ธารทิพย์ บทที่ 3

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์



            รถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่พุ่งทะยานบนทางด่วนพิเศษจากบางปะกงมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงยามใกล้ค่ำ

                “เดือนหน้าต้องเข้าตรวจเวชศาสตร์การบินแล้วใช่มั้ยน่ะ”  โจหันหน้าถามเพื่อนที่จับพวงมาลัยรถอยู่

                “อืม”  พีตอบรับสั้นๆตายังคงมองไปข้างหน้า    

                “ตายซะเลยก็โอเค แต่ถ้าพิการก็จบกัน ถอนตีนออกจากคันเร่งเลยไอ้เวร” “จะรีบไปไหน”  โจดุเพื่อน

                “ก็ได้ก็ได้ นี่ไม่เห็นอกเห็นใจคนมีความรักเลย”  พีตอบรับแล้วลดความเร็วลง

                “คนไม่มีความรักมันก็หินอย่างนี้แหละ”  พีแกล้งพูดเหน็บ

                “รู้ได้ยังไง”  โจหันมองหน้าเพื่อน

                “สร้อยเหรอ”  พีพูดหันมองหน้าเพื่อนแวบหนึ่ง

                “นั่นมันน้องโว้ย”  โจตอบ

                “กูกลัวว่าน้องมันไม่คิดอย่างนั้นน่ะซิ”  พีพูด  “กูรู้ว่าหนักใจอะไร”  พีพูดต่อ

                “อืม ถ้าเป็นอย่างว่า กูก็สงสารน้องมัน”  โจพูด

                “ก็ใช่นะ จะไปอยู่ป่าได้ยังไง แล้วสร้อยมันก็คงอยู่เมืองไม่ได้หรอก”  พีพูด

                “รักษาระยะห่างไว้ดีๆก็แล้วกันเดี๋ยวน้องมันจะช้ำใจ”  พีพูดต่อ

                “แล้วเมื่อไหร่จะตกลงปลงใจมีนางในดวงใจให้มีชีวิตชีวาซะทีล่ะ”  พีถามเพื่อน

                “ก็อยู่แต่กับเนี่ย จะไปเจอใครได้ล่ะวะ แล้วสาวๆที่ผ่านเข้ามาเค้าก็สนใจแต่”  โจพูดน้อยใจ

                “พูดอย่างนี้เดี๋ยวกูเทครัวเป็นเสือไบเลยไอ้เวร”  พีพูดกลั้วหัวเราะ  “โลกมันไม่สมดุลนะ กูรักแต่แม่เงาะโรงเรียนของกูคนเดียวก็รู้ก็เห็น”  พีพูดต่อ

                “ก็ขอบใจนะ”  โจหันมองเพื่อน

                “กูซิที่ต้องขอบใจ”  พีพูดน้ำเสียงจริงจังสายตายังคงจับนิ่งอยู่ที่ผิวจราจรเบื้องหน้า

                จนรถยนต์ของเพื่อนเกลอถอยเข้าลานจอดรถของโรงแรมหรูหราห้าดาวแห่งหนึ่ง ทั้งสองลงจากรถ

                “ขึ้นไปก่อน กูขอสูบบุหรี่เดี๋ยวตามขึ้นไป”  โจบอกเพื่อน พีพยักหน้าแล้วเดินไป

                โจยืนสูบบุหรี่ทอดอารมณ์อยู่หน้ารถจนหมดมวนแรกแล้วเริ่มจุดต่อมวนที่สองอีกเพราะรู้ว่าต้องขึ้นไปอยู่ข้างบนอีกนาน สักครู่มีรถยนต์หรูหราขับเข้ามาในลานจอดรถ ขับชะลอช้าๆเหมือนมองหาที่จอด ด้วยความเป็นคนมีน้ำใจเขานึกอยากให้รถคันนั้นเห็นว่าตรงข้ามเยื้องกับที่เขายืนมีช่องว่างอยู่ช่องหนึ่งแล้วก็เป็นไปอย่างที่โจคิด รถคันนั้นเลี้ยวมาทางเขาทำท่าตั้งลำเพื่อถอยจอดแต่เมื่อเข้ามาใกล้กลับเร่งเครื่องยนต์แล้วเบรคเอี๊ยดหน้ารถที่โจยืนอยู่เหมือนแกล้ง โจต้องโดดหลบไปยืนข้างรถเขามองจ้องเข้าไปภายในด้วยความโกรธ ขณะที่รถคันนั้นถอยเข้าจอด โจออกมายืนมองจ้องเตรียมเอาเรื่อง

                “ไม่ชอบคนสูบบุหรี่”  เจ้าของเสียงพูดลอยๆห้วนๆนั้นเป็นหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับโจ ผมซอยสั้นรับกับใบหน้าสวยจมูกโด่งแบบลูกครึ่ง เอวองค์โค้งเว้าสวยงามได้สัดส่วนในชุดยีนรัดรูปและเสื้อยืดสีปูนแห้ง สาวผิวขาวปิดประตูรถแล้วเดินผ่านโจไปอย่างไม่แยแสไม่มองหน้า ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนอึ้งมองตามเธอไป จะตั๊นหน้าสักทีก็ดันเป็นผู้หญิง

                “ผู้หญิงบ้าอะไรวะ” “แล้วฉันไปสูบบนหัวลูกชายคุณปู่เธอรึยังไง”  โจนึกในใจขณะมองตามอย่างงงๆ

                โจสูบบุหรี่หมดมวนที่เหลือขยี้ทิ้งกับพื้นแล้วเดินเข้าโรงแรมไปอย่างหงุดหงิด

                บนโต๊ะอาหารสี่ที่ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรู ยามค่ำคืนสามารถมองตึกรามของมหานครใหญ่ที่เปิดไฟตกแต่งสวยงามไปรอบทิศ สรรค์สร้างอารมณ์ชวนฝันให้แขกผู้มาเยือนได้ดื่มด่ำกับมื้อค่ำอันเลิศรส

                “พี่โจล่ะ”  เงาะถามเมื่อเห็นพีเดินเข้ามาคนเดียว

                “หวานๆหน่อยซิจ๊ะ หางเสียงไม่มีเลย”  พีพูดยิ้มตาหวานนั่งลงข้างๆเงาะ

                “พี่โจล่ะค่ะ พี่พีขา….”  เงาะลากเสียงอ่อนหวานแล้วค้อนพี

                “สูบบุหรี่เดี๋ยวตามมาครับ”  พีตอบ  “น้องเงาะมานานแล้วเหรอ สั่งอะไรรึยังครับ”  พีถามต่อ

                “ยังค่ะรอให้มากันครบก่อน”  เงาะตอบแล้วหันไปมองพีที่นั่งจ้องหน้าเธออยู่

                “เป็นอะไร”  เงาะถาม  “นั่งจ้องหน้าทำไม”  เธอเลิกคิ้วแปลกใจ

                “คิดถึง” “มากมาย”  พียื่นหน้าเข้ามาตอบใกล้ๆยังไม่เลิกจ้องตา

                เงาะหน้าแดงเอียงอายแล้วเอนตัวไปหา พีมองซ้ายขวาว่าไม่มีใครมองอยู่โดยเฉพาะเจ้าโจพี่ชายเงาะ แล้วบรรจงหอมแก้มเธอเบาๆอย่างทะนุถนอม

                “หอมมั้ย”  เงาะถามไม่สบตา หน้ายังคงแดงอยู่

                “กำซาบลึกเข้าไปข้างในกว่าอะไรทั้งหลายในโลก”  พีหลับตาตอบทำท่าเหมือนล่องลอย

                “เกินไปและ”  เงาะยิ้มทำเสียงดุ  

                “จริง”  พีพูดสั้นๆ

                “แล้วจะไปไหนกลับเมื่อไหร่ก็ไม่โทรบอก”  เงาะต่อว่า

                “พี่โทรแล้วไม่รับสาย พี่ก็กะว่าคงประชุมก็เลยส่งข้อความไปบอก ได้ดูรึเปล่าล่ะ”  พีพูด

                “เรื่องอะไรจะไม่ดู แต่ไม่อยากได้แค่อ่านข้อความ”  เงาะตอบเง้างอน

                “โอเค โอเค พี่ขอโทษแล้วกัน” “รักเค้านี่นะต้องยอม”  พีทำเสียงอ่อน

                “อ้าว พี่เหมียวมาแล้ว”  เงาะลุกขึ้นจากเก้าอี้เมื่อเห็นสาวเพื่อนรุ่นพี่เดินเข้ามา พีหันมองแล้วลุกขึ้นตาม

                “เงาะรอนานมั้ย ขอโทษที่ผิดเวลารถมันติดค่ะ”  เหมียวยิ้มทักทาย

                “พี่พีนี่พี่เหมียวค่ะ พี่เหมียวนี่พี่พีเพื่อนพี่โจพี่ชายเงาะค่ะ”  เงาะแนะนำ

                “สวัสดีครับ”  พียิ้มกล่าวทักทายก่อน

                “สวัสดีค่ะ”  เหมียวยิ้มตอบรับ

                “เงาะเล่าเรื่องของพี่พีกับพี่โจให้ฟังบ่อยๆค่ะ เหมียวว่าน่าสนใจดีนะอาชีพที่ทำกัน”  เหมียวพูดชวนคุย

                “ครับขอบคุณครับ น้องเงาะเค้าก็พูดเรื่องคุณเหมียวให้ฟังเหมือนกันโดยเฉพาะเรื่องโยคะฟลาย เห็นว่าเป็นอันดับต้นๆของวงการเลยใช่มั้ยครับ”  พีคุยตอบ

                “คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เงาะพูดเกินเหตุ”  เหมียวตอบยิ้มๆ

                “เห็นน้องเงาะเล่าว่าคุณเหมียวจะมาตั้งศูนย์ฝึกโยคะฟลายใหม่ที่นี่เหรอครับ”  พีถาม

                “เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีต่อสุขภาพน่ะค่ะ ก็เลยอยากช่วยกันเผยแพร่ออกไป พี่พีเป็นนักบินสมรรถภาพร่างกายมีความสำคัญต่ออาชีพ ว่างๆก็ควรมาลองฝึกดูนะคะ”  เหมียวตอบพร้อมกับเชิญชวน

                “ต้องไปแน่ๆครับ”  พีตอบรับ  “แล้วน้องเงาะลองบ้างรึยังครับ”  พีหันไปถามแฟน

                “เงาะได้หลายชั่วโมงแล้วนะ ร่างกายดีมากขึ้นจริงๆต้องแข็งแรงมากเลยถ้าจะทรงตัวอยู่บนผ้าแพรที่ห้อยจากข้างบนลงมา ใหม่ๆที่ไปเริ่มฝึกกับพี่เหมียวบอกตรงๆแทบตาย พี่เหมียวเก่งมากเลยค่ะพี่”  เงาะตอบหันไปยิ้มให้เหมียว

                “แล้วนี่เจ้า”  พีพูดค้างเมื่อมองเห็นเพื่อนเดินเข้ามา  “พระเอก มานั่นแล้ว”  พีพูดต่อ

                ทั้งสามคนลุกจากเก้าอี้ตามมรรยาท โจเดินเข้ามาทางด้างหลังเหมียว

                “พี่โจมาแล้ว พี่โจนี่พี่เหมียวค่ะ พี่เหมียวนี่พี่โจค่ะ”  เงาะแนะนำอีกครั้ง
    
            โจสะดุดกึกเมื่อแม่สาวผมสั้นเสื้อสีปูนแห้งหันมา เหมียวเองก็สะดุ้ง นี่เจ้าหนุ่มที่หมั่นไส้เรื่องบุหรี่เมื่อตะกี้นี่นา

                “สวัสดีค่ะ”  เหมียวกลั้นใจกล่าวทักทายด้วยสีหน้าเฉยเมย

                โจยังยืนจ้องหน้านิ่งไม่กล่าวอะไร พีและเงาะมองหน้ากันไปมาอย่างแปลกใจ

                “เฮ้ยโจ เป็นอะไร”  พีถามสงสัย

                “เอ้า เจอคนสวยแล้วตะลึง”  พีพูดยิ้มๆ

                “เอ่อ…สวัสดีครับ”  โจได้สติ เหลือบมองหน้าพีแล้วตอบทักทายกลับนึกในใจจุดไต้ตำตอ ยายบ้านี่เอง

                “พี่โจนั่งข้างพี่เหมียวแล้วกันนะคะ”  เงาะบอกพี่ชาย โจนั่งลงข้างๆอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

                “สูบบุหรี่อะไรนานสองนาน”  พีถาม

                “ตอนแรกก็กะจะสูบมวนเดียว”  โจเงยหน้ามองพี “แต่เปลี่ยนใจสูบมันครึ่งซองเลย”  โจตอบ-ดันใครบางคน

                “สูบเข้าไปยังไงวะครึ่งซอง พูดจริงรึเปล่าเนี่ย”  พีถามไม่คลายสงสัย

                “นั่นซิ พี่โจเครียดหรือเปล่าคะ”  เงาะเสริม

                “เอาเหอะ กินข้าวดีกว่า”  โจยิ้มนิดหนึ่งแล้วพูดตัดบท

                อาหารเริ่มเสริฟมาตั้งแต่ออร์เดิร์ฟไวน์แล้วตามด้วยเมนคอร์ส การทานอาหารดำเนินควบคู่กันไปกับบทสนทนาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องถามไถ่เพื่อทำความรู้จักของสามคนพีเงาะและเหมียว ส่วนโจนั่งกินเงียบๆไม่พูดไม่จามีเพียงฟังและตอบรับด้วยการยิ้มไม่มองหน้าใครเท่านั้นจนของหวานเริ่มเสริฟขึ้นโต๊ะ

                “ของชอบพี่โจเลยนะ ลูกพีชเชื่อมไวน์แดง”  เงาะพูดส่งยิ้มให้พี่ชายเพื่อกระตุ้นให้พูดจา

                “ใครบอก ชั้นชอบฝรั่งขี้นกจิ้มพริกเกลือน้ำตาลปี๊บว่ะ”  โจตอบแบบแขวะรสนิยมคนอื่น

                “เป็นอะไรวันนี้พี่ชาย”  เงาะขมวดคิ้วถามเสียงจริงจัง

                “นั่นซิ ท้องผูกรึเปล่าวะ”  พีเสริม

                “อ๋อรู้แล้ว เพื่อนผมมันแพ้คนสวยนั่งใกล้ๆแล้วพูดไม่ออกน่ะครับ”  พีหันไปพูดยิ้มๆกับเหมียว

                “จริงเหรอคะ”  เหมียวได้ช่องจึงพูดแล้วหันไปยิ้มมองหน้าโจที่เหลือบตาขุ่นๆมามองเธอ

                “ความจริงเพื่อนผมนิสัยดีสุภาพมีน้ำใจนะครับ”  พีพูดเชียร์ขณะที่โจนั่งจ้องหน้าเพื่อน

                “ไม่กล้าคุยแล้วจะรู้จักกันได้ยังไงล่ะคะ ใช่มั้ย”  เหมียวเลิกคิ้วหันไปพูดยั่วยิ้มกับโจด้วยน้ำเสียงท้าทาย

                โจยังนั่งฟังไม่ตอบโต้ใจคิดยายคนนี้มันยังไงนะ คิดอยากจะกำราบให้เข็ดแต่ก็เหมือนแพ้ความสวยของเธอจริงๆอย่างที่พีพูด แล้วปากเรียวสวยที่มาพูดยั่วเย้านั่นเขาก็ไม่รู้ว่าอยากตบหรืออยากจะทำอะไรดี ใจเริ่มเต้นแรงรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ โจจึงหันไปหยิบแก้วไวน์ยกขึ้นดื่ม

                “อย่าถือสาเลยนะครับเหมียว เวลาประหม่าแล้วโจเค้าจะพูดผิดพูดถูก”  พีทั้งแกล้งทั้งกระตุ้นให้เพื่อนจีบสาว

            “อย่างเมื่อกี้ไง เหมียวเค้าเป็นลูกครึ่งผ่าบอกอยากกินฝรั่งขี้นก”  จบประโยคเด็ดที่พีพูดโดยไม่ตั้งใจ โจซึ่งกำลังยกแก้วไวน์ดื่มอยู่ก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกหันไปด้านข้างโต๊ะสำลักไวน์ออกทั้งปากทั้งจมูกตามด้วยไอสำลักอย่างแรงจนโต๊ะอื่นหันมามองเป็นตาเดียว

                “เฮ้ยไอ้โจ”  “พี่โจเป็นอะไร”  ทั้งพีและเงาะพูดพร้อมกัน เหมียวเองก็ตกใจ
    
            โจเอาผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกปิดปากรีบเดินออกไปยังลานชมวิวบนดาดฟ้า พีสาวเท้าตามไปติดๆ

                “เป็นไงเพื่อน กูขอโทษเล่นแรงไปหน่อยว่ะ ขอโทษ”  พีพูดอย่างเสียใจใช้มือลูบหลังเพื่อน

                โจยังพูดไม่ได้โบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นอะไร อีกมือหนึ่งก็เช็ดจมูกเช็ดปากไปพลาง พอเริ่มดีขึ้นโจจึงเล่าให้พีฟังเรื่องที่ลานจอดรถ

                “ฮะฮะฮ่า โอ้ฟ้ามีตา บุพเพสันนิวาส”  พีหัวเราะตะโกนเบาๆ เขาแบมือชูสองแขนขึ้นฟ้าทำท่าคารวะ

                “บุพเพเฮียอะไรล่ะ”  โจพูดเสียงคอตันขึ้นจมูกจากการสำลักไวน์

            “แน่ะ”   พีชี้หน้าล้อเลียนเพื่อน   “ไป ไปกินต่อ”   พีพูดแล้วตบไหล่โจให้เดินกลับ

                ขณะที่พีและโจพูดคุยกันอยู่นั้นที่โต๊ะอาหารสองสาวก็กำลังคุยเรื่องเดียวกันอยู่ เหมียวเล่าเรื่องที่ลานจอดรถให้เงาะฟังพร้อมกล่าวคำขอโทษ

                “ขอท่งขอโทษอะไรกันพี่เหมียว ผู้ชายอะไรแสนงอน”   เงาะพูดหัวเราะชอบใจ

                “พี่เค้าโกรธหน้าเขียวเลยล่ะตอนนั้น”   เหมียวพูด

                “แต่เค้าก็น่ารักนะที่ไม่ตอบโต้ ไม่แสดงอะไรหยาบคาย”   เหมียวพูดชม

                “ช่างเถอะเดี๋ยวพี่โจเค้าก็หาย พี่เหมียวก็อย่าถือสาเค้านะ นั่นมากันแล้วนั่น”   เงาะพูดหันมองสองหนุ่มที่เดินกลับมา เหมียวขยับตัวเหมือนเตรียมรับสถานการณ์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่