ธารทิพย์ บทที่ 36

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 35 http://ppantip.com/topic/33267618

            ถุงคลุมหัวและเสื้อกันหนาวถูกนำออกมาสวมใส่ไว้ ไอน้ำที่พวยพุ่งออกทางลมหายใจและปากเมื่ออ้าขึ้นพูดแสดงให้เห็นถึงอุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างมากภายในถ้ำเมื่อพระอาทิตย์ภายนอกตกดินไปนานแล้ว

                เหมียวนำรองเท้าเดินป่าคู่สำรองออกมาให้สร้อยแก้วสวมไว้ เพื่อป้องกันความเย็นบนพื้นถ้ำซึ่งรองเท้าพรานที่สร้อยแก้วสวมอยู่ช่วยอะไรไม่ได้เลย มันเย็นจนปวดเท้า โจเองก็ต้องสละเสื้อผ้ากับรองเท้าเพื่อช่วยพรานโละด้วยเช่นกัน ถึงแม้ขนาดลำตัวจะต่างกันมากแต่พรานโละก็ต้องสวมโคร่งไปอย่างนั้นดีกว่าหนาวตาย

                ครอบครัวทั้งหกเดินงอตัวด้วยความเย็นเยือกของอากาศภายในถ้ำตรงไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย สภาพภายในไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ลำธารยังรินไหลอยู่เท่าเดิม พื้นและผนังถ้ำก็ยังมีผิวสีดำสนิทอยู่เช่นเดิม มีเพียงแสงที่สาดจากไฟฉายส่องไปข้างหน้าและมันก็เริ่มหรี่แสงลงทุกทีเมื่อเวลาผ่านไป
    การก้าวเท้าไปท่ามกลางความมืดและหนาวเย็นอย่างทารุณและไม่รู้จุดหมายเช่นนี้ ส่งผลให้ความเครียดของทุกคนทวีขึ้นจนใกล้ขีดสุด ท่านลุงไกรศักดิ์จึงพูดทำลายความเงียบขึ้นเมื่อเขาประเมินสถานการณ์ว่าควรหยุดได้แล้ว

                “หยุดก่อนเถอะ” ท่านลุงพูดเสียงก้องในถ้ำ

                พีหยุดฝีเท้าหันกลับมามอง

                “เราเดินกันมานานพอแล้ว” ไกรศักดิ์พูดยกข้อมือขึ้นฉายไฟดูเข็มนาฬิกา

                “นั่งพักกันเถอะ พวกเราเครียดมากแล้ว” เขาพูดแล้วนั่งลง
    
            ทั้งห้าคนนั่งลงตาม หลังพิงผนังถ้ำเรียงกันเป็นแถว เบียดตัวเข้าหากันเพื่อช่วยให้อบอุ่นทั้งร่างกายและจิตใจ พีอยู่ริมสุดด้านหน้า พรานโละริมสุดด้านท้าย พีปิดฉายในมือลงความมืดสนิทเข้าครอบคลุม มันมืดเสียจนยกฝ่ามือตัวเองขึ้นมองใกล้ๆไม่เห็น เหมียวล้วงเอากล้วยที่ตุนไว้ในเป้ออกมาด้วยการสัมผัสส่งต่อไปให้กันทั้งหกคน

                “มืดอย่างนี้ก็ดี นั่งกินกล้วยแล้วนอนไฟไม่มีแยงตา” เหมียวพูดดังทำน้ำเสียงปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                “นั่นซิ ไม่ต้องนั่งยามด้วย ไม่รู้จะนั่งยามดูอะไร” พีพูด

                “พี่โละดีกว่า พี่โละ วันๆไม่ค่อยพูด เอ้าพูดบ้างพี่” โจล้อพรานโละแล้วหัวเราะเสียงดัง

                มีเสียงหัวเราะของทุกคนตามมาทั้งเสียงของพรานโละด้วย
    
            “ฉันมิรู้พูดเยี่ยงไรดีจ้ะ” พรานโละออกเสียง

                “เอาอย่างนี้ดีกว่า” พีพูดขึ้น

                “สร้อยแก้วร้องเพลงพื้นบ้านให้ท่านพี่ฟังหน่อยซิ” เขาหันไปหาเธอทั้งที่มืดจนมองไม่เห็นอะไร

                “เออจริงด้วย พี่เหมียวก็อยากฟัง” เหมียวเชียร์

                “เอ้า ลองดูซิลูก พ่อก็อยากฟัง” ท่านพ่อไกรศักดิ์ออกเสียงนั่งยิ้มอยู่

                “สร้อยแก้วจะขับเพลงให้จ้ะ” พรานสาวตอบรับ

                ในความมืดสนิทนั้น พีขยับแขนให้เมื่อรู้สึกว่าสร้อยแก้วดึงแขนเขาไปกอดไว้แนบอก หญิงสาวเริ่มส่งเสียงแผ่วพลิ้วกังวานก้องไปในความมืด เป็นบทเพลงพื้นบ้านที่ขับขานถึงความรักของหนุ่มสาวชาวไพร ท่านพ่อไกรศักดิ์และพ่อโละคุ้นเคยกับบทเพลงนี้ดีอยู่ก่อนแล้ว สามคนหนุ่มสาวชาวกรุงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจถึงความหมายหลายคำร้อง แต่กระแสเสียงที่สดใสและท่วงทำนองพื้นบ้านแปลกๆก็ยังสามารถขับกล่อมให้พวกเขารื่นรมย์ไปกับบทเพลงด้วยได้
    เสียงปรบมือดังก้องสะท้อนไปทั่วถ้ำเมื่อบทเพลงจบลง

                “เยี่ยม เพราะมากเลยสร้อยแก้ว เสียงดีจริงๆ ไม่ได้แกล้งชมนะ” เหมียวพูด

                “สร้อยแก้วมิขับได้เสนาะเยี่ยงนั้นดอกจ้ะ” สร้อยแก้วพูดถ่อมตัว

                “เอาล่ะ กินแล้ว ฟังเพลงแล้ว ทีนี้จะทำอะไรกันดีล่ะครับ” โจพูด

                “นี่ล่ะ เวลาฝึกกรรมฐาน” ท่านลุงไกรศักดิ์พูด

                “ไหวเหรอครับคุณลุง หนาวจนคางกระทบแบบนี้” โจถาม

                “ก็ดีกว่านั่งคิดฟุ้งซ่านอยู่ในความมืดนะ” ลุงไกรตอบ

                “เราเดินกันต่ออีกหน่อยมั้ยครับ เผื่อเจออะไรที่ดีกว่านี้” พีพูดชวน

                “แน่ใจหรือเปล่าว่าเดินต่อไปจะไม่ทำให้เครียด” ลุงไกรถาม

                “น่าจะดีกว่านั่งอยู่ในความมืดอย่างนี้นะคะ” เหมียวบอกความเห็นของเธอ

                “ถ้าอย่างนั้น ก่อนเดินต่อเราต้องปรับความรู้สึกกันใหม่” ลุงไกรพูด

                “ต้องเข้าใจสภาวะกันใหม่ด้วยล่ะ” โจเสริม

                “เอ้าว่ามาไอ้โจ” พีพูด

                “หนึ่ง ต้องตั้งมั่นบอกตัวเองว่าทำไมมาอยู่ที่นี่” โจพูด

                “โอเค เพื่อเรียกขวัญกลับมา” พีพูดตามให้รับรู้คำตอบ

                “สอง ต้องยอมรับให้ได้ ยังไม่รู้ว่าข้างหน้าคืออะไร” โจพูดต่อ

                “โอเค ยอมรับ เดินไปหาทางออกให้ได้ ต้องมีทางออกแน่” พีตอบให้ทุกคนฟัง

                “เดินให้มันหมดแรงไปเลย เวลาไม่สำคัญแล้วว่ากลางวันกลางคืน” โจพูด

                “ผมเห็นด้วยกับไอ้โจมันนะ นั่งอยู่อย่างนี้เครียดมากกว่าครับ” พีพูด
    
            “ตกลง โละ เหมียว สร้อยแก้ว ไปไหวมั้ย” ท่านลุงไกรศักดิ์ถามในความมืด

                “ฉันไหวจ้ะ” พรานโละตอบ

                “สร้อยแก้วยังไปไหวจ้ะ” ลูกสาวตอบมา

                “เดินให้หมดแรงเลยค่ะ เวลานอนจะได้นอนแบบสลบ ไม่ฟุ้งซ่าน” เหมียวพูด

                “ไป เราไปกันต่อ” ท่านพ่อไกรศักดิ์พูด

                ทั้งหมดลุกขึ้นอีกครั้งด้วยแรงอุตสาหะ พีเปิดสวิทช์ไฟฉายออกเดินนำไปเช่นเคย เสียงเครื่องหลังที่สะพายแกว่งไกวกระทบกันไปมากับเสียงฝีเท้าย่ำลงบนพื้นที่ชื้นแฉะดังก้องเบาๆอยู่ภายในถ้ำ อย่างน้อยเสียงของการเคลื่อนไหวอยู่นี้ก็ยังช่วยขับกล่อมให้พวกเขารู้สึกถึงการเดินไปสู่ความสำเร็จข้างหน้า ดีกว่านั่งเงียบงมอยู่ในความมืด

                พื้นถ้ำทอดยาวชันขึ้นทีละน้อย แต่ขนาดของโพรงและชนิดของหินยังดำสนิทอยู่เช่นเดิมไม่ปรากฏสีของหินหรือแร่ธาตุอื่นปะปน ความเย็นเพิ่มทวีขึ้นทุกขณะ จากหนาวจนคางกระทบกลายเป็นจับหัวใจ กล้ามเนื้อทุกขดดังจะถูกบีบให้หดตัวแข็งเกร็ง ข้อต่อกระดูกทุกข้อเหมือนไขที่หล่อเลี้ยงแห้งเหือดฝืดขัด แต่ละย่างก้าวจึงเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกทีทุกที

                “หยุดก่อน” เสียงท่านลุงไกรศักดิ์พูดขึ้น

                ทุกคนชะงักฝีเท้าลงหันมาตามเสียง

                “ฉายไฟให้ลุงหน่อย” ลุงไกรพูด
    
            พีรีบสาดแสงที่เริ่มริบหรี่ของไฟฉายมายังตำแหน่งของเสียง ทั้งห้าคนจึงเห็นว่าท่านลุงของพวกเขากำลังปาดเช็ดเลือดสดๆที่ไหลออกจากโพรงจมูก แดงฉานเปรอะเปื้อนจากจมูกลงยังแก้มจนถึงคาง

                “คุณลุงคะ” เหมียวเรียกลุงอย่างตกใจก้าวไปประชิดเป็นคนแรก

                โจรีบดึงไฟฉายที่เอวออกมาเปิดเพื่อเพิ่มความสว่างให้ พีจึงปิดไฟฉายในมือของเขาลงเพื่อประหยัดไว้ก่อน

                “เลือดกำเดา เส้นเลือดฝอยมันคงแตกเพราะเย็นจัด” ท่านลุงพูดเลือดยังเปรอะริมฝีปาก

                “นั่งลงก่อนค่ะ เหมียวจะเช็ดให้” เหมียวพูดแล้วประคองให้ลุงนั่งลง

                เหมียวควักผ้าขนหนูผืนเล็กที่มีติดตัวอยู่ออกมา เช็ดเลือดบนใบหน้าลุงแล้วซักเลือดออกจากผ้าด้วยน้ำบนพื้นถ้ำ

                “เลือดน่าจะหยุดแล้วล่ะ” ท่านลุงพูด
    
            อีกสี่คนสีหน้ากังวล นั่งล้อมอยู่ด้วยความเป็นห่วง

                “พวกเราก็ต้องระวังนะ หาผ้าปิดปากปิดจมูกไว้ สูดความเย็นมากๆก็เป็นแบบนี้ล่ะ” ท่านลุงพูดเตือน

                “คุณลุงกดผ้าเย็นนี่ไว้ก่อนค่ะ” เหมียวพูดส่งผ้าขนหนูให้ลุงไกรกดดั้งจมูกไว้

                “ขอบใจมากลูก เหมียว” ลุงไกรพูดยิ้มให้เธอ

                “ท่านพ่อพักแรงก่อนไหมจ๊ะ” สร้อยแก้วถามพ่อด้วยความเป็นห่วง

                “อีกสักครู่ให้เลือดหยุดสนิทแล้วก็เดินต่อได้” ท่านพ่อไกรศักดิ์ยิ้มบอกลูกสาว

                “โละล่ะ เป็นยังไงบ้าง” ท่านไกรศักดิ์เอ่ยถามพรานโละ ไม่วายห่วงใยคนอื่น

                “ฉันยังมิเป็นเยี่ยงใดจ้ะท่าน” พรานโละตอบ

                “หนาวระดับทารุณเลยนะครับเนี่ย” โจพูดแล้วมองไปรอบๆ

                “ร่างกายจะทนอยู่ในสภาวะแบบนี้ได้สักเท่าไหร่กันนะ” โจพูดต่อ

                “สร้อยแก้วล่ะ เป็นยังไงบ้าง” พีถามแล้วดึงเธอเข้ามากอด เวลานี้เขาไม่ได้นึกถึงสายตาคนอื่นๆ

                “สร้อยแก้วยังมิเป็นเยี่ยงใดจ้ะ” เธอตอบในอ้อมแขนเขา

                โจเห็นดังนั้นจึงดึงเหมียวเข้ามากอดถามอย่างเป็นห่วงบ้าง

                “คุณล่ะ เป็นยังไง” โจถามหญิงสาว

                “หนาวจับใจเลย” เธอตอบปากสั่น

                “แต่ยังไม่เป็นอะไร คุณสองคนก็ระวังด้วย อย่าคิดว่าเป็นผู้ชายแล้วจะไม่เป็นอะไร” เธอพูดต่อแล้วซบหน้าที่อก

                สองคู่หนุ่มสาวนั่งกอดกันไว้แน่น ท่านลุงไกรศักดิ์จึงเบียดตัวมาชิดกับพีและเหมียว เขาดึงพรานโละเข้ามาโอบไหล่ให้รวมกลุ่มกันไว้ด้วยอีกคน เวลานี้สองสาวหลับตาซบแนบกับอกชายหนุ่มทั้งสองตัวสั่นสะท้าน

                “ลุงว่าเราคงต้องพักร่างกายแล้ว เตรียมที่นอนกันเถอะ” ท่านไกรศักดิ์พูด

                “จะนอนกันยังไงดีครับ” พีพูดเสียงสั่นออกจากปากคอ

                พีและโจปล่อยอ้อมกอดสองสาวออกก่อน ขยับเตรียมที่นอนตามที่ลุงไกรพูด

                “พื้นเย็นขนาดนี้จะนอนกันยังไงดีครับ” โจถาม

                “เอาผ้าใบออกมาปูก่อน” ลุงไกรสั่ง

                ผ้าใบเดินป่าที่ม้วนไว้กับผ้าห่มแล้วผูกกับเป้หลังสี่ผืนถูกคลี่ออกมาปูต่อกันให้ติดผนังถ้ำห่างจากธารน้ำรินเล็กน้อย เสื้อผ้าสำรองในเป้ปูรองอีกชั้นกันความเย็นไปตามสภาพเท่าที่มีอยู่ อาวุธทุกชิ้นกองรวมไว้ด้านหัวท้ายจากนั้นจึงใช้เป้หลังพับแทนหมอน สร้อยแก้ววางย่ามใส่กระดูกแม่ไว้ที่หัวนอนด้วยมือที่หนาวสั่นแล้วทั้งหกคนจึงล้มตัวลงนอน

                พีหันกอดสร้อยแก้วไว้แนบตัวห่มผ้าผืนเดียวกัน โจก็กอดเหมียวไว้เช่นกันห่มผ้าเบียดให้หลังของสองสาวชิดกัน ท่านลุงไกรศักดิ์ห่มผ้านอนหลังชิดกับโจแล้วดึงให้พรานโละที่ห่มผ้าอยู่ขยับมาชิดกับเขา

                สภาพอากาศเย็นเฉียบที่สามารถฆ่าให้ตายได้เช่นนี้ พวกเขาจำเป็นต้องอาศัยไอร้อนจากร่างกายของกันและกันเข้าช่วยเพื่อให้รอดไปให้ได้ด้วยเครื่องนอนที่มีจำกัด ผ้าห่มถูกคลุมหัวทุกคนจนมิด
    
            ความรู้สึกของทั้งห้าคนค่อยๆดับวูบลงด้วยความอ่อนล้าที่เดินตรากตรำข้ามโตรกเหวมาจนถึงจุดที่เสมือนจะถูกแช่แข็งอยู่ขณะนี้ มีเพียงท่านไกรศักดิ์คนเดียวเท่านั้นที่นอนหลับตาลงกำหนดลมหายใจเข้าสู่กรรมฐานในท่านอนไปอย่างนั้น

                ดึกสงัดบุรุษในชุดดำโพกหัวปิดหน้าด้วยผ้าดำอีกผืนปีนป่ายหน้าผาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ หมายใจสู่ระเบียงใหญ่ที่ปลูกสร้างไว้ริมผามีดาบคู่ไขว้สะพายหลังทะมัดทะแมง เขาป่ายปีนอยู่ไม่นานบุรุษชุดดำก็ส่งร่างตัวเองไปยืนสง่าอยู่ใต้เงามืดของต้นไม้ใหญ่ที่เติบโตแผ่กิ่งก้านอยู่ข้างระเบียงตำหนักเพื่ออำพรางสายตา

                นางกษัตริย์ในผ้าซิ่นขลิบยกทอง ห่มอกไว้เพียงด้วยผ้าบางพลิ้วเผยคู่ปทุมอวบสล้างชูชันสวยลออตา ก้าวออกมาจากเงามืดใกล้ๆกัน สานสายตาสบนิ่ง นางนั้นพึงใจรักต่อบุรุษผู้กล้าหาญสง่างามเยี่ยงขุนทัพผู้ยืนอยู่ตรงหน้า จอมศึกนั้นเล่าก็มิต่างกัน หัวใจนั้นได้น้อมถวายให้ในอุ้งหัตถ์จนหมดสิ้นทั้งดวงแล้ว

                ทั้งสองก้าวเท้าเข้าแนบชิดกัน กลิ่นกายของนางกษัตริย์หอมรัญจวน ร่างงามแข็งแกร่งของขุนทัพก็ชักชวนให้สตรีต้องตกลงสู่ดำฤษณา ณ เพลานี้ไม่มีสถานะที่สูงส่งอันใด นางเป็นเพียงหญิงสาวที่อ่อนระทวยอยู่ในวงแขนของชายคนรักเมื่อเขาช้อนร่างอุ้มขึ้นเดินเข้าไปภายในตำหนักริมหน้าผา แล้ววางร่างงดงามนั้นลงบนเตียงบรรทม

                “จันทร์สุดา น้องเจ้าช่างงามล้ำนัก” ขุนศึกกระซิบแผ่ว จรดจุมพิตบนซอกอกและริมฝีปากงาม

                “ท่านพี่ ข้าแสนห่วงท่านนักเพลาอันล่วงมา” นางกษัตริย์กระซิบตอบ

                “ข้ายินว่าการศึกนั้นยากเข็ญหนักหนานัก” หญิงสาวพูดต่อ

                “พี่คืนมายังต่อหน้าพักตร์น้องเจ้านี่แล้วประไร” ขุนศึกพูดปลอบ

                “ท่านพี่พยัคฆราช พระบิดามีท่านเป็นทัพหน้าผู้ชาญศึก” หญิงสาวพูด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่