ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 15
http://ppantip.com/topic/33028764
คณะทั้งหมดกลบร่องรอยการพักแรมคืนสภาพเดิมให้ป่า แล้วเริ่มเคลื่อนตัวลงหน้าผาลาดของเส้นทางเมื่อรุ่งสาง ภูมิประเทศยากลำบากต่อการเดินทางมากขึ้นไปอีก ทั้งป่าที่ดิบทึบเต็มไปด้วยอันตรายจากสัตว์เลื้อยคลาน ทั้งบางช่วงเป็นเนินเขาพื้นเป็นหินต้องปีนป่ายฉุดรั้งกันเพื่อข้ามผ่านไป โจและพียังก้มหน้าเดินต่อไปอย่างอดทน เขาจำคำพูดของลุงไกรได้ว่านี่เพียงเริ่มต้นเท่านั้น ทั้งสองจึงก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
สำหรับเหมียวสาวสวยที่ถือกำเนิดในมหานครอันรุ่งเรือง ป่าดิบที่สุดที่เธอเคยเดินมาก่อนก็คงเป็นรีสอร์ทที่ไปท่องเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ความหนักแน่นในสติและความเข้มแข็งในใจส่งให้เธอเดินต่อไป โจไม่ใช่เหตุผลเดียวที่นำเธอมา แรงบันดาลใจของเธอคือความรู้สึกร่วมทุกข์อยากอยู่ช่วยทุกคนให้ถึงที่สุด เธอคิดเล่นๆเกี่ยวกับโจว่ากามเทพฯองค์ไหนนะที่แผลงศรอันหงิกงอมาปักจนเธอต้องตามเส้นใยรักนั้นเข้าป่ามาด้วย
ก่อนตะวันจะพลบในวันแรกที่ลงผาลาดมา ทั้งคณะซึ่งเร่งฝีเท้ามาทั้งวันก็ไต่หน้าผาหินลงมาพบลำธารที่ทอดสายมาจากทิศทางอันเป็นจุดหมาย
“อืม โชดดีนะ ทันเวลาพอดีไม่ต้องนอนบนหน้าผา” ไกรศักดิ์พูด
“เราแรมที่นี่นะท่าน พอสางแล้วไปตามธารนี้ไป” พรานโละพูด
“น้ำตรงนี้ใช่มั้ยจ๊ะสร้อย ที่เมื่อวานบอกว่าอีกวันจะเจอ” เหมียวยิ้มอารมณ์ดีถาม
“จ้ะ” สร้อยยิ้มตอบ
“อาบไหวเหรอคุณ เดี๋ยวจะไม่สบายนะครับ” โจถามอย่างห่วงใย
“พี่อาบทางมุมหินก้อนนั้น เดี๋ยวฉันก่อไฟไว้ข้างๆ” สร้อยบอกวิธี
“สร้อยอาบเป็นเพื่อนพี่เหมียวหน่อยนะจ๊ะ” เหมียวชวน
“ได้จ้ะ อาบคนหนึ่งนั่งยามคนหนึ่ง” สร้อยยิ้มบอก
รอยยิ้มที่ห่างหายไปทั้งวันบนใบหน้าทุกคนปรากฏอีกครั้ง เมื่อก่อไฟจัดที่เรียบร้อย พวกผู้ชายก็ปลีกตัวไปชำระล้างหน้าตาแขนขาร่างกายส่วนที่จำเป็นตามโขดหินมุมมืด แล้วรีบกลับมาหาความอุ่นหน้ากองไฟ ร่วมกันนั่งกินผลไม้ป่ากับปลาในลำธารหลายตัวที่ถูกจับขึ้นมาเสียบไม้ย่างอยู่ข้างกองไฟ พูดคุยหารือกันจนดึกจึงแยกย้ายกันนอนเพื่อเอาแรงไว้สู้ต่อตอนรุ่งสาง
เจ็ดคนกับหนึ่งสุนัขแสนรู้เร่งฝีเท้าเลาะลัดตามริมลำธารจนมาหยุดอยู่ที่แอ่งธารกว้างเมื่อใกล้จบวัน
ปราการสุดท้ายคือภูเขาใหญ่สูงทะมึนที่อยู่เบื้องหน้า มีช่องแยกเหมือนภูเขาแตกตั้งแต่ยอดตรงดิ่งเป็นผาชันสองด้านลงมาจนจรดพื้นประหนึ่งมหาเทพฯผู้ทรงฤทธิ์จับภูเขาหักทิ้งไว้ เบื้องล่างเป็นลำธารลึกแค่เข่าทอดยาวเข้าไปในซอกโตรกเหวทั้งสองด้านนั้น
ไกรศักดิ์ยืนเท้าเอวมองซอกเขาแล้วเงยหน้ามองตะวันเพื่อประเมินเวลา โจ พี เหมียวและแงซาก้าวเข้ามายืนมองดูอยู่ข้างๆ ทั้งสี่คนเพิ่งจะเคยเห็น
“ซอกเขานี่ยาวสักเจ็ดแปดร้อยเมตรผ่านแล้วจะเจอพื้นราบ เดินอีกสองชั่วโมงก็ถึง” ไกรศักดิ์พูด
ทุกคนยกเว้นพรานโละหันมามองหน้าเขาอย่างแปลกใจ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามว่าทำไมเขาถึงรู้
“อีกสามชั่วโมงจะมืด ฉันว่าเราไปต่อกันเลยดีมั้ย” ไกรศักดิ์หันมาถามทุกคนเพื่อขอความเห็น
“ได้จ้ะนายท่าน” พรานโละตอบก่อน คนอื่นพยักหน้ารับตาม
“แล้วพรีโม่นี่ล่ะคะคุณลุง” เหมียวถาม
“หนูว่ามันจะลุยน้ำไม่ไหวนะคะ” เธอพูดถึงปัญหา
“ช่วยกันผูกแพเล็กๆลากมันไปบนแพ เตรียมลุยน้ำกัน ดูข้าวของอาวุธอย่าให้เปียกน้ำนะ” ไกรศักดิ์สั่ง
ครู่เดียวแพที่รับน้ำหนักเจ้าพรีโม่และรองรับข้าวของบางส่วนได้ก็ผูกเสร็จ มันกระโดดขึ้นไปนอนหมอบบนแพด้วยความแสนรู้ของมัน
“เหมียว สร้อยตามพ่อมา โจ พีลากแพไป แงซากับโละปิดหลังไว้ อย่าเดินชิดกันนักนะ”
ไกรศักดิ์สั่งการแล้วเริ่มก้าวลงลำธารตรงไปยังซอกโตรกเขา สี่คนหนุ่มสาวและพรานแงซาก้าวตามลงไปอย่างสิ้นสงสัย พวกเขาแน่ใจแล้วว่าลุง ท่านพ่อและนายท่านของพวกเขาต้องรู้จักช่องทางไปสู่ถ้ำ”ตโมหร” ดีอย่างแน่นอน
คณะเดินทางก้าวลึกเข้าไปเรื่อยๆ คนที่มาครั้งแรกต่างประหลาดใจในลักษณะของลำธารที่เหมือนมีใครจงใจสร้างเอาไว้ ลำธารแม้จะคดเคี้ยวไปมาตามซอกโตรกเขาเพียงไรแต่ยังคงรักษาความกว้างเกือบสิบเมตรเอาไว้ได้สม่ำเสมอ จะมีแคบกว้างต่างกันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น น้ำลึกแค่เข่า พื้นลำธารที่เป็นก้อนหินภูเขาขนาดเล็กกว่ากำมือก็เป็นอยู่เช่นนั้นไปตลอดทาง
ไกรศักดิ์ย่ำเท้าลุยน้ำไปข้างหน้าไม่มีทีท่าวิตก สร้อยตามหลังท่านพ่อของเธอไม่ห่าง เหมียวก้มมองลำธารสลับกับเงยหน้ามองสำรวจผาสูงชันที่ประกบอยู่สองด้านตามมา โจกับพีลากแพประคองไว้ไม่ให้แกว่งไกวไปตามกระแสน้ำโดยมีพรานโละและแงซาที่เดินเหลียวหลังสลับกับมองสูงปิดหลัง กว่าครึ่งชั่วโมงทั้งหมดก็ผ่านโค้งสุดท้ายของลำธารมา เบื้องหน้าห่างออกไปทางออกจากซอกโตรกเขาก็ปรากฏ แสงสว่างส่องลอดเข้ามามากขึ้น
เมื่อผ่านโค้งมาได้ครู่หนึ่งไกรศักดิ์หยุด เขายกมือให้ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหวลง ไกรศักดิ์ปลดอาวุธสงครามที่สะพายอยู่แล้วดึงปืนสั้นจากซองข้างลำตัวออกมา เอี้ยวตัวหันมามองสร้อยแล้วยื่นส่งให้ สร้อยลุยน้ำเข้าไปหาเพื่อรับไว้แล้วถอยห่างออกไป โจ พีและเหมียวมองลุงของพวกเขาปลดอาวุธอย่างแปลกใจอีกครั้ง
ไกรศักดิ์คุกเข่าสูงลงบนพื้นลำธารระดับน้ำอยู่ที่เอว เขาหลับตาก้มหน้าลงกำมือทั้งสองข้างไว้ที่อก
“ข้าแต่เจ้าป่าเจ้าเขา รุกข์เทวดา ภูตพรายผีป่าทั้งหลาย ลูกทั้งหมดคือมนุษย์ผู้ยาก บากบั่นมาขอความเมตตา ขอได้โปรดเปิดทวารให้เหล่าข้าผู้น้อยด้วยเถิด” ไกรศักดิ์พูดออกเสียง
ทั้งหกคนยืนสงบนิ่งท่าทีเคารพ เจ้าพรีโม่ลุกขึ้นนั่งมองซ้ายขวาเลิ่กลั่กแล้วหมอบลงครางเบาๆแสดงความเกรงกลัวเมื่อกระแสลมเย็นเฉียบกระโชกแรงผ่านมา
ไกรศักดิ์ลุกขึ้นจากพื้นลำธารหันกลับมา สร้อยรีบเดินเข้าไปหาแล้วส่งอาวุธคืนให้อย่างรู้ทาง
“เราไปต่อ” ไกรศักดิ์หันมาบอกแล้วก้าวเดินลุยน้ำต่อไป
พ้นจากซอกแคบออกมาแล้ว ผืนป่าเบื้องหน้าเป็นที่ราบใหญ่ที่มีภูเขาชันสูงเสียดฟ้าโอบล้อมไว้ทุกด้าน คณะเดินทางหยุดยืนมองพื้นที่ซึ่งดูเหมือนธรรมชาติจงใจปกปิดไว้จากสายตามนุษย์
เจ้าพรีโม่โดดลงจากแพวิ่งไปวิ่งมาดมสูดกลิ่น ไกรศักดิ์เดินไปนั่งลงบนขอนไม้ที่ล้มพาดอยู่ปลดเครื่องหลังถอดรองเท้าเพื่อไล่น้ำออก หลานและพรานทั้งหกคนนั่งลงตามเขาด้วย
“สำรวจข้าวของไล่น้ำเสียก่อนแล้วเราจะไปต่อ” เขาบอกสั่ง
“คุณลุงครับ ลำธารนี้….” โจพยายามจะถาม ขณะรีดน้ำออกจากขากางเกง
“ไม่ใช่ ที่นี่ไม่ใช่ วะสะ ธารา ที่เราค้นหา” ไกรศักดิ์บอกหลาน
“เราจะไปถ้ำตโมหร เพื่อพบพี่ผา ตรงโน้น” ไกรศักดิ์บอกแล้วชี้มือไปอีกด้านหนึ่งของที่ราบ
“ปู่ผารู้จักหรือครับคุณลุง แกบอกเราได้หรือครับ” พีถาม
“ตอบตามตรงนะ ลุงเองก็ไม่รู้ว่าพี่ผาแกจะพูดอะไร” ไกรศักดิ์พูด
“รู้แต่ว่าแกจะบอกได้อย่างนึง” เขาพูดต่อแล้วลุกขึ้น
“ไป ไปกันต่อ ถึงตรงนี้แล้วเดินสบายไม่มีภัยอะไร” ไกรศักดิ์พูดแล้วออกเดิน
“ทำไมถึงไม่มีอันตรายคะคุณลุง” เหมียวถามขณะเดินตามไป
ไกรศักดิ์หันมายิ้มให้
“ถ้าท่านไม่อนุญาต เราจะผ่านซอกนั้นมาไม่ได้ ตอนนี้เราผ่านมาได้ทุกอย่างปลอดภัย” ไกรศักดิ์บอก
“แล้วเสือโคร่งสองตัวนั่นล่ะครับ” พีถามลุง
“มันรอเราที่แอ่งธารปากทางนั่นแหละ” ไกรศักดิ์พูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทั้งพี โจ เหมียวและสร้อยอึ้งกับท่าทีและคำพูดของไกรศักดิ์
สร้อยเข้ามาเดินข้างๆไกรศักดิ์ เธอเกาะแขนท่านพ่อ
“ท่านพ่อจ๊ะ เร่งเดินกันเถอะ ฉันเป็นห่วงปู่ทวด” สร้อยบอก
“อีกไกลนะลูก ลูกล่วงหน้าไปก่อนก็ได้ ระวังตัวนะ” ไกรศักดิ์บอกสร้อย
เขาเข้าใจว่าเธอร้อนใจ แต่จะให้หลานคนเมืองทั้งสามเร่งฝีเท้าเดินตามพรานให้ทันในป่านั้นเป็นไปไม่ได้
“โละ ไปกับลูกก่อน” เขาหันไปสั่งพรานโละ
“จ้ะ” พรานโละรับคำแล้วตามสร้อยไปติดๆ
โจและพี ได้ยินเช่นนั้นจึงเร่งฝีเท้าตามไปด้วย เขาทั้งสองเองก็ร้อนใจยิ่งกว่าสร้อยหลายเท่านัก เจ้าพรีโม่ออกวิ่งนำสร้อยและพรานโละไปข้างหน้าดมกลิ่นพลางเหลียวมามองว่าคนเดินไปทางไหนมันก็ออกวิ่งนำต่อไป สองพรานพ่อลูกค่อยๆนำห่างออกไปจนลับตา พรานแงซายังคงชะลอฝีเท้ารอปิดหลังขบวนกับนายท่านอยู่เช่นเดิม
ปากถ้ำตโมหรอยู่ห่างไปไม่มากนัก ความหวังที่รออยู่ตรงหน้าผลักให้โจและพีเริ่มออกวิ่งจนสุดฝีเท้า เหมียววิ่งตามทั้งสองคนไป ไกรศักดิ์ที่สังขารร่วงโรยไปมากยังคงเดินเร็วตามมากับแงซา ในใจเขาเองก็ร้อนรุ่มเช่นกัน
ไกรศักดิ์ใจหายเมื่อมาหยุดยืนนิ่งที่ปากถ้ำ สัญญาณที่บ่งบอกว่าเขามาสายเกินไปคือเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่ดังออกมาจากภายใน เขารวบรวมสติสัมปชัญญะให้มั่นคงแล้วก้าวเท้าเข้าไป
พื้นถ้ำที่พรานผาเคยนั่งกรรมฐานบัดนี้ สร้อยกอดร่างของชายชราไว้ในอ้อมแขนซบหน้าร้องไห้ พรานโละนั่งเช็ดน้ำตาของเขาอยู่ข้างๆ เหมียวนั่งอยู่กับสร้อยเธอลูบหลังลูบไหล่ปลอบแล้วร้องไห้เบาๆไปด้วย ห่างออกมา โจกับพี นั่งหน้าตื่นน้ำตาคลอด้วยความโศกสลดและสิ้นหวัง แงซาที่ตามมากับนายท่านแยกตัวเดินอ้อมไปก้มลงกราบศพพ่อปู่พราน
ไกรศักดิ์เดินเข้ามานั่งคุกเข่าข้างเดียวลูบหัวสร้อย เธอเงยหน้าที่นองน้ำตาขึ้นมองท่านพ่อสะอึกสะอื้น
“ขอปู่ทวดให้พ่อ” ไกรศักดิ์บอกลูกด้วยเสียงสั่นเครือ
ไกรศักดิ์สอดแขนเข้าไปใต้ร่างพรานผา สร้อยส่งน้ำหนักให้ท่านพ่อแล้วดึงแขนเธอออก เขารับร่างที่ยังอุ่นอยู่ของสหายร่วมตายมากอดไว้แนบอกซบหน้าลงกับหน้าผากของร่างนั้น ไกรศักดิ์หลับตาเกร็งเก็บก้อนสะอื้นไว้ แล้วน้ำใสก็ไหลปรี่ออกจากเปลือกตาที่ยังปิดอยู่
จอมพยัคฆ์แห่งพงไพรอุ้มร่างไร้วิญญาณของสหายยืนขึ้น เขาเดินออกไปหยุดยืนที่กลางถ้ำหน้าแท่นหินใหญ่ เงยหน้าขึ้นมองไปยังโพรงที่อยู่เบื้องบนชั่วครู่
“พี่..ผา..” เสียงตะโกนก้องร้องไห้ ดั่งจะบอกให้ทุกองค์ทุกท่านที่สถิตอยู่ได้รับรู้ถึงความเศร้าโศกอาลัยในใจเขา
ภาพแห่งการลาจากของสองผู้ยิ่งใหญ่สหายร่วมสาบานนั้น อธิบายถึงสายสัมพันธ์อันแนบแน่นของทั้งสองให้เป็นที่ประจักษ์ ยังความอาดูรมาสู่ทุกคน เสียงร้องไห้ระงมไปทั่วทั้งถ้ำ แม้แต่โจและพีเองก็ยังต้องปิดหน้าสะอึกสะอื้น
ร่างของพรานผานอนสงบอยู่บนแท่นหินใหญ่ ความมืดและความเงียบงันปกคลุมไปทั่ว ไม่มีใครพูดอะไรออกมา สร้อยยังนั่งอยู่ที่เดิมที่ปู่ทวดผาเคยนั่ง พีและโจนั่งพิงผนังถ้ำดวงตาเหม่อลอยไปยังโพรงสูง เหมียวนั่งชันเข่าก้มหน้านิ่งอยู่ข้างๆ เธอทำอะไรไม่ถูกกับสถานการณ์เช่นนี้
ไกรศักดิ์ พรานโละกับแงซาขยับตัวลุกขึ้นเดินช้าๆออกไปนอกถ้ำเพื่อเตรียมฟืนก่อกองไฟ
ความมืดและอากาศที่เย็นเฉียบปกคลุมไปทั่วป่านานแล้ว ไกรศักดิ์ก่อกองไฟใหญ่ที่บริเวณปากถ้ำเพื่อไล่ความหนาว เขาและแงซาแบกท่อนไม้เล็กใหญ่เข้ามาก่ออีกกองภายในถ้ำ โจขยับตัวลุกขึ้นไปช่วยเมื่อเห็นลุงของเขาแบกฟืนเข้ามา สร้อยลุกขึ้นเดินไปยืนมองร่างบนแท่นหิน เธอคิดทบทวนคำพูดของปู่ทวดผาก่อนสิ้นใจ
พีลุกขึ้นเดินออกไปนอกถ้ำ เขาตั้งใจจะช่วยแบกท่อนไม้มาเป็นฟืน ส่วนเหมียวไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร เธอนั่งมองสำรวจไปรอบๆถ้ำเมื่อความสว่างเรืองรองเข้ามาแทนที่
ไกรศักดิ์เห็นสร้อยยืนอยู่ที่หน้าแท่นหินครู่ใหญ่แล้วเขาจึงเดินไปหาลูกสาวโอบไหล่ไว้เพื่อปลอบใจ
“มานั่งกินกับพ่อ เรายังมีเรื่องสำคัญต้องทำ” เขาพูดแล้วดึงมือเธอให้เดินตามมานั่งหน้ากองไฟ
สร้อยเกาะแขนท่านพ่อเดินตามมา
ธารทิพย์ บทที่ 16
ธารทิพย์ บทที่ 15 http://ppantip.com/topic/33028764
คณะทั้งหมดกลบร่องรอยการพักแรมคืนสภาพเดิมให้ป่า แล้วเริ่มเคลื่อนตัวลงหน้าผาลาดของเส้นทางเมื่อรุ่งสาง ภูมิประเทศยากลำบากต่อการเดินทางมากขึ้นไปอีก ทั้งป่าที่ดิบทึบเต็มไปด้วยอันตรายจากสัตว์เลื้อยคลาน ทั้งบางช่วงเป็นเนินเขาพื้นเป็นหินต้องปีนป่ายฉุดรั้งกันเพื่อข้ามผ่านไป โจและพียังก้มหน้าเดินต่อไปอย่างอดทน เขาจำคำพูดของลุงไกรได้ว่านี่เพียงเริ่มต้นเท่านั้น ทั้งสองจึงก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
สำหรับเหมียวสาวสวยที่ถือกำเนิดในมหานครอันรุ่งเรือง ป่าดิบที่สุดที่เธอเคยเดินมาก่อนก็คงเป็นรีสอร์ทที่ไปท่องเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ความหนักแน่นในสติและความเข้มแข็งในใจส่งให้เธอเดินต่อไป โจไม่ใช่เหตุผลเดียวที่นำเธอมา แรงบันดาลใจของเธอคือความรู้สึกร่วมทุกข์อยากอยู่ช่วยทุกคนให้ถึงที่สุด เธอคิดเล่นๆเกี่ยวกับโจว่ากามเทพฯองค์ไหนนะที่แผลงศรอันหงิกงอมาปักจนเธอต้องตามเส้นใยรักนั้นเข้าป่ามาด้วย
ก่อนตะวันจะพลบในวันแรกที่ลงผาลาดมา ทั้งคณะซึ่งเร่งฝีเท้ามาทั้งวันก็ไต่หน้าผาหินลงมาพบลำธารที่ทอดสายมาจากทิศทางอันเป็นจุดหมาย
“อืม โชดดีนะ ทันเวลาพอดีไม่ต้องนอนบนหน้าผา” ไกรศักดิ์พูด
“เราแรมที่นี่นะท่าน พอสางแล้วไปตามธารนี้ไป” พรานโละพูด
“น้ำตรงนี้ใช่มั้ยจ๊ะสร้อย ที่เมื่อวานบอกว่าอีกวันจะเจอ” เหมียวยิ้มอารมณ์ดีถาม
“จ้ะ” สร้อยยิ้มตอบ
“อาบไหวเหรอคุณ เดี๋ยวจะไม่สบายนะครับ” โจถามอย่างห่วงใย
“พี่อาบทางมุมหินก้อนนั้น เดี๋ยวฉันก่อไฟไว้ข้างๆ” สร้อยบอกวิธี
“สร้อยอาบเป็นเพื่อนพี่เหมียวหน่อยนะจ๊ะ” เหมียวชวน
“ได้จ้ะ อาบคนหนึ่งนั่งยามคนหนึ่ง” สร้อยยิ้มบอก
รอยยิ้มที่ห่างหายไปทั้งวันบนใบหน้าทุกคนปรากฏอีกครั้ง เมื่อก่อไฟจัดที่เรียบร้อย พวกผู้ชายก็ปลีกตัวไปชำระล้างหน้าตาแขนขาร่างกายส่วนที่จำเป็นตามโขดหินมุมมืด แล้วรีบกลับมาหาความอุ่นหน้ากองไฟ ร่วมกันนั่งกินผลไม้ป่ากับปลาในลำธารหลายตัวที่ถูกจับขึ้นมาเสียบไม้ย่างอยู่ข้างกองไฟ พูดคุยหารือกันจนดึกจึงแยกย้ายกันนอนเพื่อเอาแรงไว้สู้ต่อตอนรุ่งสาง
เจ็ดคนกับหนึ่งสุนัขแสนรู้เร่งฝีเท้าเลาะลัดตามริมลำธารจนมาหยุดอยู่ที่แอ่งธารกว้างเมื่อใกล้จบวัน
ปราการสุดท้ายคือภูเขาใหญ่สูงทะมึนที่อยู่เบื้องหน้า มีช่องแยกเหมือนภูเขาแตกตั้งแต่ยอดตรงดิ่งเป็นผาชันสองด้านลงมาจนจรดพื้นประหนึ่งมหาเทพฯผู้ทรงฤทธิ์จับภูเขาหักทิ้งไว้ เบื้องล่างเป็นลำธารลึกแค่เข่าทอดยาวเข้าไปในซอกโตรกเหวทั้งสองด้านนั้น
ไกรศักดิ์ยืนเท้าเอวมองซอกเขาแล้วเงยหน้ามองตะวันเพื่อประเมินเวลา โจ พี เหมียวและแงซาก้าวเข้ามายืนมองดูอยู่ข้างๆ ทั้งสี่คนเพิ่งจะเคยเห็น
“ซอกเขานี่ยาวสักเจ็ดแปดร้อยเมตรผ่านแล้วจะเจอพื้นราบ เดินอีกสองชั่วโมงก็ถึง” ไกรศักดิ์พูด
ทุกคนยกเว้นพรานโละหันมามองหน้าเขาอย่างแปลกใจ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามว่าทำไมเขาถึงรู้
“อีกสามชั่วโมงจะมืด ฉันว่าเราไปต่อกันเลยดีมั้ย” ไกรศักดิ์หันมาถามทุกคนเพื่อขอความเห็น
“ได้จ้ะนายท่าน” พรานโละตอบก่อน คนอื่นพยักหน้ารับตาม
“แล้วพรีโม่นี่ล่ะคะคุณลุง” เหมียวถาม
“หนูว่ามันจะลุยน้ำไม่ไหวนะคะ” เธอพูดถึงปัญหา
“ช่วยกันผูกแพเล็กๆลากมันไปบนแพ เตรียมลุยน้ำกัน ดูข้าวของอาวุธอย่าให้เปียกน้ำนะ” ไกรศักดิ์สั่ง
ครู่เดียวแพที่รับน้ำหนักเจ้าพรีโม่และรองรับข้าวของบางส่วนได้ก็ผูกเสร็จ มันกระโดดขึ้นไปนอนหมอบบนแพด้วยความแสนรู้ของมัน
“เหมียว สร้อยตามพ่อมา โจ พีลากแพไป แงซากับโละปิดหลังไว้ อย่าเดินชิดกันนักนะ”
ไกรศักดิ์สั่งการแล้วเริ่มก้าวลงลำธารตรงไปยังซอกโตรกเขา สี่คนหนุ่มสาวและพรานแงซาก้าวตามลงไปอย่างสิ้นสงสัย พวกเขาแน่ใจแล้วว่าลุง ท่านพ่อและนายท่านของพวกเขาต้องรู้จักช่องทางไปสู่ถ้ำ”ตโมหร” ดีอย่างแน่นอน
คณะเดินทางก้าวลึกเข้าไปเรื่อยๆ คนที่มาครั้งแรกต่างประหลาดใจในลักษณะของลำธารที่เหมือนมีใครจงใจสร้างเอาไว้ ลำธารแม้จะคดเคี้ยวไปมาตามซอกโตรกเขาเพียงไรแต่ยังคงรักษาความกว้างเกือบสิบเมตรเอาไว้ได้สม่ำเสมอ จะมีแคบกว้างต่างกันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น น้ำลึกแค่เข่า พื้นลำธารที่เป็นก้อนหินภูเขาขนาดเล็กกว่ากำมือก็เป็นอยู่เช่นนั้นไปตลอดทาง
ไกรศักดิ์ย่ำเท้าลุยน้ำไปข้างหน้าไม่มีทีท่าวิตก สร้อยตามหลังท่านพ่อของเธอไม่ห่าง เหมียวก้มมองลำธารสลับกับเงยหน้ามองสำรวจผาสูงชันที่ประกบอยู่สองด้านตามมา โจกับพีลากแพประคองไว้ไม่ให้แกว่งไกวไปตามกระแสน้ำโดยมีพรานโละและแงซาที่เดินเหลียวหลังสลับกับมองสูงปิดหลัง กว่าครึ่งชั่วโมงทั้งหมดก็ผ่านโค้งสุดท้ายของลำธารมา เบื้องหน้าห่างออกไปทางออกจากซอกโตรกเขาก็ปรากฏ แสงสว่างส่องลอดเข้ามามากขึ้น
เมื่อผ่านโค้งมาได้ครู่หนึ่งไกรศักดิ์หยุด เขายกมือให้ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหวลง ไกรศักดิ์ปลดอาวุธสงครามที่สะพายอยู่แล้วดึงปืนสั้นจากซองข้างลำตัวออกมา เอี้ยวตัวหันมามองสร้อยแล้วยื่นส่งให้ สร้อยลุยน้ำเข้าไปหาเพื่อรับไว้แล้วถอยห่างออกไป โจ พีและเหมียวมองลุงของพวกเขาปลดอาวุธอย่างแปลกใจอีกครั้ง
ไกรศักดิ์คุกเข่าสูงลงบนพื้นลำธารระดับน้ำอยู่ที่เอว เขาหลับตาก้มหน้าลงกำมือทั้งสองข้างไว้ที่อก
“ข้าแต่เจ้าป่าเจ้าเขา รุกข์เทวดา ภูตพรายผีป่าทั้งหลาย ลูกทั้งหมดคือมนุษย์ผู้ยาก บากบั่นมาขอความเมตตา ขอได้โปรดเปิดทวารให้เหล่าข้าผู้น้อยด้วยเถิด” ไกรศักดิ์พูดออกเสียง
ทั้งหกคนยืนสงบนิ่งท่าทีเคารพ เจ้าพรีโม่ลุกขึ้นนั่งมองซ้ายขวาเลิ่กลั่กแล้วหมอบลงครางเบาๆแสดงความเกรงกลัวเมื่อกระแสลมเย็นเฉียบกระโชกแรงผ่านมา
ไกรศักดิ์ลุกขึ้นจากพื้นลำธารหันกลับมา สร้อยรีบเดินเข้าไปหาแล้วส่งอาวุธคืนให้อย่างรู้ทาง
“เราไปต่อ” ไกรศักดิ์หันมาบอกแล้วก้าวเดินลุยน้ำต่อไป
พ้นจากซอกแคบออกมาแล้ว ผืนป่าเบื้องหน้าเป็นที่ราบใหญ่ที่มีภูเขาชันสูงเสียดฟ้าโอบล้อมไว้ทุกด้าน คณะเดินทางหยุดยืนมองพื้นที่ซึ่งดูเหมือนธรรมชาติจงใจปกปิดไว้จากสายตามนุษย์
เจ้าพรีโม่โดดลงจากแพวิ่งไปวิ่งมาดมสูดกลิ่น ไกรศักดิ์เดินไปนั่งลงบนขอนไม้ที่ล้มพาดอยู่ปลดเครื่องหลังถอดรองเท้าเพื่อไล่น้ำออก หลานและพรานทั้งหกคนนั่งลงตามเขาด้วย
“สำรวจข้าวของไล่น้ำเสียก่อนแล้วเราจะไปต่อ” เขาบอกสั่ง
“คุณลุงครับ ลำธารนี้….” โจพยายามจะถาม ขณะรีดน้ำออกจากขากางเกง
“ไม่ใช่ ที่นี่ไม่ใช่ วะสะ ธารา ที่เราค้นหา” ไกรศักดิ์บอกหลาน
“เราจะไปถ้ำตโมหร เพื่อพบพี่ผา ตรงโน้น” ไกรศักดิ์บอกแล้วชี้มือไปอีกด้านหนึ่งของที่ราบ
“ปู่ผารู้จักหรือครับคุณลุง แกบอกเราได้หรือครับ” พีถาม
“ตอบตามตรงนะ ลุงเองก็ไม่รู้ว่าพี่ผาแกจะพูดอะไร” ไกรศักดิ์พูด
“รู้แต่ว่าแกจะบอกได้อย่างนึง” เขาพูดต่อแล้วลุกขึ้น
“ไป ไปกันต่อ ถึงตรงนี้แล้วเดินสบายไม่มีภัยอะไร” ไกรศักดิ์พูดแล้วออกเดิน
“ทำไมถึงไม่มีอันตรายคะคุณลุง” เหมียวถามขณะเดินตามไป
ไกรศักดิ์หันมายิ้มให้
“ถ้าท่านไม่อนุญาต เราจะผ่านซอกนั้นมาไม่ได้ ตอนนี้เราผ่านมาได้ทุกอย่างปลอดภัย” ไกรศักดิ์บอก
“แล้วเสือโคร่งสองตัวนั่นล่ะครับ” พีถามลุง
“มันรอเราที่แอ่งธารปากทางนั่นแหละ” ไกรศักดิ์พูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทั้งพี โจ เหมียวและสร้อยอึ้งกับท่าทีและคำพูดของไกรศักดิ์
สร้อยเข้ามาเดินข้างๆไกรศักดิ์ เธอเกาะแขนท่านพ่อ
“ท่านพ่อจ๊ะ เร่งเดินกันเถอะ ฉันเป็นห่วงปู่ทวด” สร้อยบอก
“อีกไกลนะลูก ลูกล่วงหน้าไปก่อนก็ได้ ระวังตัวนะ” ไกรศักดิ์บอกสร้อย
เขาเข้าใจว่าเธอร้อนใจ แต่จะให้หลานคนเมืองทั้งสามเร่งฝีเท้าเดินตามพรานให้ทันในป่านั้นเป็นไปไม่ได้
“โละ ไปกับลูกก่อน” เขาหันไปสั่งพรานโละ
“จ้ะ” พรานโละรับคำแล้วตามสร้อยไปติดๆ
โจและพี ได้ยินเช่นนั้นจึงเร่งฝีเท้าตามไปด้วย เขาทั้งสองเองก็ร้อนใจยิ่งกว่าสร้อยหลายเท่านัก เจ้าพรีโม่ออกวิ่งนำสร้อยและพรานโละไปข้างหน้าดมกลิ่นพลางเหลียวมามองว่าคนเดินไปทางไหนมันก็ออกวิ่งนำต่อไป สองพรานพ่อลูกค่อยๆนำห่างออกไปจนลับตา พรานแงซายังคงชะลอฝีเท้ารอปิดหลังขบวนกับนายท่านอยู่เช่นเดิม
ปากถ้ำตโมหรอยู่ห่างไปไม่มากนัก ความหวังที่รออยู่ตรงหน้าผลักให้โจและพีเริ่มออกวิ่งจนสุดฝีเท้า เหมียววิ่งตามทั้งสองคนไป ไกรศักดิ์ที่สังขารร่วงโรยไปมากยังคงเดินเร็วตามมากับแงซา ในใจเขาเองก็ร้อนรุ่มเช่นกัน
ไกรศักดิ์ใจหายเมื่อมาหยุดยืนนิ่งที่ปากถ้ำ สัญญาณที่บ่งบอกว่าเขามาสายเกินไปคือเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่ดังออกมาจากภายใน เขารวบรวมสติสัมปชัญญะให้มั่นคงแล้วก้าวเท้าเข้าไป
พื้นถ้ำที่พรานผาเคยนั่งกรรมฐานบัดนี้ สร้อยกอดร่างของชายชราไว้ในอ้อมแขนซบหน้าร้องไห้ พรานโละนั่งเช็ดน้ำตาของเขาอยู่ข้างๆ เหมียวนั่งอยู่กับสร้อยเธอลูบหลังลูบไหล่ปลอบแล้วร้องไห้เบาๆไปด้วย ห่างออกมา โจกับพี นั่งหน้าตื่นน้ำตาคลอด้วยความโศกสลดและสิ้นหวัง แงซาที่ตามมากับนายท่านแยกตัวเดินอ้อมไปก้มลงกราบศพพ่อปู่พราน
ไกรศักดิ์เดินเข้ามานั่งคุกเข่าข้างเดียวลูบหัวสร้อย เธอเงยหน้าที่นองน้ำตาขึ้นมองท่านพ่อสะอึกสะอื้น
“ขอปู่ทวดให้พ่อ” ไกรศักดิ์บอกลูกด้วยเสียงสั่นเครือ
ไกรศักดิ์สอดแขนเข้าไปใต้ร่างพรานผา สร้อยส่งน้ำหนักให้ท่านพ่อแล้วดึงแขนเธอออก เขารับร่างที่ยังอุ่นอยู่ของสหายร่วมตายมากอดไว้แนบอกซบหน้าลงกับหน้าผากของร่างนั้น ไกรศักดิ์หลับตาเกร็งเก็บก้อนสะอื้นไว้ แล้วน้ำใสก็ไหลปรี่ออกจากเปลือกตาที่ยังปิดอยู่
จอมพยัคฆ์แห่งพงไพรอุ้มร่างไร้วิญญาณของสหายยืนขึ้น เขาเดินออกไปหยุดยืนที่กลางถ้ำหน้าแท่นหินใหญ่ เงยหน้าขึ้นมองไปยังโพรงที่อยู่เบื้องบนชั่วครู่
“พี่..ผา..” เสียงตะโกนก้องร้องไห้ ดั่งจะบอกให้ทุกองค์ทุกท่านที่สถิตอยู่ได้รับรู้ถึงความเศร้าโศกอาลัยในใจเขา
ภาพแห่งการลาจากของสองผู้ยิ่งใหญ่สหายร่วมสาบานนั้น อธิบายถึงสายสัมพันธ์อันแนบแน่นของทั้งสองให้เป็นที่ประจักษ์ ยังความอาดูรมาสู่ทุกคน เสียงร้องไห้ระงมไปทั่วทั้งถ้ำ แม้แต่โจและพีเองก็ยังต้องปิดหน้าสะอึกสะอื้น
ร่างของพรานผานอนสงบอยู่บนแท่นหินใหญ่ ความมืดและความเงียบงันปกคลุมไปทั่ว ไม่มีใครพูดอะไรออกมา สร้อยยังนั่งอยู่ที่เดิมที่ปู่ทวดผาเคยนั่ง พีและโจนั่งพิงผนังถ้ำดวงตาเหม่อลอยไปยังโพรงสูง เหมียวนั่งชันเข่าก้มหน้านิ่งอยู่ข้างๆ เธอทำอะไรไม่ถูกกับสถานการณ์เช่นนี้
ไกรศักดิ์ พรานโละกับแงซาขยับตัวลุกขึ้นเดินช้าๆออกไปนอกถ้ำเพื่อเตรียมฟืนก่อกองไฟ
ความมืดและอากาศที่เย็นเฉียบปกคลุมไปทั่วป่านานแล้ว ไกรศักดิ์ก่อกองไฟใหญ่ที่บริเวณปากถ้ำเพื่อไล่ความหนาว เขาและแงซาแบกท่อนไม้เล็กใหญ่เข้ามาก่ออีกกองภายในถ้ำ โจขยับตัวลุกขึ้นไปช่วยเมื่อเห็นลุงของเขาแบกฟืนเข้ามา สร้อยลุกขึ้นเดินไปยืนมองร่างบนแท่นหิน เธอคิดทบทวนคำพูดของปู่ทวดผาก่อนสิ้นใจ
พีลุกขึ้นเดินออกไปนอกถ้ำ เขาตั้งใจจะช่วยแบกท่อนไม้มาเป็นฟืน ส่วนเหมียวไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร เธอนั่งมองสำรวจไปรอบๆถ้ำเมื่อความสว่างเรืองรองเข้ามาแทนที่
ไกรศักดิ์เห็นสร้อยยืนอยู่ที่หน้าแท่นหินครู่ใหญ่แล้วเขาจึงเดินไปหาลูกสาวโอบไหล่ไว้เพื่อปลอบใจ
“มานั่งกินกับพ่อ เรายังมีเรื่องสำคัญต้องทำ” เขาพูดแล้วดึงมือเธอให้เดินตามมานั่งหน้ากองไฟ
สร้อยเกาะแขนท่านพ่อเดินตามมา