ธารทิพย์ บทที่ 10

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/32957586
ธารทิพย์ บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/32957859
ธารทิพย์ บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/32958019
ธารทิพย์ บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/32958259
ธารทิพย์ บทที่ 5 http://ppantip.com/topic/32974296
ธารทิพย์ บทที่ 6 http://ppantip.com/topic/32978381
ธารทิพย์ บทที่ 7 http://ppantip.com/topic/32986718
ธารทิพย์ บทที่ 8 http://ppantip.com/topic/32995506
ธารทิพย์ บทที่ 9 http://ppantip.com/topic/33004672


            พ่อเลี้ยงวิเชียรนั่งเอนหลังไขว่ห้างสบายใจบนเก้าอี้ที่โต๊ะหลังประชุมเสร็จ เขาเพิ่งจะวางปากกาที่ใช้เซ็นเอกสารกองโต แล้วทอดอารมณ์ไปกับความคิดเรื่องงานวิวาห์ระหว่างพีลูกชายคนเดียวกับ เงาะลูกสาวของสุรเกียรติและโสภาที่เขาถือเป็นลูกสาวคนหนึ่งอยู่แล้ว การวิวาห์ที่จะเป็นโซ่ทองเส้นใหญ่อีกเส้นของสองครอบครัวที่แน่นแฟ้นอยู่แล้ว

                วิเชียรนั่งสบายใจอยู่นานจนกระทั่งประตูห้องทำงานเปิดออก เลขาฯของเขาเข้ามายืนหน้าตาตื่น

                “ท่านคะ ท่านหญิงอยู่ในสายค่ะ”  เลขาฯรีบบอก

                วิเชียรเห็นสีหน้าไม่ปกติของเธอ เขารีบยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานขึ้นรับ เสียงแม่หญิงแสงดาวพูดปนร้องไห้ดังเข้ามาตามสาย
                “หา..ไอ้เกียรติเป็นอะไร”  เสียงพ่อเลี้ยงวิเชียรตะโกนลั่นห้องทำงาน

                “คุณออกมาหาผมเดี๋ยวนี้เลย เจอกันที่สนามบิน”  วิเชียรวางหูโทรศัพท์  

                “คุณหาเที่ยวบินเร็วที่สุดให้ผมสองที่ เดี๋ยวนี้” “เอารถออกส่งผมสนามบิน”  เขาสั่งเลขาฯ

                “ยกเลิกประชุมทุกนัด”  วิเขียรหันมาสั่งเพิ่ม

                วิเชียรรีบเปิดประตูรถลงมาทันทีไม่รอให้คนขับรถเปิดให้ เขากึ่งวิ่งกึ่งเดินอย่างรีบร้อนขึ้นไปบนอาคารผู้โดยสาร แม่หญิงแสงดาวยืนรออยู่อย่างกระวนกระวายร้อนใจไม่น้อยไปกว่า เธอเริ่มร้องไห้เมื่อเห็นสามีเดินเข้ามา

                “ผมขอโทษ ผมประชุมเลยไม่รู้ข่าว โสภาล่ะ”  วิเชียรถาม

                “สลบเข้าโรงพยาบาลไปแล้วค่ะ”  แสงดาวบอกสามี

                “แล้วไอ้เกียรติล่ะ”  วิเชียรถาม

                แสงดาวยังไม่ทันตอบ โทรทัศน์ของสนามบินที่เปิดอยู่รายงานข่าวด่วนซ้ำเรื่องการวางระเบิดวินาศกรรมอาคารผู้โดยสารสนามบินหาดใหญ่ มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ในจำนวนผู้บาดเจ็บนั้นมีนายสุรเกียรติ ธำรงสัตย์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจอุตสาหกรรมและบุตรสาวรวมอยู่ด้วย ขณะนี้ทั้งสองได้รับการผ่าตัดอยู่ อาการขั้นวิกฤติ

                “โทรหาไอ้พีรึยัง” เขาถาม

                “ยังติดต่อไม่ได้ค่ะ” เธอตอบ

                วิเชียรนั่งก้มหน้านิ่งมีแสงดาวนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ เขากุมมือภรรยาไว้เพื่อปลอบใจ

                เวลาเดียวกันโจและพีที่เล้าเป็ดน้ำ ทั้งคู่ทิ้งชามข้าวที่อยู่ในมือแตกกระจัดกระจายวิ่งขึ้นชั้นบนเพื่อไปหยิบกระเป๋าสตางค์โทรศัพท์และกุญแจรถ ลุงฟ้อนผลุนผลันเข้ามาอย่างตกใจที่ได้ยินเสียงข้าวของแตก เมื่อได้เห็นข่าวจากโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้จึงเข้าใจ ทั้งคู่วิ่งเหมือนกระโจนลงบันไดมาแล้วขึ้นรถขับออกไปทันที
    
            โจถือพวงมาลัยกัดริมฝีปากนิ่ง เขายกมือเช็ดน้ำตาไปพลางเพื่อให้มองเห็นถนน  รถยนต์ของพวกเขาพุ่งทะยานไปด้วยความเร็วสูงสุด พีไม่ได้ออกปากห้ามปราม หัวใจแตกสลายไม่แพ้กันเกี่ยวกับข่าวของเงาะ เขานั่งจ้องมองออกไปนอกรถเท้าแขนกัดมือที่กำไว้อยู่ ไม่มีใครพูดจาบรรยากาศในรถตึงเครียดที่สุด

                “ไปหาดใหญ่เลยมั้ย”  โจขอความเห็นเสียงเครียด

                “ไปดูแม่ก่อนเถอะ” “แล้วค่อยไปหาดใหญ่”  พีพูดหน้านิ่ง

                “ยังไงเราก็ยังทำอะไรไม่ได้ที่หาดใหญ่ตอนนี้”  พีพูดต่อเขาน้ำตาไหลตามองนิ่งออกไปนอกรถ

                โจและพีวิ่งขึ้นไปถึงหน้าห้องพักคนไข้วีไอพีของโรงพยาบาล คนรับใช้และการ์ดของสุรเกียรติสามสี่คนรีบหลีกทางให้ทั้งสองเข้าไป ภายในห้อง แพทย์และพยาบาลสามคนยืนตรวจอยู่ บนเตียงคนไข้เหมียวนั่งสีหน้าตื่นตระหนกกุมมือคุณหญิงโสภาไว้ เธอรีบลุกขึ้นเพื่อหลีกทางให้

                “แม่”  โจเรียกแล้วหันไปมองหมอ
    
            “คุณหญิงท่านไม่เป็นอะไรแล้วครับ ท่านตกใจมากหน่อยทางเราตรวจละเอียดแล้ว ผมให้ยาบำรุงแล้วนอนพักผ่อนสักระยะก็จะดีขึ้นครับ ทางโรงพยาบาลขอแสดงความเสียใจกับข่าวที่เกิดขึ้นด้วยครับ”  หมอพูด

                “ขอบคุณครับหมอ”  โจพูดแล้วหันไปกุมมือแม่ไว้

                “แล้วคุณแม่ท่านต้องนอนอยู่อีกนานมั้ยครับ”  พีถาม

                “คงสักบ่ายๆให้ท่านพักผ่อนก่อนแล้วทางเราจะนำท่านไปส่งให้ครับ”“ส่วนผลกระทบจากข่าวนั้นถ้าทางท่านไม่ สะดวกเราจะส่งแพทย์และพยาบาลไปดูแลท่านที่บ้านให้ครับ”  หมอพูด

                “ขอบพระคุณอย่างสูงครับ ผมคงต้องลงไปหาดใหญ่”  โจพูด

                “ยินดีครับ”  หมอพูดแล้วเดินออกไปพร้อมพยาบาล

                “เหมียวซื้อตั๋วเครื่องบินหาดใหญ่ไว้แล้วค่ะสองใบ”  เหมียวบอกทั้งสองคน
    
            โจหันมามองหน้าเธอ  “ชอบคุณมากเลยครับ”

                “เหมียวไม่ไปด้วยนะคะ จะอยู่ดูแลคุณแม่ให้”  เธอเสนอตัวช่วย อีกครั้งที่เธอทำสิ่งที่เขาประทับใจ

                “เที่ยวบ่ายนี่นะคะ”  เหมียวพูด

                “จะไปเลยมั้ย”  พีพูดสีหน้าเคร่งเครียด

                “ไปเลย อยู่ไม่ได้หรอกกูรู้”  โจพูด  

                “ผมไปนะ”  เขาหันมาบอกเหมียวแล้วแตะมือเธอเบาๆ เธอยิ้มรับ

            ทั้งพีและโจเดินออกจากห้องไปอย่างรีบเร่งเพื่อให้ทันเครื่องบินไปหาดใหญ่ระหว่างทางที่ขับรถไปสนามบินเสียงสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของพีดังขึ้น

                “แกอยู่ไหน”  เสียงวิเชียรถามมาตามสาย

                “ผมกำลังไปสนามบินครับพ่อ จะไปหาดใหญ่ พ่อล่ะ”  พีตอบแล้วถามกลับไป

                “ฉันกับแม่แกมาถึงกรุงเทพฯแล้วกำลังอยู่ที่โรงพยบาล”  วิเชียรตอบ

                “ครับพ่อ ฝากทางนี้ด้วย ตอนบ่ายโรงพยาบาลจะพาคุณแม่โสภาไปส่งที่บ้านแล้วจะจัดหมอพยาบาลไปช่วยดูแล เหมียวเค้าก็ช่วยอยู่ด้วย”  พีให้ข้อมูล

                “แล้วแกสองคนมีข้อมูลที่หาดใหญ่มั้ย”  วิเชียรถามลูก

                “ไม่มีเลยครับพ่อ เดี๋ยวไปถึงแล้วจะส่งข่าว”  พีตอบ

                “ฉันติดต่อไปแล้ว”  วิเชียรพูดเสียงไม่ค่อยดี

                “ยังไงครับพ่อ”  พีถาม เงียบไม่มีคำตอบจากปลายสาย  

                “พ่อ..ยังไงครับ”  พีถามซ้ำเกือบเป็นตะโกน

                “ใจเย็นๆ ฟังนะอาการตอนนี้ทั้งสองคนไม่ค่อยดี พ่อปรึกษากับหมอที่นั่นแล้วหมอเค้าอยากส่งเข้ากรุงเทพฯด่วนแต่มันมีความเสี่ยงสูง โจ ฟังอยู่รึเปล่าลูก”  วิเชียรถามหาโจ

                “ฟังอยู่ครับพ่อ”  โจจอดรถข้างทางมือไม้อ่อน เขาตอบด้วยเสียงปนสะอื้น

                “ทั้งสองคนต้องเข้ามารับการผ่าตัดที่นี่ด่วน เพราะเครื่องมือพร้อมกว่า พ่อสั่งเช่าเครื่องบินพยาบาลไปหาดใหญ่คงวิ่งขึ้นไปแล้ว เหลือแต่โจ ลูกต้องให้ความยินยอมเพื่อเคลื่อนย้าย มันมีความเสี่ยง แต่..เราไม่มีทางเลือกนะลูก”  วิเชียรอธิบาย

                “ผมต้องทำยังไงครับ”  โจถามเสียงสั่น

                “เบื้องต้น ติดต่อทางวิดีโออินเตอร์เนท แสดงตัวแสดงบัตรประชาชน โจจะว่ายังไงลูก”  วิเชียรถามย้ำ

                “ครับ”  โจตอบ  “ผมก็ไม่มีทางเลือก”  เสียงร้องไห้ของทั้งโจและพีที่ดังมาตามสายทำให้เหมียวต้องปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย

                “ผมอยากไปดูแลการเคลื่อนย้ายที่หาดใหญ่ครับพ่อ”  พีสะอื้นพูด

                “ลูกสองคนกลับมาที่บ้านก่อนดีกว่า ที่โน่นเค้าคงไม่ให้เข้า ไปก็ทำอะไรได้หรอก ไม่มีประโยชน์”  วิเชียรให้ความเห็น
    
            พีและโจมองหน้ากันอย่างชั่งใจ

                “แล้วเค้าจะเคลื่อนย้ายมาเมื่อไหร่ครับ”  โจถาม
    
            “พ่อตอบไม่ได้หรอก กลับมาคุยกันที่บ้านดีกว่า”  วิเชียรพูด

                “ครับพ่อ”  พีรับคำ

                คฤหาสน์ธำรงสัตย์ ในห้องประชุมอเนกประสงค์ถูกจัดใหม่ให้วางเตียงคนไข้และโต๊ะเก้าอี้รับแขกรวมทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆไว้อย่างครบครันเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้น ห้องพักผ่อนสำหรับแพทย์และพยาบาลผู้ดูแลอยู่ติดกันภายในห้องอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทุกชนิดจัดไว้อย่างดี

                คุณหญิงโสภาฟื้นขึ้นจากอาการช็อกแล้ว เธอยังคงนอนหลับพักอยู่บนเตียงคนไข้ แสงดาวและเหมียวนั่งเฝ้าอยู่    

            “คุณแม่จะเป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอ ถ้ารู้ข่าวคุณพ่อ..”  โจถามสีหน้ากังวน

                “ผมเองก็เป็นห่วงเรื่องนั้นครับ ยังไงก็คงต้องพูดไปในทางที่ดีไว้ก่อน”  หมอตอบ

                “แต่อย่างไรก็ดีทางเราเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินกับเจ้าหน้าที่แสตนบายไว้ยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วครับ”  หมอบอกโจ

                “ขอบคุณครับ เชิญพักผ่อนตามสบายครับ”  โจบอกหมอ

                หมอพยาบาลและผู้ช่วยสี่ห้าคนเดินออกไปยังห้องพักผ่อนที่จัดไว้ให้ วิเชียร โจ พี นั่งเงียบอยู่ที่โซฟารับแขกขนาดใหญ่ที่จัดวางไว้อีกมุมหนึ่งของห้องอเนกประสงค์ห่างจากเตียงคนไข้ เพื่อให้การปรึกษาหารือใดๆจะไม่ทำให้โสภาอาการแย่ลง สักครู่เมื่อพยาบาลและผู้ช่วยสองคนเข้ามาเฝ้าคุณหญิง
            
            โสภา แสงดาวและเหมียวจึงปลีกตัวเข้ามาสมทบ
    
            “ค่อยๆช่วยกันคิดนะลูก”  แสงดาวพูดแล้วตบหลังมือพีกับโจเบาๆ

                เหมียวเดินมานั่งข้างโจที่ก้มหน้านิ่งอยู่ เธอโอบไหล่โจไว้ด้วยความรู้สึกเป็นทุกข์ไปด้วย

                “ทางหาดใหญ่ไปถึงไหนแล้วคะคุณ” แสงดาวถามวิเชียร

                “เครื่องบินพยาบาลไปถึงแล้ว ที่เหลือก็คงได้แต่รอ”  วิเชียรตอบคิ้วขมวดอย่างครุ่นคิด

                ความเงียบเข้ามาครอบคลุมอีกครั้ง ทุกคนนั่งเงียบ พีไม่พูดอะไรเลยเขานั่งกุมมือสองข้างไว้ใต้คางน้ำตารินลงมาเป็นระยะในใจของเขากำลังภาวนา โจเองก็พูดอะไรไม่ออกเหตุการณ์ครั้งนี้ถ้าเลวร้ายจนถึงที่สุดเขาอาจต้องสูญเสียทุกคนในครอบครัวไป คิดถึงแล้วก็ก้มหน้าต่ำลงไปอีกน้ำตาพรั่งพรูออกมาเขาสะกดเสียงสะอื้นเอาไว้ด้วยกลัวว่าแม่จะได้ยิน แม่ของพีกอดประคองพีไว้เพื่อปลอบใจ เหมียวก็สวมกอดแล้วซบหน้าที่ไหล่โจร้องไห้เบาๆไปกับเขาด้วย
    
            วิเชียรลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเพื่อลดความกดดันและต้องการความคืบหน้าจากหาดใหญ่ เขาไปหยุดนั่งลงที่เก้าอี้สนามใต้ต้นลีลาวดีใหญ่ แม่บ้านหลายคนที่เตรียมพร้อมอยู่ภายนอกห้องรีบนำแก้วน้ำและผ้าเย็นมาวางให้

                “ผมวิเชียรนะ ขอสายท่านผู้อำนวยการหน่อยเรื่องคนไข้คุณสุรเกียรติกับลูก”  วิเชียรพูดเสียงเข้ม
    
            การสนทนาระหว่างวิเชียรและผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่หาดใหญ่ดำเนินไปกว่าครึ่งชั่วโมงจบลง เขาลุกขึ้นเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง

                “อีกครึ่งชั่วโมงเครื่องจะวิ่งขึ้น”  วิเชียรให้ข่าวสีหน้าเครียดไม่สบตาใคร ทุกคนมองมาที่เขา

                “คุณเกียรติกับเงาะเป็นอย่างไรบ้างคะ”  แสงดาวถามอย่างร้อนใจ

                “ทางเขาจะจัดแพทย์ที่เก่งที่สุดของเขาสองคนดูแล เครื่องจะบินต่ำๆน่าจะสักสามสี่พันฟุตเข้ามาเพื่อไม่ให้คนไข้มีผลมากนัก”  วิเชียรพูด

                “แล้วอาการสองคนล่ะคะ”  แสงดาวยังถามถึงอีก

                “ยังไม่ดีขึ้น”  วิเชียรพูดแผ่วไม่ค่อยเต็มใจตอบ  

                “อีกไม่เกินสามชั่วโมงจากนี้สองคนจะเข้าผ่าตัด หากการเคลื่อนย้ายไม่มีปัญหา ทางกรุงเทพฯเตรียมพร้อมหมดแล้ว”  เขาพูด

                “ผมจะไปที่โรงพยาบาล”  วิเชียรบอกแล้วลุกขึ้น พีและโจลุกขึ้นตาม

                “โจ ลูกอยู่กับคุณแม่ก่อนดีรึเปล่าลูก”  แสงดาวหันไปพูดกับโจ

                “อย่าอยู่เลย แม่เห็นหน้าแกแล้วจะยิ่งคิดมาก คุณกับหนูเหมียวดูแลด้วยแล้วกัน”  วิเชียรพูด
    
             “ครับ”  โจรับคำ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่