลุงไกรศักดิ์ถลันเข้าช่วย เหมียวก้มลงแนบหูที่แผ่นอกของเขา
“พี่พียังหายใจอยู่” เธอตะโกนเสียงดังน้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจสุดขีด
“สร้อยแก้ว พี่พียังอยู่” เธอหันไปบอกสร้อยแก้วเสียงดัง
“ท่านพี่” สร้อยแก้วเรียกเสียงดังดีใจอย่างที่สุดจับมือเขากุมไว้แน่น
ท่านลุงไกรศักดิ์คว้าข้อมือพีขึ้นจับชีพจร
“ชีพจรไม่อ่อนเท่าไหร่” เขาพูดบอกทุกคน
“ค่อยๆเปิดตรวจบาดแผลซิ อย่าแรงนะ” ลุงไกรร้องสั่ง
ไฟฉายสองกระบอกถูกเปิดขึ้น เหมียวปลดกระดุมเสื้อถลกออกเพื่อตรวจลำตัว สร้อยแก้วรีบถอดรองเท้าออกแล้วค่อยๆถอดกางเกงดึงลง เหมียวกับโจช่วยกันอยู่ด้วย ทั้งสามคนพลิกร่างตรวจทั้งหน้าทั้งหลังเพื่อหาบาดแผลแม้จะไม่เห็นรอยเลือดใดๆก็ตาม
“จับหงายขึ้น” ลุงไกรสั่ง
ท่านไกรศักดิ์ก้มลงแนบหูที่ทั่วทั้งช่องอกและช่องท้องเพื่อฟังเสียงผิดปกติแล้วเงยหน้าขึ้น
“ไม่มีอะไรผิดปกติ” ท่านไกรศักดิ์พูด
ทุกคนโดยเฉพาะสร้อยแก้วมีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกเหมือนตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ยังไงอย่างนั้น
ท่านไกรศักดิ์เกิดความไม่ปกติขึ้นเมื่อมีบางสิ่งสัมผัส เขายกตัวขึ้นคุกเข่าสูงหลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงลืมตาอีกครั้ง
“ท่านพี่ผารวมกำลังบารมีเกือบทั้งหมด รับร่างพีไม่ให้หงายหลังหัวฟาดพื้น พีจะไม่ตาย” ท่านลุงพูด
“ขอบคุณนะท่านพี่ผา” ท่านไกรศักดิ์หลับตาพนมมือไหว้เอ่ยนามขอบคุณ
สร้อยแก้ว พรานโละ โจและเหมียวกราบลงบนพื้นด้วยความสำนึกขอบคุณ
“ช่วยกันใส่เสื้อผ้าให้ก่อน พอดีเดี๋ยวรอดมาหนาวตาย” ท่านไกรศักดิ์สั่งความแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวพี
“ขวัญมานะลูก” ท่านไกรศักดิ์บริกรรมคาถาลูบหัวให้พรแล้วลุกขึ้น
พีถูกจับใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยดีแล้ว สร้อยแก้วก้มลงแนบแก้มซบอกอีกครั้ง
“สร้อยแก้วเยี่ยงตายแล้วฟื้นกลับ ท่านพี่” เธอรำพันความรู้สึก
“เหมียว ลูกสร้อยแก้ว ดูแลพีไว้นะ โจ โละ ไปกับลุงช่วยกันขนของมา เราจะรีบสำรวจโพรงนั่นกัน” ท่านลุงสั่ง
“เรามีความหวังแล้วจ้ะสร้อยแก้ว ลองเดินไปดูซิ พี่ดูพี่พีเอง” เหมียวยิ้มบอกสร้อยแก้ว
“จ้ะ พี่เหมียว” สร้อยแก้วตอบรับแล้วลุกขึ้นเดินไปชะโงกมอง
“มีแสงในโพรงจ้ะ” สร้อยแก้วตะโกนบอกมา
“ใช่ อาจจะมีช่องทางทะลุออกไปภายนอกได้” เหมียวตอบกลับไป
ท่านไกรศักดิ์ โจกับพรานโละหิ้วของพะรุงพะรังกลับมาวางลงใกล้ๆกับที่พีนอนอยู่ จากนั้นจึงเร่งมือเลือกอุปกรณ์ที่ต้องใช้หย่อนตัวลงในโพรงเบื้องล่างเพื่อแข่งกับเวลา เมื่อได้มาครบแล้วท่านไกรศักดิ์จึงหันมาพูดกับเหมียว
“ลูกสองคนเฝ้าอยู่นี่นะ ลุงจะรีบลงไป แสงลางๆที่เห็นนั่นน่าจะมีความหวัง” ลุงไกรสั่งแล้วรีบผละเดินไป
เชือกสามเส้นผูกต่อกันได้ความยาวกว่าสามสิบเมตรถูกหย่อนลงไป ไกรศักดิ์เหลือความยาวไว้บนพื้นถ้ำห้าหกเมตรให้โจดึงไว้
“คุณลุงจะลงไปเองหรือครับ” โจถาม
“อืม ลุงลงเอง” ลุงไกรตอบ
“ไม่เหมาะครับ คุณลุงอยู่ในฐานะผู้นำควรอยู่คอยสั่งการ ผมลงไปเอง” โจพูด
“ให้ฉันลงเองเถอะจ้ะ” พรานโละพูด
“ฉันเป็นพรานป่า ฉันรู้การจ้ะ” พรานโละพูดต่อ
“ไป โละลง ไม่มีเวลาถกกันแล้ว เหมียวลูกมาตรงนี้หน่อย สร้อยแก้วลูกดูพี่พีไว้” ท่านพ่อสั่ง
“เข้าใจหน้าที่นะ โละลงไป ลุงแสตนบายปากโพรงถ้าโละขอความช่วยเหลือลุงลงทันที” ลุงไกรพูด
“โจกับเหมียว ดึงเชือกไว้ ถ้าเห็นว่าไม่ไหวเรียกสร้อยแก้วช่วย”
“เข้าใจตามนี้นะ ลูกสร้อยแก้วเข้าใจนะ” ท่านพ่อหันไปถามลูกสาว
“จ้ะท่านพ่อ” สร้อยแก้วยืนขึ้นตอบ
ท่านไกรศักดิ์ส่งปืนกับไฟฉายให้พรานโละแล้วตบไหล่พูด
“ไป ฉันอยู่ปากหลุมร้องขึ้นมาฉันจะตามลงไป” ท่านไกรศักดิ์พูดทำความเข้าใจ
“จ้ะ” พรานโละรับคำสั้นๆแล้วจับเชือกสอดโรยตัวลงไปทันทีไม่รั้งรอ
ท่านไกรศักดิ์ช่วยดึงเชือกพยุงตัวพรานโละอีกแรงที่ปากหลุม เขาสะพายปืนไว้ที่ไหล่เหน็บไฟฉายที่เอวเตรียมพร้อมลงไปสนับสนุน
โพรงที่ลึกลงไปนั้นมีสัณฐานโค้งไปในทิศทางเดียวกันกับแนวของถ้ำด้านบนนี้ แสงสว่างลางๆดับไปแล้วด้วยอาจเป็นเพราะว่าร่างของพรานโละบดบัง อึดใจใหญ่ท่านไกรศักดิ์จึงเริ่มส่งเสียงเรียก
“โละ เป็นยังไงบ้าง” ไกรศักดิ์ร้องถามไปในโพรง
“อีกไม่สักกี่ช่วงคนจ้ะ” เสียงพรานโละตอบกลับ
“เป็นยังไงแล้วโละ” ไกรศักดิ์ร้องถามลงไปอีก
เงียบ ไม่มีเสียงตอบจากพรานโละ
“โละ เป็นยังไง” ไกรศักดิ์ส่งเสียงย้ำลงไป ขยับเตรียมสอดตัวลง
“โจ เหมียว ดึงไว้ลุงจะตามลงไป” ลุงไกรตะโกนสั่ง