ธารทิพย์ บทที่ 32

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 31 http://ppantip.com/topic/33219735

            ท่านแม่ทัพดึงเข็มทิศเดินป่าออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเปิดฝาออก เข็มชี้ของมันสั่นไหวกระดิกส่ายไปมาเพื่อหาสนามแม่เหล็กขั้วเหนือใต้ตามคุณสมบัติของมันแล้วหยุดนิ่งลง  เขาหายใจโล่งอกเมื่อลองส่ายตลับเข็มทิศไปมาเพื่อทดสอบ มันยังคงชี้เข็มไปทิศทางเดิม

                “อืม นึกว่าจะไม่ทำงาน” ไกรศักดิ์พูด

                “ช่างเถอะเหตุผล ไม่ต้องหา ไปต่อเถอะครับ” พีพูดก้มมองเข็มทิศในมือลุงไกรแล้วเริ่มก้าวเท้าเดินออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่หมายใจกันไว้ทันที

                ครู่ใหญ่ที่บุกไปข้างหน้า ทั้งหมดก็มาโผล่พ้นแนวป่าพบพื้นที่เล็กๆที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมทำให้แสงอาทิตย์ตกถึงพื้นดิน

                ทุกคนแหงนหน้ามองดวงตะวันที่อยู่เหนือขึ้นไปพร้อมกัน

                ท่านไกรศักดิ์เริ่มรู้สึกฉงน เขามองไปรอบๆ มองกลับไปทางทิศที่เพิ่งจะเดินมาแล้วแหงนหน้ามองดวงอาทิตย์อีกครั้งควักเอาตลับเข็มทิศออกมา
เปิดดู ทั้งหกคนหันมามองเขาเพื่อรอฟังความเห็น

                “มันยังไง” ไกรศักดิ์พูด

                “ไหนเอาของพวกเราออกมาดูซิ” เขาพูดต่อ

                ทั้งหมดล้วงเอาเข็มทิศเดินป่าของตัวเองออกมาเปิดฝาดูแล้วมองของคนอื่นอยู่ไปมา ไม่มีความแปลกใจอะไรอีกแล้วในใจของพวกเขาว่าทำไมจึงไม่มีมนุษย์เหยียบย่างเข้ามา เข็มทิศหกอันชี้เข็มไปคนละทาง
    
            ท่านไกรศักดิ์บีบฝาปิดตลับเข็มทิศในฝ่ามือลง ยิ้มเย็นๆแล้วยัดมันกลับลงกระเป๋ารู้สึกเหมือนมันไร้ค่า คนอื่นก็เก็บตามไปด้วย เขามองหน้าไปทีละคนยังไม่พูดอะไรออกมา

                “แล้วทีนี้ทิศที่จะไปมันอยู่ทางไหนล่ะครับ” โจพูด

                “ทางที่ลิขิตบอก” พีเป็นคนตอบ

                “เออ เข้าท่า” ท่านลุงพูดหัวเราะหึหึ

                “แล้วที่เข้าท่านั่นทางไหนดีล่ะคะคุณลุง” เหมียวถามยิ้มๆ

                พรานโละกับสร้อยแก้วก็ยังยืนยิ้มอยู่เช่นกันไม่มีท่าทีวิตก

                “เล่นเกมกันหน่อยมั้ย”ท่านลุงพูดอย่างอารมณ์ดี

                “เกมยังไงดีครับ” พีถาม

                “เกมลิขิตชี้ทาง” ท่านลุงพูด

                “เออ เข้าท่า” พียิ้มแกล้งล้อคำพูดลุงไกร

                “ก่อนอื่น ทุกคนก้มหน้าลง อย่ามองหน้ากันนะ” ท่านลุงเริ่มเกมสนุก

                ทั้งห้าคนนึกสนุก ก้มหน้าลงมองพื้นไม่มองคนอื่นตามที่ท่านไกรศักดิ์พูด

                “ทีนี้ตั้งจิตของตัวเองไว้ว่าอยากไปทางไหน พอฉันพูดว่าชี้ ก็ให้เงยหน้ามาชี้ทิศที่ตัวเองคิดไว้”

                “เข้าใจกันตามนี้นะ อย่าเอานิ้วจิ้มตากันล่ะ” ท่านไกรศักดิ์หัวเราะพูดให้ทุกคนครื้นเครงไปด้วย

                “เดี๋ยวๆครับคุณลุง” พีพูด

                “เหมียวจะชี้ไปทางไหน” พีพูดทำเป็นเสียงกระซิบ

                “นี่เอ็งจะลอกข้อสอบกระทั่งชี้มือนี่นะ” โจพูดขำๆ

                “เออ ไม่ลอกก็ได้” พีพยายามสร้างอารมณ์บันเทิง

                “พร้อมครับคุณลุง” พีพูดหัวเราะ

                “ชี้” ท่านไกรศักดิ์พูด

                ทั้งหกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกันแล้วชี้มือไปทางที่ตัวเองคิดไว้

                ผลคือส่วนใหญ่ชี้กันไปคนละทิศคนละทาง มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา

                “นิ่งไว้ อย่าเพิ่งเอามือลง” ท่านไกรศักดิ์พูด
    
            “ใครคิดว่าชี้อยู่คนเดียวไม่มีคนอื่นชี้ด้วยเอามือลงทีละคน” ท่านไกรศักดิ์พูดต่อ

                พีลดมือลงก่อนเพื่อน ตามด้วยพรานโละ เหมียวและท่านไกรศักดิ์ เหลือเพียงสร้อยแก้วกับโจที่ชี้มือไปทางเดียวกันสู่ทิศที่เบื้องหน้าไกลลิบๆเป็นหน้าผาสูงทะมึน

                “จุ๊จุ๊ โห น่าไปจริงๆ” พีทำจุ๊ปากพูดยิ้มส่ายหน้า มองไปที่ผาทะมึนนั้น

                โจกับสร้อยแก้วลดมือลงแล้วทั้งหมดจึงมองไกลไปทางนั้น

                “เข้าใจชี้นะเอ็ง” พีพูดแกล้งใช้หางตามองเพื่อน

                “เอาใหม่มั้ยล่ะ” โจพูดยิ้มเยือกเย็น
    
            “เอาใหม่ได้ด้วยเหรอ” พีถามไม่รอคำตอบ เขาเริ่มออกเดินฟันกิ่งไม้ไปข้างหน้าทางที่โจกับสร้อยแก้วชี้มือ
    
            ไม่มีใครพูดต่อ พวกเขาเริ่มสาวเท้าออกเดินตามพีไป

                หากมองจากดวงตาของสวรรค์ลงมายังป่าภูยม มนุษย์ทั้งหกคงไม่ใหญ่ไปกว่าผงธุลีมากนักเมื่อเปรียบกับผืนป่า พวกเขาเคลื่อนที่ขยุกขยิกไปข้างหน้า มีเพียงหัวใจของพวกเขาเท่านั้นที่ใหญ่กว่าภูเขา ทุกก้าวที่ย่ำไปนั้นมั่นคง ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ยอมแล้วที่จะรับความทุกข์ยากเจ็บปวดทุกสิ่ง กลุ่มผงธุลีนั้นเคลื่อนเข้าใกล้หน้าผาที่หมายตาอย่างเชื่องช้า

                ป่าทึบทึมลงอย่างรวดเร็วเมื่อดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลง ความเย็นของอากาศรอบตัวกับหมอกเริ่มไหลเป็นสายเข้าครอบครองพื้นที่

                พีหยุดการเดินบุกไปข้างหน้าเมื่อเสียงท่านลุงไกรศักดิ์เป่าปาก
    
            “ไม่ทันแล้วล่ะ รีบหาไม้ฟืนตั้งแค้มป์กันดีกว่า” ลุงไกรศักดิ์พูดเบาๆ

                “รีบก่อไฟให้ได้ก่อนไม้แถวนี้จะเปียกหมดจุดไม่ติด” เขาพูดต่อ

                คนละไม้คนละมือช่วยกันกระจายตัวเก็บทุกอย่างที่ติดไฟได้โยนมารวมกันที่พรานโละนั่งจุดไฟบนใบไม้อยู่ อุณหภูมิของบรรยากาศลดลงอย่างรวดเร็วจนไฟแช็คในมือพรานโละจุดแทบไม่ติดเพราะความร้อนไม่ถึงจุดวาบไฟ

                ท่านไกรศักดิ์รีบล้วงเอาไฟแช็คออกมาจุดช่วยอีกแรงปล้ำกันจนกระทั่งกองใบไม้เริ่มติดเปลวไฟขึ้น กิ่งไม้เล็กๆถูกโยนลงไปช่วยให้กองไฟเริ่มแรงขึ้น จากนั้นจึงเริ่มใส่ท่อนไม้ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมลงไป

                โจ เหมียวและสร้อยแก้วช่วยกันลากท่อนไม้ล้มขนาดเท่าน่องสามสี่ท่อนที่ค่อนข้างเปียกชื้นเข้ามาวางติดกับกองไฟเพื่อให้มันแห้งลง พรานโละลุกขึ้นไปช่วยพีซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับการฟันถางกิ่งไม้ต้นไม้เล็กเพื่อให้รอบที่พักโล่งเตียน
    
            คืนแรกในป่าภูยมนั้นหนาวจนคางสั่นกระทบ อุณหภูมิที่ลดลงกดให้กองไฟไม่สามารถโหมโชติช่วงได้อย่างที่เคยเป็น ท่านไกรศักดิ์ พีและโจยืนอยู่ใกล้กองไฟใช้กล้องมองกลางคืนส่องกวาดไปรอบๆ แม้พวกมันยังทำงานได้อย่างปกติแต่หมอกที่ลงหนาทึบก็บดบังการมองเห็นโดยสิ้นเชิง

                พรานโละกับสองสาวกำลังนั่งกินกล้วยป่าสุกคาต้นที่พีพบแล้วตัดแบกมาด้วยทั้งเครืออยู่ น้ำจากเถาวัลย์ที่พรานโละหามาต้มเดือดอยู่ในหม้อเดินป่า

                “คงต้องนั่งเบียดแก้หนาวกันอยู่อย่างนี้ล่ะ มองอะไรไม่เห็นเลย” ท่านไกรศักดิ์พูดเมื่อหย่อนตัวลงนั่ง

                เหมียวส่งกล้วยป่าให้ลุงไกรศักดิ์แล้วส่งให้โจเมื่อพวกเขานั่งลง

                “พี่พี” สร้อยแก้วเรียกชื่อแล้วส่งกล้วยให้เขาด้วย

                ทั้งสามคนรับมาปอกใส่ปากเคี้ยว เมื่อสัมผัสกับรสชาติแล้วจึงเหลือบมาเห็นพรานโละกับสองสาวนั่งมองหน้าอยู่

                “เฮ้ย คิดเหมือนกันใช่มั้ย” พีพูดแล้วมองที่ทุกคน
    
            “อย่างกับกล้วยจากสวรรค์ ทำไมอร่อยอย่างนี้เนี่ย” พีพูดต่อ

            ไม่มีใครต้องการคำตอบ ต่างคนต่างปลิดกล้วยจากเครือใหญ่ที่เหลือพอสำหรับทุกคนใส่ปากกินจนอิ่มแปล้แล้วนั่งจิบน้ำจากเถาวัลย์ต้มเพื่อคลายหนาว

                “อย่างน้อยท่านก็เมตตาให้กินอิ่มมีแรงเดินไปใช้กรรม ว่ามั้ย” พีพูดยิ้มๆ

                “มีอะไรรอเราอยู่ที่หน้าผานั่น” โจชวนคุย

                “แค่ประตูมิติละมั้ง” พีพูด

                “มีกุญแจเปิดมั้ยล่ะคะ” เหมียวร่วมวงด้วย

                “เพิ่งเจอดอกเดียว” พีพูดแล้วโอบไหล่สร้อยแก้วที่นั่งอยู่ข้างๆเขย่าเบาๆ

                ทุกคนยิ้มมองไปที่สร้อยแก้ว

                “จันทิมา” พีพูด

                “รู้มั้ย แปลว่าอะไร” พีหันไปยิ้มถามสร้อยแก้วมือยังโอบไหล่เธออยู่

                “ไม่รู้ดอกจ้ะ” สร้อยแก้วยิ้มตอบ เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นที่พีโอบไหล่

                “แปลว่า งามดั่งพระจันทร์” พีพูด

                “สร้อยแก้วไม่งามเยี่ยงนั้นดอกจ้ะ” สร้อยแก้วพูดอายๆ

                “จริงอย่างที่พี่เค้าพูดนั่นล่ะสร้อย” โจพูดเห็นด้วยกับพี

                “เห็นมั้ย พี่เหมียวก็เคยบอก” เหมียวยิ้มพูดเสริมอีกคน

            สร้อยแก้วก้มหน้าเอียงอายอยู่อย่างนั้น พรานโละและท่านไกรศักดิ์นั่งยิ้มไปด้วย อย่างน้อยหนุ่มสาวพวกนี้ก็รู้จักสร้างบรรยากาศให้คลายความตึงเครียดลงบ้าง เขาคิด

                “แล้วสุริยันกับวาสนาล่ะ” โจพูด

                “โอ้โห เค้ากำลังหายเครียดเอ็งนี่ก็” พีหันไปดุเพื่อน

                “โอ ขอโทษขอโทษ” โจพูดทำหน้าแหย

                “แค่สงสัยว่าจะเจอกันได้ยังไง กลางวันกับกลางคืน” โจพูดต่อ

                “ก็ตอนพลบค่ำกับรุ่งเช้าไง” พีบอกเพื่อน

                “หนาวจัง เหนื่อยด้วย นอนพักกันเถอะครับ ผมนั่งยามให้ก่อน” พีพูด

                “นั่งคนเดียวไม่ดี ป่าอาถรรพ์ เก้าชั่วโมง สามกะ” ลุงไกรศักดิ์พูด

                “พีกับสร้อย ลุงกับโละ โจกับเหมียว” ลุงไกรกำหนด

                “ตกลงตามนั้นครับ” พีรับคำ

                “จ้ะท่านพ่อ” สร้อยแก้วรับคำด้วย

                “เกรงใจไม่ได้นะ ต้องปลุกตามเวลา ไม่อย่างนั้นตอนเช้าจะมีปัญหานอนไม่พอ” ท่านลุงพูดย้ำ

                ท่านลุงไกรศักดิ์กับเหมียวเอนตัวลงนอน พรานโละกับโจลุกขึ้นช่วยกันยกขอนไม้ที่เริ่มแห้งแล้ววางทับกองไฟเพื่อเติมเชื้อแล้วกลับมาเอนนอนลงตาม พีกับสร้อยแก้วยังนั่งยามคู่กันอยู่

                เวลาผ่านไป สี่คนหลับไปหมดแล้ว สร้อยแก้วนั่งมองตามพีไป เมื่อครู่เขานั่งนิ่งเงียบมองจ้องเปลวไฟในกองแล้ววางปืนหยิบดาบคู่ลุกขึ้นเดินอยู่รอบที่พักมองไปในป่า

                ท่วงท่าที่ชายหนุ่มเดินอยู่นั้น เขากางแขนออกเล็กน้อยมือกำดาบทะมัดทะแมง มองจ้องออกไปอย่างไม่รู้สึกกลัวเกรงอะไร พีเดินมองอยู่สองสามรอบแล้วกลับมานั่งข้างสร้อยเหมือนเดิม ตั้งปลายฝักดาบไว้บนพื้นกำไว้ด้วยมือข้างเดียว อีกมือหนึ่งเขาหันมายิ้มแล้ววางพาดไหล่เธอไว้

                “กลัวมั้ย” พีถามเบาๆ

                “กลัวอยู่บ้างจ้ะ’’’   สร้อยแก้วยิ้มตอบ

                “อยู่ใกล้พี่ไม่ต้องกลัว สิ่งเป็นทิพย์ไม่ทำร้ายเรา สิ่งเป็นภัยพี่จะฟันไม่ให้แค้นคอกา” พีพูดด้วยคำแปลกๆ

                พูดจบแล้วพีก็นั่งมองเปลวไฟนิ่งไปอีก

                “พี่พีคิดถึงอันใดอยู่จ๊ะ” สร้อยแก้วเอ่ยถาม

                พียังนิ่งอยู่ชั่วอึดใจยังไม่พูดตอบแล้วหันหน้าช้าๆมามองสร้อยแก้ว

                “พี่ไม่รู้เหมือนกัน คิดถึงแต่บนเส้นทาง ไม่คิดเรื่องต้นทาง ไม่คิดเรื่องปลายทาง” พีพูดลอยๆ

                “พี่เหมียวกับพี่โจบอกสร้อยแก้วว่าพี่เงาะ” สร้อยแก้วหยุดพูด

                “พี่เงาะเป็นคู่พี่พีใช่มั้ยจ๊ะ” สร้อยแก้วถาม

                “ก็ไม่เชิง คือยังไม่ได้ผูกข้อมือกันน่ะ” พีพูดใช้คำแบบให้เธอเข้าใจง่ายๆ

                “เงาะเค้าตายไปแล้ว” พีพูดแล้วใช้มือลูบคางขยี้จมูกเหมือนต้องการปลดความรู้สึกขมขื่นออกไป

                สร้อยแก้วมองหน้าเขาอย่างเข้าใจแต่เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขาเพื่อปลอบใจ

                “พี่มาใกล้ภัยเยี่ยงนี้เพื่ออันใดจ๊ะ” สร้อยถาม

                “ก็ ไม่รู้สินะ อาจเพื่ออะไรสักอย่างก็ได้มั้ง เดี๋ยวก็รู้” เขาพูดแล้วปรับอารมณ์ตัวเองเป็นยิ้มกว้างให้สร้อย

                “พี่พีกินสิ่งนี้มั้ยจ๊ะ” สร้อยแก้วพูดแล้วยื่นช็อกโกแลตแท่งที่เหมียวให้มา

                “เฮ้ย นี่มีช็อกโกแลตกินด้วยเหรอ” พีพูดเลิกคิ้วทำเสียงแปลกใจ

                “พี่เหมียวให้มาจ๊ะ” สร้อยแก้วยิ้มตอบ

                “อืม ขอกินหน่อยนึงแล้วกัน” พียิ้มอารมณ์ดี หักช็อกโกแลตใส่ปากแล้วส่งคืนให้สร้อยแก้ว

                “ขอบใจนะ” พีพูดเคี้ยวขนมในปากไปด้วย

                พีโอบไหล่แล้วดึงเธอเอนตัวมาชิดข้างเหมือนที่เคยทำฉันท์พี่น้องแล้วปล่อยแขนออก เขารู้สึกแปลกไม่เหมือนเดิม สร้อยแก้วก็เช่นกัน เธอเองก็หวิวไหวบอกไม่ถูก ทั้งสองจึงนั่งหลบตากันไปมาอยู่อย่างนั้นจนท่านพ่อไกรศักดิ์และพ่อพรานโละลุกขึ้นมาเปลี่ยนเวร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่