ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 29
http://ppantip.com/topic/33193935
เช้าตรู่ของรุ่งเช้าวันต่อมาอันเป็นฤกษ์งามยามดี
พีนั่งผูกเชือกรองเท้าเดินป่าอยู่ที่เชิงบันไดเสร็จเรียบร้อยจึงยืนขึ้นยกเป้หลังขึ้นสวมไหล่ ดาบโบราณสองเล่มที่เขาขอให้พรานโละกับแงซาช่วยหาเชือกถักมาทำสายสะพายที่ฝักทั้งสองให้ตั้งพิงลูกบันไดพียื่นมือซ้ายไปกำรวบสายสะพายทั้งสองเส้นแล้วยกขึ้นตั้งใจจะแขวนบนไหล่ซ้ายข้างเดียว
พีหยุดมองเมื่อมือซ้ายซึ่งกำรวบสายสะพายที่โคนฝักดาบยกขึ้นมาที่ระดับไหล่
ดาบโบราณที่ห้อยอยู่หลังมือ แหวนโบราณสลักรูปคล้ายดาบไขว้บนหัวแหวนบอกสัญญาณของความเชื่อมโยงกัน พีรู้ว่านี่ไม่ใช่ความบังเอิญเขาจึงหิ้วสายสะพายอยู่ท่านั้นเดินเข้ามาหาลุงไกรศักดิ์ที่นั่งรวมกันอยู่ที่ลานหน้าบ้าน
ท่านลุงไกรศักดิ์กับคนอื่นหันไปมองพีที่เดินชูดาบคู่เข้ามาหา
“มีอะไรรึเปล่าลูกพี” ลุงไกรเอ่ยถาม
พียังกำสายสะพายอยู่อย่างนั้น ชูให้ทุกคนเห็นหัวแหวนที่นิ้วกลางแล้วมาหยุดตรงหน้าท่านไกรศักดิ์
“คุณลุงว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกันมั้ยครับ” พีถาม
โจมองหน้าลุงไกรกับพี
เหมียว สร้อยแก้วกับพรานโละมองหน้ากันไปมายังไม่เข้าใจ
“แหวนโบราณที่คุณลุงให้ผมสวม สลักหัวรูปดาบไขว้” พีพูด
“ผมตั้งมั่น ผมสู้แน่”
“แต่คุณลุงโปรดบอกผมหน่อยครับ คุณลุงทราบอะไรมาก่อนหน้านี้บ้างครับ” พีหันไปมองที่ลุงไกรของเขา
ลุงไกรศักดิ์ส่ายหน้าช้าๆ พีนั่งลงข้างลุงของเขาเพื่อรอฟัง
“ลุงได้แหวนโบราณสองวงนี้มาเมื่อสิบกว่าปีก่อน พร้อมกับดาบคู่นี้” ลุงไกรพูดวางมือบนไหล่ชายหนุ่ม
“ตอนนั้นลุงไปทำบุญกับหน่วยงานที่วัดป่าแถวอีสานเหนือ”
“พอเสร็จจากทำบุญกันแล้วคณะเค้าก็ไปแวะเที่ยวตลาดพื้นเมืองกัน”
“มีชาวบ้านชาวภูเขามานั่งขายของป่าต้นหมากรากไม้สมุนไพรเยอะแยะ” ลุงไกรเล่า
พลตรีไกรศักดิ์ ธำรงสัตย์ กับคณะกว่าร้อยชีวิตเดินดูข้าวของสินค้าที่ชาวบ้านชาวป่านำมาวางแบกับดินบ้าง วางขายอยู่บนแคร่ไม้บ้างมากมายหลายชนิด พวกเขานำกล้วยไม้สมุนไพรป่า พืชผักกับของที่ดูแปลกตามาเปิดตลาด เมื่อมองไปยังพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายก็ล้วนแต่เป็นคนพื้นบ้านชาวป่าแต่งกายแตกต่างกันไปตามขนบธรรมเนียม
ตลาดตื่นคึกคักเมื่อคณะท่องเที่ยวมาเยือน เสียงพูดจาสนทนาต่อรองเพื่อซื้อขายกันเป็นที่สนุกสนานด้วยทั้งการพูดคนละภาษาทั้งการสนทนาด้วยภาษามือ ลูกค้าผู้หญิงของคณะก็ส่งเสียงชักชวนผองเพื่อนกันไปมาเพื่อช่วยกันดูสินค้าพวกผ้าพื้นเมืองและดอกไม้ป่าด้วยความเฮฮายิ้มแย้ม
ไกรศักดิ์เดินทอดน่องมองดูแผงสินค้าสองข้างทางเรื่อยๆจนมาสะดุดตากับแผงหนึ่ง เสื่อผืนเล็กสภาพสกปรกที่ปูรองอยู่บนดิน มีไม้แห้งหลายแท่งรูปลักษณ์แปลกตากองรวมกันอยู่หลากชนิด หญิงชราเนื้อตัวสกปรกร่างผอมแห้งใบหน้าเกร็งตอบผู้เป็นแม่ค้าก็นั่งก้มหน้าอยู่อย่างไม่ใยดีใคร ภาพรวมของแผงค้าขายจึงส่งผลให้ลูกค้าที่ผ่านไปมาไม่คิดแม้แต่จะชายตามอง
ไกรศักดิ์ผู้คุ้นเคยกับความแปลกของป่าเขาจึงเป็นลูกค้าคนเดียวที่ย่อตัวนั่งบนส้นเท้าหน้าเสื่อ
“นี่ยายขายอะไรจ๊ะ” เขาพูดทัก
หญิงชราเงยขึ้นสบตาเจ้าของเสียง ดวงตาอิดโรยเหือดแห้งเกือบไม่มีแวว ไกรศักดิ์ยิ้มให้แล้วพูดย้ำ
“คุณยายขายอะไรจ๊ะ”
“เจ้าแลหาสิ่งใด” หญิงชราตอบเสียงแหบโหย
“ฉันไม่ได้กำลังมองหาอะไรหรอก” ไกรศักดิ์ยังคงยิ้มพูด
หญิงชราก้มหน้าลงไม่สนทนาต่อ
ไกรศักดิ์ยิ้มๆให้กับเธอแล้วลุกขึ้นยืนจะออกเดินต่อ ก่อนที่เขาจะเริ่มก้าวเท้าสิ่งหนึ่งก็ถูกโยนจากมือหญิงชรามาตกอยู่ตรงปลายเท้าของเขา ไกรศักดิ์ก้มหน้ามองแล้วนั่งลงหยิบท่อนไม้แห้งๆสีน้ำเงินเข้มถือไว้ในมือหันมาหาหญิงชรา
“ยายอยากขายไม้นี่ให้ฉันใช่มั้ย” เขาถามสีหน้านิ่ง เริ่มสัมผัสกับสิ่งที่ไม่ปกติ
“ข้าให้เจ้า หากเจ้าแลกของกับข้า” หญิงชราพูดแผ่วเบา
“ยายมีอะไรจะให้ฉันซื้อ” ไกรศักดิ์จ้องตาถาม
หญิงชราล้วงมือไปใต้เสื่อเก่าคร่ำคร่าที่ดูเหมือนมีท่อนไม้สองท่อนอยู่ใต้นั้นออกมาโยนไปตรงหน้าไกรศักดิ์ทั้งสองท่อน แล้วหันช้าๆไปหยิบถุงผ้าเล็กสกปรกอีกถุงหนึ่งโยนตามมา
ไกรศักดิ์หยิบดาบโบราณขึ้นมาถือในมือแล้วเหลือบตามองหญิงชรา เขานิ่งรอดูท่าทีของผู้ขายว่ายังนิ่งเฉยอยู่จึงดึงด้ามดาบเปลือยใบออกจากฝักทั้งสองเล่ม เนื้อเหล็กเก่าแก่ปนเหลือบเขียวลักษณะของเหล็กน้ำพี้ มีอักขระโบราณจารไว้บนใบดาบทั้งสอง เขาเก็บใบเข้าฝักแล้ววางดาบลงคู่กัน หยิบถุงใบเล็กสกปรกนั้นขึ้นมาแกะปากถุงเทของที่อยู่ข้างในลงบนฝ่ามือ
แหวนโบราณสองวงกับก้อนแร่สีเทาแปลกๆอยู่บนฝ่ามือ ไกรศักดิ์หยิบแหวนสองวงขึ้นมาดูใกล้ๆสังเกตเห็นหัวแหวนที่ถูกสลักไว้ต่างกัน จากนั้นจึงหยิบก้อนสีเทาขึ้นดูแล้วเหลือบไปมองตาหญิงชราอีกครั้ง
“ฉันมีแต่เงินจะซื้อ ไม่มีของอะไรจะแลกกับยายหรอกนะ” ไกรศักดิ์พูดยังมองสบสายตาอยู่
“ข้าแลกของข้าด้วยสัจจะ” หญิงชราพูดไม่มีความรู้สึกอะไรบนสีหน้า
“ยังไงครับคุณยาย” ไกรศักดิ์ถาม
“เมื่อเพลามาถึง เจ้าจงนำรักแห่งข้าอีกทั้งเมตตาแห่งเจ้า มอบให้บุตรข้า” หญิงชราบอกกล่าว
“ใครคือบุตรของท่าน” ไกรศักดิ์ถาม
“เจ้าจะรู้รับเมื่อถึงกาลนั้น” หญิงชราพูด
“เราจะมอบความรักของท่านกับเมตตาของเราให้กับบุตรแห่งท่าน”ไกรศักดิ์จ้องตาพูดหนักแน่น
“เราขอให้สัจจะวาจาต่อเจ้าป่าเจ้าเขา ต่อท่าน”เขาจบคำพูดสัญญาเป็นสัจจะ
“เจ้าจงนำมันเหล่านี้ไป” หญิงชราพูด
ลุงไกรศักดิ์เล่าจบ
“ลุงไม่รู้หรอกนะเวลานั้นว่าเพื่ออะไร แต่แน่ใจว่าจะเกี่ยวข้องกับวันข้างหน้า” ลุงไกรศักดิ์พูด
“ต่อมาเมื่อกรรมฐานของลุงแข็งแรงขึ้นจึงได้สัมผัสว่าต้องมอบของสองสิ่งให้พี่ผาก่อน คือก้อนสีเทากับแท่งไม้สีน้ำเงินนั่น ที่ลุงใส่ซองสีน้ำตาลฝากเราสองคนมาให้พี่ผานั่นล่ะ”
“เรื่องแหวน ลุงสัมผัสในจิตวันนั้นว่าต้องให้กับเราสองคน”
“เรื่องดาบคู่นี้ ลุงแค่รู้สึกว่าต้องให้พี แต่ไม่รู้ว่าทำไม” ลุงไกรพูดจบ
โจกำมือยกขึ้นมองแหวนที่สวมนิ้วอยู่
“ถ้าจะหาคำตอบก็คงไม่ต้องไปไหนกันล่ะครับผมว่า” โจพูด
“จริงของเอ็ง เดี๋ยวเข้าไปรู้กันในภูยมโน่นแล้วกัน” พีพูดเด็ดเดี่ยวตัดบท
ท่านลุงไกรศักดิ์ลุกขึ้นยืนตระหง่านแยกเท้าออกจากกันทิ้งแขนข้างลำตัวด้วยท่วงท่านักรบ พรานโละ เหมียว โจ พีและสร้อยแก้วลุกขึ้นยืนตามด้วยท่าทีเดียวกัน คนทั้งหกหันหน้าเข้าหากันเป็นวงกลมมองสบตากันไปมา พวกเขาไม่มีแววประหวั่นพรั่นพรึงใดๆฉายออกจากแววตาอีกแล้วเวลานี้
แม่ทัพผู้เป็นหลักของครอบครัวมองสำรวจไปทีละคน
พรานโละอยู่ในชุดพรานผ้าโพกศีรษะเช่นเดิม สะพายย่ามเครื่องใช้ เหน็บมีดเดินป่าไว้ที่เอว ธนูและปืนแก๊ป
เหมียวสวมชุดเดินป่ารองเท้าครึ่งแข้งผูกเชือกทะมัดทะแมง เธอโหลดเป้หลังที่บรรจุอุปกรณ์จำเป็น ของใช้ส่วนตัวเสื้อผ้าสำรองทั้งของตัวเองกับสร้อยแก้วด้วย ไรเฟิลติดกล้องเล็งสะพายบนไหล่จุดสี่ห้าเสียบซองข้างลำตัว
โจ ในชุดพรางตัวเดิม เป้หลัง สายสะพายไหล่เสียบแม็กกาซีนสำรอง รีวอลเว่อร์พกข้างตัว มีดยาวเดินป่าและไรเฟิลสงครามสะพายไหล่
พีก็เช่นเดียวกันกับโจ ต่างกันที่เขาไม่มีมีดเดินป่าแต่ทดแทนด้วยดาบโบราณคู่นั้นสะพายเฉียงไขว้กันไว้ที่หลังแล้วโหลดเป้หลังทับอีกที
ผู้เป็นดั่งโสม เธอสวมชุดเดินป่าที่พี่โจซื้อให้ รองเท้าพรานพื้นบ้านที่คุ้นเคย ดาบเดินป่า ธนู ปืนแก๊ปแล้วสะพายขวางอกย่ามที่บรรจุกระดูกของแม่ลอยาไว้ด้านหลัง
“บัดนี้ เราคือครอบครัว เลือดเนื้อและหัวใจเรารวมเป็นหนึ่งเดียว” ท่านไกรศักดิ์พูดออกเสียงดัง
ทั้งหกยิ้มแล้วเข้าสวมกอดกันไปมาท่านไกรศักดิ์เงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วจึงพูดชักชวน
“มา ได้เวลาแล้ว เรามาบอกกล่าวบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ เจ้าป่าเจ้าเขาด้วยกัน”
ทั้งหกคนและพรานแงซากับน่อเซิ่งเข้ามาร่วมพิธีด้วยเพื่อขอเปิดป่า ขอความเมตตาอุปถัมภ์คุ้มครอง เมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง พรานโละหันไปพูดกับแงซาซึ่งยืนน้ำตาไหลอยู่
“แงซา เจ้าหมั่นดูน่อเซิ่งกับตัวเจ้าเองให้ดีนะ” พรานโละจับไหล่สองข้างพูดกับแงซา
“จ้ะอ้ายโละ ข้าจักหมั่นดูเรือนชานให้อ้ายโละนะ” แงซาพูดทั้งน้ำตา
“เหล่าท่านโปรดหวนคืนยังเรือนนะ” แงซาพูดต่อแล้วปิดหน้านั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น
พรานโละก้มลงลูบหลังลูบไหล่แงซาเพื่อปลอบใจ
สร้อยแก้วนั่งลงบนส้นเท้าจับสองแขนของน่อเซิ่งที่ยืนร้องไห้ไว้แล้วพูดปลอบ
“เจ้าหมั่นดูพ่อของเจ้า ช่วยงานเรือนพ่อเจ้านะ พี่จะกลับมา” สร้อยแก้วบอกเด็กหญิงน้ำตาคลอเบ้า
“พี่โส่ย” น่อเซิ่งกอดพี่สร้อยแก้วของเธอไว้
เหมียวเดินเข้ามานั่งอยู่ข้างเจ้าพรีโม่ เธอลูบหัวลูบหลังเพื่อต้องการให้มันเข้าใจสิ่งที่เธอจะพูด
“รออยู่ที่นี่นะพรีโม่ ที่ที่จะไปอาจเป็นมิติอื่นที่เจ้าไม่ควรเข้าไป ดูแลน่อเซิ่งกับช่วยแงซานะ” เหมียวพูดกับมันช้าๆ
เจ้าแสนรู้หมอบตัวลงครางหงิงๆเหมือนเข้าใจความหมาย นายหญิงของมันก็น้ำตาคลอเมื่อลูบหัวมัน พีกับโจเดินมาก้มลูบหัวเจ้าพรีโม่ด้วย
“ถ้าชั้นไม่กลับมาแกก็เป็นหมาป่าไปเลยนะ” พีพูดพยายามทำให้ขำๆ
“ไป เดินทัพ” ท่านไกรศักดิ์พูดขึ้นเสียงดังเรียกขวัญ
ทั้งห้าขยับลุกขึ้นแข็งขัน บางคนเช็ดน้ำตาแล้วสูดลมหายใจแรงเข้าปอดเพื่อเรียกสติและกำลังใจ สะบัดแขนสะบัดขาให้ตื่นตัวพร้อม
“ไป” ท่านไกรศักดิ์พูดดังหนักแน่นเหมือนสั่งแถวทหาร
ท่านแม่ทัพก้าวเท้าซ้ายแรกออกเดินตามธรรมเนียมทหาร นั่นถือเป็นก้าวแรกสู่ภารกิจที่แสนไกลและมืดมนจากลานบ้านของท่านผาสู่วะสะธารา แม้หัวใจของทุกคนจะมุ่งมั่นกล้าหาญ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่าอีกกี่หมื่นกี่แสนก้าวจึงจะถึงจุดหมาย
คุณเป็ดน้ำทะยานขึ้นจากผิวน้ำไต่ระยะสูงขึ้นเป็นลำดับ พีปลดเครื่องหลังและอาวุธไว้ในห้องโดยสารนั่งเก้าอี้นักบินตัวซ้าย โจก็เช่นเดียวกันบนเก้าอี้ตัวขวา โพยมยานที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยมันสมองจะต้านทานพลังของความลี้ลับในภูยมได้เพียงใดนั่นคือคำถามที่อยู่ในใจอันระทึกของทั้งหกคนบนเครื่องมีเพียงศรัทธากับภาวนาเท่านั้นที่เป็นความหวัง
สองคน ช่างเครื่องบินและนักบินเพื่อนเกลอผู้กำลังจะเข้ารับเหรียญเดนตายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ายังคงนั่งเงียบ แววตามุ่งมั่น โจกางแผนที่ออกตั้งแต่เครื่องวิ่งขึ้นแล้ว พีเมื่อตั้งลำได้จึงเหลือบตามองตามที่เพื่อนชี้นิ้วบนแผนที่อยู่บ่อยๆ เขาทั้งสองต้องกลั่นทุกเซลสมองออกมาช่วยกันคิดตามองค์ความรู้ด้านการบินที่มีอยู่
“เราวนรอบนึงก่อนดีมั้ย” โจพูด
“มันแน่อยู่แล้ว เอ็งจะตะบันลงไปเลยรึไง” พีแกล้งตอบเสียงเขียว
“เดี๋ยวผมบินวนดูแล้วช่วยกันส่องกล้องสำรวจพื้นราบที่จะลงให้ละเอียดเลยนะครับ” พีหันมาสั่ง
“แฟลปฟูลเลย” พีสั่ง โจโยกคันบังคับแฟลปกางออกสุดเพื่อขยายพื้นที่ปีกให้เครื่องบินช้าลง
พีบังคับคุณเป็ดน้ำให้ร่อนด้วยความเร็วต่ำสุด พวกเขาต้องการเวลาบินผ่านที่ราบให้นานที่สุดเพื่อดูรายละเอียดบนผิวดินก่อนตัดสินใจร่อนลง
“เป็นยังไงบ้าง” พีถามมือยังบังคับเครื่องให้ร่อนอยู่
“ผิวพื้นค่อนข้างเรียบ” โจตอบสายตายังอยู่กับกล้องส่องทางไกลในมือ
“ลุงว่าระยะประมาณแปดเก้าร้อยเมตรได้นะ” ลุงไกรศักดิ์บอกคาดการณ์ความยาวของที่ราบ
ธารทิพย์ บทที่ 30
ธารทิพย์ บทที่ 29 http://ppantip.com/topic/33193935
เช้าตรู่ของรุ่งเช้าวันต่อมาอันเป็นฤกษ์งามยามดี
พีนั่งผูกเชือกรองเท้าเดินป่าอยู่ที่เชิงบันไดเสร็จเรียบร้อยจึงยืนขึ้นยกเป้หลังขึ้นสวมไหล่ ดาบโบราณสองเล่มที่เขาขอให้พรานโละกับแงซาช่วยหาเชือกถักมาทำสายสะพายที่ฝักทั้งสองให้ตั้งพิงลูกบันไดพียื่นมือซ้ายไปกำรวบสายสะพายทั้งสองเส้นแล้วยกขึ้นตั้งใจจะแขวนบนไหล่ซ้ายข้างเดียว
พีหยุดมองเมื่อมือซ้ายซึ่งกำรวบสายสะพายที่โคนฝักดาบยกขึ้นมาที่ระดับไหล่
ดาบโบราณที่ห้อยอยู่หลังมือ แหวนโบราณสลักรูปคล้ายดาบไขว้บนหัวแหวนบอกสัญญาณของความเชื่อมโยงกัน พีรู้ว่านี่ไม่ใช่ความบังเอิญเขาจึงหิ้วสายสะพายอยู่ท่านั้นเดินเข้ามาหาลุงไกรศักดิ์ที่นั่งรวมกันอยู่ที่ลานหน้าบ้าน
ท่านลุงไกรศักดิ์กับคนอื่นหันไปมองพีที่เดินชูดาบคู่เข้ามาหา
“มีอะไรรึเปล่าลูกพี” ลุงไกรเอ่ยถาม
พียังกำสายสะพายอยู่อย่างนั้น ชูให้ทุกคนเห็นหัวแหวนที่นิ้วกลางแล้วมาหยุดตรงหน้าท่านไกรศักดิ์
“คุณลุงว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกันมั้ยครับ” พีถาม
โจมองหน้าลุงไกรกับพี
เหมียว สร้อยแก้วกับพรานโละมองหน้ากันไปมายังไม่เข้าใจ
“แหวนโบราณที่คุณลุงให้ผมสวม สลักหัวรูปดาบไขว้” พีพูด
“ผมตั้งมั่น ผมสู้แน่”
“แต่คุณลุงโปรดบอกผมหน่อยครับ คุณลุงทราบอะไรมาก่อนหน้านี้บ้างครับ” พีหันไปมองที่ลุงไกรของเขา
ลุงไกรศักดิ์ส่ายหน้าช้าๆ พีนั่งลงข้างลุงของเขาเพื่อรอฟัง
“ลุงได้แหวนโบราณสองวงนี้มาเมื่อสิบกว่าปีก่อน พร้อมกับดาบคู่นี้” ลุงไกรพูดวางมือบนไหล่ชายหนุ่ม
“ตอนนั้นลุงไปทำบุญกับหน่วยงานที่วัดป่าแถวอีสานเหนือ”
“พอเสร็จจากทำบุญกันแล้วคณะเค้าก็ไปแวะเที่ยวตลาดพื้นเมืองกัน”
“มีชาวบ้านชาวภูเขามานั่งขายของป่าต้นหมากรากไม้สมุนไพรเยอะแยะ” ลุงไกรเล่า
พลตรีไกรศักดิ์ ธำรงสัตย์ กับคณะกว่าร้อยชีวิตเดินดูข้าวของสินค้าที่ชาวบ้านชาวป่านำมาวางแบกับดินบ้าง วางขายอยู่บนแคร่ไม้บ้างมากมายหลายชนิด พวกเขานำกล้วยไม้สมุนไพรป่า พืชผักกับของที่ดูแปลกตามาเปิดตลาด เมื่อมองไปยังพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายก็ล้วนแต่เป็นคนพื้นบ้านชาวป่าแต่งกายแตกต่างกันไปตามขนบธรรมเนียม
ตลาดตื่นคึกคักเมื่อคณะท่องเที่ยวมาเยือน เสียงพูดจาสนทนาต่อรองเพื่อซื้อขายกันเป็นที่สนุกสนานด้วยทั้งการพูดคนละภาษาทั้งการสนทนาด้วยภาษามือ ลูกค้าผู้หญิงของคณะก็ส่งเสียงชักชวนผองเพื่อนกันไปมาเพื่อช่วยกันดูสินค้าพวกผ้าพื้นเมืองและดอกไม้ป่าด้วยความเฮฮายิ้มแย้ม
ไกรศักดิ์เดินทอดน่องมองดูแผงสินค้าสองข้างทางเรื่อยๆจนมาสะดุดตากับแผงหนึ่ง เสื่อผืนเล็กสภาพสกปรกที่ปูรองอยู่บนดิน มีไม้แห้งหลายแท่งรูปลักษณ์แปลกตากองรวมกันอยู่หลากชนิด หญิงชราเนื้อตัวสกปรกร่างผอมแห้งใบหน้าเกร็งตอบผู้เป็นแม่ค้าก็นั่งก้มหน้าอยู่อย่างไม่ใยดีใคร ภาพรวมของแผงค้าขายจึงส่งผลให้ลูกค้าที่ผ่านไปมาไม่คิดแม้แต่จะชายตามอง
ไกรศักดิ์ผู้คุ้นเคยกับความแปลกของป่าเขาจึงเป็นลูกค้าคนเดียวที่ย่อตัวนั่งบนส้นเท้าหน้าเสื่อ
“นี่ยายขายอะไรจ๊ะ” เขาพูดทัก
หญิงชราเงยขึ้นสบตาเจ้าของเสียง ดวงตาอิดโรยเหือดแห้งเกือบไม่มีแวว ไกรศักดิ์ยิ้มให้แล้วพูดย้ำ
“คุณยายขายอะไรจ๊ะ”
“เจ้าแลหาสิ่งใด” หญิงชราตอบเสียงแหบโหย
“ฉันไม่ได้กำลังมองหาอะไรหรอก” ไกรศักดิ์ยังคงยิ้มพูด
หญิงชราก้มหน้าลงไม่สนทนาต่อ
ไกรศักดิ์ยิ้มๆให้กับเธอแล้วลุกขึ้นยืนจะออกเดินต่อ ก่อนที่เขาจะเริ่มก้าวเท้าสิ่งหนึ่งก็ถูกโยนจากมือหญิงชรามาตกอยู่ตรงปลายเท้าของเขา ไกรศักดิ์ก้มหน้ามองแล้วนั่งลงหยิบท่อนไม้แห้งๆสีน้ำเงินเข้มถือไว้ในมือหันมาหาหญิงชรา
“ยายอยากขายไม้นี่ให้ฉันใช่มั้ย” เขาถามสีหน้านิ่ง เริ่มสัมผัสกับสิ่งที่ไม่ปกติ
“ข้าให้เจ้า หากเจ้าแลกของกับข้า” หญิงชราพูดแผ่วเบา
“ยายมีอะไรจะให้ฉันซื้อ” ไกรศักดิ์จ้องตาถาม
หญิงชราล้วงมือไปใต้เสื่อเก่าคร่ำคร่าที่ดูเหมือนมีท่อนไม้สองท่อนอยู่ใต้นั้นออกมาโยนไปตรงหน้าไกรศักดิ์ทั้งสองท่อน แล้วหันช้าๆไปหยิบถุงผ้าเล็กสกปรกอีกถุงหนึ่งโยนตามมา
ไกรศักดิ์หยิบดาบโบราณขึ้นมาถือในมือแล้วเหลือบตามองหญิงชรา เขานิ่งรอดูท่าทีของผู้ขายว่ายังนิ่งเฉยอยู่จึงดึงด้ามดาบเปลือยใบออกจากฝักทั้งสองเล่ม เนื้อเหล็กเก่าแก่ปนเหลือบเขียวลักษณะของเหล็กน้ำพี้ มีอักขระโบราณจารไว้บนใบดาบทั้งสอง เขาเก็บใบเข้าฝักแล้ววางดาบลงคู่กัน หยิบถุงใบเล็กสกปรกนั้นขึ้นมาแกะปากถุงเทของที่อยู่ข้างในลงบนฝ่ามือ
แหวนโบราณสองวงกับก้อนแร่สีเทาแปลกๆอยู่บนฝ่ามือ ไกรศักดิ์หยิบแหวนสองวงขึ้นมาดูใกล้ๆสังเกตเห็นหัวแหวนที่ถูกสลักไว้ต่างกัน จากนั้นจึงหยิบก้อนสีเทาขึ้นดูแล้วเหลือบไปมองตาหญิงชราอีกครั้ง
“ฉันมีแต่เงินจะซื้อ ไม่มีของอะไรจะแลกกับยายหรอกนะ” ไกรศักดิ์พูดยังมองสบสายตาอยู่
“ข้าแลกของข้าด้วยสัจจะ” หญิงชราพูดไม่มีความรู้สึกอะไรบนสีหน้า
“ยังไงครับคุณยาย” ไกรศักดิ์ถาม
“เมื่อเพลามาถึง เจ้าจงนำรักแห่งข้าอีกทั้งเมตตาแห่งเจ้า มอบให้บุตรข้า” หญิงชราบอกกล่าว
“ใครคือบุตรของท่าน” ไกรศักดิ์ถาม
“เจ้าจะรู้รับเมื่อถึงกาลนั้น” หญิงชราพูด
“เราจะมอบความรักของท่านกับเมตตาของเราให้กับบุตรแห่งท่าน”ไกรศักดิ์จ้องตาพูดหนักแน่น
“เราขอให้สัจจะวาจาต่อเจ้าป่าเจ้าเขา ต่อท่าน”เขาจบคำพูดสัญญาเป็นสัจจะ
“เจ้าจงนำมันเหล่านี้ไป” หญิงชราพูด
ลุงไกรศักดิ์เล่าจบ
“ลุงไม่รู้หรอกนะเวลานั้นว่าเพื่ออะไร แต่แน่ใจว่าจะเกี่ยวข้องกับวันข้างหน้า” ลุงไกรศักดิ์พูด
“ต่อมาเมื่อกรรมฐานของลุงแข็งแรงขึ้นจึงได้สัมผัสว่าต้องมอบของสองสิ่งให้พี่ผาก่อน คือก้อนสีเทากับแท่งไม้สีน้ำเงินนั่น ที่ลุงใส่ซองสีน้ำตาลฝากเราสองคนมาให้พี่ผานั่นล่ะ”
“เรื่องแหวน ลุงสัมผัสในจิตวันนั้นว่าต้องให้กับเราสองคน”
“เรื่องดาบคู่นี้ ลุงแค่รู้สึกว่าต้องให้พี แต่ไม่รู้ว่าทำไม” ลุงไกรพูดจบ
โจกำมือยกขึ้นมองแหวนที่สวมนิ้วอยู่
“ถ้าจะหาคำตอบก็คงไม่ต้องไปไหนกันล่ะครับผมว่า” โจพูด
“จริงของเอ็ง เดี๋ยวเข้าไปรู้กันในภูยมโน่นแล้วกัน” พีพูดเด็ดเดี่ยวตัดบท
ท่านลุงไกรศักดิ์ลุกขึ้นยืนตระหง่านแยกเท้าออกจากกันทิ้งแขนข้างลำตัวด้วยท่วงท่านักรบ พรานโละ เหมียว โจ พีและสร้อยแก้วลุกขึ้นยืนตามด้วยท่าทีเดียวกัน คนทั้งหกหันหน้าเข้าหากันเป็นวงกลมมองสบตากันไปมา พวกเขาไม่มีแววประหวั่นพรั่นพรึงใดๆฉายออกจากแววตาอีกแล้วเวลานี้
แม่ทัพผู้เป็นหลักของครอบครัวมองสำรวจไปทีละคน
พรานโละอยู่ในชุดพรานผ้าโพกศีรษะเช่นเดิม สะพายย่ามเครื่องใช้ เหน็บมีดเดินป่าไว้ที่เอว ธนูและปืนแก๊ป
เหมียวสวมชุดเดินป่ารองเท้าครึ่งแข้งผูกเชือกทะมัดทะแมง เธอโหลดเป้หลังที่บรรจุอุปกรณ์จำเป็น ของใช้ส่วนตัวเสื้อผ้าสำรองทั้งของตัวเองกับสร้อยแก้วด้วย ไรเฟิลติดกล้องเล็งสะพายบนไหล่จุดสี่ห้าเสียบซองข้างลำตัว
โจ ในชุดพรางตัวเดิม เป้หลัง สายสะพายไหล่เสียบแม็กกาซีนสำรอง รีวอลเว่อร์พกข้างตัว มีดยาวเดินป่าและไรเฟิลสงครามสะพายไหล่
พีก็เช่นเดียวกันกับโจ ต่างกันที่เขาไม่มีมีดเดินป่าแต่ทดแทนด้วยดาบโบราณคู่นั้นสะพายเฉียงไขว้กันไว้ที่หลังแล้วโหลดเป้หลังทับอีกที
ผู้เป็นดั่งโสม เธอสวมชุดเดินป่าที่พี่โจซื้อให้ รองเท้าพรานพื้นบ้านที่คุ้นเคย ดาบเดินป่า ธนู ปืนแก๊ปแล้วสะพายขวางอกย่ามที่บรรจุกระดูกของแม่ลอยาไว้ด้านหลัง
“บัดนี้ เราคือครอบครัว เลือดเนื้อและหัวใจเรารวมเป็นหนึ่งเดียว” ท่านไกรศักดิ์พูดออกเสียงดัง
ทั้งหกยิ้มแล้วเข้าสวมกอดกันไปมาท่านไกรศักดิ์เงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วจึงพูดชักชวน
“มา ได้เวลาแล้ว เรามาบอกกล่าวบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ เจ้าป่าเจ้าเขาด้วยกัน”
ทั้งหกคนและพรานแงซากับน่อเซิ่งเข้ามาร่วมพิธีด้วยเพื่อขอเปิดป่า ขอความเมตตาอุปถัมภ์คุ้มครอง เมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง พรานโละหันไปพูดกับแงซาซึ่งยืนน้ำตาไหลอยู่
“แงซา เจ้าหมั่นดูน่อเซิ่งกับตัวเจ้าเองให้ดีนะ” พรานโละจับไหล่สองข้างพูดกับแงซา
“จ้ะอ้ายโละ ข้าจักหมั่นดูเรือนชานให้อ้ายโละนะ” แงซาพูดทั้งน้ำตา
“เหล่าท่านโปรดหวนคืนยังเรือนนะ” แงซาพูดต่อแล้วปิดหน้านั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น
พรานโละก้มลงลูบหลังลูบไหล่แงซาเพื่อปลอบใจ
สร้อยแก้วนั่งลงบนส้นเท้าจับสองแขนของน่อเซิ่งที่ยืนร้องไห้ไว้แล้วพูดปลอบ
“เจ้าหมั่นดูพ่อของเจ้า ช่วยงานเรือนพ่อเจ้านะ พี่จะกลับมา” สร้อยแก้วบอกเด็กหญิงน้ำตาคลอเบ้า
“พี่โส่ย” น่อเซิ่งกอดพี่สร้อยแก้วของเธอไว้
เหมียวเดินเข้ามานั่งอยู่ข้างเจ้าพรีโม่ เธอลูบหัวลูบหลังเพื่อต้องการให้มันเข้าใจสิ่งที่เธอจะพูด
“รออยู่ที่นี่นะพรีโม่ ที่ที่จะไปอาจเป็นมิติอื่นที่เจ้าไม่ควรเข้าไป ดูแลน่อเซิ่งกับช่วยแงซานะ” เหมียวพูดกับมันช้าๆ
เจ้าแสนรู้หมอบตัวลงครางหงิงๆเหมือนเข้าใจความหมาย นายหญิงของมันก็น้ำตาคลอเมื่อลูบหัวมัน พีกับโจเดินมาก้มลูบหัวเจ้าพรีโม่ด้วย
“ถ้าชั้นไม่กลับมาแกก็เป็นหมาป่าไปเลยนะ” พีพูดพยายามทำให้ขำๆ
“ไป เดินทัพ” ท่านไกรศักดิ์พูดขึ้นเสียงดังเรียกขวัญ
ทั้งห้าขยับลุกขึ้นแข็งขัน บางคนเช็ดน้ำตาแล้วสูดลมหายใจแรงเข้าปอดเพื่อเรียกสติและกำลังใจ สะบัดแขนสะบัดขาให้ตื่นตัวพร้อม
“ไป” ท่านไกรศักดิ์พูดดังหนักแน่นเหมือนสั่งแถวทหาร
ท่านแม่ทัพก้าวเท้าซ้ายแรกออกเดินตามธรรมเนียมทหาร นั่นถือเป็นก้าวแรกสู่ภารกิจที่แสนไกลและมืดมนจากลานบ้านของท่านผาสู่วะสะธารา แม้หัวใจของทุกคนจะมุ่งมั่นกล้าหาญ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่าอีกกี่หมื่นกี่แสนก้าวจึงจะถึงจุดหมาย
คุณเป็ดน้ำทะยานขึ้นจากผิวน้ำไต่ระยะสูงขึ้นเป็นลำดับ พีปลดเครื่องหลังและอาวุธไว้ในห้องโดยสารนั่งเก้าอี้นักบินตัวซ้าย โจก็เช่นเดียวกันบนเก้าอี้ตัวขวา โพยมยานที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยมันสมองจะต้านทานพลังของความลี้ลับในภูยมได้เพียงใดนั่นคือคำถามที่อยู่ในใจอันระทึกของทั้งหกคนบนเครื่องมีเพียงศรัทธากับภาวนาเท่านั้นที่เป็นความหวัง
สองคน ช่างเครื่องบินและนักบินเพื่อนเกลอผู้กำลังจะเข้ารับเหรียญเดนตายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ายังคงนั่งเงียบ แววตามุ่งมั่น โจกางแผนที่ออกตั้งแต่เครื่องวิ่งขึ้นแล้ว พีเมื่อตั้งลำได้จึงเหลือบตามองตามที่เพื่อนชี้นิ้วบนแผนที่อยู่บ่อยๆ เขาทั้งสองต้องกลั่นทุกเซลสมองออกมาช่วยกันคิดตามองค์ความรู้ด้านการบินที่มีอยู่
“เราวนรอบนึงก่อนดีมั้ย” โจพูด
“มันแน่อยู่แล้ว เอ็งจะตะบันลงไปเลยรึไง” พีแกล้งตอบเสียงเขียว
“เดี๋ยวผมบินวนดูแล้วช่วยกันส่องกล้องสำรวจพื้นราบที่จะลงให้ละเอียดเลยนะครับ” พีหันมาสั่ง
“แฟลปฟูลเลย” พีสั่ง โจโยกคันบังคับแฟลปกางออกสุดเพื่อขยายพื้นที่ปีกให้เครื่องบินช้าลง
พีบังคับคุณเป็ดน้ำให้ร่อนด้วยความเร็วต่ำสุด พวกเขาต้องการเวลาบินผ่านที่ราบให้นานที่สุดเพื่อดูรายละเอียดบนผิวดินก่อนตัดสินใจร่อนลง
“เป็นยังไงบ้าง” พีถามมือยังบังคับเครื่องให้ร่อนอยู่
“ผิวพื้นค่อนข้างเรียบ” โจตอบสายตายังอยู่กับกล้องส่องทางไกลในมือ
“ลุงว่าระยะประมาณแปดเก้าร้อยเมตรได้นะ” ลุงไกรศักดิ์บอกคาดการณ์ความยาวของที่ราบ