ธารทิพย์ บทที่ 56

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์  บทที่ 55 http://ppantip.com/topic/33689400

            ค่ายพักถูกปรับใหม่ กองไฟลุกโชนขึ้นแม้จะเป็นกลางวัน ไม่ค่อยมีใครพูดจากันมากนักต่างคนต่างทำหน้าที่ที่คิดว่าเป็นประโยชน์ ท่าทีของพวกเขาคือทำกิจกรรมไปก็หันมองรอบป่า หันมองไปทางที่ราบบนหน้าผาและผิวน้ำนิ่งของวะสะธาราอย่างครุ่นคิด ปฏิกิริยาที่ต่างจากเดิมอีกสิ่งหนึ่งคือพีกับสร้อยแก้ว เวลานี้ดูเหมือนทั้งสองจะเบี่ยงเบนความคิดและจิตใจไปในทางของตัวเองตามที่ท่านครูพะลุเวษาบอกกล่าว และอาจเป็นเพราะคำบอกกล่าวนั้นยังเสริมมาด้วยพลังที่ดูจะมีอิทธิพลต่อทั้งสองอย่างมากด้วย สร้อยแก้วเหม่อมองกลับไปบนเส้นทางที่เดินมาอยู่บ่อยๆโดยไม่รู้ตัว พีเองก็จดจ่ออยู่บนที่ราบของหน้าผาอยู่อย่างนั้น

                จนเวลาคล้อยเข้าบ่าย เหมียวยืนครุ่นคิดอยู่ริมวะสะธาราเพียงลำพัง

                “คิดออกถึงไหนแล้วล่ะ คุณประไพ” โจเข้ามายืนชิดโอบเอวหญิงสาวไว้

                “ทำไมท่านยังไม่ให้เราข้ามไป หรือเราทำผิดวิธี” เหมียวพูดไม่หันมองหน้า

                “ผมว่าผิดวิธี” โจพูด

                “ไหนลองขยายความซิคะท่านมาริช” เหมียวพูดชำเลืองตามองคนรัก

                “ก็ มาถึงตรงนี้แล้ว ไม่เห็นมีเหตุผลว่าจะต้องรออะไรอีกนี่ครับ” โจพูด

                “นั่นสิ ปละขังมันก็หนีข้ามไปฝั่งโน้น” เหมียวพูดแบบพยายามหาจุดที่ต้องคิด

                “เราก็ต้องตามไปฝั่งโน้น แต่ไม่ให้เราข้ามไป”

                “หรือท่านไม่ให้เราข้าม” โจพูด

                “ก็เห็นอยู่แล้วว่าข้ามไม่ได้ จะพูดทำไม” เหมียวพูดสะบัดอย่างหงุดหงิดเล็กๆ

                ชายหนุ่มหันไปก้มจูบเธอเบาๆที่แก้ม

                “ผมพูดถึงคำว่าข้าม ท่านไม่ให้เรา ข้าม น่าคิดมั้ยคุณประไพ” โจพูดทำไม่รู้ไม่ชี้

                “ทำไมคิดอย่างนั้น” เธอหันมาจ้องหน้าถาม

                “ก็ ลำธารแห่งวาสนา ไม่ได้มีไว้ให้ว่ายน้ำเล่น” โจตอบ

                “แล้วนางภูติปละขังล่ะ” เหมียวย้ำให้คนรักตอบ

                “มันอาจจะคนละสถานะก็ได้นะ สำหรับมัน นี่คือลำน้ำธรรมดาในอินทปัตถ์นคร” โจพยายามให้เหตุผล

                “แต่สำหรับเรา ลำนทีนี้คือลำธารแห่งวาสนา วะสะธารา” ชายหนุ่มพูดจบ

                แล้วริมฝีปากสาวก็ประทับให้เต็มจูบจนชายหนุ่มต้องยืนนิ่ง

                “เก่งจังเลยพระสวามีของน้อง มานี่” หญิงสาวพูดเมื่อถอนริมฝีปากออก

                โจเดินตามเธอไปอย่างงงๆ ตรงไปหาลุงไกรศักดิ์ พีและสร้อยแก้ว

                “คุณลุงคะ” เหมียวเอ่ยทักเมื่อเดินเข้ามาถึง

                “ว่ายังไงลูกเหมียว” ลุงไกรตอบ

                “หนูพอจะได้สมมุติฐานคร่าวๆแล้วค่ะ” เหมียวพูด

                “แต่ไม่มีเหตุผลรองรับที่สมบูรณ์แบบเท่าไหร่นะคะ”

                ทั้งสี่คนหันมาล้อมวงกันอีกครั้งเพื่อฟังผู้ที่เป็นเสมือนปัญญากำลังจะพูด

                “เริ่มจากตรงที่ลำน้ำนี้คือวะสะธาราแน่นอน” หญิงสาวเริ่มพูด

                “เมื่อคืนพระนางอลิยาเทวีกับท่านแม่กมุทก็สิ้นสุดกันที่ริมน้ำนี้ต่อหน้าเรา”

                ทั้งสี่คนพยักหน้ารับ จ้องฟังเธอพูดต่อ

                “และที่ลำธารนี้ก็คือจุดหมายปลายทางของพวกเราเช่นกัน” เหมียวพูดต่อ

                “เหมียวพยายามคิดถึงคำว่า จุดสิ้นสุดการเดินทาง คือเราเดินมาได้แค่จนถึงสุดที่ริมน้ำเท่านั้น”

                “ไม่ใช่ข้ามลำธารไป เพราะลำนทีแห่งนี้คือลำธารแห่งวาสนา วะสะธารา”

                “อยู่ในภพของวิญญาณ เป็นขององค์พญายมราช” หญิงสาวหยุดพูดมองหน้าทั้งสี่คน

                “อืม แล้วยังไงต่อลูก” ท่านลุงไกรศักดิ์ถาม

                “ทีนี้” เหมียวพยายามรวบรวมความคิดของตัวเอง

                “เราเดินกันมาสุดทางแล้ว แต่ภารกิจยังไม่จบ” หญิงสาวพูดต่อ

                “และภารกิจก็อยู่ฝั่งตรงข้ามโน้น คือปลดปล่อยวิญญาณท่านกาวะวิกะ กับท่านพยัคฆราช”

                “เราคิดกันด้วยเหตุผลง่ายๆที่มนุษย์คิด คือข้ามไป”

                “เราลืมคำพูดของท่านครูพะลุเวษาแล้ว ว่าจากจุดนี้ไปเราต้องใช้ปัญญา”

                “สรุปคือ ต้องแสดงปัญญา อันหมายถึงความเป็นผู้มีวาสนาให้ประจักษ์ตรงนี้”

                “เราถึงจะไปต่อได้ เหมียวยังไม่ทราบหรอกค่ะว่าไปต่อยังไง แต่ไม่ใช่ว่ายน้ำข้ามไปแบบนี้”

                “และเมื่อครู่พี่โจก็กระตุกความคิดเหมียวด้วยคำว่า ท่านไม่ให้เรา ข้าม”

                “แต่เมื่อคืนปละขังโดดข้ามลำน้ำนี้หนีไป ทุกคนมองเห็นมั้ยคะว่าต่างกันยังไง ทำไมเราข้ามไม่ได้”

                “จะว่ามันมีฤทธิ์มากกว่าเราก็คงไม่ใช่ ใช่มั้ยครับ” พีพูดความเห็น

                “ค่ะพี่พี นั่นไม่ได้บอกว่าปละขังข้ามได้เพราะมีฤทธิ์มากกว่าเรา” เหมียวพูด

                “แต่บอกนัยบางอย่างที่สำคัญกับเรา และ ถ้าเราเข้าใจตรงนั้น เราจะเข้าใจหมด”

                ความเงียบกลับมาครอบครองมนุษย์ทั้งห้าคนอีกครั้ง

                “เราต้องใช้มณีแห่งทิวาและราตรี เยี่ยงนั้นรึไรจ๊ะ” สร้อยแก้วเอ่ยปากขึ้นก่อน

                ทุกคนหันมามองพรานสาวพร้อมกัน

                “เออนั่นสิ เราลืมเรื่องนั้นไปเลย” โจพูด

                “ไม่ลืมหรอกลูก เพียงแต่ลุงคิดว่าเสร็จจากหน้าผานั่นแล้วถึงจะต้องใช้” ท่านลุงพูด

                “ถ้าอย่างนั้นเราต้องหาคำตอบว่าจะต้องใช้เมื่อไหร่”

                “คิดว่ายังไงลูกเหมียว” ท่านลุงถาม

                “วะสะธารา ปละขังข้ามได้ เราข้ามไม่ได้ เราสุดทางเดินแค่ริมน้ำ มณีสองก้อน” เหมียวพูดเหม่อมองท้องฟ้า

                “วะสะธารา วะสะธารา วะสะธารา ลำธารแห่งวาสนา” เหมียวหลับตาก้มหน้าพูดคนเดียว

                หญิงสาวผู้เป็นปัญญาของครอบครัวและอินทปัตถ์ก้มลงใช้สองฝ่ามือปิดหน้า เธอทำกิริยาเหมือนขอตัดทุกอย่างรอบกายออกไปให้หมดสิ้นเสียก่อน เพื่อจะกลั่นความคิดให้ออกมาเป็นคำตอบให้จงได้ ท่านลุงไกรศักดิ์ พี โจและสร้อยแก้วนั่งมองสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหวร่างกาย พวกเขากลั้นจนแทบไม่หายใจเลยด้วยซ้ำ เพราะต้องการให้เธอมีสมาธิให้มากที่สุด รอฟังสิ่งที่หญิงสาวจะพูดออกมา นานครู่ใหญ่ แล้วในที่สุด

                “หนูได้แล้วค่ะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นแววตาเป็นประกาย

                ทั้งสี่คนหยุดหายใจจ้องหญิงสาวตาไม่กระพริบ

                “วะสะธารา ลำธารแห่งวาสนา เป็นทิพย์สถาน ที่วิญญาณของผู้ที่มีความดีจะได้รับโอกาสมาถึง”

                “มาเพื่อชดใช้ขอขมาและขออโหสิกรรมต่อผู้ที่เคยล่วงเกิน หรือมีเวรกรรมต่อกัน”

                “แล้วจึงจะได้ไปเสวยทิพย์วิมาน สรุปคือวะสะธาราเป็นสถานที่หลัก”

                “เข้าใจตรงกันตรงนี้ก่อนนะคะ” เหมียวพูด

                ทั้งสี่คนพยักหน้ารับว่าเข้าใจตรงกันแล้วนิ่งรอฟังเธอพูดต่อไป

                “ทีนี้ เหมียวคิดเองนะคะ แต่มีเหตุผลรองรับ” เหมียวพูดต่อ

                “เมื่อวะสะธาราเป็นทิพย์สถานหลัก สถานะของลำธารทิพย์แห่งนี้จะคงเป็นเช่นเดิมตลอดไปไม่มีเปลี่ยน”

                “วะสะธาราไม่ได้อยู่ในอินทปัตถ์แน่นอน แต่ทำไมสองฝั่งของลำธารทิพย์นี้คืออินทปัตถ์โบราณ”

                “นั่นเพราะสองฝั่งของลำธารทิพย์จะเปลี่ยนสภาพไป ตามสถานที่เกิดการก่อกรรมของวิญญาณ”

                “เหตุผลรองรับก็คือ หนึ่ง สองวิญญาณที่มีกรรมต่อกันในอินทปัตถ์ ได้บอกกล่าวกันแล้วริมลำธารทิพย์”

                “ในสภาพภูมิประเทศที่เป็นอินทปัตถ์ และได้จากไปเพื่อเสวยทิพย์วิมานแล้ว”

                “สอง ภูติปละขังโดดข้ามลำธารได้เพราะสำหรับปละขัง นี่คือลำน้ำทั่วไปในอินทปัตถ์”

                “สาม คำถามที่ว่าทำไมเราว่ายข้ามลำธารทิพย์ไม่ได้ เพราะเราเดินมาสุดทางแล้ว”

                “นั่นก็คือริมฝั่งลำธารทิพย์ วะสะธารา” เหมียวพูดจบแล้วนิ่งมองหน้าทั้งสี่คน

                “เอ่อ เดี๋ยวนะครับเหมียว เราต้องไปที่หน้าผานั่นใช่มั้ย” พีพูดถาม

                “ใช่ค่ะ” เหมียวจ้องหน้าตอบพี

                “แล้ว จะไปได้ยังไง ถ้าเราสุดทางแล้ว” พีถามด้วยสีหน้าขมวดคิ้วคิดอย่างหนักเช่นกัน

                “คำถามที่ดีมากค่ะพี่พี” หญิงสาวเปิดยิ้มตอบ

                “คำตอบก็คือ คำที่คุณลุงได้รับคำบอกกล่าวมาตั้งแต่ต้น”

                “เอาอาทิตย์ จันทร์สม อีกทั้งวาสนามานำทาง”

                ทุกคนเริ่มขยับตัวมองหน้ากันไปมาเหมือนเริ่มกำลังจะได้ความคิด

                “เราต้องขอเปิดลำธารทิพย์ วะสะธารายังไงคะ” เหมียวยิ้มพูด

                “ด้วยสามองค์ประกอบที่ว่า ตอนนี้เห็นแล้วสองคือผู้แทนพระอาทิตย์กับพระจันทร์และมณีสองก้อน”

                “ที่เหลือคือองค์ประกอบที่สาม วาสนา ที่ท่านเน้นย้ำหนักหนา”

                “นั่นคือเราต้องแสดงปัญญาให้มหาเทพฯทุกพระองค์ได้เห็น”

                “เราถึงจะไปต่อได้ คือหน้าผานั่น แต่เราต้องเลิกคิดเรื่องข้ามลำธารทิพย์ไป”

                “ต้องคิดอย่างอื่น เข้าใจมั้ยคะ” เหมียวพูดจบ

                ท่านลุงไกรศักดิ์ โจ พีและสร้อยแก้วพยักหน้ารับ พวกเขาเริ่มเข้าใจความคิดกับวิธีคิดของเหมียวแล้ว

                “เข้าใจล่ะครับเหมียว” พีพูด

                “แล้วลูกมองเห็นแนวทางอะไรบ้างถึงการจะเปิดวะสะธารา” ท่านลุงถาม

                “โจ ตัวเองน่าจะบอกอะไรได้บ้างนะ” หญิงสาวหันไปพูดกับคนรัก

                 ชายหนุ่มไม่รีบตอบติดตลกหรือหยอกล้อเหมือนที่เคยทำ เขาก้มหน้ากุมสองขมับจ้องมองพื้นนิ่งอย่างใช้ความคิด

                “ตัวเองคิดอย่างที่เหมียวคิดมั้ยคะ” เธอย้ำถาม

                โจชายหนุ่มพยักหน้ารับทั้งที่ยังก้มหน้ากุมขมับอยู่ ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นพูด

                “จำช่วงเวลาที่ท่านครูพะลุเวษาบอกพระนางอลิยาเทวีว่าถึงเวลาแล้วได้ใช่มั้ย” โจพูดสีหน้าจริงจัง

                “สุริยัน จันทรา มณีแห่งทิวากับมณีแห่งราตรี” โจพูดด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

                “บรรจบกันที่” เหมียวถามจ้องหน้าชายคนรักด้วยแววตาปิติ

                “ขอบฟ้าเบื้องบูรพาทิศ เมื่อแสงแห่งทิวาฉายบนท้องฟ้ายามราตรี นั่นคือ” โจพูดสีหน้าตื่นเต้น

                “เวลาที่ทิวากับราตรีมาพบกัน” เหมียวพูดแล้วโผเข้ากอดชายคนรักไว้แน่นด้วยความดีใจ

                “เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว” พีพูดเสียงดังด้วยความดีใจแล้วเข้ามากอดทั้งสองด้วย

                ท่านพ่อไกรศักดิ์ก็อ้าแขนรับลูกสาวสร้อยแก้วมากอดไว้แนบอกด้วยความดีใจด้วยเช่นกัน

                “สมแล้วลูกเอ๊ย ผู้ทรงปัญญาแห่งอินทปัตถ์ เจ้ายังคงไว้จนถึงวันนี้นะ” ท่านลุงไกรศักดิ์พูดน้ำตาไหล

                ครอบครัวทั้งห้าชีวิตเปลี่ยนกอดกันไปมาร้องไห้ให้กันและกันอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ พวกเขาปิติและดีใจที่ภาระกิจแก้ไขวิบากกรรมของครอบครัวใกล้จะถึงความสำเร็จเข้ามาทุกขณะ

                “เยี่ยงนั้นเราก็จะรอเพลารุ่งอีกครั้งใช่มั้ยจ๊ะพี่เหมียว” สร้อยแก้วถาม

                “จ้ะสร้อยแก้ว เราต้องมาคิดเตรียมการกันว่าจะทำยังไง” เหมียวตอบพรานสาว

                “พิธีกรรมจะเป็นอย่างไรบ้างครับคุณลุง จะทำกันยังไง” โจถาม

                “ก็คงต้องเข้าไปดูในกรรมฐานอีก” ท่านลุงไกรศักดิ์ตอบ

                “จะเห็นอะไรบ้างก็ยังไม่แน่ใจนะ พี่ผาท่านก็ไปแล้วด้วย”

                “เอาอย่างนี้ดีมั้ยครับ” โจพูด

                “คุณลุงกับผมเข้ากรรมฐาน พี เอ็งกับเหมียวกับสร้อยแก้วรักษาค่าย ดีมั้ย” โจออกความเห็น

                “ก็ดี เชื่อว่าจะได้คำตอบ” พีพูด

                “แต่ยังมีบางคำถามที่ยังสงสัยอยู่นะ” โจพูด

            “อะไรคะ” เหมียวถาม

                “เรื่องหลักเลยที่เรามากันคือเรื่องคุณลุงกับป้าลอยา ในเบื้องต้น” โจพูด

                “แล้วทำไมคุณลุงไม่สามารถบอกกล่าวป้าลอยาได้ตรงนี้ครับ” โจถาม

                “ลอยากับลุงยังมีหนี้ค้างอยู่ในอดีตชาติของอุเทนธิกะกับอลิยา” ท่านลุงไกรศักดิ์ตอบ

                “คงต้องไปจบเรื่องนั้นเสียก่อน วิญญาณของลอยาถึงจะปรากฏให้เห็นได้”

                “เข้าใจแล้วครับคุณลุง” โจพูดยิ้มให้กับลุงไกรของเขา

            “ลูกคิดว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดีมั้ยโจ ทุกคน” ท่านลุงถามมองหน้าโจกับอีกสามคน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่