ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 66
http://ppantip.com/topic/33873927
“คุณลุง” พีเอ่ยทัก
ท่านลุงไกรศักดิ์ยืนยิ้มอยู่ที่ชานเรือนแล้วก้าวเท้าเข้ามาภายในตัวเรือนไม้หลังเดิม เขาหันมองไปรอบๆสิ่งปลูกสร้างที่ร่วมใจกันกับพรานผาและโละด้วยความรู้สึกอบอุ่น
“มันแปลกนะ ดูคานตัวนี้สิ” ท่านลุงพูดแล้วจับคานบนหัวเสา
“คานตัวเดียว แต่ลุงยกมันขึ้นพาดสองครั้งด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน”
“ยกขึ้นครั้งแรก ลุงมองไปที่ทารกกำพร้าแม่เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ”
“ยกครั้งที่สอง แม่อุ้มทารกน้อยนั่งอยู่ใต้ต้นไม้โน่น ก็เป็นแรงบันดาลใจอีก”
“ลุงสร้างเรือนนี้ครั้งแรกให้สร้อยแก้วเด็กกำพร้าแม่ แล้วลุงก็ต้องจากลูกไป”
“ลุงกลับมาอีกครั้ง หอบลูกหอบเมียมาสร้างอีก แต่มันสุขเหลือเกิน”
“จะมีสักกี่คน ที่ได้รับโอกาสแบบนี้ หากเราไม่คิดจะสร้างบุญสร้างความดีสั่งสมไว้”
“ลูกสองคนจงจำไว้ให้ชั่วชีวิตนะ อย่าให้กิเลสมันนำพาเราไปสู่ความหายนะ” ลุงไกรยิ้มวางฝ่ามือบนบ่าของทั้งคู่
ทั้งโจและพีมองหน้าท่านลุงตั้งใจฟังอย่างสงบจนโจเริ่มพูดขึ้น
“คุณลุงครับ ผมสองคนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เมืองนี้เกิดขึ้นได้ยังไงครับ” โจถาม
“เรี่ยวแรงของลุง ปัญญาของลุง จากทรัพย์สินของลุง” ท่านลุงไกรศักดิ์ตอบ
หลานชายสองคนมองหน้ากันยังไม่เข้าใจ
“ยังไงครับ คุณลุงช่วยอธิบายหน่อยเถอะครับ” พีถามบ้าง
“ลุงสังเกตกิริยาท่าทางของเราสองคน” ลุงไกรพูด
“ลุงแน่ใจว่าพวกเรายังคงการรับรู้เรื่องวะสะธาราอยู่ ใช่มั้ย” ลุงไกรถาม
“ครับคุณลุง” สองหลานชายพยักหน้าตอบพร้อมกัน
“เอาล่ะ ลุงจะเล่าให้พวกเราฟัง” ลุงไกรพูด
“ลุงก็หอบหิ้วครอบครัวเดินทางมาถึงริมทะเลสาบนี้” ลุงไกรเริ่มเล่า
“มีลุงมีพี่ผา ลอยา ทารกสร้อยแก้วแล้วก็โละ ลงมือปลูกเรือนหลังนี้”
“หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ลุงยังอยู่ที่นี่อีกสามสี่ปีเพื่อดูลาดเลา”
"จนรู้จักที่นี่ดีแล้ว ลุงกับครอบครัวก็ตัดสินใจจะสร้างเขตนี้ให้เจริญขึ้น”
“ระหว่างที่อยู่ที่นี่ลุงยังติดต่อกับกองทัพอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ขาดหาย”
“จนสร้อยแก้วได้สามขวบลุงก็ตัดสินใจพาลอยากับสร้อยแก้วกลับเมืองไทย”
“ลุงเอาทรัพย์สินของลุงติดตัวไปจำนวนหนึ่งเพื่อไปสร้างฐานะที่กรุงเทพ”
“อยากรู้ใช่มั้ย ว่าอะไร” ลุงไกรยิ้มถามสองหลานชาย
ทั้งโจและพีนิ่งฟังไม่ตอบคำ แค่พยักหน้ารับ
“พ่อเราเล่าให้ฟังหรือเปล่า ว่าลุงเอาอะไรไปให้เขาสร้างเนื้อสร้างตัว” ลุงไกรถามอีก
“เล่าครับ พ่อเล่า ทองหนึ่งถุงทะเล พ่อบอกไม่มีคุณลุงก็ไม่มีพ่อวันนี้” โจพูดน้ำตาซึม
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก พ่อเราเค้าเก่งอยู่แล้ว น้องชายฉันน่ะ” ลุงไกรพูดถ่อมตัว
“มันไม่ได้มีแค่นั้น ระหว่างสงคราม ลุงกับพี่ผาไปพบขุมทองเข้าโดยบังเอิญในถ้ำกลางป่า”
“ไม่รู้พวกไหนเอาไปเก็บไว้ ฝรั่งเศสหรือญี่ปุ่นก็ไม่รู้”
“หลังจากเอาส่วนที่ไปให้พ่อเราแล้ว ลุงกับพี่ผาก็ระเบิดปากถ้ำปิดเอาไว้”
“เมื่อลิขิตเปลี่ยนไป ลอยาไม่ได้ตาย ครอบครัวของลุงอยู่พร้อมหน้า”
”ลุงกับพี่ผาแล้วก็โละ กลับไปช่วยกันกู้คืนเอามา”
“นั่นล่ะ ทรัพย์สินของลุงที่เอาไปสร้างฐานะที่กรุงเทพกับที่นี่”
“แล้วป้าลอยากับน้องสร้อยล่ะครับ นี่คือน้องสร้อยไปโตที่บ้านเราหรือครับ” โจถาม
“ใช่ ลุงพาลูกเมียกลับเมืองไทย ขอสัญชาติไทย ลุงก็ยังคงรับราชการในกองทัพต่อ”
“ระหว่างนั้นก็แอบไปๆมาๆกับที่นี่อยู่ตลอดเวลา พี่ผากับโละยังอยู่ที่นี่”
“เมื่อการเมืองระหว่างสองประเทศสงบดีแล้ว ลุงก็ใช้สายสัมพันธ์กับเส้นสายภายใน”
“กลับเข้ามาสร้างความเจริญที่เขตนี้ ขอสัญชาติของประเทศนี้ด้วย ครอบครัวลุงก็เลยถือสองสัญชาติ”
“ไปๆมา อยู่ทั้งสองที่เหมือนเป็นบ้านของเรา ทั้งป้าลอยากับสร้อยแก้วด้วย”
“พี่ผากับโละก็ไปกรุงเทพบ่อยๆ เวลามีธุระต้องทำหรือไปเที่ยว”
“ที่เมืองไทย ป้าลอยาชื่อ อลิยา ส่วนสร้อยแก้วใข้ชื่อ สร้อยสุดา คือสร้อยแก้วกับจันทร์สุดา ลุงตั้งให้ใหม่เอง”
“พอเมืองที่ห่างไกลนี้เจริญขึ้น รัฐบาลที่นี่เขาเลยแต่งตั้งลุงเป็นผู้นำแคว้นคอยดูแล” ลุงไกรเล่า
“เดี๋ยวครับคุณลุง” พีมีข้อสงสัยในใจ
“ป้าลอยาถูกระเบิดเสียชีวิตในป่า..แล้ว” พีค้างคำถามไว้ไม่อยากพูดต่อ
ท่านลุงไกรศักดิ์ยิ้มแล้วเอื้อมมือมาวางบนบ่าพีหลานชายเหมือนให้ตั้งใจฟัง
“ฟังนะลูก ลุงยิงระเบิดใส่ ป้าลอยากลางป่า เกิดวิบากกรรมแสนสาหัสกับครอบครัวลุง”
“เพราะบุพกรรมจากอดีต วรชายากาวะวิกะสาปแช่งไว้ ให้อลิยาเทวีต้องพบความหายนะ”
“ให้พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ด้วยเหตุที่อลิยาเทวีไม่บอกอุเทนธิกะให้ช่วยนางกลับมาหาพยัคฆราช”
“เมื่อบุพกรรมนั้นได้ชดใช้อโหสิกรรมกันแล้วทุกสิ่งทุกวิญญาณ”
“เราทุกชีวิตจึงได้รับพระเมตตาจากมหาเทพฯ ประทานลิขิตชะตาใหม่ให้พวกเรา ทุกอย่างจึงเปลี่ยนไป”
“คืนนั้นกลางป่า เมื่อลอยาลั่นไกปืนเข้าใส่ลุง ลุงจึงไม่ได้เหนี่ยวไกยิงระเบิดกลับไป”
“พอจะเข้าใจหรือเปล่า ลูกทั้งสองคน” ท่านลุงไกรศักดิ์เล่าจบ
สองหนุ่มพีกับโจพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกและสีหน้าทึ่งที่สุด
“คุณลุงกลับมายังไงครับ” พีถามท่านลุง
ท่านลุงไกรศักดิ์ยิ้มแล้วย่อตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นเรือน สองหลานชายโจกับพีจึงรีบนั่งลงตามด้วย
“มา นั่งคุยกัน” ท่านลุงชวนให้นั่ง
สามคนลุงหลานบอกเล่าเรื่องราวสู่กันฟัง เริ่มจากลุงไกรกับพีช่วยกันเล่าเรื่องหลังจากตื่นขึ้นที่โคนไม้แล้วเสียโจไปให้เจ้าตัวได้รับรู้อย่างละเอียด เรื่องของกองทัพแก้วและตำหนักกาวะวิกะจนถึงเวลาที่ดาบเสียบคมตัดหัวใจไป ทุกคำพูดทุกรายละเอียด จากนั้นท่านลุงไกรศักดิ์จึงเล่าเรื่องต่อเริ่มจากวงแหวนแสงสีเงินที่รับสี่วิญญาณของพยัคฆราช กาวะวิกะ พีและเงาะไปจนจบที่การบากบั่นเดินลงมาปลดปล่อยกองทัพแก้วแห่งอินทปัตถ์สู่สุขคติแล้วสิ้นใจลง
ทั้งสามแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางของจิต ความรู้สึกและสภาวะเมื่อโผล่พ้นมายังชีวิตปัจจุบันให้กันและกันฟัง
“ผมล่องลอยมากับลำธารรุ้งแห่งลิขิต” โจเล่า
“ผมเห็นคุณลุงถูกป้าลอยายิงใส่ ลิขิตใหม่ไม่ให้คุณลุงยิงตอบโต้ไป”
“อย่างนั้นเลยเหรอ” พีผู้นิ่งฟังอยู่รำพึงเบาๆ
“นั่นล่ะ ลุงกลับไปที่นาทีนั้นล่ะ แต่ลุงยังงงๆอยู่จนพี่ผากระแทกลุงล้มลง” ลุงไกรบอกหลานทั้งสอง
“ผมมารู้สึกตัวที่เตียงในโรงพยาบาล” โจพูด
“ลิขิตใหม่กล่อมให้ผมหลับไปแล้วปลุกไม่ตื่น พ่อกับเงาะก็เลยไม่ได้ไปเจอสิ่งเลวร้ายที่หาดใหญ่”
“เอ็งล่ะ” โจหันไปถามพี
“พอไอ้โจมันหลับไปแล้วปลุกไม่ตื่นในห้องรับแขก” พีเริ่มเล่าบ้าง
“ก็โกลาหลกันใหญ่พาส่งโรงพยาบาล ตกเย็นวันนั้นหมอทำยังไงก็ไม่ยอมตื่น”
“เย็นวันนั้นแหละที่เหมียวเค้าถูกเรียกตัวกลับฝรั่งเศสด่วนคุณพ่อเค้าผ่าตัดหัวใจ”
“นี่ผมไม่ได้อยู่เห็นเองนะครับ ผมจับความที่พ่อแม่กับเงาะพูดกัน”
“ผมมาโผล่กลางดึกที่ห้องคนไข้คืนแรกนอนเฝ้ามันอยู่ ลืมตาขึ้นมาก็งงไปหมด”
“เห็นคุณพ่อสุรเกียรติกับเงาะอยู่ในห้องด้วยผมก็สะดุ้งสุดตัวเหมือนกัน”
“ไม่ได้กลัวผีนะครับ แต่มันจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่สองสามวันเหมือนกันครับ”
“จนมันตื่นขึ้นมานี่แหละ พอแข็งแรงกันดีก็รีบมาหาคุณลุง” พีพูดจบ
“แสดงว่าลูกสองคนมาหาลุงนี่ก็มาแบบไม่รู้ว่าที่นี่เปลี่ยนแปลงไปยังไงล่ะสิ” ลุงไกรถาม
ทั้งสองส่ายหน้า
“แน่ใจว่าอะไรไม่เหมือนเดิม แต่นึกภาพไม่ออกครับ” พีตอบ
“ผมกับมันก็เพิ่งจะมาบอกกันว่ายังจำเรื่องที่เข้าป่าไปด้วยกันตอนมาถึงที่นี่เหละครับ” พีพูดชี้ไปที่โจ
“อ้าว แล้วที่ข้าชวนเอ็งแวะบ้านคุณลุง” โจหันมาพูดกับพี
“เอ็งบอกบ้านสวนใหญ่โตมีคนเฝ้าเยอะแยะนั่นล่ะ”
“ข้าก็ฟังมาจากที่เค้าคุยกันนั่นแหละ คิดว่าแวะไปจะยิ่งงงหนัก มาหาคุณลุงก่อนดีกว่า” พีพูดหัวเราะหึหึ
“โธ่ไอ้บ้า บอกซะก็หมดเรื่อง” โจพูดขำๆ
“แล้วเอ็งล่ะ หุบปากเงียบ ข้าจะรู้มั้ยล่ะ” พีโต้กลับแล้วพลักไหล่เพื่อน
สามคนลุงหลานคุยกันด้วยสีหน้าที่มีความสุข ซักถามกันไปมาถึงทุกรายละเอียดจนเข้าใจกันอย่างดีทั้งหมดของเรื่องราวทั้งที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้
“ตอนนี้น้องสร้อยไม่เหลือความทรงจำที่ผ่านมาเลยใช่มั้ยครับคุณลุง” พีถาม
ลุงไกรยิ้มส่ายหน้า
“ไม่มี คงเป็นการดีที่จะไม่รู้ว่าเคยทุกข์ยากเป็นกำพร้า ผู้ทรงฤทธิ์ท่านคงมีพระประสงค์อย่างนั้น” ลุงไกรบอก
“ท่านปู่ผาคงไม่ต้องถามนะครับ ผมเชื่อว่าท่านคงรู้ทุกอย่างแน่” โจพูด
“ท่านคือท่านครูพะลุเวษานะ” ท่านลุงไกรศักดิ์ยิ้มพูด
“พี่โละล่ะครับคุณลุง” พีถามถึงผู้เป็นขุนศึกข้างวรกายนามว่ากุณฑล
“โละไม่รู้ คงกลับมายังจุดที่นอนสลบอยู่ในซากเรือนที่ถูกพวกนั้นมันเผา” ลุงไกรพูด
“คุณลุงครับ ก็คงเหลือแค่คุณพ่อสุรเกียรติกับน้องเงาะ” พีถามถึงปมสุดท้ายของวิบากกรรมที่เปลี่ยนไป
“เมื่อไม่มีวิญญาณแค้นของกาวะวิกะแล้ว ลอยาก็ไม่ต้องตายจากครอบครัวไป” ลุงไกรเน้นคำพูด
“และเมื่อไม่มีวิญญาณแค้นของป้าลอยาต่อคนหน้าดำแล้ว”
“ก็ไม่มีวิบากกรรมที่เกิดกับของรักของคนหน้าดำ ซึ่งคือลุงนี่ไง เข้าใจนะ” ลุงไกรพูดจบ
ท่านลุงไกรศักดิ์และพีเหลือบไปเห็นโจนั่งเหม่อมองนิ่งไปที่ขอนไม้ริมลำธาร
“ข้าภาวนาให้เธอยังจำทุกอย่างได้เหมือนเรานะ” พีจับไหล่เพื่อนพูดปลอบใจเบาๆ
“ข้าไม่หวังว่ะ ไม่กล้าหวัง” โจพูดโดยไม่ได้หันกลับมา
“ลูกยังมีศรัทธาอยู่หรือเปล่า โจ” ท่านลุงถาม
ชายหนุ่มพยักหน้ารับเนือยๆ
“จงคงมั่นในศรัทธานั้นไว้ เราได้พบเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์มามากมายแล้ว” ลุงไกรพูด
“คู่บารมี ก็จะยังเป็นคู่บารมีกันไปทุกชาติภพ” ลุงไกรพูดให้หลานชายคงมั่น
“จิระประไพจะกลับไปรอท่านพี่ทุกชาติภพ”
คำบอกลาสุดท้ายของเธอที่ริมฝั่งลำธารทิพย์วะสะธาราดังก้องขึ้นอีกครั้งในความทรงจำของชายหนุ่ม เขาเปิดรอยยิ้มทั้งน้ำตาที่รินไหล มันทำให้ใจของเขาอบอุ่นด้วยศรัทธาและความหวัง
“ครับ ผมจะยึดมั่นอยู่ในความดี ศรัทธา และก็ความหวังด้วย” โจยิ้มทั้งน้ำตาให้ท่านลุงและเพื่อนตายของเขา
ท่านลุงไกรศักดิ์ส่งสัญญาณด้วยการกางสองแขนออก ชายหนุ่มทั้งสองขยับตัวเข้าไปหาคนละด้านแล้วทั้งสามบุรุษก็สวมกอดกันไว้ด้วยความสุข
“จบสิ้นกันเสียทีจริงๆ สำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและมีผลต่อเนื่องมาจากอินทปัตถ์” ลุงไกรกล่าว
“อยู่พักผ่อนกันที่นี่สักสองสามวันเที่ยวเล่น ให้ลุงจัดการอะไรที่นี่เสร็จแล้วเรากลับกรุงเทพกัน”
“ครับผมท่านแม่ทัพ” โจพูดเสียงล้อเล่น
“เจ้าข้าเจ้าพี่” พีก็ยิ้มพูดเช่นกัน
ธารทิพย์ บทที่ 67
ธารทิพย์ บทที่ 66 http://ppantip.com/topic/33873927
“คุณลุง” พีเอ่ยทัก
ท่านลุงไกรศักดิ์ยืนยิ้มอยู่ที่ชานเรือนแล้วก้าวเท้าเข้ามาภายในตัวเรือนไม้หลังเดิม เขาหันมองไปรอบๆสิ่งปลูกสร้างที่ร่วมใจกันกับพรานผาและโละด้วยความรู้สึกอบอุ่น
“มันแปลกนะ ดูคานตัวนี้สิ” ท่านลุงพูดแล้วจับคานบนหัวเสา
“คานตัวเดียว แต่ลุงยกมันขึ้นพาดสองครั้งด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน”
“ยกขึ้นครั้งแรก ลุงมองไปที่ทารกกำพร้าแม่เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ”
“ยกครั้งที่สอง แม่อุ้มทารกน้อยนั่งอยู่ใต้ต้นไม้โน่น ก็เป็นแรงบันดาลใจอีก”
“ลุงสร้างเรือนนี้ครั้งแรกให้สร้อยแก้วเด็กกำพร้าแม่ แล้วลุงก็ต้องจากลูกไป”
“ลุงกลับมาอีกครั้ง หอบลูกหอบเมียมาสร้างอีก แต่มันสุขเหลือเกิน”
“จะมีสักกี่คน ที่ได้รับโอกาสแบบนี้ หากเราไม่คิดจะสร้างบุญสร้างความดีสั่งสมไว้”
“ลูกสองคนจงจำไว้ให้ชั่วชีวิตนะ อย่าให้กิเลสมันนำพาเราไปสู่ความหายนะ” ลุงไกรยิ้มวางฝ่ามือบนบ่าของทั้งคู่
ทั้งโจและพีมองหน้าท่านลุงตั้งใจฟังอย่างสงบจนโจเริ่มพูดขึ้น
“คุณลุงครับ ผมสองคนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เมืองนี้เกิดขึ้นได้ยังไงครับ” โจถาม
“เรี่ยวแรงของลุง ปัญญาของลุง จากทรัพย์สินของลุง” ท่านลุงไกรศักดิ์ตอบ
หลานชายสองคนมองหน้ากันยังไม่เข้าใจ
“ยังไงครับ คุณลุงช่วยอธิบายหน่อยเถอะครับ” พีถามบ้าง
“ลุงสังเกตกิริยาท่าทางของเราสองคน” ลุงไกรพูด
“ลุงแน่ใจว่าพวกเรายังคงการรับรู้เรื่องวะสะธาราอยู่ ใช่มั้ย” ลุงไกรถาม
“ครับคุณลุง” สองหลานชายพยักหน้าตอบพร้อมกัน
“เอาล่ะ ลุงจะเล่าให้พวกเราฟัง” ลุงไกรพูด
“ลุงก็หอบหิ้วครอบครัวเดินทางมาถึงริมทะเลสาบนี้” ลุงไกรเริ่มเล่า
“มีลุงมีพี่ผา ลอยา ทารกสร้อยแก้วแล้วก็โละ ลงมือปลูกเรือนหลังนี้”
“หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ลุงยังอยู่ที่นี่อีกสามสี่ปีเพื่อดูลาดเลา”
"จนรู้จักที่นี่ดีแล้ว ลุงกับครอบครัวก็ตัดสินใจจะสร้างเขตนี้ให้เจริญขึ้น”
“ระหว่างที่อยู่ที่นี่ลุงยังติดต่อกับกองทัพอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ขาดหาย”
“จนสร้อยแก้วได้สามขวบลุงก็ตัดสินใจพาลอยากับสร้อยแก้วกลับเมืองไทย”
“ลุงเอาทรัพย์สินของลุงติดตัวไปจำนวนหนึ่งเพื่อไปสร้างฐานะที่กรุงเทพ”
“อยากรู้ใช่มั้ย ว่าอะไร” ลุงไกรยิ้มถามสองหลานชาย
ทั้งโจและพีนิ่งฟังไม่ตอบคำ แค่พยักหน้ารับ
“พ่อเราเล่าให้ฟังหรือเปล่า ว่าลุงเอาอะไรไปให้เขาสร้างเนื้อสร้างตัว” ลุงไกรถามอีก
“เล่าครับ พ่อเล่า ทองหนึ่งถุงทะเล พ่อบอกไม่มีคุณลุงก็ไม่มีพ่อวันนี้” โจพูดน้ำตาซึม
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก พ่อเราเค้าเก่งอยู่แล้ว น้องชายฉันน่ะ” ลุงไกรพูดถ่อมตัว
“มันไม่ได้มีแค่นั้น ระหว่างสงคราม ลุงกับพี่ผาไปพบขุมทองเข้าโดยบังเอิญในถ้ำกลางป่า”
“ไม่รู้พวกไหนเอาไปเก็บไว้ ฝรั่งเศสหรือญี่ปุ่นก็ไม่รู้”
“หลังจากเอาส่วนที่ไปให้พ่อเราแล้ว ลุงกับพี่ผาก็ระเบิดปากถ้ำปิดเอาไว้”
“เมื่อลิขิตเปลี่ยนไป ลอยาไม่ได้ตาย ครอบครัวของลุงอยู่พร้อมหน้า”
”ลุงกับพี่ผาแล้วก็โละ กลับไปช่วยกันกู้คืนเอามา”
“นั่นล่ะ ทรัพย์สินของลุงที่เอาไปสร้างฐานะที่กรุงเทพกับที่นี่”
“แล้วป้าลอยากับน้องสร้อยล่ะครับ นี่คือน้องสร้อยไปโตที่บ้านเราหรือครับ” โจถาม
“ใช่ ลุงพาลูกเมียกลับเมืองไทย ขอสัญชาติไทย ลุงก็ยังคงรับราชการในกองทัพต่อ”
“ระหว่างนั้นก็แอบไปๆมาๆกับที่นี่อยู่ตลอดเวลา พี่ผากับโละยังอยู่ที่นี่”
“เมื่อการเมืองระหว่างสองประเทศสงบดีแล้ว ลุงก็ใช้สายสัมพันธ์กับเส้นสายภายใน”
“กลับเข้ามาสร้างความเจริญที่เขตนี้ ขอสัญชาติของประเทศนี้ด้วย ครอบครัวลุงก็เลยถือสองสัญชาติ”
“ไปๆมา อยู่ทั้งสองที่เหมือนเป็นบ้านของเรา ทั้งป้าลอยากับสร้อยแก้วด้วย”
“พี่ผากับโละก็ไปกรุงเทพบ่อยๆ เวลามีธุระต้องทำหรือไปเที่ยว”
“ที่เมืองไทย ป้าลอยาชื่อ อลิยา ส่วนสร้อยแก้วใข้ชื่อ สร้อยสุดา คือสร้อยแก้วกับจันทร์สุดา ลุงตั้งให้ใหม่เอง”
“พอเมืองที่ห่างไกลนี้เจริญขึ้น รัฐบาลที่นี่เขาเลยแต่งตั้งลุงเป็นผู้นำแคว้นคอยดูแล” ลุงไกรเล่า
“เดี๋ยวครับคุณลุง” พีมีข้อสงสัยในใจ
“ป้าลอยาถูกระเบิดเสียชีวิตในป่า..แล้ว” พีค้างคำถามไว้ไม่อยากพูดต่อ
ท่านลุงไกรศักดิ์ยิ้มแล้วเอื้อมมือมาวางบนบ่าพีหลานชายเหมือนให้ตั้งใจฟัง
“ฟังนะลูก ลุงยิงระเบิดใส่ ป้าลอยากลางป่า เกิดวิบากกรรมแสนสาหัสกับครอบครัวลุง”
“เพราะบุพกรรมจากอดีต วรชายากาวะวิกะสาปแช่งไว้ ให้อลิยาเทวีต้องพบความหายนะ”
“ให้พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ด้วยเหตุที่อลิยาเทวีไม่บอกอุเทนธิกะให้ช่วยนางกลับมาหาพยัคฆราช”
“เมื่อบุพกรรมนั้นได้ชดใช้อโหสิกรรมกันแล้วทุกสิ่งทุกวิญญาณ”
“เราทุกชีวิตจึงได้รับพระเมตตาจากมหาเทพฯ ประทานลิขิตชะตาใหม่ให้พวกเรา ทุกอย่างจึงเปลี่ยนไป”
“คืนนั้นกลางป่า เมื่อลอยาลั่นไกปืนเข้าใส่ลุง ลุงจึงไม่ได้เหนี่ยวไกยิงระเบิดกลับไป”
“พอจะเข้าใจหรือเปล่า ลูกทั้งสองคน” ท่านลุงไกรศักดิ์เล่าจบ
สองหนุ่มพีกับโจพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกและสีหน้าทึ่งที่สุด
“คุณลุงกลับมายังไงครับ” พีถามท่านลุง
ท่านลุงไกรศักดิ์ยิ้มแล้วย่อตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นเรือน สองหลานชายโจกับพีจึงรีบนั่งลงตามด้วย
“มา นั่งคุยกัน” ท่านลุงชวนให้นั่ง
สามคนลุงหลานบอกเล่าเรื่องราวสู่กันฟัง เริ่มจากลุงไกรกับพีช่วยกันเล่าเรื่องหลังจากตื่นขึ้นที่โคนไม้แล้วเสียโจไปให้เจ้าตัวได้รับรู้อย่างละเอียด เรื่องของกองทัพแก้วและตำหนักกาวะวิกะจนถึงเวลาที่ดาบเสียบคมตัดหัวใจไป ทุกคำพูดทุกรายละเอียด จากนั้นท่านลุงไกรศักดิ์จึงเล่าเรื่องต่อเริ่มจากวงแหวนแสงสีเงินที่รับสี่วิญญาณของพยัคฆราช กาวะวิกะ พีและเงาะไปจนจบที่การบากบั่นเดินลงมาปลดปล่อยกองทัพแก้วแห่งอินทปัตถ์สู่สุขคติแล้วสิ้นใจลง
ทั้งสามแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางของจิต ความรู้สึกและสภาวะเมื่อโผล่พ้นมายังชีวิตปัจจุบันให้กันและกันฟัง
“ผมล่องลอยมากับลำธารรุ้งแห่งลิขิต” โจเล่า
“ผมเห็นคุณลุงถูกป้าลอยายิงใส่ ลิขิตใหม่ไม่ให้คุณลุงยิงตอบโต้ไป”
“อย่างนั้นเลยเหรอ” พีผู้นิ่งฟังอยู่รำพึงเบาๆ
“นั่นล่ะ ลุงกลับไปที่นาทีนั้นล่ะ แต่ลุงยังงงๆอยู่จนพี่ผากระแทกลุงล้มลง” ลุงไกรบอกหลานทั้งสอง
“ผมมารู้สึกตัวที่เตียงในโรงพยาบาล” โจพูด
“ลิขิตใหม่กล่อมให้ผมหลับไปแล้วปลุกไม่ตื่น พ่อกับเงาะก็เลยไม่ได้ไปเจอสิ่งเลวร้ายที่หาดใหญ่”
“เอ็งล่ะ” โจหันไปถามพี
“พอไอ้โจมันหลับไปแล้วปลุกไม่ตื่นในห้องรับแขก” พีเริ่มเล่าบ้าง
“ก็โกลาหลกันใหญ่พาส่งโรงพยาบาล ตกเย็นวันนั้นหมอทำยังไงก็ไม่ยอมตื่น”
“เย็นวันนั้นแหละที่เหมียวเค้าถูกเรียกตัวกลับฝรั่งเศสด่วนคุณพ่อเค้าผ่าตัดหัวใจ”
“นี่ผมไม่ได้อยู่เห็นเองนะครับ ผมจับความที่พ่อแม่กับเงาะพูดกัน”
“ผมมาโผล่กลางดึกที่ห้องคนไข้คืนแรกนอนเฝ้ามันอยู่ ลืมตาขึ้นมาก็งงไปหมด”
“เห็นคุณพ่อสุรเกียรติกับเงาะอยู่ในห้องด้วยผมก็สะดุ้งสุดตัวเหมือนกัน”
“ไม่ได้กลัวผีนะครับ แต่มันจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่สองสามวันเหมือนกันครับ”
“จนมันตื่นขึ้นมานี่แหละ พอแข็งแรงกันดีก็รีบมาหาคุณลุง” พีพูดจบ
“แสดงว่าลูกสองคนมาหาลุงนี่ก็มาแบบไม่รู้ว่าที่นี่เปลี่ยนแปลงไปยังไงล่ะสิ” ลุงไกรถาม
ทั้งสองส่ายหน้า
“แน่ใจว่าอะไรไม่เหมือนเดิม แต่นึกภาพไม่ออกครับ” พีตอบ
“ผมกับมันก็เพิ่งจะมาบอกกันว่ายังจำเรื่องที่เข้าป่าไปด้วยกันตอนมาถึงที่นี่เหละครับ” พีพูดชี้ไปที่โจ
“อ้าว แล้วที่ข้าชวนเอ็งแวะบ้านคุณลุง” โจหันมาพูดกับพี
“เอ็งบอกบ้านสวนใหญ่โตมีคนเฝ้าเยอะแยะนั่นล่ะ”
“ข้าก็ฟังมาจากที่เค้าคุยกันนั่นแหละ คิดว่าแวะไปจะยิ่งงงหนัก มาหาคุณลุงก่อนดีกว่า” พีพูดหัวเราะหึหึ
“โธ่ไอ้บ้า บอกซะก็หมดเรื่อง” โจพูดขำๆ
“แล้วเอ็งล่ะ หุบปากเงียบ ข้าจะรู้มั้ยล่ะ” พีโต้กลับแล้วพลักไหล่เพื่อน
สามคนลุงหลานคุยกันด้วยสีหน้าที่มีความสุข ซักถามกันไปมาถึงทุกรายละเอียดจนเข้าใจกันอย่างดีทั้งหมดของเรื่องราวทั้งที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้
“ตอนนี้น้องสร้อยไม่เหลือความทรงจำที่ผ่านมาเลยใช่มั้ยครับคุณลุง” พีถาม
ลุงไกรยิ้มส่ายหน้า
“ไม่มี คงเป็นการดีที่จะไม่รู้ว่าเคยทุกข์ยากเป็นกำพร้า ผู้ทรงฤทธิ์ท่านคงมีพระประสงค์อย่างนั้น” ลุงไกรบอก
“ท่านปู่ผาคงไม่ต้องถามนะครับ ผมเชื่อว่าท่านคงรู้ทุกอย่างแน่” โจพูด
“ท่านคือท่านครูพะลุเวษานะ” ท่านลุงไกรศักดิ์ยิ้มพูด
“พี่โละล่ะครับคุณลุง” พีถามถึงผู้เป็นขุนศึกข้างวรกายนามว่ากุณฑล
“โละไม่รู้ คงกลับมายังจุดที่นอนสลบอยู่ในซากเรือนที่ถูกพวกนั้นมันเผา” ลุงไกรพูด
“คุณลุงครับ ก็คงเหลือแค่คุณพ่อสุรเกียรติกับน้องเงาะ” พีถามถึงปมสุดท้ายของวิบากกรรมที่เปลี่ยนไป
“เมื่อไม่มีวิญญาณแค้นของกาวะวิกะแล้ว ลอยาก็ไม่ต้องตายจากครอบครัวไป” ลุงไกรเน้นคำพูด
“และเมื่อไม่มีวิญญาณแค้นของป้าลอยาต่อคนหน้าดำแล้ว”
“ก็ไม่มีวิบากกรรมที่เกิดกับของรักของคนหน้าดำ ซึ่งคือลุงนี่ไง เข้าใจนะ” ลุงไกรพูดจบ
ท่านลุงไกรศักดิ์และพีเหลือบไปเห็นโจนั่งเหม่อมองนิ่งไปที่ขอนไม้ริมลำธาร
“ข้าภาวนาให้เธอยังจำทุกอย่างได้เหมือนเรานะ” พีจับไหล่เพื่อนพูดปลอบใจเบาๆ
“ข้าไม่หวังว่ะ ไม่กล้าหวัง” โจพูดโดยไม่ได้หันกลับมา
“ลูกยังมีศรัทธาอยู่หรือเปล่า โจ” ท่านลุงถาม
ชายหนุ่มพยักหน้ารับเนือยๆ
“จงคงมั่นในศรัทธานั้นไว้ เราได้พบเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์มามากมายแล้ว” ลุงไกรพูด
“คู่บารมี ก็จะยังเป็นคู่บารมีกันไปทุกชาติภพ” ลุงไกรพูดให้หลานชายคงมั่น
“จิระประไพจะกลับไปรอท่านพี่ทุกชาติภพ”
คำบอกลาสุดท้ายของเธอที่ริมฝั่งลำธารทิพย์วะสะธาราดังก้องขึ้นอีกครั้งในความทรงจำของชายหนุ่ม เขาเปิดรอยยิ้มทั้งน้ำตาที่รินไหล มันทำให้ใจของเขาอบอุ่นด้วยศรัทธาและความหวัง
“ครับ ผมจะยึดมั่นอยู่ในความดี ศรัทธา และก็ความหวังด้วย” โจยิ้มทั้งน้ำตาให้ท่านลุงและเพื่อนตายของเขา
ท่านลุงไกรศักดิ์ส่งสัญญาณด้วยการกางสองแขนออก ชายหนุ่มทั้งสองขยับตัวเข้าไปหาคนละด้านแล้วทั้งสามบุรุษก็สวมกอดกันไว้ด้วยความสุข
“จบสิ้นกันเสียทีจริงๆ สำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและมีผลต่อเนื่องมาจากอินทปัตถ์” ลุงไกรกล่าว
“อยู่พักผ่อนกันที่นี่สักสองสามวันเที่ยวเล่น ให้ลุงจัดการอะไรที่นี่เสร็จแล้วเรากลับกรุงเทพกัน”
“ครับผมท่านแม่ทัพ” โจพูดเสียงล้อเล่น
“เจ้าข้าเจ้าพี่” พีก็ยิ้มพูดเช่นกัน