ธารทิพย์ บทที่ 31

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 30 http://ppantip.com/topic/33206680

            คุณเป็ดน้ำมีอาการเขย่าขึ้นลงปัดซ้ายปัดขวามากขึ้นเรื่อยๆเมื่อบินเข้าไปใกล้

            พีควบคุมคันบังคับทั้งที่มือและหางเสือเพื่อเข้าต่อสู้กับกระแสลมที่กระโชกอลวนไปมา ลมบนที่พัดผ่านภูยมอันสูงเสียดสลับซับซ้อนส่งผลให้กระแสอากาศซึ่งไหลวนอยู่ภายในแปรปรวนจนยากจะคาดการณ์สภาวะและทิศทางได้

            โจกวาดสายตาซ้ายขวาไปตรงหน้าสลับกับมองแผงเครื่องวัดข้างหน้า มือเท้าประคองคันบังคับด้านของเขาคลอเอาไว้เพื่อช่วยจับหากเกิดเหตุฉุกเฉิน เขายังไม่ขานสถานะของเครื่องวัดการบินบนเครื่องด้วยเหตุผลว่าเป็นตัวเลขที่ยังคงพอจะยอมรับได้

            ท่านไกรศักดิ์ เหมียว สร้อยแก้วและพรานโละช่วยอะไรไม่ได้เวลานี้ ได้แต่ชะเง้อมองไปด้านนอกให้ไกลที่สุดเพื่อเก็บข้อมูล เรือบินที่กำลังกระเด้งกระดอนไปมาอยู่ขณะนี้ คงได้แต่ฝากไว้ในมือชายหนุ่มทั้งสองเท่านั้น

            “สองไมล์” โจขานสั้นๆเพียงต้องการให้รู้ไม่อยากเพื่อนให้เสียสมาธิ

            “สองไมล์” พีขานรับเพื่อให้เพื่อนรู้ว่าเขายังคงสมาธิและการรับรู้

            ระยะห่างอีกสามกิโลสองร้อยเมตรคุณเป็ดน้ำจะเข้าสู่ช่องเขาข้างหน้า

            กระแสลมแรงที่ไหลออกจากเทือกภูยมทะลักผ่านช่องเขามาส่งใต้ปีกคุณเป็ดน้ำให้ลอยตัวสูงขึ้นอีกเกือบร้อยฟุต

            พีถีบรัดเด้อร์หางเสือสู้กับกำลังลมเพื่อรักษาทิศทางของหัวเครื่องให้บินตรงไว้มือข้างหนึ่งควบคุมรอบเครื่องยนต์ให้เร่งให้ผ่อนไปตามสภาวะ มืออีกข้างดันคอนโทรลคอลัมม์ไปข้างหน้าเพื่อกดหัวคุณเป็ดน้ำให้ลดระยะสูงลง แล้วบิดซ้ายบิดขวาเพื่อให้แอร์ล่อนทำงานรักษาระนาบปีกซ้ายขวาให้เท่ากัน
นักบินหนุ่มต้องแยกประสาทออกห้าส่วนให้ทำงานพร้อมพร้อมกันเพื่อควบคุมให้เรือบินเคลื่อนที่ไปตามที่เขาคิดว่าควรจะเป็น

            “ลมตียกออกซ้าย” โจขานเสียงดัง

            “ปล่อยยกแล้วเทปีกลงขวารอดช่องเขาเลย” พีขานบอกแผนการบินที่ตั้งใจ

            คุณเป็ดน้ำถูกกระแสลมยกตัวเหินขึ้นเซเข้าหาภูเขาทางด้านซ้าย พีปล่อยให้ลำลอยไปตามลมอย่างนั้นจนใกล้ถึงช่องเขาแล้วจึงดันและบิดคอนโทรลคอลัมม์เอียงปีกกดหัวลงทางขวาพร้อมกับถีบรัดเด้อร์หางเสือให้เลี้ยวขาวตามเป็นการเลี้ยวขวาพร้อมกันทั้งสามแกน

            คุณเป็ดน้ำเลี้ยวขวารอดผ่านช่องเขาเข้าสู่เขตภูยมแล้ว พีแก้คืนคันบังคับทั้งหมดเพื่อรักษาอาการให้ลอยลำลดระยะสูงลงสู่ที่ราบที่หมายตาไว้เรือบินยังโยกสั่นด้วยกระแสลมแรงอยู่ตลอดเวลา

            “จับแน่นๆนะครับ ผ่านเขาอีกลูกข้างหน้าเราต้องกดหัวเครื่องดิ่งชันลงเลย” พีขานสถานะเตือนทุกคน

            พีกับโจยังอยู่ในภาวะนำเครื่องร่อนลงที่ค่อนข้างอันตรายจึงยังคงเคร่งเครียดอยู่กับพื้นราบด้านหน้า

            ท่านลุงไกรศักดิ์ เหมียว พรานโละและสร้อยแก้วรับรู้การเข้าสู่เขตภูยมแล้วจึงไม่สนใจว่าเรือบินจะลอยลำลงแตะพื้นได้อย่างไร พวกเขาตั้งใจแต่จะมองสภาพผืนป่าภูยมเพียงอย่างเดียวโดยเฉพาะพรานโละที่กลัวอยู่ลึกๆว่าจะได้พบเห็นพญาจงอางตัวนั้นอีกหรือไม่

            โจหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาสำรวจพื้นราบต่ำลงไปเบื้องหน้าเพื่อความชัดเจนครั้งสุดท้ายก่อนลงพื้น ภาพที่ปรากฏอยู่ในกล้องนั้นมองไม่ถนัดนักจากอาการสั่นไหวของเรือบิน เขาใช้ความพยายามอย่างมากที่สุดเวลานี้เพื่อจะขานบอกให้พีรับรู้

            “ซ้ายลาดลงนิดหน่อยพยายามแปะขวาไว้นะ” โจขานบอกเพื่อให้พีชิดขวาลงพื้น

            “รับทราบ” พีขานรับตาจับนิ่งที่พื้นราบอยู่อย่างนั้น

            “เกียร์ดาวน์” พีเรียกให้โจกางล้อออก

            “เซ็ท เช็ค ล้อกางแล้ว” โจขานบอกรวดเดียว

            โจก้มมองแผงเครื่องวัดเพื่อตั้งใจจะขานระยะสูงถึงพื้นให้พีรับรู้ แต่..

            “ข้ามเขาแล้วทุกคนระวัง กดหัวเครื่อง ไอ้โจสูงกี่ฟุต” พีบอกสถานะแล้วร้องถามระยะสูงถึงพื้นดิน

            “ไอ้โจ เหลือกี่ฟุต” พีย้ำถามเสียงดังอีกคิดว่าเพื่อนไม่ได้ยิน

            “สองร้อย” โจตอบอึกอักเพราะเขากะระยะสูงเองด้วยสายตา

            “จับให้แน่น จะลงแล้ว” พีพูดเสียงดัง

            คุณเป็ดน้ำดำลงมาหาพื้นราบด้วยมุมที่ชันมาก พีใช้ความชำนาญคำนวณในใจเรื่องความเร็วที่กำลังดำดิ่งลงมากับระยะสูงที่เหลือแล้วจึงดึงคันบังคับเข้าหาตัวเต็มที่เพื่อจะเชิดหัวขึ้นก่อนถึงพื้น คันบังคับหนักอึ้งด้วยโมเมนตั้มของเครื่องที่พุ่งตัวลงมาจนโจที่เฝ้าดูอยู่ต้องช่วยดึงคันบังคับด้านของเขาเพื่อช่วยอีกแรง

            เรือบินเชิดหัวขึ้นเกาะอากาศอีกครั้งทันเวลาที่เหนือพื้นดินแค่ความสูงไม่กี่ช่วงคน งานที่เหลือของพีคือร่อนลงแตะพื้นบริเวณที่คิดว่าเรียบที่สุดที่มองเห็น เขาตัดสินใจวางล้อลงยังจุดแตะที่หมายตาแล้ว คุณเป็ดน้ำเขย่าไม่มากนักเมื่อวิ่งบนพื้นดิน พีจึงเหยียบเบรกให้ลดความเร็วและหยุดนิ่งลงในที่สุด
สี่คนด้านหลังหลับตาลง สูดลมหายใจลึกแล้วถอนหายใจยาวเพื่อทดแทนที่กลั้นใจอยู่นาน

            พีกับโจก็เช่นกัน ทั้งสองเอนหลังพิงเก้าอี้หลับตาแหงนหน้าหายใจลึกเพื่อคลายเครียด เครื่องยนต์และใบพัดยังอยู่ในรอบเบาสุด ครางหึ่งอยู่อย่างนั้น

            พีลืมตาตั้งตัวตรงขึ้นเมื่อหลังมือโจตบเบาๆที่อก หันไปมองเพื่อนที่จ้องหน้าชี้มือไปที่แผงเครื่องวัดด้านหน้าทั้งสอง พีโน้มตัวไปมองแล้วหันมองสบตากัน

            ลุงไกรศักดิ์ปลดเข็มขัดนิรภัยขยับตัวมาหาหลานสองคน

            “มีอะไร” ลุงไกรศักดิ์ถาม

            อีกสามคนด้านหลังจึงชะเง้อมองตามมาด้วย โจชี้มือไปที่แผงเครื่องวัดแล้วมองหน้าทุกคนไม่พูดอะไรออกมา

            สถานะของเข็มเครื่องวัดทุกตัวชี้ค่าต่ำสุดเหมือนพวกมันพร้อมใจกันหยุดทำงาน ใบพัดยังหมุนอยู่ เสียงเครื่องก็ยังติดอยู่อย่างนั้น พีเอื้อมมือไปปิดสวิทช์ดับเครื่องยนต์ลง แล้วปิดสวิทช์แบตเตอรี่ปิดระบบ ใบพัดหยุดหมุนแล้วและเสียงเครื่องยนต์ก็เงียบสนิทลงแล้ว

            ทั้งหกคนยังนั่งนิ่งมองกันไปมาอยู่ภายในลำตัวเรือบิน ต่างก็มองออกไปนอกหน้าต่างรอบๆด้วยความรู้สึกกริ่งเกรง แสงอาทิตย์บอกเวลาใกล้จะบ่าย

            “เราจะลงเลยมั้ยครับคุณลุง” พีหันมาถามลุงไกรศักดิ์

            “อีกสักครู่ดีกว่า รอดูอะไรสักพัก จะได้ตั้งหลักตั้งจิตกันใหม่ด้วย” ลุงไกรศักดิ์ตอบ

            ทั้งหมดขยับเนื้อขยับตัวเพื่อผ่อนคลายและปรับความรู้สึกใหม่อย่างที่ลุงไกรศักดิ์บอก เหมียวกับสร้อยแก้วหยิบอาหารและน้ำดื่มที่เตรียมมาด้วยออกมาแจกกันกินเอาแรงไว้ก่อน

            “ดีครับดี ปิกนิกกันบนนี้ก่อน เผื่อมีญาติโยมผ่านมา” พีพูดยิ้มๆแล้วรับอาหารที่สร้อยแก้วส่งมาให้นั่งเอนหลังกินทำท่าเอกเขนก

            พรานโละขยับข้ามไปนั่งเอนอยู่ที่ว่างด้านหลัง กินไปด้วยกวาดตามองด้านหลังไปด้วย เหมียวเอนพนักพิงกินอาหารไม่พูดอะไร ท่านพ่อไกรศักดิ์ขยับมาปรับเอนพนักพิงให้ลูกสาวแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างเธอ

            “กินไปด้วย มองไปด้วย คิดไปด้วย” ท่านพ่อไกรศักดิ์พูดเป็นจังหวะเล่นๆกับทุกคน

            เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงในการกินอาหารนั่งสังเกตการณ์อยู่ภายใน เหมียวกับสร้อยแก้วเก็บรวบรวมเศษอาหารจากการกินใส่ถุงหิ้วพลาสติคที่มีอยู่บนเรือบินผูกมัดจนเรียบร้อยวางไว้ภายใน เธอไม่อยากจะทิ้งขยะที่ไม่ควรลงบนพื้นป่าภูยมตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา ส่วนที่เหลือจัดการเก็บลงเป้หลังสำรองไว้มื้อหน้า

            ทั้งห้าคนมองมาที่ท่านไกรศักดิ์เพื่อรอการตัดสินใจ

            “พวกเราขยับเนื้อขยับตัวให้ดี สงบจิตใจ เราจะตั้งจิตบอกกล่าวด้วยกัน” ท่านไกรศักดิ์พูด

            ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าที่คิดว่าเหมาะสมกับความเคารพที่สุดในพื้นที่จำกัดบนเรือบินแล้วพนมมือไหว้

            “ทุกคนสงบจิตตั้งใจพูดตามฉันนะ” ท่านไกรศักดิ์บอก

            ทั้งห้าคนหลับตาลงสงบเตรียมพูดตาม

            “ข้าแต่องค์พญายมราชผู้เป็นใหญ่” ท่านไกรศักดิ์เริ่มกล่าวนำเสียงอีกห้าคนดังกังวานตามไป

            “อีกทั้งท่านผู้มีอำนาจบารมีทุกท่านผู้ปกปักษ์รักษาเขตแดน”

            “เจ้าเขาเจ้าไพรทั้งหลาย”

            “เหล่าข้าพระพุทธเจ้าขอความเมตตา”

            “เหตุอันล่วงล้ำแดนในครั้งนี้”

            “ตามลิขิตชีวิตมา เพื่อชดใช้ เพื่อขอขมา”

            “ยัง วะสะธารา ทิพย์สถาน”

            “เหล่าข้าพระพุทธเจ้าได้น้อมนำความดีในใจตน”

            “ความรักภักดีและศรัทธา”

            “มาชดใช้ มาน้อมรับวิบากกรรมความทุกข์ยากแสนเข็ญใดๆทุกสิ่ง”

            “อันเกิดแต่บุพกรรมในทุกชาติทุกภพ ด้วยความอุตสาหะ”

            “ขอองค์พญายมราช สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เป็นทิพย์ทุกพระองค์”

            “ได้ล่วงรู้ในทิพย์ญาณ อันที่เหล่าข้าพระพุทธเจ้า เข้าเขตแดนมาครั้งนี้ด้วยเถิด”

            ท่านไกรศักดิ์จบคำบอกกล่าวแล้วลืมตาขึ้น ทั้งห้าคนลืมตาขึ้นตามเมื่อสิ้นคำอธิษฐานบอกกล่าว ท่านแม่ทัพไม่รั้งรอกริ่งเกรงอันใดอีกแล้ว เขาเปิดประตูข้างเรือบินก้าวเท้าแรกลงเหยียบผืนป่าภูยมแล้วเดินไปหยุดยืนมองรอบตัว

            พีและโจเปิดประตูด้านของตนก้าวตามลงมายืนมองไปรอบๆ สร้อยแก้วตามท่านพ่อลงมาก่อนตามด้วยเหมียวและพรานโละ ทั้งสามกวาดตาสำรวจไปที่แนวป่าแล้วเดินไปสมทบกับท่านไกรศักดิ์

            บัดนี้ สิบสองเท้าของหกมนุษย์ผู้ต่ำต้อย ได้ประทับรอยลงบนผืนป่าศักดิ์สิทธิ์ที่มิเคยมีผู้ใดกล้าเหยียบย่างเข้ามาก่อนเลยนับแต่บรรพกาล

            “ทุกอย่างยังสงบดี” ท่านไกรศักดิ์พูดเบาๆ

            รอบตัวของพวกเขาไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว จะมีก็เพียงเสียงลมที่พัดไปมาหวีดหวิวชวนวังเวง

            “พวกเราไปเอาอาวุธมาเตรียมก่อนดีกว่า” โจขยับหันหลังพูดเมื่อสังเกตเห็นว่าในมือของทุกคนว่างเปล่า

            “ไม่เป็นไรโจไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น” ลุงไกรศักดิ์พูด

            “แน่ใจหรือว่าอาวุธพวกนั้นจะทำอะไรได้บ้าง” เขาพูดต่อ

            ทั้งห้าคนฟังแล้วเสียวสันหลังขึ้นมาฉับพลัน

            “เราจะเดินออกไปหนใดจ๊ะท่านพ่อ” สร้อยแก้วเอ่ยถาม

            “นั่นซิคะคุณลุง” เหมียวเสริม

            ท่านไกรศักดิ์หันมายิ้มให้ทุกคนแล้วล้วงมือหยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขาพนมมือประกบของชิ้นนั้นไว้แล้วหลับตาลงตั้งจิตอธิษฐานพึมพำเบาๆ

            ของสิ่งนั้นถูกโยนไปหมุนคว้างอยู่กลางอากาศสูงเล็กน้อยแล้วตกลงบนพื้น ห้าคนรีบตามไปก้มดูด้วยความแปลกใจสิ่งที่ท่านแม่ทัพทำ

            บนพื้นดินของที่ราบผืนป่าภูยมที่ทุกคนก้มลงมอง เหรียญบาทที่ใช้ซื้อขายกันเหรียญหนึ่งตกอยู่เผยด้านที่คุ้นเคยเรียกว่าหัว

            พีนั่งหย่อนก้นนั่งลงบนพื้นก้มหน้าขำๆอยู่ อีกสี่คนและลุงไกรศักดิ์เองก็มีรอยยิ้มขำอยู่เช่นกัน มองหน้ากันไปมายิ่งชวนให้เริ่มหัวเราะกันใหญ่

            “อย่าบอกนะครับว่าท่านแม่ทัพหมดมุกแล้ว” พีพูดหัวเราะไปด้วย

            “เฮ้ย ลุงก็อธิษฐานนะ” ไกรศักดิ์ตอบหัวเราะไปด้วย

            “มีอะไรดีกว่านี้มั้ยล่ะ” ท่านลุงพูดเสริม

            “นั่นซิ” พีตอบยังขำกันอยู่

            “แล้วที่ออกนี่คุณลุงไปทิศไหนครับ” โจยิ้มถาม

            “ใต้” ลุงไกรตอบ

            “ยังมีอีก” ลุงพูดต่อแล้วก้มเก็บเหรียญมาพนมมืออีกครั้งโยนขึ้นไป

            เหรียญบาทตกลงมาวางอยู่หน้าเดิม

            “ตะวันตกเฉียงใต้” ท่านลุงพูดแล้วหันมองไปทางทิศนั้น ทั้งห้าคนจึงมองตามไป

            “ชะตากรรมของกองทัพอยู่ในมือท่านแล้ว เหรียญบาท” พียังคงพูดขำๆอยู่

            “เหรียญบาทอธิษฐานด้วยใจก็ศักดิ์สิทธิ์ได้นะ ทำเป็นเล่นไป” ลุงไกรพูดแล้วใช้มือขยี้กระหม่อมพี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่