ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
เช้าตรู่หลายวันต่อมารถตู้โดยสารสามคันแล่นเรื่อยๆเข้ามาตามถนนชนบทราดยางสายเล็กๆผ่านเรือกสวนไร่นาสองข้างทาง ก้ามปูและหางนกยูงต้นใหญ่ปลูกเรียงรายไว้สองข้างทางจนร่มครึ้ม พุ่มดอกสีแดงบ้างแสดบ้างของหางนกยูงปกคลุมไปทั่วทุกกิ่งก้านดูงดงามด้วยสีสันของธรรมชาติ บนไหล่ถนนนั้นประดับประดาด้วยพืชล้มลุกพันธุ์ทางหลายชนิดทั้งสีเหลืองของกระดุมทองและสีชมพูม่วงบ้างขาวบ้างของต้นพังพวย ไม้ดอกทุกพันธุ์บานสะพรั่งพร้อมกันเพราะเป็นช่วงเวลาของฤดูหนาว
ผู้โดยสารบนรถสั่งให้คนขับปิดเครื่องทำความเย็นในรถแล้วเปิดหน้าต่างเพื่อสูดรับอากาศบริสุทธิ์เย็นสบายภายนอก ทอดสายตาดื่มด่ำกับธรรมชาติสองข้างทาง รถคันหน้าสุดนั้นหรูหราราคาแพงบ่งบอกฐานะเจ้าของแล่นมาจอดหน้าประตูทางเข้า อีกสองคันที่ตามมาจอดอยู่ข้างหลังมีชายคนหนึ่งลงจากรถเดินไปเปิดประตูรั้ว ภายในบริเวณบ้านลุงฟ้อนมองเห็นรถมาจอดที่หน้าประตูรั้วจึงรีบวางเสียมในมือเดินออกมาต้อนรับโดยมีเจ้าพรีโม่วิ่งนำหน้าไปยืนกระดิกหางเห่าต้อนรับเสียงดังที่ประตูรั้วก่อนแล้ว
รถทั้งสามคันเคลื่อนเข้ามาจอดใต้หลังคาลานจอด รถตู้สองคันหลังเปิดออกชายหญิงสิบกว่าคนผู้ติดตามก้าวลงมา คนหนึ่งรีบมาเปิดประตูให้รถคันแรกโดยมีลุงฟ้อนยืนคอยต้อนรับอยู่ สุรเกียรติก้าวลงมาคนแรกตามลงมาด้วยพลเอกไกรศักดิ์ ธำรงสัตย์พี่ชาย พ่อเลี้ยงวิเชียรคุณหญิงโสภาและแม่หญิงแสงดาว สองสาวที่ลงมาหลังสุดคือเงาะกับเหมียว
“เป็นไงตาฟ้อนสบายดีมั้ย” สุรเกียรติยิ้มทักทาย
“สบายดีครับท่าน” ลุงฟ้อนตอบแล้วยกมือไหว้กล่าวสวัสดีจนครบทุกคน
“ทำอะไรอยู่ล่ะน่ะ” สุรเกียรติพยักหน้าถาม
“สวนมันเริ่มจะรกครับท่านต้องคอยทำทุกวัน” ลุงฟ้อนตอบ “เชิญข้างในก่อนครับท่าน ผมจะไปบอกคุณโจ”
“เจ้าตัวนี้มันน่ารักนะคะ” เหมียวพูดขณะที่นั่งลงลูบหัวเจ้าพรีโม่
“มันแสนรู้จะตายพี่เหมียว คู่หูพี่โจกับพี่พีเค้า” เงาะบอก
“แล้วนี่เค้าไปไหนกันไม่ได้ยินเสียงเหรอว่าใครมา” วิเชียรถามหา
“คุณพีกับคุณโจกำลังฝึกนั่งกรรมฐานอยู่ครับท่าน” ลุงฟ้อนตอบ
“หา” ทุกคนอุทานเสียงดังพร้อมกัน ยกเว้นไกรศักดิ์ที่ยืนหน้านิ่งอมยิ้มอยู่ในใจ
“ไอ้สองคนนี่นะ” วิเชียรถามอย่างไม่ค่อยจะเชื่อหู
“ครับท่าน” ลุงฟ้อนตอบ “ได้ยินคุยกันว่าจะแข่งกันทำความดีตั้งแต่กลับจากไปหาท่านผู้การครับ”
ทุกสายตาหันไปทางไกรศักดิ์ที่ยืนยิ้มอยู่
“เด็กมันก็มีดีของมัน” เขาพูดเรียบๆทุกคนยกมือไหว้ขอบคุณไกรศักดิ์
โสภากับแสงดาวเดินเข้าไปในบ้าน สุรเกียรติวิเชียรและไกรศักดิ์เดินเลยไปที่ท่าเทียบหยุดยืนคุยกันขณะมองเข้าไปในโรงเก็บคุณเป็ดน้ำซึ่งเปิดประตูหน้าต่างไว้เพื่อระบายอากาศ ส่วนเหมียวกับเงาะเดินดูต้นไม้ดอกไม้แล้วมาหยุดยืนชมทัศนียภาพริมฝั่งบางปะกงโดยมีเจ้าพรีโม่นั่งกระดิกหางอยู่ข้างๆ
พีลืมตาขึ้นจากสมถะกรรมฐานสบตากับโจซึ่งนั่งขัดสมาธิลืมตามองมาก่อนแล้ว
“เสียงใครคุยกันวะคุ้นๆ” โจพูด
“กูว่า..” พีพูดแล้วทั้งสองก็รีบลุกขึ้นสาวเท้าลงบันไดมาชั้นล่างด้วยชุดสีขาวที่สวมอยู่พบเจ้าของเสียงที่คุ้นหู
“แม่ สวัสดีครับ” โจและพียกมือไหว้แม่พร้อมกัน “มายังไงครับนี่”
โสภาและแสงดาวยิ้มหน้าบานเมื่อเจอลูกชาย ทั้งสองไม่ตอบแสงดาวพยักหน้าออกไปให้ดูนอกบ้าน สองหนุ่มเห็นพ่อและลุงยืนอยู่ที่โรงเก็บปลายท่าเทียบ และที่สำคัญคือหวานใจที่ยืนอยู่ริมน้ำทั้งสองรู้สึกดีใจอย่างแรงระคนกับแปลกใจที่จู่ๆมากันได้ยังไงครบทุกคน เขาหันมองหน้ากันในใจก็นึกว่าจะต้อนขับสู้อย่างไรดี
“ลมอะไรหอบมาครบเลยครับแม่” โจถามแม่
“แม่กับพ่อลงมากรุงเทพฯตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ไม่เห็นบอกล่วงหน้า” พีก็ถามแม่แสงดาว
“แล้วจะตอบใครก่อนดีล่ะ” โสภาพูดยิ้มมองหน้าทั้งสองคน
“พ่อเขาอยากมาดูว่าอยู่กันยังไง บอกก่อนก็จัดฉากซิ” แสงดาวยิ้มตอบพี
“โธ่แม่ จัดฉากอะไร ทุกวันก็อยู่อย่างนี้ล่ะไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนหรอก” พีพูดงอนๆ
พ่อ ลุงและสองสาวเดินเข้ามาในห้อง พีและโจรีบลุกขึ้นกล่าวทักทาย
“สวัสดีครับคุณพ่อคุณลุง” พีลุกขึ้นยืนพูดยกมือไหว้แล้วส่งยิ้มหน้าบานให้สองสาว โจก็เช่นเดียวกันแล้วเหลือบตามองเหมียวที่แอบส่งยิ้มมาทักทาย
โจเดินไปนั่งที่บันไดส่วนพีเดินไปยกเก้าอี้พลาสติกมานั่งเพราะโซฟารับแขกมีแค่แปดที่
“เดินไปดูโรงนั่น มันลอยน้ำทั้งโรงรึเปล่า” สุรเกียรติถาม
“ตัวโรงเก็บนั่นสร้างถาวรยึดกับพื้นใต้แม่น้ำครับ ส่วนทางเดินรอบตัวเรือบินนั่นเป็นโฟลทลอยตัวตามระดับน้ำขึ้นลง ผนังของโรงเก็บนั่นก็ช่วยลดแรงกระทบของคลื่นน่ะครับ” โจตอบ
“อืม ก็เข้าท่าดีนะเดี๋ยวพาพ่อเข้าไปดูหน่อย” วิเชียรหันไปพูดกับพี
“ได้ครับพ่อ” พีตอบ
“เราขึ้นไปดูห้องชายโสดกันดีกว่าค่ะ” แสงดาวสะกิดบอกโสภาแล้วทั้งสองก็เดินขึ้นไปชั้นบนหน้าตาเฉย
โจและพีมองหน้ากันแล้วมองตามแม่ขึ้นไป นึกในใจว่ากลับลงมาจะโดนแม่บ่นกี่เรื่อง
“เป็นยังไง เอาจริงใช่มั้ยเราสองคน” ไกรศักดิ์ถามหลาน
“เอาจริงครับคุณลุง ตอนแรกก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรนักแต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าทำแล้วสมาธิดี จิตใจมั่นคงขึ้นครับ” โจตอบ เขารู้สึกถึงสายตาหนึ่งที่เฝ้ามองอยู่อย่างชื่นชม
“ค่อยเป็นค่อยไปนะอย่าหักโหม วิปัสสนากรรมฐานใจร้อนไม่ได้นะ” ไกรศักดิ์สอน
“ครับคุณลุงนี่พวกผมก็ไปนั่งคุยกับพระที่วัดแถวนี้ให้ท่านแนะนำอยู่ครับ” พีพูด
“พอทำไปทำไปแล้วสมองโปร่งสมาธิดีขึ้นก็เลยเกิดมานะศรัทธาเหมือนที่คุณลุงบอกน่ะครับ” โจพูดเสริม
“ชวนกันทำเรื่องดีๆ พ่อแม่ก็เบาใจขึ้นนะ” วิเชียรเอ่ยชม แถมยังมีอีกสองคนแอบปลื้มอยู่เงียบๆ
โสภากับแสงดาวเดินกลับลงบันไดมา
“ดีค่ะ เรียบร้อยดี” แสงดาวพูดลอยๆเหมือนรายงานให้คนอื่นทราบ
พีและโจมองหน้ากันถอนใจโล่งอกที่ไม่โดนบ่นต่อหน้าสาวๆ
“นึกว่าจะเจอสาวๆแอบคลุมโปงอยู่” โสภาแกล้งพูดยิ้มๆให้ลูกทั้งสองคน
“โหแม่” พีพูดอายๆ โจนั่งหลบตาสองสาวที่ส่งสายตาดุๆมา
“แล้วนี่เห็นมีคนติดตามมาเยอะเลยพวกผมจะเลี้ยงดูปูเสื่อกันยังไงครับ” โจถาม
“พวกแกไม่ต้องเดือดร้อนพ่อขนข้าวของมากินเองเยอะแยะ” สุรเกียรติพูด
“กลางคืนหนาวมั้ยตอนนี้” วิเชียรถาม
“หนาวดีทีเดียวล่ะครับ ผมสองคนกับลุงฟ้อนก่อกองไฟนั่งคุยกันแทบทุกคืน” พีตอบพ่อ
“เอ่อ นั่งจิบบรั่นดีผิงไฟกันสักคืนนะพี่ไกร” วิเชียรพูดกับไกรศักดิ์แล้วหันมองสุรเกียรติ
“เยี่ยม” ไกรศักดิ์รับคำสั้นๆ
“ยอดเลย” สุรเกียรติตอบรับเช่นกัน
“เอ่อ ที่นี่เหรอครับคุณพ่อ” โจอ้อมแอ้มถามไปที่วิเชียร
“ก็เออซิวะ มาถึงนี่แล้วจะให้ไปนอนที่ไหนล่ะ” สุรเกียรติพูด
“โน่น ความคิดแม่แกสองคนเค้าโน่น เค้าอยากมานอนกับลูกเค้าที่นี่ พอลุงแกชวนก็โอเคเลย” สุรเกียรติพูดต่อยื่นหน้าไปทางโสภาและแสงดาว
“แหม พูดยังกับตัวเองสองคนไม่อยากมา ใช่มั้ยเธอ” โสภาพูดค่อนขอดแล้วหันไปพยักหน้ายิ้มกับแสงดาว
“เออเออ อยากก็ได้” สุรเกียรติพูดแล้วหันไปพยักเพยิบกับวิเชียรบ้าง
สองเกลอมองหน้ากันทำท่าอึ้ง
“มีอะไร ไม่อยากให้แม่อยู่ด้วยรึเปล่า” แสงดาวถาม
“โอ๊ะ มิได้ครับคุณแม่ ดีใจมากจริงๆต่างหาก แค่คิดว่าจะนอนกันยังไงบ้านมันเล็กน่ะครับ” โจตอบ
“ไม่ต้องห่วงพรุ่งนี้เป็นเสาร์อาทิตย์ลุงไกรของพวกแกก็เลยชวนพ่อมากินเหล้ากางเต็นท์นอนเปลี่ยนบรรยากาศบ้างเท่านั้น พ่อวิเชียรกับแม่สองคนเค้าก็เห็นดีเห็นงามด้วยแถมสองสาวเค้านึกสนุกก็เลยขอตามมาด้วย” สุรเกียรติพูด
“เต็นท์นอนเครื่องนอนเหล้ายาก็เอามา อาหารการกินป่านนี้พวกแม่บ้านเค้าคงเอารถออกไปแล้วละมั้ง” สุรเกียรติพูดต่อ
“แต่หนูกับพี่เหมียวอยากทานปลาสดๆตัวโตๆที่เพิ่งจับจากแม่น้ำบางปะกงค่ะ” เงาะพูดขึ้นหลังจากนั่งเงียบให้ผู้ใหญ่พูดอยู่นาน ส่วนเหมียวก็นั่งมือเท้าคางอมยิ้มให้โจเหมือนทวงสัญญา
“อะไรอีกล่ะ เดี๋ยวแม่บ้านแม่ครัวเค้าก็จัดหามาพ่อสั่งไปแล้ว” สุรเกียรติบอกลูกสาว
“ก็มีคนสัญญากับหนูกับพี่เหมียวไว้นี่” เงาะไม่ยอมแพ้
“เค้าสองคนบอกจะจับปลามาให้หนูทานด้วยตัวเอง” เงาะพูดต่อ
“อ้าวเหรอ” วิเชียรหันไปมองสองหนุ่ม “ถ้าอย่างนั้นเคลียกันเองแล้วกัน”
“พี่เราเค้าจับปลาเป็นที่ไหน” โสภาหันไปพูดกับลูกสาว
“ก็ไม่รู้แหละ จับไม่เป็นแล้วมาสัญญากับสาวๆเค้าได้ยังไง” เงาะยังไม่ยอม
“พี่เราสองคนเค้าเริ่มเข้าวิปัสสนากรรมฐาน อย่าให้เค้าทำบาปเลยยายเงาะ” ลุงไกรศักดิ์พูดทางออกให้
“ครับใช่ ใช่ครับ นะน้องเงาะนะคุณเหมียวด้วย” พีรีบรับลูก โจพยักหน้าหงึกๆตาม
“พอคุณลุงให้ท้ายล่ะได้ทีหนีเลยนะ” เงาะแกล้งว่า
“ไม่รู้ล่ะต้องมีอย่างอื่นมาแทน” เงาะวางกลใหม่
“อะไรดีล่ะเงาะ” โจพี่ชายถาม
“เดี๋ยวนึกได้ว่าอะไรแล้วจะบอก” เงาะพูดแล้วหันไปก้มหน้าแอบยิ้มกับเหมียว
“เดี๋ยวผมขอไปเปลี่ยนชุดขาวนี่ก่อนนะครับแล้วจะพาชมไปทั่วๆ” พีพูด แล้วทั้งสองก็ขึ้นบ้านไป
พีกับโจพาลุงพ่อแม่และสองสาวทั้งเจ็ดคนไปดูโรงเก็บและคุณเป็ดน้ำของพวกเขาพร้อมคำบรรยายยืดยาวทั้งที่มาและภารกิจ รายละเอียดของการดูแลรักษาและใบอนุญาตต่างๆ จากนั้นก็พาชมอาณาจักรสองไร่กว่าๆของพวกเขาจนทั่ว ทั้งสองได้รับคำชมจากพ่อแม่และลุงของพวกเขาว่าทำได้ดี ทุกคนลงความเห็นกันว่าทั้งสองมีคุณภาพไม่ได้ทำเรื่องเพ้อฝันเหลวไหล
อาหารเช้าบวกกลางวันผ่านไปเพราะกว่าจะได้ทานก็ตกเข้าไปเกือบเที่ยงวัน การพูดคุยซักถามดำเนินไปจนเวลาเริ่มบ่ายคล้อย
“คุณหญิงกับแม่หญิงสองท่าน หนุ่มน้อยสองคนกับพี่ไกรจะชวนเล่นน้ำแม่น้ำ สนใจมั้ยครับ” สุรเกียรติพูดยิ้มๆ
“พูดจริงหรือพูดเล่นเจ้าคะท่านทั้งสาม” แสงดาวยิ้มถามเพื่อให้แน่ใจหันไปมองโสภา
“จริงซิครับ” วิเชียรตอบ “ผมว่าน้ำสะอาดดีนะคุณ ไป ไปเปลี่ยนชุดกัน”
แล้วผู้ใหญ่ทั้งห้าคนก็เดินตามกันไปไม่ออกปากชวนหนุ่มสาวทั้งสี่ด้วยซ้ำ ทิ้งให้ยืนงงเพราะนึกไม่ถึง
“ไป เปลี่ยนขาสั้น” พีหันไปพูดกับโจ
“จะเล่นเหรอ” โจถาม
“เล่นไม่เล่นก็ต้องลงไปดูแลผู้ใหญ่” พีพูดแล้วเดินไป โจเดินตามทิ้งสองสาวให้ยืนอึ้งอีกครั้ง ว่าแล้วนี่จะไปกันหมดไม่คิดจะชวนชั้นเลยใช่มั้ย สองสาวมองหน้ากันงงๆแล้วเดินตามไปด้วย
ที่บันไดท่าน้ำกว้างกว่าสองเมตร เสียงหัวเราะสนุกสนานของผู้ใหญ่ทั้งห้าและสองหนุ่มดังอยู่ไม่ขาด ลุงไกรทหารเก่าว่ายน้ำเล่นช้าๆอยู่ไม่ห่าง สุรเกียรติกับวิเชียรลอยคออยู่ใกล้บันไดท่าน้ำคอยดูแลภรรยา โสภาและแสงดาวนั่งอยู่บนขั้นบันไดแช่ตัวอยู่ในน้ำลึกแค่อกวักน้ำเล่นเบาๆสองหนุ่มก็ลอยคอเล่นอยู่ใกล้ๆคอยระวัง เสียงพูดคุยถึงเรื่องสมัยเป็นหนุ่มเป็นสาว ถูกเบนความสนใจด้วยเสียงฝีเท้าคนวิ่งมาบนสะพานแล้วสองร่างสวยงามในชุดว่ายน้ำก็พุ่งเสียบตัวลงบนผิวน้ำ สักครู่ก็โพล่พ้นน้ำขึ้นมา สาวเงาะในชุดว่ายน้ำวันพีซสีน้ำเงินเข้มและสาวลูกครึ่งไทยปารีเซียงในชุดวันพีซสีแสดนั่นเอง
ธารทิพย์ บทที่ 6
เช้าตรู่หลายวันต่อมารถตู้โดยสารสามคันแล่นเรื่อยๆเข้ามาตามถนนชนบทราดยางสายเล็กๆผ่านเรือกสวนไร่นาสองข้างทาง ก้ามปูและหางนกยูงต้นใหญ่ปลูกเรียงรายไว้สองข้างทางจนร่มครึ้ม พุ่มดอกสีแดงบ้างแสดบ้างของหางนกยูงปกคลุมไปทั่วทุกกิ่งก้านดูงดงามด้วยสีสันของธรรมชาติ บนไหล่ถนนนั้นประดับประดาด้วยพืชล้มลุกพันธุ์ทางหลายชนิดทั้งสีเหลืองของกระดุมทองและสีชมพูม่วงบ้างขาวบ้างของต้นพังพวย ไม้ดอกทุกพันธุ์บานสะพรั่งพร้อมกันเพราะเป็นช่วงเวลาของฤดูหนาว
ผู้โดยสารบนรถสั่งให้คนขับปิดเครื่องทำความเย็นในรถแล้วเปิดหน้าต่างเพื่อสูดรับอากาศบริสุทธิ์เย็นสบายภายนอก ทอดสายตาดื่มด่ำกับธรรมชาติสองข้างทาง รถคันหน้าสุดนั้นหรูหราราคาแพงบ่งบอกฐานะเจ้าของแล่นมาจอดหน้าประตูทางเข้า อีกสองคันที่ตามมาจอดอยู่ข้างหลังมีชายคนหนึ่งลงจากรถเดินไปเปิดประตูรั้ว ภายในบริเวณบ้านลุงฟ้อนมองเห็นรถมาจอดที่หน้าประตูรั้วจึงรีบวางเสียมในมือเดินออกมาต้อนรับโดยมีเจ้าพรีโม่วิ่งนำหน้าไปยืนกระดิกหางเห่าต้อนรับเสียงดังที่ประตูรั้วก่อนแล้ว
รถทั้งสามคันเคลื่อนเข้ามาจอดใต้หลังคาลานจอด รถตู้สองคันหลังเปิดออกชายหญิงสิบกว่าคนผู้ติดตามก้าวลงมา คนหนึ่งรีบมาเปิดประตูให้รถคันแรกโดยมีลุงฟ้อนยืนคอยต้อนรับอยู่ สุรเกียรติก้าวลงมาคนแรกตามลงมาด้วยพลเอกไกรศักดิ์ ธำรงสัตย์พี่ชาย พ่อเลี้ยงวิเชียรคุณหญิงโสภาและแม่หญิงแสงดาว สองสาวที่ลงมาหลังสุดคือเงาะกับเหมียว
“เป็นไงตาฟ้อนสบายดีมั้ย” สุรเกียรติยิ้มทักทาย
“สบายดีครับท่าน” ลุงฟ้อนตอบแล้วยกมือไหว้กล่าวสวัสดีจนครบทุกคน
“ทำอะไรอยู่ล่ะน่ะ” สุรเกียรติพยักหน้าถาม
“สวนมันเริ่มจะรกครับท่านต้องคอยทำทุกวัน” ลุงฟ้อนตอบ “เชิญข้างในก่อนครับท่าน ผมจะไปบอกคุณโจ”
“เจ้าตัวนี้มันน่ารักนะคะ” เหมียวพูดขณะที่นั่งลงลูบหัวเจ้าพรีโม่
“มันแสนรู้จะตายพี่เหมียว คู่หูพี่โจกับพี่พีเค้า” เงาะบอก
“แล้วนี่เค้าไปไหนกันไม่ได้ยินเสียงเหรอว่าใครมา” วิเชียรถามหา
“คุณพีกับคุณโจกำลังฝึกนั่งกรรมฐานอยู่ครับท่าน” ลุงฟ้อนตอบ
“หา” ทุกคนอุทานเสียงดังพร้อมกัน ยกเว้นไกรศักดิ์ที่ยืนหน้านิ่งอมยิ้มอยู่ในใจ
“ไอ้สองคนนี่นะ” วิเชียรถามอย่างไม่ค่อยจะเชื่อหู
“ครับท่าน” ลุงฟ้อนตอบ “ได้ยินคุยกันว่าจะแข่งกันทำความดีตั้งแต่กลับจากไปหาท่านผู้การครับ”
ทุกสายตาหันไปทางไกรศักดิ์ที่ยืนยิ้มอยู่
“เด็กมันก็มีดีของมัน” เขาพูดเรียบๆทุกคนยกมือไหว้ขอบคุณไกรศักดิ์
โสภากับแสงดาวเดินเข้าไปในบ้าน สุรเกียรติวิเชียรและไกรศักดิ์เดินเลยไปที่ท่าเทียบหยุดยืนคุยกันขณะมองเข้าไปในโรงเก็บคุณเป็ดน้ำซึ่งเปิดประตูหน้าต่างไว้เพื่อระบายอากาศ ส่วนเหมียวกับเงาะเดินดูต้นไม้ดอกไม้แล้วมาหยุดยืนชมทัศนียภาพริมฝั่งบางปะกงโดยมีเจ้าพรีโม่นั่งกระดิกหางอยู่ข้างๆ
พีลืมตาขึ้นจากสมถะกรรมฐานสบตากับโจซึ่งนั่งขัดสมาธิลืมตามองมาก่อนแล้ว
“เสียงใครคุยกันวะคุ้นๆ” โจพูด
“กูว่า..” พีพูดแล้วทั้งสองก็รีบลุกขึ้นสาวเท้าลงบันไดมาชั้นล่างด้วยชุดสีขาวที่สวมอยู่พบเจ้าของเสียงที่คุ้นหู
“แม่ สวัสดีครับ” โจและพียกมือไหว้แม่พร้อมกัน “มายังไงครับนี่”
โสภาและแสงดาวยิ้มหน้าบานเมื่อเจอลูกชาย ทั้งสองไม่ตอบแสงดาวพยักหน้าออกไปให้ดูนอกบ้าน สองหนุ่มเห็นพ่อและลุงยืนอยู่ที่โรงเก็บปลายท่าเทียบ และที่สำคัญคือหวานใจที่ยืนอยู่ริมน้ำทั้งสองรู้สึกดีใจอย่างแรงระคนกับแปลกใจที่จู่ๆมากันได้ยังไงครบทุกคน เขาหันมองหน้ากันในใจก็นึกว่าจะต้อนขับสู้อย่างไรดี
“ลมอะไรหอบมาครบเลยครับแม่” โจถามแม่
“แม่กับพ่อลงมากรุงเทพฯตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ไม่เห็นบอกล่วงหน้า” พีก็ถามแม่แสงดาว
“แล้วจะตอบใครก่อนดีล่ะ” โสภาพูดยิ้มมองหน้าทั้งสองคน
“พ่อเขาอยากมาดูว่าอยู่กันยังไง บอกก่อนก็จัดฉากซิ” แสงดาวยิ้มตอบพี
“โธ่แม่ จัดฉากอะไร ทุกวันก็อยู่อย่างนี้ล่ะไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนหรอก” พีพูดงอนๆ
พ่อ ลุงและสองสาวเดินเข้ามาในห้อง พีและโจรีบลุกขึ้นกล่าวทักทาย
“สวัสดีครับคุณพ่อคุณลุง” พีลุกขึ้นยืนพูดยกมือไหว้แล้วส่งยิ้มหน้าบานให้สองสาว โจก็เช่นเดียวกันแล้วเหลือบตามองเหมียวที่แอบส่งยิ้มมาทักทาย
โจเดินไปนั่งที่บันไดส่วนพีเดินไปยกเก้าอี้พลาสติกมานั่งเพราะโซฟารับแขกมีแค่แปดที่
“เดินไปดูโรงนั่น มันลอยน้ำทั้งโรงรึเปล่า” สุรเกียรติถาม
“ตัวโรงเก็บนั่นสร้างถาวรยึดกับพื้นใต้แม่น้ำครับ ส่วนทางเดินรอบตัวเรือบินนั่นเป็นโฟลทลอยตัวตามระดับน้ำขึ้นลง ผนังของโรงเก็บนั่นก็ช่วยลดแรงกระทบของคลื่นน่ะครับ” โจตอบ
“อืม ก็เข้าท่าดีนะเดี๋ยวพาพ่อเข้าไปดูหน่อย” วิเชียรหันไปพูดกับพี
“ได้ครับพ่อ” พีตอบ
“เราขึ้นไปดูห้องชายโสดกันดีกว่าค่ะ” แสงดาวสะกิดบอกโสภาแล้วทั้งสองก็เดินขึ้นไปชั้นบนหน้าตาเฉย
โจและพีมองหน้ากันแล้วมองตามแม่ขึ้นไป นึกในใจว่ากลับลงมาจะโดนแม่บ่นกี่เรื่อง
“เป็นยังไง เอาจริงใช่มั้ยเราสองคน” ไกรศักดิ์ถามหลาน
“เอาจริงครับคุณลุง ตอนแรกก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรนักแต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าทำแล้วสมาธิดี จิตใจมั่นคงขึ้นครับ” โจตอบ เขารู้สึกถึงสายตาหนึ่งที่เฝ้ามองอยู่อย่างชื่นชม
“ค่อยเป็นค่อยไปนะอย่าหักโหม วิปัสสนากรรมฐานใจร้อนไม่ได้นะ” ไกรศักดิ์สอน
“ครับคุณลุงนี่พวกผมก็ไปนั่งคุยกับพระที่วัดแถวนี้ให้ท่านแนะนำอยู่ครับ” พีพูด
“พอทำไปทำไปแล้วสมองโปร่งสมาธิดีขึ้นก็เลยเกิดมานะศรัทธาเหมือนที่คุณลุงบอกน่ะครับ” โจพูดเสริม
“ชวนกันทำเรื่องดีๆ พ่อแม่ก็เบาใจขึ้นนะ” วิเชียรเอ่ยชม แถมยังมีอีกสองคนแอบปลื้มอยู่เงียบๆ
โสภากับแสงดาวเดินกลับลงบันไดมา
“ดีค่ะ เรียบร้อยดี” แสงดาวพูดลอยๆเหมือนรายงานให้คนอื่นทราบ
พีและโจมองหน้ากันถอนใจโล่งอกที่ไม่โดนบ่นต่อหน้าสาวๆ
“นึกว่าจะเจอสาวๆแอบคลุมโปงอยู่” โสภาแกล้งพูดยิ้มๆให้ลูกทั้งสองคน
“โหแม่” พีพูดอายๆ โจนั่งหลบตาสองสาวที่ส่งสายตาดุๆมา
“แล้วนี่เห็นมีคนติดตามมาเยอะเลยพวกผมจะเลี้ยงดูปูเสื่อกันยังไงครับ” โจถาม
“พวกแกไม่ต้องเดือดร้อนพ่อขนข้าวของมากินเองเยอะแยะ” สุรเกียรติพูด
“กลางคืนหนาวมั้ยตอนนี้” วิเชียรถาม
“หนาวดีทีเดียวล่ะครับ ผมสองคนกับลุงฟ้อนก่อกองไฟนั่งคุยกันแทบทุกคืน” พีตอบพ่อ
“เอ่อ นั่งจิบบรั่นดีผิงไฟกันสักคืนนะพี่ไกร” วิเชียรพูดกับไกรศักดิ์แล้วหันมองสุรเกียรติ
“เยี่ยม” ไกรศักดิ์รับคำสั้นๆ
“ยอดเลย” สุรเกียรติตอบรับเช่นกัน
“เอ่อ ที่นี่เหรอครับคุณพ่อ” โจอ้อมแอ้มถามไปที่วิเชียร
“ก็เออซิวะ มาถึงนี่แล้วจะให้ไปนอนที่ไหนล่ะ” สุรเกียรติพูด
“โน่น ความคิดแม่แกสองคนเค้าโน่น เค้าอยากมานอนกับลูกเค้าที่นี่ พอลุงแกชวนก็โอเคเลย” สุรเกียรติพูดต่อยื่นหน้าไปทางโสภาและแสงดาว
“แหม พูดยังกับตัวเองสองคนไม่อยากมา ใช่มั้ยเธอ” โสภาพูดค่อนขอดแล้วหันไปพยักหน้ายิ้มกับแสงดาว
“เออเออ อยากก็ได้” สุรเกียรติพูดแล้วหันไปพยักเพยิบกับวิเชียรบ้าง
สองเกลอมองหน้ากันทำท่าอึ้ง
“มีอะไร ไม่อยากให้แม่อยู่ด้วยรึเปล่า” แสงดาวถาม
“โอ๊ะ มิได้ครับคุณแม่ ดีใจมากจริงๆต่างหาก แค่คิดว่าจะนอนกันยังไงบ้านมันเล็กน่ะครับ” โจตอบ
“ไม่ต้องห่วงพรุ่งนี้เป็นเสาร์อาทิตย์ลุงไกรของพวกแกก็เลยชวนพ่อมากินเหล้ากางเต็นท์นอนเปลี่ยนบรรยากาศบ้างเท่านั้น พ่อวิเชียรกับแม่สองคนเค้าก็เห็นดีเห็นงามด้วยแถมสองสาวเค้านึกสนุกก็เลยขอตามมาด้วย” สุรเกียรติพูด
“เต็นท์นอนเครื่องนอนเหล้ายาก็เอามา อาหารการกินป่านนี้พวกแม่บ้านเค้าคงเอารถออกไปแล้วละมั้ง” สุรเกียรติพูดต่อ
“แต่หนูกับพี่เหมียวอยากทานปลาสดๆตัวโตๆที่เพิ่งจับจากแม่น้ำบางปะกงค่ะ” เงาะพูดขึ้นหลังจากนั่งเงียบให้ผู้ใหญ่พูดอยู่นาน ส่วนเหมียวก็นั่งมือเท้าคางอมยิ้มให้โจเหมือนทวงสัญญา
“อะไรอีกล่ะ เดี๋ยวแม่บ้านแม่ครัวเค้าก็จัดหามาพ่อสั่งไปแล้ว” สุรเกียรติบอกลูกสาว
“ก็มีคนสัญญากับหนูกับพี่เหมียวไว้นี่” เงาะไม่ยอมแพ้
“เค้าสองคนบอกจะจับปลามาให้หนูทานด้วยตัวเอง” เงาะพูดต่อ
“อ้าวเหรอ” วิเชียรหันไปมองสองหนุ่ม “ถ้าอย่างนั้นเคลียกันเองแล้วกัน”
“พี่เราเค้าจับปลาเป็นที่ไหน” โสภาหันไปพูดกับลูกสาว
“ก็ไม่รู้แหละ จับไม่เป็นแล้วมาสัญญากับสาวๆเค้าได้ยังไง” เงาะยังไม่ยอม
“พี่เราสองคนเค้าเริ่มเข้าวิปัสสนากรรมฐาน อย่าให้เค้าทำบาปเลยยายเงาะ” ลุงไกรศักดิ์พูดทางออกให้
“ครับใช่ ใช่ครับ นะน้องเงาะนะคุณเหมียวด้วย” พีรีบรับลูก โจพยักหน้าหงึกๆตาม
“พอคุณลุงให้ท้ายล่ะได้ทีหนีเลยนะ” เงาะแกล้งว่า
“ไม่รู้ล่ะต้องมีอย่างอื่นมาแทน” เงาะวางกลใหม่
“อะไรดีล่ะเงาะ” โจพี่ชายถาม
“เดี๋ยวนึกได้ว่าอะไรแล้วจะบอก” เงาะพูดแล้วหันไปก้มหน้าแอบยิ้มกับเหมียว
“เดี๋ยวผมขอไปเปลี่ยนชุดขาวนี่ก่อนนะครับแล้วจะพาชมไปทั่วๆ” พีพูด แล้วทั้งสองก็ขึ้นบ้านไป
พีกับโจพาลุงพ่อแม่และสองสาวทั้งเจ็ดคนไปดูโรงเก็บและคุณเป็ดน้ำของพวกเขาพร้อมคำบรรยายยืดยาวทั้งที่มาและภารกิจ รายละเอียดของการดูแลรักษาและใบอนุญาตต่างๆ จากนั้นก็พาชมอาณาจักรสองไร่กว่าๆของพวกเขาจนทั่ว ทั้งสองได้รับคำชมจากพ่อแม่และลุงของพวกเขาว่าทำได้ดี ทุกคนลงความเห็นกันว่าทั้งสองมีคุณภาพไม่ได้ทำเรื่องเพ้อฝันเหลวไหล
อาหารเช้าบวกกลางวันผ่านไปเพราะกว่าจะได้ทานก็ตกเข้าไปเกือบเที่ยงวัน การพูดคุยซักถามดำเนินไปจนเวลาเริ่มบ่ายคล้อย
“คุณหญิงกับแม่หญิงสองท่าน หนุ่มน้อยสองคนกับพี่ไกรจะชวนเล่นน้ำแม่น้ำ สนใจมั้ยครับ” สุรเกียรติพูดยิ้มๆ
“พูดจริงหรือพูดเล่นเจ้าคะท่านทั้งสาม” แสงดาวยิ้มถามเพื่อให้แน่ใจหันไปมองโสภา
“จริงซิครับ” วิเชียรตอบ “ผมว่าน้ำสะอาดดีนะคุณ ไป ไปเปลี่ยนชุดกัน”
แล้วผู้ใหญ่ทั้งห้าคนก็เดินตามกันไปไม่ออกปากชวนหนุ่มสาวทั้งสี่ด้วยซ้ำ ทิ้งให้ยืนงงเพราะนึกไม่ถึง
“ไป เปลี่ยนขาสั้น” พีหันไปพูดกับโจ
“จะเล่นเหรอ” โจถาม
“เล่นไม่เล่นก็ต้องลงไปดูแลผู้ใหญ่” พีพูดแล้วเดินไป โจเดินตามทิ้งสองสาวให้ยืนอึ้งอีกครั้ง ว่าแล้วนี่จะไปกันหมดไม่คิดจะชวนชั้นเลยใช่มั้ย สองสาวมองหน้ากันงงๆแล้วเดินตามไปด้วย
ที่บันไดท่าน้ำกว้างกว่าสองเมตร เสียงหัวเราะสนุกสนานของผู้ใหญ่ทั้งห้าและสองหนุ่มดังอยู่ไม่ขาด ลุงไกรทหารเก่าว่ายน้ำเล่นช้าๆอยู่ไม่ห่าง สุรเกียรติกับวิเชียรลอยคออยู่ใกล้บันไดท่าน้ำคอยดูแลภรรยา โสภาและแสงดาวนั่งอยู่บนขั้นบันไดแช่ตัวอยู่ในน้ำลึกแค่อกวักน้ำเล่นเบาๆสองหนุ่มก็ลอยคอเล่นอยู่ใกล้ๆคอยระวัง เสียงพูดคุยถึงเรื่องสมัยเป็นหนุ่มเป็นสาว ถูกเบนความสนใจด้วยเสียงฝีเท้าคนวิ่งมาบนสะพานแล้วสองร่างสวยงามในชุดว่ายน้ำก็พุ่งเสียบตัวลงบนผิวน้ำ สักครู่ก็โพล่พ้นน้ำขึ้นมา สาวเงาะในชุดว่ายน้ำวันพีซสีน้ำเงินเข้มและสาวลูกครึ่งไทยปารีเซียงในชุดวันพีซสีแสดนั่นเอง