ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 39
http://ppantip.com/topic/33327246
เหมียวมุดน้ำดำดิ่งลงไปเบื้องล่าง สองมือแหวกสองเท้าถีบลึกลงไปจนสุดลมหายใจที่กลั้นไว้จึงกลับตัวถีบทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ สร้อยแก้วก็เช่นกัน สองสาวลอยตัวมาเกาะริมแอ่งไว้เพื่อพักหายใจ
“ลงไม่ถึง เดี๋ยวลองใหม่” เหมียววักน้ำลูบหน้าพูดเสียงหอบหายใจ
“มีท่าว่าจะลงถึงมั้ยครับ” โจถาม
“ยังขาวสว่างโพลนเหมือนที่ยืนมองบนฝั่งนั่นแหละ” เหมียวตอบ
“ผมขออนุญาตนะครับ” โจพูดกับลุงไกร เขายกมือไหว้ไปรอบๆแล้วถอดเสื้อออกพุ่งตัวลงน้ำไปด้วย
พีทำท่าจะถอดเสื้อตามแต่เสียงลุงไกรห้ามเอาไว้
“พีลูกอย่าเพิ่งลงไป ปอดลูกยังบาดเจ็บอยู่” ลุงไกรพูด
โจดำน้ำเริ่มสำรวจจากด้านข้างของแอ่งน้ำก่อนเพื่อดูว่าจะมีช่องทางให้มุดลอดออกไปได้หรือไม่ น้ำที่ใสดังกระจกทำให้สามคนที่ยืนอยู่ด้านบนและสองสาวที่แช่ตัวอยู่ในน้ำมองเห็นว่าโจกำลังทำอะไรอยู่ เหมียวและสร้อยแก้วจึงมุดน้ำลงไปเพื่อช่วยเขาสำรวจด้านข้างด้วยอีกแรง
ทั้งสามคนดำผุดดำว่ายอยู่นาน เมื่อโผล่ขึ้นมาหายใจก็ยังไม่มีการพูดจาอะไรสูดหายใจลึกแล้วกลั้นลมหายใจมุดน้ำลงสำรวจต่อสลับกันอยู่เช่นนั้นนานครู่ใหญ่ โจ เหมียวและสร้อยแก้วจึงโผล่ขึ้นมาจับขอบแอ่งน้ำไว้หายใจหอบถี่อย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
เหมียวยื่นมือขอคนช่วยดึงตัวเธอขึ้น ท่านลุงไกรศักดิ์ พีและพรานโละจึงรีบเข้ามาช่วยดึงทั้งสามขึ้นจากแอ่งน้ำนั่งหอบอยู่ที่ริมขอบ
“หมดแรง” เหมียวพูดเสียงหอบ
“ยังไม่พบช่องให้ออก” โจพูดเสียงเหนื่อยเช่นกัน
ท่านลุงไกรศักดิ์เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ผึ่งอยู่ที่เป้หลังของทั้งสามคนมาส่งให้
“ขอบคุณค่ะ” เหมียวพูดแล้วรับมาเช็ดหน้าซับตัวแล้วคลุมไหล่เอาไว้
สร้อยแก้วก็รับมาทำเช่นเดียวกับเหมียว โจซับเนื้อตัวแล้วยืนขึ้นปล่อยให้น้ำไหลออกจากกางเกงของเขา
“สภาพเป็นปล่องผนังหินลึกดิ่งลงไป” โจพูด
“ขนาดของโพรงใหญ่กว่าขอบแอ่งที่เห็นอยู่นี่พอประมาณ สัณฐานเหมือนขวดที่ถูกตัดคอออก” โจพูดต่อ
“พักก่อน เดี๋ยวค่อยลงไปใหม่” โจพูด
“ผนังมองเห็นชัดมั้ย” พีถาม
“ชัดมาก น้ำใสหยั่งกับกระจก” โจตอบ
“เดี๋ยวลงด้วย ช่วยกัน” พีพูด
“แน่ใจเหรอเอ็ง” โจถามเพื่อน
“ข้าว่าดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ” พีบอก
“เหมียวว่าพี่พักก่อนดีกว่า โพรงแค่นี้สามคนดูทั่วอยู่แล้ว เดี๋ยวพี่เป็นอะไรอีกจะยุ่งนะ” เหมียวหันไปพูดกับพี
“จ้ะท่านพี่ ท่านพี่พักกายให้สบายดีก่อนเถอะ” สร้อยแก้วจับมือพีพูดแสดงความกังวล
ท่านลุงไกรศักดิ์กับพรานโละเดินเข้ามาพร้อมกับผลไม้ที่เก็บมาพอกินอิ่มได้ทั้งหกคน
“มา กินเอาแรงกันก่อน” ท่านลุงพูด
ผลไม้กองอยู่บนผ้าให้ทั้งหกชีวิตนั่งล้อมวงกินกัน พีหยิบขึ้นมากินด้วยสติที่ค่อนข้างสมบูรณ์เป็นครั้งแรก ชายหนุ่มจึงมองผลไม้ในมือและรสชาติที่สัมผัสอย่างประหลาดใจ
“นี่ลูกอะไรนะ ทำไมอร่อยมาก ขึ้นได้ยังไงในถ้ำแบบนี้” พีพูดเบาๆแล้วหันไปมองรอบบริเวณถ้ำ
“แล้วนี่พวกเรารอดมาได้ยังไงครับ” ทัพหน้าหันไปถามลุงไกร
“เออ จริงซินะยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังตั้งแต่ลงมาที่นี่” ลุงไกรพูดเมื่อนึกขึ้นได้
ทั้งสี่คนที่รับรู้เหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาช่วยกันเล่าเรื่องให้พีฟังอย่างละเอียดจนกระทั่งหย่อนตัวเขาลงมาจากโพรงถ้ำด้านบน ยกเว้นสร้อยแก้วที่ร้องไห้จนหมดสติไปเมื่อพีตัดสินใจจะจุดระเบิด พีเองก็บอกเล่าสิ่งที่เขาคิดสิ่งที่เขาอธิษฐานบอกกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการจุดระเบิดขว้างไปตรงหน้าให้ทุกคนฟัง
“พญายมราชพระองค์ท่านปราณีไว้ชีวิตพวกเรา” พีพูดเบาๆ
“หนูว่าหลายพระองค์มีพระประสงค์จะพิสูจน์ว่าพวกเราพร้อมจะสละชีวิตเพื่อคนอื่นได้จริงหรือเปล่า” เหมียวพูด
“พระองค์รู้อยู่แล้วว่ามีโพรงอยู่ตรงนั้น แต่ดลใจไม่ให้เราขึ้นไปดู” เธอพูดต่อ
“ลุงก็เห็นด้วยกับลูกนะ เหมียว” ลุงไกรพูด
“ขอบคุณนะพี่ ที่พร้อมยอมตายแทนเราทุกคน” เหมียวหันไปจับมือพูดกับพีแล้วยิ้มน้ำตาคลอ
“ไม่หรอกเหมียว ไม่ต้องขอบคุณ ผมรู้ว่าทุกคนก็พร้อมจะทำอย่างนั้นได้” พีพูด
“ขอบคุณเช่นกันที่ให้ผมได้รับเกียรติเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนะ” พีพูดแล้วยิ้มให้ทั้งห้าคน
“เป็นเกียรติอย่างสูงเช่นกันครับ ท่านแม่ทัพหน้า” โจพูดจริงจังแล้วยิ้มตบไหล่เพื่อน
“อิ่มดีแล้ว ผมลงต่อล่ะนะ” โจลุกขึ้นหย่อนตัวลงน้ำ
“ฝากเก็บสำรับอาหารด้วยนะคะคุณลุง หนูจะลงด้วย” เหมียวยิ้มบอกลุงไกรแล้วลงน้ำตามโจไป
“ระวังตัวนะสร้อยแก้ว” พีพูดหอมที่หน้าผากเธอ
“จ้ะท่านพี่” สร้อยแก้วยิ้มรับแล้วตามลงไปอีกคน
“พีลงไหวมั้ยลูก ไม่ต้องดำลงไป จะได้สบายเนื้อตัวด้วยถือเป็นการอาบน้ำไปในตัว” ลุงไกรถาม
“ผมไหวครับคุณลุง รู้สึกเป็นปกติแล้ว” พีตอบ
“ไปโละลงน้ำกัน” ท่านไกรศักดิ์หันไปบอกพรานโละ
“จ้ะดีจ้ะ” พรานโละยิ้มพยักหน้า
แล้วอีกสามคนบนบกก็ถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงเดินป่าลงน้ำตามไป
โจ เหมียวและสร้อยแก้วถีบตัวขึ้นผิวน้ำเมื่อสัมผัสการกระเพื่อมของน้ำว่ามีคนลงมา สร้อยแก้วโผเข้าไปหาพีทันทีเมื่อโผล่ขึ้นมาเห็นชายหนุ่มอยู่ในน้ำ
“ท่านพี่ ท่านพียังมิแข็งแรงนะจ๊ะ” สร้อยแก้วโผไปประชิดตัวจับไหล่พูดกับพี
“พี่ดีขึ้นมากแล้วจริงๆ ไม่ต้องเป็นห่วง” พีบอกเธอมือลูบผมลูบแก้ม
เหมียวกับโจก็ว่ายน้ำเข้ามาสมทบ
“ไอ้พีเอ็งแน่ใจนะว่าแข็งแรงดีแล้ว” โจถาม
“รู้สึกเหมือนเป็นปกติว่ะ ดีกว่าด้วยซ้ำ” พีตอบเพื่อน
พีรับความรู้สึกว่าอาการเจ็บช้ำๆที่อยู่ภายในอกค่อยๆคลายหายไป แข้งขาเนื้อตัวกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก เขาลองทดสอบโดยการวางฝ่ามือสองข้างบนตลิ่งแล้วใช้กำลังจากหัวไหล่และข้อศอกดีดตัวเองจากน้ำขึ้นมานั่งบนตลิ่งโดยไม่ยากเย็นอะไร อีกห้าคนในน้ำเสียอีกที่รู้สึกตกใจว่าเขาทำได้อย่างนั้นด้วยกลัวว่าเขาจะบาดเจ็บมากขึ้น
“เฮ้ยไอ้พี เดี๋ยวก็หนักกว่าเดิมหรอก” โจร้องมาด้วยความตกใจ
“ท่านพี่” สร้อยแก้วก็ตกใจ เธอเข้ามาเกาะขาพีที่ยังห้อยอยู่ในน้ำเรียกเขา
พีไม่ได้ตอบใคร เขานั่งมองไปรอบๆบริเวณถ้ำแล้วพูดขึ้น
“นี่ถ้ำทิพย์ ผลไม้นั่นก็ทิพย์ น้ำนี่ก็เป็นทิพย์” เขาพูด
“ผมลงแช่เดี๋ยวเดียวทำไมรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันทีเลย”
“รู้สึกเหมือนผมรึเปล่า” พีถาม
อีกห้าคนเริ่มสำรวจร่างกายและความรู้สึกของตนเองตามไปด้วย
“เออ จริงด้วยว่ะ ไม่ได้สังเกตเลย” โจพูดแล้วลองดีดตัวเองขึ้นจากน้ำมาบ้าง
สร้อยแก้วกับเหมียวลองทำตาม ทั้งสองดีดขึ้นจากน้ำนั่งอยู่ข้างๆชายหนุ่ม
“จริงด้วยค่ะคุณลุง เรี่ยวแรงมาจากไหนเนี่ย” เหมียวพูดสองมือจับสำรวจไปตามเนื้อตัว
“จริงของพวกเรา ลุงเองก็รู้สึกว่าไอ้ที่เจ็บปวดขัดยอกมันหายไปหมดแล้ว” ลุงไกรพูดเห็นด้วย
“พ่อล่ะจ๊ะ” สร้อยแก้วถามพรานโละที่เกาะอยู่ใกล้ๆ
“พ่อมีแรงดังช้างเยี่ยงนั้น” พรานโละหัวเราะพูดเปรียบเทียบหยอกเล่นกับลูกสาว
“มา ถ้าอย่างนั้นช่วยดำสำรวจอีกแรง” พีพูดแล้วเด้งตัวเหยียดตรงพุ่งปลายเท้าดำน้ำลงไปทันที
คราวนี้ทั้งหกคนจึงช่วยกันสำรวจปล่องลึกของแอ่งน้ำด้วยกัน ดำผุดดำว่ายอยู่นานกว่าชั่วโมงก็ยังไม่มีใครสามารถลงไปลึกหรือพบช่องทางที่จะออกไปได้ พวกเขาจึงกลับขึ้นมานั่งอยู่ริมแอ่งน้ำอีกครั้ง
“ไม่พบทางออก” พีพูดลูบหน้าลูบผมเพื่อไล่น้ำออก
“ก็พระองค์ท่านตรัสบอกแล้วไงให้พักเอาแรงก่อน” โจพูดถึงพระสุรเสียงที่บอกกล่าวในกรรมฐานของลุงไกรศักดิ์
“พอถึงเวลาก็รู้เอง พอแค่นี้ก่อน” ลุงไกรศักดิ์พูด
เหมียวกับสร้อยแก้วเลี่ยงไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกน้ำออกที่มุมหนึ่ง สร้อยแก้วปลดบราออกส่งคืนให้พี่สาว
“ไม่ต้องคืน เอานี่ใส่ตัวนี้” เหมียวพูดแล้วส่งอีกตัวที่แห้งอยู่ให้
“ให้สร้อยแก้วแล้วพี่จะสวมอันใดล่ะจ๊ะ” สร้อยแก้วพูดเกรงใจ
“พี่เหมียวมีหกตัว ใส่เถอะ จะได้คุ้นเคย” เหมียวบอกให้
“จ้ะพี่” สร้อยแก้วยิ้มรับมา เธอเองก็รู้สึกชอบที่มันใช้สะดวกเหมาะเจาะกว่าผ้ารัดอกที่ใช้เป็นประจำ
สองสาวเดินไปปลิดผลไม้มานั่งลงกินคนละสองสามลูกนั่งทอดอารมณ์สบายใจดูน้ำใสที่ริมแอ่ง ท่านลุง โจ พีและพรานโละก็เปลี่ยนผ้าเสร็จแล้วเช่นกัน ทั้งสี่คนมานั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วย
“โห ไม่เด็ดมาเผื่อเลยนะ” โจพูด
“ก็กลัวเด็ดมาแล้วอิ่มไม่กินเดี๋ยวคุณลุงว่า” เหมียวพูด
“ไปเด็ดให้ก็ได้” เหมียวทำท่าจะลุกไป
“ไม่ต้อง พูดเล่น ผมไปเอง” โจพูดแล้วเดินไปปลิดผลไม้
“ตั้งแต่เราลงมาตรงนี้ แอ่งน้ำนี่เรืองสว่างอยู่ตลอดเวลาเลย” เหมียวตั้งข้อสังเกต
“ไม่ได้ขึ้นกับกลางวันกลางคืน” เธอพูดต่อ
“คุณลุงสังเกตมั้ยคะ” เหมียวหันไปถามลุงไกร
“ใช่ ลุงเห็นแล้ว พยายามทำความเข้าใจอยู่เหมือนกัน” ลุงไกรตอบตามองลงไปในน้ำ
“แต่อย่ากังวลเลย ถึงเวลาก็รู้เองนะลูก สว่างอยู่ตลอดเวลาก็ดีแล้วนี่” ลุงไกรพยายามพูดให้คลายกังวลลง
โจกับพรานโละหอบผลไม้ทิพย์เดินกลับมากองไว้ตรงกลางวงให้ทุกคนได้หยิบกินแล้วร่วมวงสนทนาต่อ
“แค่นี้คงพออิ่มนะครับ” โจพูด
“ไอ้โจ เอ็งเกิดวันอาทิตย์ใช่มั้ย” พีถามเพื่อนเมื่อเขาพยายามนั่งคิดเพื่อสรุปให้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
“อืม เอ็งรู้อยู่แล้วนี่” โจตอบ มือถือผลไม้เคี้ยวไปด้วย
“เอ็งเป็นอาทิตย์ ปัจจัยหนึ่งที่จะเข้าสู่วะสะธารา” พีพูด
“แหวนสวมนิ้วเอ็งนั่นรูปพระอาทิตย์” พีชี้มือไปที่นิ้วกลางมือซ้ายของโจ
โจกำมือซ้ายยกขึ้นมองหัวแหวนโบราณที่ลุงไกรศักดิ์ให้มา รอยสลักเป็นเส้นหยักเข้าหยักออกแล้ววนมาติดกันเป็นวงกลมบนหัวแหวนนั้น ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ที่ลุงของเขาให้สวมไว้ก็มองไม่ออกว่าควรจะเป็นรูปอะไร ถึงตอนนี้ทุกคนลงความเห็นว่าเป็นรูปดวงอาทิตย์เปล่งรัศมี
“ผมก็แค่เกิดวันอาทิตย์ มีความหมายอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่าครับที่คุณลุงให้มา” โจถามลุงไกร
“ความหมายต้องมี แต่ยังไม่รู้ ตอนที่ให้เราสองคนลุงก็แค่สัมผัสว่าวงไหนควรให้ใครเท่านั้น” ลุงไกรตอบ
“ท่านปู่ผาคงจะบอกให้ได้เมื่อเวลามาถึง อย่างที่เริ่มมาส่งสัญญาณบอกคุณในฝันนั่นแหละ” เหมียวพูด
“สรุปว่าเรื่องที่เป็นทิพย์ ถึงเวลาก็จะได้รู้ ขืนนั่งคิดเองก็หัวผุล่ะนะ” โจพูด
“แล้วลูกเหมียวล่ะ ถามตัวเองบ้างหรือเปล่า” ท่านลุงไกรศักดิ์ยิ้มถามหญิงสาว
“เคยมีบางท่านบอกหนูว่า คำว่าบังเอิญ ใช้เมื่อมนุษย์อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้” เหมียวพูด
“ทุกสิ่งล้วนมีเหตุผลในตัวทั้งนั้น ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น”
“เพราะฉะนั้น ต้องมีสิ่งที่อธิบายได้ว่าหนูมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“หนูก็อยากรู้ค่ะ แต่หนูรอได้ ไม่เหมือนบางคนที่ขี้สงสัย” หญิงสาวพูดจบแล้วหันไปกระแทกค้อนโจชายคนรัก
“อ้าว โดนแล้วเรา” โจยิ้มพูดรู้ตัวแล้วหันไปมองหญิงสาวด้วยความรัก
“ผมก็มีฝันแปลกที่ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง” พีพูดหน้าขรึม
ทุกคนหันมามองหน้าพีแล้วตั้งใจคอยฟัง
ธารทิพย์ บทที่ 40
ธารทิพย์ บทที่ 39 http://ppantip.com/topic/33327246
เหมียวมุดน้ำดำดิ่งลงไปเบื้องล่าง สองมือแหวกสองเท้าถีบลึกลงไปจนสุดลมหายใจที่กลั้นไว้จึงกลับตัวถีบทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ สร้อยแก้วก็เช่นกัน สองสาวลอยตัวมาเกาะริมแอ่งไว้เพื่อพักหายใจ
“ลงไม่ถึง เดี๋ยวลองใหม่” เหมียววักน้ำลูบหน้าพูดเสียงหอบหายใจ
“มีท่าว่าจะลงถึงมั้ยครับ” โจถาม
“ยังขาวสว่างโพลนเหมือนที่ยืนมองบนฝั่งนั่นแหละ” เหมียวตอบ
“ผมขออนุญาตนะครับ” โจพูดกับลุงไกร เขายกมือไหว้ไปรอบๆแล้วถอดเสื้อออกพุ่งตัวลงน้ำไปด้วย
พีทำท่าจะถอดเสื้อตามแต่เสียงลุงไกรห้ามเอาไว้
“พีลูกอย่าเพิ่งลงไป ปอดลูกยังบาดเจ็บอยู่” ลุงไกรพูด
โจดำน้ำเริ่มสำรวจจากด้านข้างของแอ่งน้ำก่อนเพื่อดูว่าจะมีช่องทางให้มุดลอดออกไปได้หรือไม่ น้ำที่ใสดังกระจกทำให้สามคนที่ยืนอยู่ด้านบนและสองสาวที่แช่ตัวอยู่ในน้ำมองเห็นว่าโจกำลังทำอะไรอยู่ เหมียวและสร้อยแก้วจึงมุดน้ำลงไปเพื่อช่วยเขาสำรวจด้านข้างด้วยอีกแรง
ทั้งสามคนดำผุดดำว่ายอยู่นาน เมื่อโผล่ขึ้นมาหายใจก็ยังไม่มีการพูดจาอะไรสูดหายใจลึกแล้วกลั้นลมหายใจมุดน้ำลงสำรวจต่อสลับกันอยู่เช่นนั้นนานครู่ใหญ่ โจ เหมียวและสร้อยแก้วจึงโผล่ขึ้นมาจับขอบแอ่งน้ำไว้หายใจหอบถี่อย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
เหมียวยื่นมือขอคนช่วยดึงตัวเธอขึ้น ท่านลุงไกรศักดิ์ พีและพรานโละจึงรีบเข้ามาช่วยดึงทั้งสามขึ้นจากแอ่งน้ำนั่งหอบอยู่ที่ริมขอบ
“หมดแรง” เหมียวพูดเสียงหอบ
“ยังไม่พบช่องให้ออก” โจพูดเสียงเหนื่อยเช่นกัน
ท่านลุงไกรศักดิ์เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ผึ่งอยู่ที่เป้หลังของทั้งสามคนมาส่งให้
“ขอบคุณค่ะ” เหมียวพูดแล้วรับมาเช็ดหน้าซับตัวแล้วคลุมไหล่เอาไว้
สร้อยแก้วก็รับมาทำเช่นเดียวกับเหมียว โจซับเนื้อตัวแล้วยืนขึ้นปล่อยให้น้ำไหลออกจากกางเกงของเขา
“สภาพเป็นปล่องผนังหินลึกดิ่งลงไป” โจพูด
“ขนาดของโพรงใหญ่กว่าขอบแอ่งที่เห็นอยู่นี่พอประมาณ สัณฐานเหมือนขวดที่ถูกตัดคอออก” โจพูดต่อ
“พักก่อน เดี๋ยวค่อยลงไปใหม่” โจพูด
“ผนังมองเห็นชัดมั้ย” พีถาม
“ชัดมาก น้ำใสหยั่งกับกระจก” โจตอบ
“เดี๋ยวลงด้วย ช่วยกัน” พีพูด
“แน่ใจเหรอเอ็ง” โจถามเพื่อน
“ข้าว่าดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ” พีบอก
“เหมียวว่าพี่พักก่อนดีกว่า โพรงแค่นี้สามคนดูทั่วอยู่แล้ว เดี๋ยวพี่เป็นอะไรอีกจะยุ่งนะ” เหมียวหันไปพูดกับพี
“จ้ะท่านพี่ ท่านพี่พักกายให้สบายดีก่อนเถอะ” สร้อยแก้วจับมือพีพูดแสดงความกังวล
ท่านลุงไกรศักดิ์กับพรานโละเดินเข้ามาพร้อมกับผลไม้ที่เก็บมาพอกินอิ่มได้ทั้งหกคน
“มา กินเอาแรงกันก่อน” ท่านลุงพูด
ผลไม้กองอยู่บนผ้าให้ทั้งหกชีวิตนั่งล้อมวงกินกัน พีหยิบขึ้นมากินด้วยสติที่ค่อนข้างสมบูรณ์เป็นครั้งแรก ชายหนุ่มจึงมองผลไม้ในมือและรสชาติที่สัมผัสอย่างประหลาดใจ
“นี่ลูกอะไรนะ ทำไมอร่อยมาก ขึ้นได้ยังไงในถ้ำแบบนี้” พีพูดเบาๆแล้วหันไปมองรอบบริเวณถ้ำ
“แล้วนี่พวกเรารอดมาได้ยังไงครับ” ทัพหน้าหันไปถามลุงไกร
“เออ จริงซินะยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังตั้งแต่ลงมาที่นี่” ลุงไกรพูดเมื่อนึกขึ้นได้
ทั้งสี่คนที่รับรู้เหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาช่วยกันเล่าเรื่องให้พีฟังอย่างละเอียดจนกระทั่งหย่อนตัวเขาลงมาจากโพรงถ้ำด้านบน ยกเว้นสร้อยแก้วที่ร้องไห้จนหมดสติไปเมื่อพีตัดสินใจจะจุดระเบิด พีเองก็บอกเล่าสิ่งที่เขาคิดสิ่งที่เขาอธิษฐานบอกกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการจุดระเบิดขว้างไปตรงหน้าให้ทุกคนฟัง
“พญายมราชพระองค์ท่านปราณีไว้ชีวิตพวกเรา” พีพูดเบาๆ
“หนูว่าหลายพระองค์มีพระประสงค์จะพิสูจน์ว่าพวกเราพร้อมจะสละชีวิตเพื่อคนอื่นได้จริงหรือเปล่า” เหมียวพูด
“พระองค์รู้อยู่แล้วว่ามีโพรงอยู่ตรงนั้น แต่ดลใจไม่ให้เราขึ้นไปดู” เธอพูดต่อ
“ลุงก็เห็นด้วยกับลูกนะ เหมียว” ลุงไกรพูด
“ขอบคุณนะพี่ ที่พร้อมยอมตายแทนเราทุกคน” เหมียวหันไปจับมือพูดกับพีแล้วยิ้มน้ำตาคลอ
“ไม่หรอกเหมียว ไม่ต้องขอบคุณ ผมรู้ว่าทุกคนก็พร้อมจะทำอย่างนั้นได้” พีพูด
“ขอบคุณเช่นกันที่ให้ผมได้รับเกียรติเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนะ” พีพูดแล้วยิ้มให้ทั้งห้าคน
“เป็นเกียรติอย่างสูงเช่นกันครับ ท่านแม่ทัพหน้า” โจพูดจริงจังแล้วยิ้มตบไหล่เพื่อน
“อิ่มดีแล้ว ผมลงต่อล่ะนะ” โจลุกขึ้นหย่อนตัวลงน้ำ
“ฝากเก็บสำรับอาหารด้วยนะคะคุณลุง หนูจะลงด้วย” เหมียวยิ้มบอกลุงไกรแล้วลงน้ำตามโจไป
“ระวังตัวนะสร้อยแก้ว” พีพูดหอมที่หน้าผากเธอ
“จ้ะท่านพี่” สร้อยแก้วยิ้มรับแล้วตามลงไปอีกคน
“พีลงไหวมั้ยลูก ไม่ต้องดำลงไป จะได้สบายเนื้อตัวด้วยถือเป็นการอาบน้ำไปในตัว” ลุงไกรถาม
“ผมไหวครับคุณลุง รู้สึกเป็นปกติแล้ว” พีตอบ
“ไปโละลงน้ำกัน” ท่านไกรศักดิ์หันไปบอกพรานโละ
“จ้ะดีจ้ะ” พรานโละยิ้มพยักหน้า
แล้วอีกสามคนบนบกก็ถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงเดินป่าลงน้ำตามไป
โจ เหมียวและสร้อยแก้วถีบตัวขึ้นผิวน้ำเมื่อสัมผัสการกระเพื่อมของน้ำว่ามีคนลงมา สร้อยแก้วโผเข้าไปหาพีทันทีเมื่อโผล่ขึ้นมาเห็นชายหนุ่มอยู่ในน้ำ
“ท่านพี่ ท่านพียังมิแข็งแรงนะจ๊ะ” สร้อยแก้วโผไปประชิดตัวจับไหล่พูดกับพี
“พี่ดีขึ้นมากแล้วจริงๆ ไม่ต้องเป็นห่วง” พีบอกเธอมือลูบผมลูบแก้ม
เหมียวกับโจก็ว่ายน้ำเข้ามาสมทบ
“ไอ้พีเอ็งแน่ใจนะว่าแข็งแรงดีแล้ว” โจถาม
“รู้สึกเหมือนเป็นปกติว่ะ ดีกว่าด้วยซ้ำ” พีตอบเพื่อน
พีรับความรู้สึกว่าอาการเจ็บช้ำๆที่อยู่ภายในอกค่อยๆคลายหายไป แข้งขาเนื้อตัวกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก เขาลองทดสอบโดยการวางฝ่ามือสองข้างบนตลิ่งแล้วใช้กำลังจากหัวไหล่และข้อศอกดีดตัวเองจากน้ำขึ้นมานั่งบนตลิ่งโดยไม่ยากเย็นอะไร อีกห้าคนในน้ำเสียอีกที่รู้สึกตกใจว่าเขาทำได้อย่างนั้นด้วยกลัวว่าเขาจะบาดเจ็บมากขึ้น
“เฮ้ยไอ้พี เดี๋ยวก็หนักกว่าเดิมหรอก” โจร้องมาด้วยความตกใจ
“ท่านพี่” สร้อยแก้วก็ตกใจ เธอเข้ามาเกาะขาพีที่ยังห้อยอยู่ในน้ำเรียกเขา
พีไม่ได้ตอบใคร เขานั่งมองไปรอบๆบริเวณถ้ำแล้วพูดขึ้น
“นี่ถ้ำทิพย์ ผลไม้นั่นก็ทิพย์ น้ำนี่ก็เป็นทิพย์” เขาพูด
“ผมลงแช่เดี๋ยวเดียวทำไมรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันทีเลย”
“รู้สึกเหมือนผมรึเปล่า” พีถาม
อีกห้าคนเริ่มสำรวจร่างกายและความรู้สึกของตนเองตามไปด้วย
“เออ จริงด้วยว่ะ ไม่ได้สังเกตเลย” โจพูดแล้วลองดีดตัวเองขึ้นจากน้ำมาบ้าง
สร้อยแก้วกับเหมียวลองทำตาม ทั้งสองดีดขึ้นจากน้ำนั่งอยู่ข้างๆชายหนุ่ม
“จริงด้วยค่ะคุณลุง เรี่ยวแรงมาจากไหนเนี่ย” เหมียวพูดสองมือจับสำรวจไปตามเนื้อตัว
“จริงของพวกเรา ลุงเองก็รู้สึกว่าไอ้ที่เจ็บปวดขัดยอกมันหายไปหมดแล้ว” ลุงไกรพูดเห็นด้วย
“พ่อล่ะจ๊ะ” สร้อยแก้วถามพรานโละที่เกาะอยู่ใกล้ๆ
“พ่อมีแรงดังช้างเยี่ยงนั้น” พรานโละหัวเราะพูดเปรียบเทียบหยอกเล่นกับลูกสาว
“มา ถ้าอย่างนั้นช่วยดำสำรวจอีกแรง” พีพูดแล้วเด้งตัวเหยียดตรงพุ่งปลายเท้าดำน้ำลงไปทันที
คราวนี้ทั้งหกคนจึงช่วยกันสำรวจปล่องลึกของแอ่งน้ำด้วยกัน ดำผุดดำว่ายอยู่นานกว่าชั่วโมงก็ยังไม่มีใครสามารถลงไปลึกหรือพบช่องทางที่จะออกไปได้ พวกเขาจึงกลับขึ้นมานั่งอยู่ริมแอ่งน้ำอีกครั้ง
“ไม่พบทางออก” พีพูดลูบหน้าลูบผมเพื่อไล่น้ำออก
“ก็พระองค์ท่านตรัสบอกแล้วไงให้พักเอาแรงก่อน” โจพูดถึงพระสุรเสียงที่บอกกล่าวในกรรมฐานของลุงไกรศักดิ์
“พอถึงเวลาก็รู้เอง พอแค่นี้ก่อน” ลุงไกรศักดิ์พูด
เหมียวกับสร้อยแก้วเลี่ยงไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกน้ำออกที่มุมหนึ่ง สร้อยแก้วปลดบราออกส่งคืนให้พี่สาว
“ไม่ต้องคืน เอานี่ใส่ตัวนี้” เหมียวพูดแล้วส่งอีกตัวที่แห้งอยู่ให้
“ให้สร้อยแก้วแล้วพี่จะสวมอันใดล่ะจ๊ะ” สร้อยแก้วพูดเกรงใจ
“พี่เหมียวมีหกตัว ใส่เถอะ จะได้คุ้นเคย” เหมียวบอกให้
“จ้ะพี่” สร้อยแก้วยิ้มรับมา เธอเองก็รู้สึกชอบที่มันใช้สะดวกเหมาะเจาะกว่าผ้ารัดอกที่ใช้เป็นประจำ
สองสาวเดินไปปลิดผลไม้มานั่งลงกินคนละสองสามลูกนั่งทอดอารมณ์สบายใจดูน้ำใสที่ริมแอ่ง ท่านลุง โจ พีและพรานโละก็เปลี่ยนผ้าเสร็จแล้วเช่นกัน ทั้งสี่คนมานั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วย
“โห ไม่เด็ดมาเผื่อเลยนะ” โจพูด
“ก็กลัวเด็ดมาแล้วอิ่มไม่กินเดี๋ยวคุณลุงว่า” เหมียวพูด
“ไปเด็ดให้ก็ได้” เหมียวทำท่าจะลุกไป
“ไม่ต้อง พูดเล่น ผมไปเอง” โจพูดแล้วเดินไปปลิดผลไม้
“ตั้งแต่เราลงมาตรงนี้ แอ่งน้ำนี่เรืองสว่างอยู่ตลอดเวลาเลย” เหมียวตั้งข้อสังเกต
“ไม่ได้ขึ้นกับกลางวันกลางคืน” เธอพูดต่อ
“คุณลุงสังเกตมั้ยคะ” เหมียวหันไปถามลุงไกร
“ใช่ ลุงเห็นแล้ว พยายามทำความเข้าใจอยู่เหมือนกัน” ลุงไกรตอบตามองลงไปในน้ำ
“แต่อย่ากังวลเลย ถึงเวลาก็รู้เองนะลูก สว่างอยู่ตลอดเวลาก็ดีแล้วนี่” ลุงไกรพยายามพูดให้คลายกังวลลง
โจกับพรานโละหอบผลไม้ทิพย์เดินกลับมากองไว้ตรงกลางวงให้ทุกคนได้หยิบกินแล้วร่วมวงสนทนาต่อ
“แค่นี้คงพออิ่มนะครับ” โจพูด
“ไอ้โจ เอ็งเกิดวันอาทิตย์ใช่มั้ย” พีถามเพื่อนเมื่อเขาพยายามนั่งคิดเพื่อสรุปให้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
“อืม เอ็งรู้อยู่แล้วนี่” โจตอบ มือถือผลไม้เคี้ยวไปด้วย
“เอ็งเป็นอาทิตย์ ปัจจัยหนึ่งที่จะเข้าสู่วะสะธารา” พีพูด
“แหวนสวมนิ้วเอ็งนั่นรูปพระอาทิตย์” พีชี้มือไปที่นิ้วกลางมือซ้ายของโจ
โจกำมือซ้ายยกขึ้นมองหัวแหวนโบราณที่ลุงไกรศักดิ์ให้มา รอยสลักเป็นเส้นหยักเข้าหยักออกแล้ววนมาติดกันเป็นวงกลมบนหัวแหวนนั้น ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ที่ลุงของเขาให้สวมไว้ก็มองไม่ออกว่าควรจะเป็นรูปอะไร ถึงตอนนี้ทุกคนลงความเห็นว่าเป็นรูปดวงอาทิตย์เปล่งรัศมี
“ผมก็แค่เกิดวันอาทิตย์ มีความหมายอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่าครับที่คุณลุงให้มา” โจถามลุงไกร
“ความหมายต้องมี แต่ยังไม่รู้ ตอนที่ให้เราสองคนลุงก็แค่สัมผัสว่าวงไหนควรให้ใครเท่านั้น” ลุงไกรตอบ
“ท่านปู่ผาคงจะบอกให้ได้เมื่อเวลามาถึง อย่างที่เริ่มมาส่งสัญญาณบอกคุณในฝันนั่นแหละ” เหมียวพูด
“สรุปว่าเรื่องที่เป็นทิพย์ ถึงเวลาก็จะได้รู้ ขืนนั่งคิดเองก็หัวผุล่ะนะ” โจพูด
“แล้วลูกเหมียวล่ะ ถามตัวเองบ้างหรือเปล่า” ท่านลุงไกรศักดิ์ยิ้มถามหญิงสาว
“เคยมีบางท่านบอกหนูว่า คำว่าบังเอิญ ใช้เมื่อมนุษย์อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้” เหมียวพูด
“ทุกสิ่งล้วนมีเหตุผลในตัวทั้งนั้น ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น”
“เพราะฉะนั้น ต้องมีสิ่งที่อธิบายได้ว่าหนูมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“หนูก็อยากรู้ค่ะ แต่หนูรอได้ ไม่เหมือนบางคนที่ขี้สงสัย” หญิงสาวพูดจบแล้วหันไปกระแทกค้อนโจชายคนรัก
“อ้าว โดนแล้วเรา” โจยิ้มพูดรู้ตัวแล้วหันไปมองหญิงสาวด้วยความรัก
“ผมก็มีฝันแปลกที่ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง” พีพูดหน้าขรึม
ทุกคนหันมามองหน้าพีแล้วตั้งใจคอยฟัง