ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 49
http://ppantip.com/topic/33541082
เหมียวกับสร้อยแก้วมองตามท่านลุงไกรศักดิ์กับพีเดินขึ้นไปหยุดยืนอยู่บนเนินดินหน้าค่อนข้างเรียบ มีร่องรอยตะปุ่มตะป่ำอยู่บ้างเหมือนซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างโบราณ ทั้งสองยืนพูดกันอยู่ไม่กี่คำแล้วพีผู้เป็นทัพหน้าจึงวางปืนลงกับพื้น ชักดาบคู่ที่สะพายหลังอยู่ออกมา คุกเข่าข้างเดียวลงบนพื้นปักปลายดาบทั้งสองเล่มลงบนดินมือข้างหนึ่งกำด้านดาบ ค้อมหัวอยู่ต่อหน้าท่านลุงไกรศักดิ์ โจกับพรานโละที่ยังเดินไปไม่ห่างนักก็สังเกตเห็นจึงหยุดยืนมองอาการของทั้งสองอยู่ด้วย
“เจ้าพี่ หม่อนฉันเฝ้ารอท่านเสด็จนิวัตน์คืนนครามาช้านาน” ร่างพีคุกเข่าเงยหน้าพูดมีน้ำตาคลอเบ้า
ท่านลุงไกรศักดิ์ยืนมองด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เขากำลังคิดอยู่ว่าจะสัมผัสกับท่านพยัคฆราชอย่างไรจึงจะเหมาะควร
“ท่านคือแม่ทัพหน้าพยัคฆราชใช่หรือไม่” ท่านลุงถาม
“หม่อนฉันพยัคฆราชเจ้าข้าฯ” ร่างพีตอบ
“ท่านจงยืนขึ้นเจรจากับเราเถิด” ท่านลุงบอก
“มิได้เจ้าข้าฯ” ร่างพีพูด
“ด้วยเหตุใด วานท่านเล่าแจ้งให้เรากระจ่างใจด้วยเถิด” ท่านลุงถาม
“นับเนื่องแต่กาลนั้น หม่อนฉันเป็นเยี่ยงผู้ต้องอาญา มิอาจยืนเสมอเจ้าพี่” ร่างพีบอกแล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมา
ท่านลุงไกรศักดิ์ยืนนิ่งมองท่านพยัคฆราชในร่างของพีหลานชาย เขากำลังใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะสนทนาด้วยอย่างไรจึงจะได้รับรู้เรื่องราวในอดีตให้มากที่สุด
“ท่านต้องอาญาแผ่นดินด้วยเหตุใด” ท่านลุงถาม
“เจ้าพี่มิสำเหนียกอันความแต่หนหลังเลยรึไรเจ้าข้าฯ” ร่างพีพูด
ท่านลุงไกรศักดิ์ส่ายหน้าช้าๆ
“ท่านพยัคฆราช เราสำเหนียกว่ามีบางสิ่งอันนำให้เราหวนคืนมาแก้ไข” ท่านลุงบอก
“มีหญิงชราคนหนึ่ง ขอให้เรานำดาบคู่นั้นกลับมา”
“ขอให้เรานำความรักของนาง และเมตตาแห่งเรามามอบให้บุตรแห่งนาง”
“บุตรแห่งนางคือท่านใช่หรือไร ท่านพยัคฆราช” ท่านลุงถาม
“ท่านแม่กมุท” ร่างพีตอบ
“เจ้าพี่โปรดอย่าเรียกขานหม่อมฉันด้วยถ้อยว่าท่านเลยเจ้าข้าฯ” ร่างพีบอก
ถึงเวลานี้ท่านลุงไกรศักดิ์เริ่มคิดว่าคนอื่นๆควรได้ร่วมรับฟัง ท่านลุงจึงเอ่ยถามพยัคฆราชในร่างพี
“พยัคฆราชเห็นควรหรือมิได้ หากเราเรียกขานผู้อื่นให้รับรู้ด้วยกันกับเรา” ท่านลุงถาม
“ทุกผู้อันนิวัตน์คืนมา คือวิญญาณแห่งอินทปัตถ์เจ้าข้าฯ” ร่างพีตอบ
ท่านลุงเข้าใจความหมายจึงหันไปยังสี่คนที่เฝ้ามองอยู่แล้วพยักหน้าให้เข้ามาหา
โจกับพรานโละรีบวิ่งกลับมา เหมียวก็รีบพยุงสร้อยแก้วเดินเข้ามาหาด้วย ทั้งสี่คนนั่งพับเพียบลงกับพื้นใกล้ๆคนทั้งสอง ยกมือไหว้ไปที่ท่านลุงไกรศักดิ์และพีที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่
“เบื้องหน้าเรานี้คือท่านพยัคฆราช แม่ทัพหน้าแห่งอินทปัตถ์นคร” ท่านลุงกล่าวแนะนำ
ทั้งสี่ยิ้มให้ด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง มือยังคงพนมแสดงความเคารพอยู่ ร่างพียิ้มตอบกลับมาแล้วพูดขึ้น
“องค์มาริช” ร่างพีเอ่ยนามมองไปที่โจ
“พระนางจิระประไพ” ร่างพีเอ่ยนามอีกแล้วมองไปที่เหมียว
“ท่านเป็นเยี่ยงสหายแห่งข้าทุกชาติภพ แต่บัดนี้” ร่างพีพูดต่อ
“บนแผ่นดินอินทปัตถ์ ข้าคือผู้ต้องอาญา”
“ขอทั้งสองประทับยืนขึ้นเถิด มิควรนั่งเสมอข้า” ร่างพีบอก
โจกับเหมียวมองไปที่ท่านลุงสีหน้าเงอะงะทำอะไรไม่ถูก ท่านลุงไกรศักดิ์จึงพยักหน้าให้ทำตามที่ร่างพีพูด ทั้งสองคนค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มก้มหัวลงน้อยๆแสดงความเคารพต่อพยัคฆราชในร่างของพี
“บัดนี้ หม่อมฉันปรีดิ์เปรมอันทุกองค์เสด็จนิวัตน์” ร่างพีพูดแล้วก้มหน้าลงเช็ดน้ำตา
“จันทร์สุดาดวงใจข้า” ร่างพีเงยหน้าหันมามองที่สร้อยแก้ว
“ขอน้องหญิงประทับข้างกายข้าด้วยเถิด” ร่างพีเรียก
สร้อยแก้วขยับตัวลุกขึ้นเดินก้มหลังเข้าไปหาแล้วนั่งพับเพียบลงใกล้ๆ
“อีกหนึ่งผู้ ที่นั่งอยู่นั่น” ท่านไกรศักดิ์พูดเป็นเชิงถามแล้วมองไปที่พรานโละ
“มิใช่เพียงหนึ่งเจ้าข้าฯ” ร่างพีพูด
“อันผู้หมอบเฝ้าสองข้างกายเจ้าพี่นั้น คือพระนางอลิยาเทวี อีกท่านแม่กมุท”
“ท่านทั้งสองพึ่งพาบารมีแห่งเจ้าพี่ติดตามเสด็จมา” ร่างพีพูดแล้วมองไปบนพื้นซ้ายขวาของท่านไกรศักดิ์
สี่คน โจ เหมียว สร้อยแก้วและพรานโละหันมองไปบนพื้นว่างเปล่าข้างซ้ายขวาท่านไกรศักดิ์พร้อมกัน ท่านลุงเองก็ก้มหน้ามองสองข้างตัวไปด้วย
“อันขุนศึกผู้มิเคยห่างวรกายเจ้าพี่นั้นคือ กุณฑลเจ้าข้าฯ” ร่างพีบอกแล้วมองไปที่พรานโละ
ท่านไกรศักดิ์มองไปที่พรานโละ มองไปที่ทุกคน มองที่พื้นว่างเปล่าสองข้างตัวเขาเองแล้วพูดถึงปมสุดท้ายในใจ
“พยัคฆราช เรายังมิอาจปลงใจมั่น ว่าเราคือเจ้าพี่อุเทนธิกะของท่าน” ไกรศักดิ์จ้องตาร่างของพี
“เจ้าพี่ เกิดชาติภพใดท่านคงคือวิญญาณอุเทนธิกะ” ร่างพีตอบ
“เจ้าพี่พึงสดับคำหม่อมฉันให้จงดี”
“ทัพม้าแก้ว สดับเพียงบัญชาแห่งอุเทนธิกะพระองค์เดียวเยี่ยงนั้นเจ้าข้าฯ” ร่างพีบอกแล้วสบตานิ่ง
ท่านไกรศักดิ์พยักหน้าน้อยๆเป็นการยอมรับ ปมสุดท้ายในใจถูกคลายออกไปแล้ว
“ใยพยัคฆราชมิเคยบอกกล่าวสิ่งใดให้เราล่วงรู้มาก่อน” ท่านไกรศักดิ์ถาม
“หม่อมฉันเป็นเยี่ยงผู้ต้องอาญา ผู้รอเจ้าพี่ปลดพันธนาการ” ร่างพีพูด
“หากยังมิคืนยังอินทปัตถ์ หม่อมฉันมิอาจบอกกล่าวอันใดได้เจ้าข้าฯ”
ท่านลุง รวมทั้งอีกสี่คนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
ทันใดนั้น ลมแรงพัดอึงอลกระชากป่าไหวเอนวูบวาบเข้ามา เหมือนมีบางสิ่งโกรธเกรี้ยวในการกลับมารวมกันอีกครั้งของวิญญาณจากอดีตชาติ
“มันคือผู้ใด” ท่านไกรศักดิ์ถามถึงที่มาของลมแรง
“กาวะวิกะเจ้าข้า นางข้าเชลยอันพระบิดาเมตตาชุบเลี้ยง” ร่างพีบอกกล่าว
“มิหยั่งถึงจิตอันแค้นเคียดของผู้เป็นเยี่ยงเชลย”
“อีกทั้งนางนั้นร่ำเรียนมนต์ดำอำมหิตจนแก่กล้า เรือนร่างโสภาสะคราญโฉม”
“พระบิดา องค์อดิรถาธิราช ใช่หรือไม่” ท่านไกรศักดิ์ถามเมื่อชื่อนั้นแว่วขึ้นข้างหู
“เจ้าข้าฯ” พยัคฆราชตอบรับแล้วก้มคำนับพระนาม
“พระบิดาแห่งเจ้าพี่อีกทั้งหม่อมฉัน”
“ท่านแม่กมุท มอบดาบคู่ให้กับเราใช่หรือไม่” ท่านไกรศักดิ์ถามถึงนามที่เพิ่งจะได้ยิน
“เจ้าข้าฯ” พยัคฆราชรับคำ
“พยัคฆราชบอกกล่าวเราได้หรือไม่ ว่าเกิดเหตุใดขึ้นในอดีต” ท่านไกรศักดิ์ถามอีก
ร่างพีคุกเข่าก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองพูด
“บุพกรรมมิยินยอมให้หม่อมฉันทูลความใดต่อเจ้าพี่จนกระจ่างใจ”
“พยัคฆราชหมายใจให้เราตรึกตรองเองด้วยปัญญา ตามผลแห่งกรรมที่เกิดเช่นนั้นใช่หรือไร” ท่านไกรศักดิ์พูด
“เยี่ยงนั้นเจ้าพี่” พยัคฆราชตอบ
“หม่อมฉันต้องคืนร่างให้มนุษย์แล้วเพลานี้ ขอทูลลา” ร่างพีบอกกล่าวแล้วเอนตัวล้มลง
สร้อยแก้วกับเหมียวเข้าไปประคองพีขึ้นนั่ง โจรีบวิ่งไปนำน้ำมาให้เพื่อนดื่ม ส่วนท่านลุงไกรศักดิ์และพรานโละยังมองนิ่งอยู่ในท่าเดิม
“ท่านพี่ ท่านพี่” สร้อยแก้วพยามยามเขย่าตัวเรียก
โจถือน้ำวิ่งกลับมาส่งให้เหมียว หญิงสาวประคองให้พีซึ่งเริ่มรู้สึกตัวค่อยๆดื่ม
“พี่พี เป็นยังไงบ้าง” เหมียวถามเบาๆ
พีนั่งสะบัดหัวใช้ฝ่ามือตบที่ต้นคอเพื่อไล่ความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง เขามองไปที่ทุกคนแล้วเข้าใจได้ทันทีว่าเพิ่งจะเป็นสื่อกลางให้บอกกล่าว
“ท่านพยัคฆราชเหรอครับ ท่านมาบอกอะไรบ้าง” พีพูด
“หลายอย่างลูก พักก่อน หาที่พักเหมาะๆได้แล้วค่อยคุยกันเรื่องนี้” ท่านลุงบอก
“ฉันได้กลิ่นน้ำทางทิศนั้นจ้ะ” พรานโละพูดแล้วชี้มือไปทางเทือกเขา
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลบกองไฟไปทางนั้นกัน” ท่านลุงพูด
“ไป กุณฑล” ท่านไกรศักดิ์พูดยิ้มๆมองหน้าพรานโละแกล้งเรียกชื่อเก่า
“คืออันใดจ๊ะนายท่าน” พรานโละถามนายท่านด้วยสีหน้าฉงน
“กุณฑลแปลว่าต่างหู” ท่านไกรศักดิ์บอกพรานโละแล้วใช้มือจับใบหูให้เข้าใจ
“อุเทนธิกะท่านคงหมายใจให้ขุนศึกข้างกายเปรียบเหมือนต่างหูที่ติดกายอยู่ตลอดเวลาละมั้ง”
“ขอบใจนะที่ยังตามอลิยามาเกิดเพื่อดูแลในชาติภพของลอยาอีก ขอบใจในความภักดี” ท่านไกรศักดิ์พูด
สี่คนทำหน้างง ไม่เข้าใจความหมายที่ท่านพ่อท่านลุงของพวกเขาพูดกับพรานโละ
“ไม่ต้องงง หาที่พักกินอาหารแล้วค่อยคุยกัน” ท่านไกรศักดิ์พูดยิ้มให้ทุกคน
หกชีวิตกลับมาเดินบนเส้นทางเดียวกันอีกครั้งมุ่งหน้าไปหาเทือกเขา ตลอดทางกว่าชั่วโมงที่เดินมา ภูมิประเทศเริ่มขึ้นๆลงๆตามเนินเมื่อเข้าเขตเทือกเขาใหญ่ ผ่านซากฐานสิ่งก่อสร้างของอินทปัตถ์นครเมืองโบราณหลายจุดจนทั้งหมดมาหยุดที่ริมแม่น้ำสายเล็กๆสายหนึ่ง
สายตาทุกคู่มองข้ามสายน้ำไปยังฐานของหุบเขาที่อยู่ไม่ห่างนัก สิ่งที่สะดุดตาสะดุดใจคือเนินใหญ่ที่เป็นฐานติดเทือกเขา มันมีสัณฐานเป็นพื้นราบกว้างใหญ่ด้านบนค่อนข้างเรียบ แนวขอบของเนินเป็นเส้นตรงอยู่ในระนาบเดียวกัน แม้จะมีส่วนที่พังทลายลงบ้างหลายแห่งตามกาลเวลา แต่รวมๆแล้วก็แน่ใจได้ว่าในอดีตต้องเคยมีมนุษย์กลุ่มใหญ่ช่วยกันลงมือทำไว้อย่างแน่นอน
ท่านไกรศักดิ์ล้วงเอากล้องส่องทางไกลออกจากเป้หลังส่องไป คนอื่นที่เหลือก็ส่องตามไปด้วยกันครู่ใหญ่
“แน่ใจได้เลยว่าตอนนี้เราอยู่กลางอินทปัตถ์นครแล้ว” ท่านไกรศักดิ์พูดเมื่อลดกล้องลง
“ที่ราบบนหน้าผานั่นเป็นวังหลวงเลยใช่มั้ยครับ” โจพูดความเห็น
“เราพักก่อนแล้วขึ้นไปดูกันเลยหรือยังไงครับคุณลุง” พีถาม
“ใจเย็นๆอย่าผลีผลาม พายุฝนเมื่อคืนมันหายไปตรงแถวนั้นนะ” ท่านลุงเตือน
ท่านแม่ทัพมองออกไปสองข้างซ้ายขวาริมแม่น้ำทั้งสองด้านเพื่อหาที่ตั้งค่าย ในความคิดของเขา ตั้งค่ายครั้งนี้มีความสำคัญในเรื่องของชัยภูมิ เขารู้สึกเหมือนการเตรียมทำศึกกับศัตรูที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“เราจะยังไม่ข้ามน้ำ ตั้งค่ายรบ ฝั่งนี้ ตรงโน้น” ท่านแม่ทัพชี้มือไปทางซ้าย
“ครับผม” โจกับพีรับคำพร้อมกัน
ที่โล่งใหญ่มีต้นไม้สามสี่ต้นขึ้นอยู่ใกล้กันแผ่กิ่งก้านคลุมพื้นที่บริเวณนั้นให้ร่มครึ้ม ผืนป่ารอบๆลาดลงจากแนวชายป่าไปหาริมแม่น้ำเหมาะแก่การใช้สอยและระวังภัย ค่ายรบถูกตั้งขึ้นเมื่อเวลาบ่าย ท่านไกรศักดิ์ พรานโละและพีกำลังช่วยกันปักหมุดไม้ลงอาคมสี่หลักห่างออกจากจุดตั้งค่ายมากพอสมควร เป็นปริมณฑลรูปสี่เหลี่ยมจากใกล้แนวป่าไปจนจรดริมฝั่งน้ำ พีกับพรานโละเข้ามาช่วยโจลากไม้ฟืนกองสุมรวมกันไว้ สองสาวกำลังช่วยกันเปิดเป้หลังของท่านพ่อและย่ามเดินป่าของพ่อโละที่เปียกฝนตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาออกผึ่งแดด
พีชี้มือให้โจ เหมียวและสร้อยแก้วรับรู้ว่ากิ่งไม้สี่กิ่งที่ปักไว้กับหมุดเพื่อเป็นที่สังเกตนั้นคือแนวกำแพงอาคม
“โอเค รับทราบ” โจพูด
“ไปเราไปช่วยท่านกุณฑลหาปลาดีกว่า” พีพูด
“เออดีเหมือนกันนะเรียกชื่อนี้ เพราะดี” โจยิ้มพูดกับทั้งสาม
“ดีค่ะ ให้ผลทางจิตวิทยา เรากำลังเข้าสู่สภาวะสงคราม ประมาณนั้น” เหมียวเห็นด้วย
“ไปสร้อยแก้ว ไปหาท่านพ่อก่อนดีกว่า” เหมียวพยักหน้าชวนพรานสาว
ธารทิพย์ บทที่ 50
ธารทิพย์ บทที่ 49 http://ppantip.com/topic/33541082
เหมียวกับสร้อยแก้วมองตามท่านลุงไกรศักดิ์กับพีเดินขึ้นไปหยุดยืนอยู่บนเนินดินหน้าค่อนข้างเรียบ มีร่องรอยตะปุ่มตะป่ำอยู่บ้างเหมือนซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างโบราณ ทั้งสองยืนพูดกันอยู่ไม่กี่คำแล้วพีผู้เป็นทัพหน้าจึงวางปืนลงกับพื้น ชักดาบคู่ที่สะพายหลังอยู่ออกมา คุกเข่าข้างเดียวลงบนพื้นปักปลายดาบทั้งสองเล่มลงบนดินมือข้างหนึ่งกำด้านดาบ ค้อมหัวอยู่ต่อหน้าท่านลุงไกรศักดิ์ โจกับพรานโละที่ยังเดินไปไม่ห่างนักก็สังเกตเห็นจึงหยุดยืนมองอาการของทั้งสองอยู่ด้วย
“เจ้าพี่ หม่อนฉันเฝ้ารอท่านเสด็จนิวัตน์คืนนครามาช้านาน” ร่างพีคุกเข่าเงยหน้าพูดมีน้ำตาคลอเบ้า
ท่านลุงไกรศักดิ์ยืนมองด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เขากำลังคิดอยู่ว่าจะสัมผัสกับท่านพยัคฆราชอย่างไรจึงจะเหมาะควร
“ท่านคือแม่ทัพหน้าพยัคฆราชใช่หรือไม่” ท่านลุงถาม
“หม่อนฉันพยัคฆราชเจ้าข้าฯ” ร่างพีตอบ
“ท่านจงยืนขึ้นเจรจากับเราเถิด” ท่านลุงบอก
“มิได้เจ้าข้าฯ” ร่างพีพูด
“ด้วยเหตุใด วานท่านเล่าแจ้งให้เรากระจ่างใจด้วยเถิด” ท่านลุงถาม
“นับเนื่องแต่กาลนั้น หม่อนฉันเป็นเยี่ยงผู้ต้องอาญา มิอาจยืนเสมอเจ้าพี่” ร่างพีบอกแล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมา
ท่านลุงไกรศักดิ์ยืนนิ่งมองท่านพยัคฆราชในร่างของพีหลานชาย เขากำลังใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะสนทนาด้วยอย่างไรจึงจะได้รับรู้เรื่องราวในอดีตให้มากที่สุด
“ท่านต้องอาญาแผ่นดินด้วยเหตุใด” ท่านลุงถาม
“เจ้าพี่มิสำเหนียกอันความแต่หนหลังเลยรึไรเจ้าข้าฯ” ร่างพีพูด
ท่านลุงไกรศักดิ์ส่ายหน้าช้าๆ
“ท่านพยัคฆราช เราสำเหนียกว่ามีบางสิ่งอันนำให้เราหวนคืนมาแก้ไข” ท่านลุงบอก
“มีหญิงชราคนหนึ่ง ขอให้เรานำดาบคู่นั้นกลับมา”
“ขอให้เรานำความรักของนาง และเมตตาแห่งเรามามอบให้บุตรแห่งนาง”
“บุตรแห่งนางคือท่านใช่หรือไร ท่านพยัคฆราช” ท่านลุงถาม
“ท่านแม่กมุท” ร่างพีตอบ
“เจ้าพี่โปรดอย่าเรียกขานหม่อมฉันด้วยถ้อยว่าท่านเลยเจ้าข้าฯ” ร่างพีบอก
ถึงเวลานี้ท่านลุงไกรศักดิ์เริ่มคิดว่าคนอื่นๆควรได้ร่วมรับฟัง ท่านลุงจึงเอ่ยถามพยัคฆราชในร่างพี
“พยัคฆราชเห็นควรหรือมิได้ หากเราเรียกขานผู้อื่นให้รับรู้ด้วยกันกับเรา” ท่านลุงถาม
“ทุกผู้อันนิวัตน์คืนมา คือวิญญาณแห่งอินทปัตถ์เจ้าข้าฯ” ร่างพีตอบ
ท่านลุงเข้าใจความหมายจึงหันไปยังสี่คนที่เฝ้ามองอยู่แล้วพยักหน้าให้เข้ามาหา
โจกับพรานโละรีบวิ่งกลับมา เหมียวก็รีบพยุงสร้อยแก้วเดินเข้ามาหาด้วย ทั้งสี่คนนั่งพับเพียบลงกับพื้นใกล้ๆคนทั้งสอง ยกมือไหว้ไปที่ท่านลุงไกรศักดิ์และพีที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่
“เบื้องหน้าเรานี้คือท่านพยัคฆราช แม่ทัพหน้าแห่งอินทปัตถ์นคร” ท่านลุงกล่าวแนะนำ
ทั้งสี่ยิ้มให้ด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง มือยังคงพนมแสดงความเคารพอยู่ ร่างพียิ้มตอบกลับมาแล้วพูดขึ้น
“องค์มาริช” ร่างพีเอ่ยนามมองไปที่โจ
“พระนางจิระประไพ” ร่างพีเอ่ยนามอีกแล้วมองไปที่เหมียว
“ท่านเป็นเยี่ยงสหายแห่งข้าทุกชาติภพ แต่บัดนี้” ร่างพีพูดต่อ
“บนแผ่นดินอินทปัตถ์ ข้าคือผู้ต้องอาญา”
“ขอทั้งสองประทับยืนขึ้นเถิด มิควรนั่งเสมอข้า” ร่างพีบอก
โจกับเหมียวมองไปที่ท่านลุงสีหน้าเงอะงะทำอะไรไม่ถูก ท่านลุงไกรศักดิ์จึงพยักหน้าให้ทำตามที่ร่างพีพูด ทั้งสองคนค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มก้มหัวลงน้อยๆแสดงความเคารพต่อพยัคฆราชในร่างของพี
“บัดนี้ หม่อมฉันปรีดิ์เปรมอันทุกองค์เสด็จนิวัตน์” ร่างพีพูดแล้วก้มหน้าลงเช็ดน้ำตา
“จันทร์สุดาดวงใจข้า” ร่างพีเงยหน้าหันมามองที่สร้อยแก้ว
“ขอน้องหญิงประทับข้างกายข้าด้วยเถิด” ร่างพีเรียก
สร้อยแก้วขยับตัวลุกขึ้นเดินก้มหลังเข้าไปหาแล้วนั่งพับเพียบลงใกล้ๆ
“อีกหนึ่งผู้ ที่นั่งอยู่นั่น” ท่านไกรศักดิ์พูดเป็นเชิงถามแล้วมองไปที่พรานโละ
“มิใช่เพียงหนึ่งเจ้าข้าฯ” ร่างพีพูด
“อันผู้หมอบเฝ้าสองข้างกายเจ้าพี่นั้น คือพระนางอลิยาเทวี อีกท่านแม่กมุท”
“ท่านทั้งสองพึ่งพาบารมีแห่งเจ้าพี่ติดตามเสด็จมา” ร่างพีพูดแล้วมองไปบนพื้นซ้ายขวาของท่านไกรศักดิ์
สี่คน โจ เหมียว สร้อยแก้วและพรานโละหันมองไปบนพื้นว่างเปล่าข้างซ้ายขวาท่านไกรศักดิ์พร้อมกัน ท่านลุงเองก็ก้มหน้ามองสองข้างตัวไปด้วย
“อันขุนศึกผู้มิเคยห่างวรกายเจ้าพี่นั้นคือ กุณฑลเจ้าข้าฯ” ร่างพีบอกแล้วมองไปที่พรานโละ
ท่านไกรศักดิ์มองไปที่พรานโละ มองไปที่ทุกคน มองที่พื้นว่างเปล่าสองข้างตัวเขาเองแล้วพูดถึงปมสุดท้ายในใจ
“พยัคฆราช เรายังมิอาจปลงใจมั่น ว่าเราคือเจ้าพี่อุเทนธิกะของท่าน” ไกรศักดิ์จ้องตาร่างของพี
“เจ้าพี่ เกิดชาติภพใดท่านคงคือวิญญาณอุเทนธิกะ” ร่างพีตอบ
“เจ้าพี่พึงสดับคำหม่อมฉันให้จงดี”
“ทัพม้าแก้ว สดับเพียงบัญชาแห่งอุเทนธิกะพระองค์เดียวเยี่ยงนั้นเจ้าข้าฯ” ร่างพีบอกแล้วสบตานิ่ง
ท่านไกรศักดิ์พยักหน้าน้อยๆเป็นการยอมรับ ปมสุดท้ายในใจถูกคลายออกไปแล้ว
“ใยพยัคฆราชมิเคยบอกกล่าวสิ่งใดให้เราล่วงรู้มาก่อน” ท่านไกรศักดิ์ถาม
“หม่อมฉันเป็นเยี่ยงผู้ต้องอาญา ผู้รอเจ้าพี่ปลดพันธนาการ” ร่างพีพูด
“หากยังมิคืนยังอินทปัตถ์ หม่อมฉันมิอาจบอกกล่าวอันใดได้เจ้าข้าฯ”
ท่านลุง รวมทั้งอีกสี่คนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
ทันใดนั้น ลมแรงพัดอึงอลกระชากป่าไหวเอนวูบวาบเข้ามา เหมือนมีบางสิ่งโกรธเกรี้ยวในการกลับมารวมกันอีกครั้งของวิญญาณจากอดีตชาติ
“มันคือผู้ใด” ท่านไกรศักดิ์ถามถึงที่มาของลมแรง
“กาวะวิกะเจ้าข้า นางข้าเชลยอันพระบิดาเมตตาชุบเลี้ยง” ร่างพีบอกกล่าว
“มิหยั่งถึงจิตอันแค้นเคียดของผู้เป็นเยี่ยงเชลย”
“อีกทั้งนางนั้นร่ำเรียนมนต์ดำอำมหิตจนแก่กล้า เรือนร่างโสภาสะคราญโฉม”
“พระบิดา องค์อดิรถาธิราช ใช่หรือไม่” ท่านไกรศักดิ์ถามเมื่อชื่อนั้นแว่วขึ้นข้างหู
“เจ้าข้าฯ” พยัคฆราชตอบรับแล้วก้มคำนับพระนาม
“พระบิดาแห่งเจ้าพี่อีกทั้งหม่อมฉัน”
“ท่านแม่กมุท มอบดาบคู่ให้กับเราใช่หรือไม่” ท่านไกรศักดิ์ถามถึงนามที่เพิ่งจะได้ยิน
“เจ้าข้าฯ” พยัคฆราชรับคำ
“พยัคฆราชบอกกล่าวเราได้หรือไม่ ว่าเกิดเหตุใดขึ้นในอดีต” ท่านไกรศักดิ์ถามอีก
ร่างพีคุกเข่าก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองพูด
“บุพกรรมมิยินยอมให้หม่อมฉันทูลความใดต่อเจ้าพี่จนกระจ่างใจ”
“พยัคฆราชหมายใจให้เราตรึกตรองเองด้วยปัญญา ตามผลแห่งกรรมที่เกิดเช่นนั้นใช่หรือไร” ท่านไกรศักดิ์พูด
“เยี่ยงนั้นเจ้าพี่” พยัคฆราชตอบ
“หม่อมฉันต้องคืนร่างให้มนุษย์แล้วเพลานี้ ขอทูลลา” ร่างพีบอกกล่าวแล้วเอนตัวล้มลง
สร้อยแก้วกับเหมียวเข้าไปประคองพีขึ้นนั่ง โจรีบวิ่งไปนำน้ำมาให้เพื่อนดื่ม ส่วนท่านลุงไกรศักดิ์และพรานโละยังมองนิ่งอยู่ในท่าเดิม
“ท่านพี่ ท่านพี่” สร้อยแก้วพยามยามเขย่าตัวเรียก
โจถือน้ำวิ่งกลับมาส่งให้เหมียว หญิงสาวประคองให้พีซึ่งเริ่มรู้สึกตัวค่อยๆดื่ม
“พี่พี เป็นยังไงบ้าง” เหมียวถามเบาๆ
พีนั่งสะบัดหัวใช้ฝ่ามือตบที่ต้นคอเพื่อไล่ความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง เขามองไปที่ทุกคนแล้วเข้าใจได้ทันทีว่าเพิ่งจะเป็นสื่อกลางให้บอกกล่าว
“ท่านพยัคฆราชเหรอครับ ท่านมาบอกอะไรบ้าง” พีพูด
“หลายอย่างลูก พักก่อน หาที่พักเหมาะๆได้แล้วค่อยคุยกันเรื่องนี้” ท่านลุงบอก
“ฉันได้กลิ่นน้ำทางทิศนั้นจ้ะ” พรานโละพูดแล้วชี้มือไปทางเทือกเขา
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลบกองไฟไปทางนั้นกัน” ท่านลุงพูด
“ไป กุณฑล” ท่านไกรศักดิ์พูดยิ้มๆมองหน้าพรานโละแกล้งเรียกชื่อเก่า
“คืออันใดจ๊ะนายท่าน” พรานโละถามนายท่านด้วยสีหน้าฉงน
“กุณฑลแปลว่าต่างหู” ท่านไกรศักดิ์บอกพรานโละแล้วใช้มือจับใบหูให้เข้าใจ
“อุเทนธิกะท่านคงหมายใจให้ขุนศึกข้างกายเปรียบเหมือนต่างหูที่ติดกายอยู่ตลอดเวลาละมั้ง”
“ขอบใจนะที่ยังตามอลิยามาเกิดเพื่อดูแลในชาติภพของลอยาอีก ขอบใจในความภักดี” ท่านไกรศักดิ์พูด
สี่คนทำหน้างง ไม่เข้าใจความหมายที่ท่านพ่อท่านลุงของพวกเขาพูดกับพรานโละ
“ไม่ต้องงง หาที่พักกินอาหารแล้วค่อยคุยกัน” ท่านไกรศักดิ์พูดยิ้มให้ทุกคน
หกชีวิตกลับมาเดินบนเส้นทางเดียวกันอีกครั้งมุ่งหน้าไปหาเทือกเขา ตลอดทางกว่าชั่วโมงที่เดินมา ภูมิประเทศเริ่มขึ้นๆลงๆตามเนินเมื่อเข้าเขตเทือกเขาใหญ่ ผ่านซากฐานสิ่งก่อสร้างของอินทปัตถ์นครเมืองโบราณหลายจุดจนทั้งหมดมาหยุดที่ริมแม่น้ำสายเล็กๆสายหนึ่ง
สายตาทุกคู่มองข้ามสายน้ำไปยังฐานของหุบเขาที่อยู่ไม่ห่างนัก สิ่งที่สะดุดตาสะดุดใจคือเนินใหญ่ที่เป็นฐานติดเทือกเขา มันมีสัณฐานเป็นพื้นราบกว้างใหญ่ด้านบนค่อนข้างเรียบ แนวขอบของเนินเป็นเส้นตรงอยู่ในระนาบเดียวกัน แม้จะมีส่วนที่พังทลายลงบ้างหลายแห่งตามกาลเวลา แต่รวมๆแล้วก็แน่ใจได้ว่าในอดีตต้องเคยมีมนุษย์กลุ่มใหญ่ช่วยกันลงมือทำไว้อย่างแน่นอน
ท่านไกรศักดิ์ล้วงเอากล้องส่องทางไกลออกจากเป้หลังส่องไป คนอื่นที่เหลือก็ส่องตามไปด้วยกันครู่ใหญ่
“แน่ใจได้เลยว่าตอนนี้เราอยู่กลางอินทปัตถ์นครแล้ว” ท่านไกรศักดิ์พูดเมื่อลดกล้องลง
“ที่ราบบนหน้าผานั่นเป็นวังหลวงเลยใช่มั้ยครับ” โจพูดความเห็น
“เราพักก่อนแล้วขึ้นไปดูกันเลยหรือยังไงครับคุณลุง” พีถาม
“ใจเย็นๆอย่าผลีผลาม พายุฝนเมื่อคืนมันหายไปตรงแถวนั้นนะ” ท่านลุงเตือน
ท่านแม่ทัพมองออกไปสองข้างซ้ายขวาริมแม่น้ำทั้งสองด้านเพื่อหาที่ตั้งค่าย ในความคิดของเขา ตั้งค่ายครั้งนี้มีความสำคัญในเรื่องของชัยภูมิ เขารู้สึกเหมือนการเตรียมทำศึกกับศัตรูที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“เราจะยังไม่ข้ามน้ำ ตั้งค่ายรบ ฝั่งนี้ ตรงโน้น” ท่านแม่ทัพชี้มือไปทางซ้าย
“ครับผม” โจกับพีรับคำพร้อมกัน
ที่โล่งใหญ่มีต้นไม้สามสี่ต้นขึ้นอยู่ใกล้กันแผ่กิ่งก้านคลุมพื้นที่บริเวณนั้นให้ร่มครึ้ม ผืนป่ารอบๆลาดลงจากแนวชายป่าไปหาริมแม่น้ำเหมาะแก่การใช้สอยและระวังภัย ค่ายรบถูกตั้งขึ้นเมื่อเวลาบ่าย ท่านไกรศักดิ์ พรานโละและพีกำลังช่วยกันปักหมุดไม้ลงอาคมสี่หลักห่างออกจากจุดตั้งค่ายมากพอสมควร เป็นปริมณฑลรูปสี่เหลี่ยมจากใกล้แนวป่าไปจนจรดริมฝั่งน้ำ พีกับพรานโละเข้ามาช่วยโจลากไม้ฟืนกองสุมรวมกันไว้ สองสาวกำลังช่วยกันเปิดเป้หลังของท่านพ่อและย่ามเดินป่าของพ่อโละที่เปียกฝนตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาออกผึ่งแดด
พีชี้มือให้โจ เหมียวและสร้อยแก้วรับรู้ว่ากิ่งไม้สี่กิ่งที่ปักไว้กับหมุดเพื่อเป็นที่สังเกตนั้นคือแนวกำแพงอาคม
“โอเค รับทราบ” โจพูด
“ไปเราไปช่วยท่านกุณฑลหาปลาดีกว่า” พีพูด
“เออดีเหมือนกันนะเรียกชื่อนี้ เพราะดี” โจยิ้มพูดกับทั้งสาม
“ดีค่ะ ให้ผลทางจิตวิทยา เรากำลังเข้าสู่สภาวะสงคราม ประมาณนั้น” เหมียวเห็นด้วย
“ไปสร้อยแก้ว ไปหาท่านพ่อก่อนดีกว่า” เหมียวพยักหน้าชวนพรานสาว