ธารทิพย์ บทที่ 55

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 54 http://ppantip.com/topic/33680403

            เหมียวซึ่งนั่งตั้งใจฟังและจดจำทุกคำสนทนามาโดยตลอดถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินคำที่ท่านครูพะลุเวษาบอกกล่าว เธอหันหน้าไปมองสายนทีที่กั้นขวางระหว่างค่ายรบกับหน้าผาอันเป็นที่สิงสถิตของวิญญาณกาวะวิกะทันที

                “ท่านครูเจ้าคะ สายนทีนี้คือวะสะธาราหรือเจ้าคะ” เหมียวถาม

                “ท่านแจ้งแก่ใจแล้ว พระนางจิระประไพ” ท่านครูตอบ

                ทั้งเหมียวและโจผู้ยังดำรงความเป็นมนุษย์ปกติอยู่ถึงกับตะลึงงันจ้องมองสายน้ำที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม อีกสี่ร่างประทับคืออุเทนธิกะ พยัคฆราช พระนางจันทร์สุดาและกุณฑลยังสงบนิ่ง

                “ท่านได้ประจักษ์แก่ตาท่านแล้ว” ท่านครูพูด

                “ว่าวิญญาณของพระนางอลิยาเทวีอีกท่านกมุท ได้ขอขมาอโหสิกรรมกัน”

                “และได้จากไปสู่ทิพย์วิมานเฉกเช่นนั้นแล้วนะ พระนางจิระประไพ”

                “ข้าน้อยยังมิแจ้งแก่ใจเจ้าค่ะท่านครู” เหมียวผู้เป็นชาติภพใหม่ของพระนางจิระประไพพูด

                “เช่นนั้นแล้วใยทุกวิญญาณจึงไม่อาจขอขมาอโหสิกรรมต่อกันได้เพลานี้เจ้าคะ”

                “พระนาง ท่านผู้เป็นเยี่ยงปัญญาแห่งอินทปัตถ์” ท่านครูเอ่ย

                “ขอท่านจงบอกกล่าวความต่อเรา ว่าถึงบัดนี้ ท่านแจ้งแก่ใจว่าเป็นเยี่ยงไร”

                เหมียวพนมมือไหว้เคารพท่านครูแล้วก้มหน้าอย่างใช้ความคิดอยู่อึดใจหนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นตอบ

                “ท่านครูเจ้าคะ” เหมียวเริ่มพูด

                “อันทุกวิญญาณแห่งอินทปัตถ์นครานั้น ทั้งที่ได้เกิด ทั้งที่มิได้ไปเกิด ต่างมีบุพกรรมต่างกัน”

                “พระนางอลิยาเทวีนั้น ได้กล่าวคำชดใช้ขอขมา และเสวยน้ำในวะสะธาราต่อเจ้ากรรมแล้ว”

                “พระนางจึงหลุดพ้นจากบ่วงกรรม น้อมนำวิญญาณอันผ่องใสไปสู่ทิพย์วิมาน”

                “อันท่านแม่กมุท ท่านก็ได้กระทำการเช่นเดียวกัน ท่านหมดห่วงในวิญญาณของราชบุตรแล้ว”

                “อีกหกวิญญาณแห่งอินทปัตถ์ที่ยังคงอยู่เพลานี้ ยังมีกรรมมีหน้าที่ต้องกระทำต่อไป”

                “คือปลดปล่อยท่านกาวะวิกะที่ยังสิงสถิตอยู่ ณ หน้าผาฝั่งตรงข้ามสายนทีนี้”

                “เช่นนั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ” เหมียวพูด

                “พระนางสมแล้วอันเป็นปัญญาแห่งอินทปัตถ์” ท่านครูกล่าว

                “ขอพระนางจำจดอันคำเรา พระนางยังต้องไขปริศนาด้วยปัญญาในหนทางอีกหนึ่ง”

                “เรามิอาจแจ้งให้ทุกพระองค์ล่วงรู้ได้ อันท่านทั้งหลายบากบั่นดั้นด้นมา”

                “ทายท้าทุกข์ยากแสนเข็ญ ยึดมั่นศรัทธาเป็นสรณะ”

                “ยินยอมพร้อมที่จะชดใช้ แม้ชีวาจะวายท่านยอมปลิดปลง”

                “มหาเทพฯทุกพระองค์ได้ประจักษ์ ว่าเหล่าท่านเปี่ยมด้วยความรักและภักดี”

                “อันการบนวิถีนี้เหลือเพียงสิ่งเดียว ท่านทั้งหลายต้องเฉลียวด้วยปัญญา”

                “อันพิสูจน์วาสนาในตัวท่าน ว่าพร้อมพรักถ้วนทั่วกันทุกวิญญาณ”

                “จำคำเราให้มั่นทุกพระองค์” ท่านครูกล่าวย้ำ

                “จงแสดงให้ประจักษ์ซึ่งปัญญา แล้วมหาเทพฯจะประทานอำนวยพร”

                จบคำบอกกล่าวของท่านครูพะลุเวษา ทุกคนทุกวิญญาณจึงกราบลงบนพื้นเพื่อแสดงความเคารพพร้อมกัน

                “ท่านอุเทนธิกะ ท่านไกรศักดิ์” ท่านครูหันไปพูดกับอุเทนธิกะในร่างของไกรศักดิ์

                “เราพะลุเวษาผู้เป็นครูอีกทั้งพรานผาสหายร่วมตายของท่าน”

                “บัดนี้เรามาส่งท่านทั้งสองจนสุดทางแล้ว จากนี้ไป ขอทั้งสองแม่ทัพจงยึดมั่น”

                “บากบั่นนำพาวิญญาณแห่งอินทปัตถ์ อีกทั้งลูกหลานท่านสี่ชีวิตไปสำเร็จให้จงได้นะ”

                “ส่วนเจ้า” ท่านครูหันมาหากุณฑลขุนศึกข้างวรกายในร่างของพรานโละ

                “เจ้าเคียงข้างวรกายอุเทนธิกะอีกทั้งเคียงข้างท่านไกรศักดิ์มาสุดทางแล้วเยี่ยงกันกับข้า”

                “เจ้าจงตามข้าไปกุณฑล พรานโละ” ท่านครูพูดแล้วเดินไปริมฝั่งน้ำ

                กุณฑลในร่างของพรานโละเดินตามไปหยุดยืนอยู่ข้างๆแล้วท่านครูพะลุเวษาจึงหันกลับมาหาทุกคนอีกครั้ง

                “เราและกุณฑลจะล่วงหน้าไปก่อนนะ ขอท่านจงอย่ากริ่งเกรงกังวล” ท่านครูบอกกล่าว

                “ขอความสุขสงบจงมีแด่ทุกวิญญาณนะ”

                ทั้งห้าก้มกราบลงกับพื้นพร้อมกันเมื่อท่านครูพะลุเวษาหันหลังกลับแล้วจูงมือกุณฑลจูงร่างของพรานโละเดินลงในลำน้ำลึกลงไปลึกลงไปจนหายไปจากผิวน้ำโดยไม่มีการกระเพื่อมของผิวน้ำแต่อย่างใด

                แสงทองจับขอบฟ้าแล้ว ป่าสว่างเรืองไปทั่ว ทุกสิ่งสงบเงียบงันอีกครั้ง ร่างมนุษย์ทั้งห้าคนยังนั่งสงบนิ่งอยู่ในท่าเดิม หนึ่งคนในครอบครัวหกชีวิตจากไปแล้วเมื่อพรานโละเดินลงลำนทีหายไปกับท่านครูพะลุเวษาหรือท่านผาที่พวกเขารู้จัก เหมียวและโจยังนั่งสงบอยู่เคียงข้างกันเพื่อรอดูท่าทีของท่านลุงไกรศักดิ์ พีและสร้อยแก้ว ว่าจะดำรงสถานะของตนเองหรือร่างประทับอย่างเช่นคืนที่เพิ่งจะผ่านไป จนกระทั่ง

                “ลูกลูก เป็นยังไงกันบ้าง” ท่านลุงไกรศักดิ์หันมาเอ่ยทักขึ้น

                “คุณลุงคะ” เหมียวเป็นคนแรกที่ขยับเข้าไปหา

                “คุณลุงเป็นอย่างไรบ้างคะ” เหมียวถาม

                “ลุงไม่เป็นอะไร พวกเราล่ะ” ท่านลุงถามแล้วมองไปทั้งสี่คนลูกหลาน

                “หนูไม่เป็นอะไรค่ะ” เหมียวตอบ

                “ผมก็ไม่เป็นอะไรครับคุณลุง” โจบอกลุงไกรศักดิ์

                พีนั่งทำสีหน้างุนงง ฝ่ามือตบเบาๆที่ต้นคอของตัวเองอยู่

                “ผมงงๆครับคุณลุง หนักหัวยังไม่รู้” พีบอกความรู้สึก

                “เอ๊ะ แล้วเมื่อคืน” พีหันซ้ายหันขวามองหาอะไรบางอย่างที่นึกขึ้นมาได้

                “พวกหนูกับนางภูตินั่นล่ะครับ” พีถาม

                “พวกหนูถูกทำลายหมดแล้ว ส่วนภูตินั่นก็หนีไป” โจตอบเพื่อน

                สร้อยแก้วขยับมาหาท่านพ่อไกรศักดิ์เมื่อเริ่มรับรู้ถึงบางคนที่หายไป

                “ท่านพ่อจ๊ะ พ่อโละไปไหนจ๊ะ” สร้อยแก้วถาม

                “ลูกไม่รู้เรื่องเมื่อคืนเลยหรือ” ท่านพ่อถาม

                สร้อยแก้วส่ายหน้าปฏิเสธอย่างงุนงง เธอยังขยับตัวมองไปโดยรอบเพื่อหาพ่อโละของเธอ

                “ใครจำเรื่องเมื่อคืนได้บ้าง” ท่านพ่อไกรศักดิ์ถามทั้งสี่คน

                “หนูค่ะ” “ผมครับ” เหมียวกับโจตอบพร้อมกัน

                “ลูกสองคนจำได้แบบไหน ทำไมถึงจำได้” ท่านลุงถามโจกับเหมียว

                “ผมกับเหมียวไม่ได้ถูกลงประทับครับ” โจบอกลุง

                “และท่านครูพะลุเวษาก็ทำให้เราสองคนมองเห็นทุกสิ่งครับ”

                ท่านลุงไกรศักดิ์พยักหน้าช้าๆรับรู้ สีหน้ายังคงครุ่นคิดอยู่

                “แล้วพีล่ะลูก” ลุงไกรถาม

                “ตั้งแต่ที่กองทัพหนูกับภูตินั่นล้อมเข้ามา จากนั้นผมก็เหมือนหมดสติครับ” พีตอบ

                “มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อครู่นี้”

                “มาหาพ่อซิลูก” ท่านพ่อไกรศักดิ์หันไปบอกสร้อยแก้วลูกสาว

                สร้อยแก้วสีหน้าตื่นกลัวด้วยยังไม่พบเห็นพ่อโละของเธอ พรานสาวขยับเข้ามาให้ท่านพ่อของเธอกอดไว้

                “ท่านพ่อจ๊ะ พ่อโละหายไปไหนจ๊ะ” สร้อยแก้วถามเสียงสะอื้น

                ท่านพ่อไกรศักดิ์กอดลูกสาวเอาไว้แล้วลูบหัวเบาๆเพื่อปลอบขวัญ

                “ลูกไม่ได้รับรู้เรื่องคืนที่ผ่ามมาเลยใช่มั้ย” ท่านพ่อถาม

                สร้อยแก้วส่ายหน้าที่ซุกอกพ่ออยู่

                “พ่อโละเป็นเยี่ยงไรรึจ๊ะ” ลูกสาวเงยหน้าขึ้นถาม

                “ลูกใจเย็นๆก่อนนะ พ่อกับพวกเราจะค่อยๆเล่าเรื่องเมื่อคืนให้กันฟัง” ท่านพ่อไกรศักดิ์พูดเบาๆ

                “คุณลุงรู้เรื่องเมื่อคืนด้วยเหรอคะ” เหมียวถามอย่างสงสัย

                “นั่นซิครับ” โจเสริมด้วย

                “ลุงปล่อยกายหยาบให้อุเทนธิกะท่านฉุดครองไว้” ลุงไกรเริ่มบอก

                “ส่วนกายทิพย์ของลุงก็อยู่ด้วยนั่นล่ะ ลูกสองคนไม่เห็น”

                “ยังไงกันครับคุณลุง แล้วพี่โละไปไหนครับ” พีเริ่มถามด้วยความอึดอัด

                “มา เรามาเล่าสู่กันให้เข้าใจ” ท่านลุงไกรศักดิ์พูด

                แล้วเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อคืนจนถึงรุ่งเช้าก็ถูกบอกเล่าจากสามปาก ท่านลุงไกรศักดิ์ เหมียวและโจอย่างละเอียด ทุกคำพูด ทุกความรู้สึก ทุกเหตุการณ์ พีและสร้อยแก้วก็ไถ่ถามจนเข้าใจกระจ่างชัด โจกับสร้อยแก้วแบมือออกดูสิ่งที่ตนเองกำเอาไว้ มณีแห่งทิวาและราตรี ทุกคนมองสบตากันอีกครั้ง

                “นี่หรือครับวะสะธารา” พีพูดแล้วหันไปมองลำน้ำใกล้ตัวไม่กี่ก้าว

                “เรามาถึงจริงๆหรือครับในที่สุด” ชายหนุ่มรู้สึกทึ่ง

                “ท่านพ่อจ๊ะ พ่อโละไม่ได้จมน้ำตายใช่ไหมจ๊ะ” สร้อยแก้วถามเสียงเศร้า

                “ไม่หรอกลูก พ่อโละไม่ได้จมน้ำตายหรอก” ท่านพ่อตอบ

                “แต่เวลานี้พ่อก็บอกลูกไม่ได้ ว่าปู่ทวดผาพาไปที่ไหน”

                “ลูกอย่าเพิ่งเสียใจหรือตกใจอะไรนะ พ่อโละยังไม่ตายหรอก” ท่านพ่อปลอบลูกสาว

                พีลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนอยู่ริมลำน้ำทอดสายตามองไปยังที่ราบบนหน้าผาฝั่งตรงข้าม อีกสี่คนลุกขึ้นตามมายืนอยู่ด้วย ท่านลุงไกรศักดิ์วางฝ่ามือไว้บนบ่าชายหนุ่มแล้วเอ่ยถาม

                “ลูกรู้สึกอย่างไรตอนนี้” ลุงไกรถาม

               ชายหนุ่มมีน้ำตาที่ไหลรินลงสองข้างแก้มอย่างไม่รู้ตัว

                “ไม่ทราบครับคุณลุง บอกไม่ถูก ไม่เคยเป็นมาก่อน” พีพูดเบาๆ

                “ห่วงใย อาทร บรรยายไม่ถูกครับ”

                “ดีแล้วที่ลูกเริ่มรู้สึกอย่างนั้น” ลุงไกรพูด

                “เป็นสัญญาณที่ดี”

                “แล้วสิ่งที่อยู่บนนั้น เค้าจะรับรู้ด้วยมั้ยครับ” พีถามสายตายังเพ่งมองไปที่เดิม

                “รู้ เพียงแต่จะยอมรับหรือไม่นั่นอีกเรื่องหนึ่ง” ลุงไกรตอบ

                “เราต้องข้ามน้ำนี้ไป แล้วไปหาสิ่งที่อยู่บนนั้น วิญญาณของกาวะวิกะ” พีพูดเหมือนพยายามทบทวน

                “แล้ว เราต้องนำเธอมายังวะสะธารานี้อีกมั้ย ยังไง”

                “แล้วทำไมวะสะธารามาอยู่ในดินแดนของอินทปัตถ์นครครับ” พีจบคำถาม

                ทั้งห้าชีวิตหยุดนิ่งอยู่กับคำถามของพีอีกครั้ง สิ่งที่ท่านครูพะลุเวษากล่าวย้ำเอาไว้ผุดขึ้นมาทันทีในความคิด ปัญญาคือวาสนา หากแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ จึงจะก้าวผ่านต่อไปได้

                เหมียวขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรต่อไปแล้วจึงเริ่มพูดขึ้นเพื่อไขว่คว้าคำตอบ

                “คำถามแรกของพี่พี” เหมียวพูดนั่งลงมองไปรอบตัว

                “ทำไมวะสะธารามาอยู่ในดินแดนของอินทปัตถ์”

                คนอื่นนั่งลงตามไปด้วย ณ ริมฝั่งน้ำนั้น

                “ลูกเหมียวคิดว่าอย่างไรลูก” ท่านลุงถามความเห็น

                “วะสะธาราเป็นทิพย์สถานหลัก” เหมียวตั้งความคิด

                “ไม่น่าจะสถิตอยู่ที่ใดที่หนึ่ง”

                “แล้วที่เราเห็นอยู่นี่ล่ะครับ” โจถาม

                หญิงสาวยังนั่งกัดริมฝีปากขมวดคิ้วอยู่เช่นเดิม เธอก้มลงมองลำน้ำแล้วมองไปรอบตัวอีกหลายครั้ง

                “เราต้องข้ามลำน้ำวะสะธารา เพื่อไปแก้วิบากกรรมของกาวะวิกะเหรอครับ ฟังแล้วยังไงยังไง” โจพูด

                “นั่นซิ” เหมียวตอบสั้นๆ

                “ไม่ใช่แค่กาวะวิกะนะ เราต้องปลดปล่อยพยัคฆราชด้วย” ท่านลุงพูด

                “ยังไงเราก็ต้องข้ามวะสะธารานี้ไป จะไปกันเมื่อไหร่ดีคะ” เหมียวถาม

                ทุกคนมองมาที่เหมียวอย่างขอความเห็น

                “เหมียวคิดว่ายังไงครับ” พีถาม

                “ลองข้ามกันดูก่อนดีมั้ยคะ แล้วค่อยคิดกันอีกที” หญิงสาวตอบ

                “ก็ดี ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเดี๋ยวนี้เลย” ท่านลุงพูด

                ทั้งห้าคนลุกขึ้นเดินกลับมายังกองข้าวของที่หน้ากองไฟซึ่งมอดจนใกล้ดับแล้ว

                “ว่ายข้ามไปหรือต่อแพดีครับ” โจถาม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่