ธารทิพย์ บทที่ 28

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 27 http://ppantip.com/topic/33173709

            ประสาทสัมผัสเริ่มรับรู้ขึ้นแล้วทีละน้อยหลังจากการหลับใหลด้วยความเจ็บป่วยไปเมื่อหลายวันก่อน แม้จิตใจและสติจะเรียบนิ่งมั่นคงแล้ว แต่ร่างกายยังคงแข็งชา เปลือกตาหนักอึ้งเกินกว่าจะเปิดขึ้นมาดูสภาวะรอบตัว พียังคงนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นปล่อยให้ร่างและสติรวมกันดีเสียก่อน เขาพยายามย้อนความทรงจำว่าตนเองหลับไปนานแค่ไหน ขณะนี้ยังนอนป่วยอยู่ที่เดิมหรือไม่ เพราะรู้สึกว่าได้หลับไปนานแสนนาน

                เหมียวกับสร้อยแก้วอยูที่ครัวบนชานเรือนจัดแจงหุงหาอาหารเช้าให้กับทุกคนโดยมีน่อเซิ่งคอยช่วยหยิบจับอยู่ด้วย ทั้งสองยังไม่รู้ว่าคนป่วยของเธอได้รู้สึกตัวขึ้นแล้ว

                พรานโละกับแงซาเติมฟืนลงในกองไฟที่ลานหน้าบ้านและบนเรือนเสร็จ จากนั้นทั้งคู่เดินออกป่าไปหาอาหารตั้งแต่เช้าตรู่มีเจ้าพรีโม่ตามไปด้วย ท่านไกรศักดิ์เข้ากรรมฐานแต่ก่อนรุ่งยังคงนั่งนิ่งอยู่จนถึงขณะนี้  ส่วนโจเขานั่งอยู่หน้ากองไฟบนเรือนอ่านรายละเอียดบนแผนที่สลับกับดูภาพที่ถ่ายจากการบินสำรวจภูยมเมื่อวานอยู่อย่างขะมักเขม้น

                ท่านลุงไกรศักดิ์ลืมตาขึ้นจากกรรมฐานแล้วลุกขึ้นเดินมานั่งอยู่ข้างพีที่ยังนอนหลับตานิ่งอยู่ วางฝ่ามือไว้บนอกแล้วจึงหันไปเรียก

                “มาตรงนี้ก่อน” ไกรศักดิ์พูดมองไปที่โจ เหมียวและสร้อยแก้ว
    
            ทั้งสามรีบลุกขึ้นเดินมานั่งอยู่ข้างพี รอฟังว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีก

                ไกรศักดิ์หลับตาสวดบางอย่างเบาๆ ยังคงวางฝ่ามือไว้บนอกพี ครู่หนึ่งจึงลืมตาขึ้น

                “ค่อยๆช่วยกันขยับให้ลุกขึ้นนั่งซิ” เขาพูด
    
            สามคนช่วยกันดึงให้พีนั่งเหยียดขาอยู่อย่างนั้น โดยเหมียวกับสร้อยแก้วประคองหลังเอาไว้ไม่ให้ล้ม

                “พี เป็นยังไงบ้างลูก” ท่านไกรศักดิ์ถามเบาๆ

                สิ้นเสียงที่ลุงไกรถาม พีใช้แขนสองข้างยันพื้นไว้ข้างหลัง หยีตาสะบัดหัวเบาๆเหมือนอาการตื่นของคนหลับปกติ

            ชั่วครู่เขาจึงเริ่มลืมตาขึ้นมองลุงไกรกับโจที่นั่งอยู่ตรงหน้าแล้วพยายามเอี้ยวตัวมองคนที่ประคองอยู่ข้างหลัง

                “ไอ้พี” โจเรียกชื่อเพื่อนแล้วกอดเขาไว้ด้วยความดีใจ

                “พี่พี พี่พีกลับมาแล้ว” เหมียวกับสร้อยแก้วก็พูดอย่างดีใจพร้อมกัน

                ท่านพ่อไกรศักดิ์ยิ้มมองพีใช้มือลูบหัวให้เขา

                “เป็นยังไงบ้างลูก” ไกรศักดิ์ถามหลานอีกครั้ง

                พียังคงสะบัดหัวเบาๆอย่างงุนงงพลางเหลียวมองไปรอบๆ เขายังปะติดปะต่อความทรงจำสุดท้ายกับภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้ ชายหนุ่มพยายามอย่างหนักเพื่อจะเรียกสัมปชัญญะกลับคืน

                “นอนลงก่อนลูก ยังไม่ต้องทำอะไรนะ” ลุงไกรศักดิ์บอกพี

                เหมียว สร้อยแก้วและโจช่วยกันประคองให้เอนตัวนอนลง แล้วหญิงสาวทั้งสองจึงรีบผละไปเพื่อจะนำข้าวต้มกับยามาป้อนให้อีก ท่านลุงไกรศักดิ์กับโจยังนั่งอยู่ข้างๆมองดูพีที่นอนกรอกตามองไปรอบๆอยู่

                “เป็นยังไงบ้างเอ็ง จำกูได้มั้ยเนี่ย” โจยิ้มถามเพื่อน

                พีมองหน้าเขานิ่งไม่ตอบอยู่ครู่แล้วพยักหน้ารับคำ

                “นอนพักยังไม่ต้องคิดอะไร เดี๋ยวเค้าเอาข้าวเอายามาให้กินแล้วหลับพักไปก่อนนะลูกพี” ไกรศักดิ์บอก

                พีพยักหน้ารับคำ เขายังไม่พูดโต้ตอบอะไร

                ท่านไกรศักดิ์ผละออกมายืนที่ชานเรือนมองออกไปยังราวป่า สามคนกำลังช่วยกันป้อนข้าวต้มกับยาให้พีจนเสร็จแล้วพยุงให้นอนพักหลับต่อไปอีก จากนั้นจึงเดินมาหาไกรศักดิ์ที่ชานเรือน

                “ท่านพ่อคิดเห็นว่าพี่พีจะเป็นเยี่ยงไรจ๊ะ” สร้อยแก้วเอ่ยถามพ่อ

                “นั่นสิคะคุณลุง เหมือนพี่พีไม่ค่อยมีสติ” เหมียวถามเสริม

                “ไม่ต้องกังวล ปล่อยให้หลับพักไปอย่างนั้นล่ะ” ท่านไกรศักดิ์พูด

                “เขาไม่ได้ครองสติตัวเองมาหลายวัน อีกเดี๋ยวก็หาย”

                “คอยดูแลไว้ก็แล้วกันนะ”

                “ค่ะ” “จ้ะ” เหมียวและสร้อยแก้วรับคำพร้อมกัน

                ทั้งสามพยักหน้าเข้าใจแล้วจึงแยกย้ายกันไปทำอย่างอื่นต่อ

                ท่านไกรศักดิ์เดินกลับมานั่งลงหน้ากองไฟบนเรือนข้างๆโจ

                “เป็นยังไงลูกโจ เห็นรายละเอียดอะไรบนแผนที่อีกบ้าง” ลุงไกรถาม

                “ผมกำลังหามุมร่อนลงว่าจะเข้าทางไหนดีอยู่ครับ” โจตอบ

                “ทิศทางลมด้วยครับ” โจเสริม

                ลุงไกรศักดิ์มองแผนที่ช่วยโจพิจารณาด้วยความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ในตัว พลเอกไกรศักดิ์ ธำรงสัตย์ ประกอบกับภาพจริงที่ได้พบเห็นสภาพภูมิประเทศของภูยม

                “รอบเขตภูยมล้อมไว้ด้วยภูเขาสูงทุกด้านครับ” โจพูด

                “นั่นหมายถึงเมื่อเราข้ามเขาเข้าไปแล้วต้องกดหัวดิ่งลงเลยใช่มั้ย” ลุงไกรถาม

                “ครับผม” โจตอบ

                “นั่นยังไม่รวมถึงกระแสลมภายในด้วยนะครับว่าจะแรงแค่ไหน กลับไปกลับมายังไง” โจบอก

                “แล้วลูกคิดว่าเราควรเข้าทางทิศไหนล่ะ” ลุงไกรขอความเห็น

                “ผมมองด้านนี้ไว้ครับ” โจพูดชี้นิ้วลากบนแผนที่ตามที่คิดเอาไว้
    
            “ด้านนี้ที่จำได้ ภูเขาแยกเป็นสองยอด เราจะเสียบผ่านช่องนี้ลงไป” โจพูด

                “แต่มีปัญหาว่าถ้าลมที่ผ่านยอดเขาเข้าทางศูนย์สองศูนย์จะปะทะกับหน้าผานี้” โจอธิบายชี้บนแผนที่

                “ปะทะหน้าผานี้ที่ตั้งทำมุมอย่างนี้ ลมมันก็คงวนกลับมาทางนี้ใช่มั้ย” ลุงไกรชี้บนแผนที่ถาม

                “นั่นล่ะครับปัญหา มันจะกระโชกเข้ามาด้านหลังเราแล้วเป็นวินด์เชียร์” โจพูดมองหน้าลุงไกร

                “ลมที่ทำให้เราสูญเสียแรงยกตัวใช่มั้ย” ลุงไกรพูด

                “ครับคุณลุง” โจพยักหน้าตอบ

                “แล้วลมฤดูนี้มันก็เข้าทางศูนย์สองศูนย์ซะด้วยนะ” ลุงไกรบ่น

                โจยิ้มพยักหน้ารับ
            
                “เอาเป็นว่าถึงตอนนั้นเราบินวนดูแล้วค่อยตัดสินใจร่อนลง” โจพูด

                “ขอถามเรื่องเดียวครับ” โจมองหน้าลุงไกร

                “ว่ามา” ลุงไกรมองหน้าหลาน

                “การเอาเรือบินไปลงแล้วยังไม่รู้ว่าจะวิ่งขึ้นได้มั้ย กับการเดินเท้าเข้าไปอย่างไหนจะดีกว่ากันครับ” โจถาม

                ท่านไกรศักดิ์มองแผนที่ขมวดคิ้วครุ่นคิดกับคำถามของโจ

                “ถ้าถามลุง” ไกรศักดิ์พูดเบาๆ

                “ที่ราบที่เห็นเมื่อวานมันราบมากเลยนะ ราบสมกับเป็นดินแดนประหลาด” เขารำพึง

                “ลุงเชื่อว่าเราจะขึ้นได้ และรู้สึกว่าเราต้องเอาเรือบินไป” ลุงไกรตอบ

                “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนั้นครับ เป็นไงเป็นกัน” โจพูดแข็งขัน

                พรานโละและแงซากลับออกมาจากป่าแล้ว หอบหิ้วสัตว์และผลไม้ป่ามาหอบใหญ่ พรานโละก้าวขึ้นเรือนมาขณะที่แงซาแยกไปโยนฟืนใส่กองไฟที่ลานหน้าบ้านแล้วเดินขึ้นเรือนของเขาไป

                “โละ กลับมาแล้ว” ท่านไกรศักดิ์เอ่ยทัก สร้อยแก้ว เหมียวและโจหันมามอง

                “จ้ะ” พรานโละยิ้มรับคำ

                “นายพียังมิตื่นรึจ๊ะท่าน” พรานโละพูดถาม

                “ตื่นแล้วจ้ะ แต่พี่พียังมิรู้สติจ้ะ” สร้อยแก้วตอบพ่อโละแทน

                “ให้นอนพักไปก่อน นี่สร้อยแก้วกับเหมียวเค้าป้อนข้าวป้อนยาไปแล้ว” ท่านไกรศักดิ์บอก

                “เยี่ยงนั้นก็เบาใจจ้ะ” พรานโละพูด

                “โละ” ท่านไกรศักดิ์เรียกชื่อ

                “ทางเข้าภูยมมีกี่ทาง โละรู้มั้ย” ท่านไกรศักดิ์ถาม

                “ฉันรู้เพียงหนทางเดียวจ้ะ มิเคยได้ยินว่ามีหนทางอื่น” พรานโละตอบ

                “แน่ใจมั้ยว่า พญาจงอางท่านเฝ้าปากทางอยู่” ท่านไกรศักดิ์ถามต่อ

                “ผู้เฒ่าในหมู่เผ่าเล่าถึงมาช้านานว่ามีอยู่” พรานโละพูด

                “หากแต่ฉันเพิ่งประจักษ์แก่ตาเมื่อครั้งนั้นจ้ะ”

                ท่านไกรศักดิ์นั่งมองแผนที่เอามือลูบคางอย่างครุ่นคิดเพื่อจะตัดสินใจครั้งสุดท้าย

                “ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ พื้นที่สิบกว่าๆคูณสิบกว่าๆกิโล รวมแล้วก็ร้อยกว่าตารางกิโลเมตรเท่านั้นเอง” โจพูด

                “ลำธารที่เราต้องการค้นหาจะซ่อนตัวอยู่ได้อย่างไรครับ” เขาพูดต่อ

                เหมียว สร้อยแก้วและพรานโละคิดสงสัยอย่างที่โจพูด ยกเว้นท่านไกรศักดิ์และอีกเสียงหนึ่งที่พูดชัดเจนขึ้น

                “นั่นเป็นแค่สิ่งที่มนุษย์มองเห็นด้วยกายหยาบ แท้จริงแล้วกว้างใหญ่หลายโยชน์”
    
            ทั้งห้าคนหันไปทางเสียงนั้นพร้อมกัน พีนั่งตัวตรงตามองไปข้างหน้าแล้วหันมามอง

                “พี่พี” เหมียวกับสร้อยแก้วรีบลุกขึ้นเดินไปนั่งอยู่ข้างๆ

                “เป็นยังไงบ้าง” เหมียวถามกุมมือเขาไว้

                “ไม่เป็นอะไรแล้วคุณเหมียว ผมงงๆ เกิดอะไรขึ้นครับนี่” พีพูด
    
            ลุงไกรศักดิ์ โจและพรานโละตามเข้าไปนั่งลงข้างๆด้วย

                “เป็นยังไง รู้สึกยังไงบ้างตอนนี้ลูก พี” ลุงไกรศักดิ์ถาม

                “เอ็งรู้สึกยังไงบ้างไอ้พี” โจถามย้ำด้วย

                พีนั่งส่ายหน้า เขาจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก รู้แต่ว่าเหมือนนอนหลับนานมากๆ

                “ผมรู้สึกปกติดีครับคุณลุง แต่ ผมนอนป่วยไปนานมากเลยหรือครับ” พีพูดแล้วหันไปมองหน้าลุงไกรศักดิ์

                “จำอะไรได้บ้างมั้ย หรือฝันเห็นอะไรบ้าง” ลุงไกรศักดิ์ถาม

                พียังคงส่ายหน้า

                “ผมเป็นไข้หลับไปตอนที่เดินกลับ แล้วก็มาตื่นที่นี่ ทุกคนหามผมมาหรือครับ” พีถาม

                ทั้งห้าคนมองหน้ากันไปมา พวกเขาหวังว่าพีจะตื่นขึ้นมาบอกอะไรที่เป็นประโยขน์กับการเดินทางบ้างแต่พีกลับไม่รู้อะไรที่ผ่านมาในหลายวันเลย

                “อืม อยากพักผ่อนอีกหน่อยมั้ย” ลุงไกรศักดิ์ถาม

                “ผมรู้สึกเหมือนหายเป็นปกติดีแล้วครับคุณลุง” พีตอบ

                “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกเรากินข้าวกินปลากันแล้วค่อยเล่าสู่พูดคุยกันก็แล้วกันนะ” ไกรศักดิ์พูด

                พรานโละ โจ เหมียวและสร้อยแก้วพยักหน้ารับคำ พวกเขาเข้าใจดีว่าต้องเป็นหน้าที่ของท่านไกรศักดิ์ที่จะพูดคุยกับพีถึงเรื่องราวที่เขาหายไปหลายวัน เรื่องราวของพยัคฆราช

                อาหารเช้ากินกันเสร็จสรรพก็ล่วงเข้าไปสายมากแล้ว โจก่อไฟกองโตที่มุมอาบน้ำให้เพื่อนได้ชำระล้างตัว เขานั่งพูดคุยอยู่เป็นเพื่อนด้วยขณะมี่พีกำลังอาบน้ำ

                “นี่ทำไมเนื้อตัวกูมีแผลเหมือนหญ้าบาดเยอะแยะเลยวะ” พีพูดขึ้น

                “เอ็งไม่รู้เลยเหรอ” โจย้อนถาม

                “ไม่รู้เลยว่ะ แล้วนี่กูป่วยหลับไปกี่วัน” พีถามเพื่อน

                “ก็สักสิบวันละมั้ง” โจบอก

                “เฮ้ย สิบวัน แล้วทำไมกูตื่นขึ้นมาเหมือนไม่เป็นอะไรเลยล่ะ” พีถาม

                “จะไปรู้เอ็งเหรอ เอ็งคนมีบุญล่ะมั้ง” โจพูดตัดบทไม่อยากให้ถามอะไรอีก

                พีหยุดมือที่ถูตัวมองนิ่งลงไปในลำธาร เขาเริ่มสัมผัสกับภาพบางภาพที่ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร

                “เป็นอะไร” โจถามเมื่อเห็นเพื่อนของเขานั่งนิ่ง

                “ไม่รู้ว่ะ มันเหมือนเริ่มจำอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แต่มันเลือนรางว่ะ” พีตอบ

                “เออ ช่างมันก่อน เอ็งได้กลับมาก็ดีแล้ว” โจเผลอพูด

                “กลับมา” พีพูดหันมาจ้องหน้าเพื่อน

                “หมายความว่ายังไงกลับมา” พีถามย้ำ

                โจสะดุ้งอึกอักแล้วรีบพูดตัดบท

            “ก็หายป่วยกลับมาช่วยกันยังไง เอ็งรีบอาบให้เสร็จเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย” โจพูดแล้วรีบลุกขึ้นเดินขึ้นเรือนไป

                ล่วงเข้าบ่ายของวัน ท่านพ่อไกรศักดิ์เดินเข้ามาหาสร้อยแก้วกับเหมียวที่ยืนพูดคุยกันอยู่ที่ลานหน้าบ้านชี้ไม้ชี้มือบนลานดินบริเวณที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม

                “สองสาวคุยอะไรกันอยู่ลูก” ท่านไกรศักดิ์ถาม

                “เตรียมพื้นที่อาบแสงจันทร์คืนพรุ่งนี้ค่ะคุณลุง” เหมียวตอบ

                “แล้วคราวที่ผ่านมาลูกทำพิธีที่ไหนล่ะลูก” ไกรศักดิ์ยิ้มถามลูกสาว

                “บนชานเรือนจ้ะท่านพ่อ” สร้อยแก้วตอบพ่อ

                “หากแต่หนนี้มีอยู่หลายคน สร้อยแก้วเห็นจะไม่เหมาะนักจ้ะ” เธอพูดต่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่