หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 10.2

ต่อจาก หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 10.1 https://ppantip.com/topic/43133346

อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 10.2

ในเมื่อความเบื่อเกิดขึ้นมากๆ ก็อยากจะตาย ในสมัยพระพุทธเจ้า พระจ้างปริพาชกฆ่าเสียหลายสิบองค์ ให้ฆ่าตนและก็ให้บริขารเป็นเครื่องรางวัล ฉะนั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้ทรงแนะนำว่า ท่านทั้งหลายเมื่อพิจารณาแยกกายออกเป็นชิ้นเป็นส่วนแล้ว จงรวมเข้าไว้ก่อน คำว่ารวมเข้าไว้ก่อน ก็หมายความว่า อย่าเพิ่งทิ้งมัน ถ้าถึงเวลามันพังของมันเอง ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา นั่นก็คือใช้ สังขารุเปกขาญาณ

ถ้าเป็นญาณในโลกียฌาน เราเรียกว่า อุเบกขา แปลว่า วางเฉยในอารมณ์ แต่ว่าในด้านวิปัสสนาญาณเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ คือใช้ปัญญารู้ตามความจริง แล้วก็มีความวางเฉยในเรื่องของขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ของเรา ขันธ์ 5 ของเขา เราก็เฉยหมด เฉยเพราะอะไร เพราะว่ามันจะพังก็ช่างมัน มันไม่พังก็ช่างมัน มันจะหนุ่มก็ช่างมัน มันจะสาวก็ช่างมัน มันจะป่วยก็ช่างมัน มันจะแก่ก็ช่างมัน มันจะตายก็ช่างมัน ทำไมจึงช่าง ก็เพราะธรรมดาเขาเป็นอย่างนั้น ทำจิตของเราให้สบาย ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ถือว่าธรรมดามันเป็นอย่างนี้ เราไม่มีทางจะเลี่ยง อาการมันเกิดขึ้น จิตเราไม่วุ่นวาย จะเกิดยังไงก็ช่าง ถือว่าขันธ์ 5 อันนี้ไม่ช้ามันก็พัง พังเมื่อไหร่เราไปนิพพานเมื่อนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราก็หันเข้ามาถึงเรื่อง กามฉันทะ ในสกิทาคามีมรรคหรือสกิทาคามีผล เรายังตัดกันไม่ได้เด็ดขาดในเรื่องกามฉันทะ หรือโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ แต่ก็บรรเทาลงมาก คล้ายๆ กับจะได้อานาคามิผล

ที่นี้วิธีที่เราจะระงับมันได้จริงๆ อย่าลืมว่าต้องใช้กรรมฐานกายคตานุสสติและอสุภกรรมฐานประจำใจไว้เสมอ ให้มีความรู้สึกทรงตัว เรื่องความรักในเพศหยุดที หรือว่าหยุดกันเสียที เพราะเรื่องนี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ สิ่งที่เรารักมันสกปรก ตามที่พูดมาแล้ว อย่าย้ำให้มากเลย ในเมื่อมันสกปรกโสโครกอย่างนั้น จะเอาอะไรมาดี แล้วก็นำมรณานุสสติกรรมฐานเข้ามา ว่าคนที่เรารักนี่ไม่ช้าก็ตาย ตายแล้วมันน่ารักตรงไหน เป็นอันว่าคนที่เรารัก ก็คือเรารักส้วมเคลื่อนที่นั่นเอง มันเต็มไปด้วยความสกปรก เต็มไปด้วยความโสโครก และในที่สุดก็ต้องมาเป็นผีตาย และร่างกายของเรามีสภาพอย่างนั้น ในเมื่อเรากับท่าน เรากับเขามีสภาพเสมอกัน ต่างคนต่างสกปรก ต่างคนต่างไม่ทรงตัว ต่างคนต่างตาย จะมานั่งรำพึงรำพันเรื่องความรัก มันด้วยประโยชน์อะไร ใจก็วางเฉย จะมายังไงก็ช่าง เห็นคนทำจิตให้สภาพเหมือนเห็นศพ เห็นผิวพรรณก็ดูภายใน แม้แต่ผิวพรรณเขาก็สกปรก มันไม่ได้สะอาด

ที่นี้สภาวะของจิตมีความเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายนี่มันท้อแท้ใจ เราก็ทำใจวางเฉยในสังขารุเปกขาญาณ ว่าสภาพความสกปรกอย่างนี้ สภาพวุ่นวายเพราะความรักอย่างนี้ มันไม่มีสำหรับเราแล้ว เราจะไปยุ่งอะไร ใครจะมาจะไปยังไง เราก็เฉย อันดับแรกอย่าลืมว่า มากูมุด นั่นหมายความว่า ถ้าเห็นว่าสภาวะที่เราจะพึงรักด้วยกามฉันทะ เราก็มุดเข้าหาอสุภกรรมฐานกับกายคตานุสสติ แล้วจับสักกายทิฏฐิ เห็นว่าร่างกายมันไม่ใช่ใครไม่ใช่ของใคร มันเป็นธาตุ 4 ที่ตัณหาสร้างขึ้นให้เป็นเรือนร่างชั่วคราว ใจก็มีอารมณ์สบาย เมื่อจิตมีอารมณ์สบายใจมันเฉย อารมณ์มันเบา อย่าลืมนะครับ อารมณ์ของสมถะที่เป็นฌาน มันก็มีสภาพคล้ายความเป็นอรหันต์เหมือนกัน แต่อารมณ์หนัก แนบแน่น หนักหน่วง แต่อารมณ์ตัดจริงๆ มีอารมณ์เบา มีความสบายๆ เฉยๆ เหมือนกับไม่มีอะไรมาถ่วงใจ ใจเบา ใจสบาย ความรักในระหว่างเพศมันไม่มี อาการอย่างนี้เรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ โดยเฉพาะกามฉันทะที่เราจะพึงตัด

แต่อย่าลืมว่าอารมณ์ของพระสกิทาคามี ยังตัดกามฉันทะไม่ได้เด็ดขาด แต่ทว่าก็สามารถที่จะระงับอารมณ์ไว้ได้มาก นานๆ จะมีอารมณ์เกิดสักครั้งหนึ่ง ในเรื่องของการมีความรู้สึกในกามารมณ์ นี่เป็นอันว่าเราเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณ อารมณ์ใจสบาย สบายในตอนนี้เรียกว่าเบาลงไปมาก ความรู้สึกในระหว่างเพศมันจะมีขึ้นมาบ้างสำหรับพระสกิทาคามี แต่ว่ามีแล้วมันถอยหลังเร็ว ถอยไปไหน มันหลบเข้าไปหาอสุภสัญญา อย่าลืมนะครับ อันนี้ต้องทำกันให้ชิน ไม่ว่าเห็นหรือไม่เห็นมีความรู้สึกเท่ากัน

ถ้าอารมณ์รักเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ผลักให้มันล้มไปเมื่อนั้น ใจเรา ผมอยากจะพูดว่า คำว่า มากูมุด เราควรจะพูดใหม่ว่า กูมุดตั้งแต่ยังไม่มา มุดตรงไหน มุดเข้าไปอยู่ในอสุภสัญญา คือในอสุภกรรมฐาน กับ กายคตานุสสติ จิตจับอารมณ์ให้ทรงตัวไว้ นั่งนึก นอนนึก จิตพิจารณาอยู่ ว่าใครหนอในโลกนี้ที่จะมีร่างกายสะอาด ร่างกายของบุคคลใดที่เป็นปัจจัยของความสุข มันไม่เป็นปัจจัยของความทุกข์ สมมติว่าเราจะมีคู่ครองสักคน ปกติในยามเช้าตื่นขึ้นมา เราเข้าห้องน้ำห้องส้วม ไม่เข้าไม่ได้ เสร็จแล้วล้างปากล้างหน้า ต่อมาก็รับประทานอาหาร ทำกิจการงานทุกอย่างกว่าจะหมดวัน เมื่อสิ้นวันสิ้นเวลาแล้วเราก็นอนพัก สิ้นงาน ตื่นมาก็ทำงานใหม่ ที่นี้เราจะหาคู่ครองสักคนที่ได้มาครองและงานทุกอย่างไม่ต้องทำ หน้าไม่ต้องล้าง ปากไม่ต้องล้าง ข้าวไม่ต้องกิน มันสะอาดผ่องใส มันอิ่มอยู่ตลอดเวลาและมีคู่ครองแล้ว เราจะต้องไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้าหาได้อย่างนี้แล้วก็ควรจะหา ถ้าบังเอิญหาไม่ได้อย่างนี้ เราก็มุดอยู่ในอสุภสัญญากับกายคตานุสสติกรรมฐาน บวกกับสักกายทิฏฐิ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เขาไม่ใช่ของเขา ไม่ช้ามันก็พัง

เราติดอยู่ในร่างกาย ในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ก็ชื่อว่าเราติดอยู่ในทุกข์ เราก็หาความสุขไม่ได้ จนกระทั่งมีอารมณ์ใจเย็น เย็นสบาย ไม่วิตกไม่กังวลเรื่องความรักในระหว่างเพศ ไม่วิตกไม่กังวลในเมื่อพบรูปสวย เราก็เห็นว่ามันไม่สวย ฟังเสียงไพเราะ เราเห็นว่ามันเป็นอนัตตา มันหายไป กระทบกลิ่นหอมหวนยวนใจ เราก็ถือว่ากลิ่นก็หายไปด้วยอำนาจของลม หรือหากว่าจะมีการสัมผัส เราก็ถือว่านี่เรากระทบซากของผี และจิตใจของเรายิ้มอยู่เสมอ ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จัดเป็นมาร ที่เราเรียกกันว่า กิเลสมาร จนกระทั่งจิตใจของบรรดาพวกท่านทั้งหลาย นานๆ จะมีอารมณ์ราคะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมีความรู้สึกตัว จิตบอกว่านี่มาอีกแล้วรึเจ้าภัยใหญ่ เจ้าตัวร้าย มาอีกแล้วรึ จิตมีความรู้สึกอย่างนี้ ในที่สุดอารมณ์ก็สิ้นไป เมื่อความรักในเพศหรือความรักในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเกิดขึ้นเมื่อใด อารมณ์ใจคือปัญญาโผล่ขึ้นมาตัดทันทีทันใด อย่างนี้เราเรียกกันว่า สกิทาคามิผลในด้านของราคะจริต จิตที่มีความรักสวยรักงาม

แต่ยังนะขอรับ ยัง ยังไม่เต็มสกิทาคามีดี เพราะเรามาเริ่มตัดแต่เพียงแค่ราคะ แต่ก็อย่าลืมว่า ถ้าเราจะตัดกิเลสตัวใดตัวหนึ่งที่มันเป็นตัวนำ ในราคะก็ดี ในโลภะก็ดี ในโทสะก็ดี ในโมหะก็ดี ถ้าตัวใดตัวหนึ่งมันพังลงไปแล้ว ทุกตัวมันก็พลอยพังด้วย เพราะมันไม่สามารถจะช่วยกันพยุงได้ รากเหง้าของกิเลสทั้งหลาย องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่ามีอยู่ 3 คือ ราคะ โทสะ โมหะ หรือว่า โลภะ โทสะ โมหะ มันเป็นโต๊ะ 3 ขา ในเมื่อมันหักไปเสีย 1 ขา อีก 2 ขา ก็ไม่สามารถจะยันได้ฉันใด นี่รากเหง้าของกิเลสทั้ง 3 ประการนี้ก็เช่นเดียวกัน หากท่านทั้งหลายทำลายราคะ เฉพาะตัวนี้ให้พินาศไป จนกระทั่งกำลังใจทรงเป็น อุเบกขาญาณ ไม่หวั่นไหวในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส อย่างนี้ธรรมะขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์...ระวังให้ดีนะครับ บางทีท่านไม่อยู่แค่สกิทาคามี และบางทีท่านก็ไม่อยู่ในเขตพระอนาคามี ดีไม่ดีปุบปับเป็นอรหันต์ทันที

เอาละ สำหรับวันนี้มองดูเวลาก็หมดแล้ว ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงพากันตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามที่ท่านเห็นว่าสมควรแก่เวลา เมื่อชอบใจอย่างไหนทำอย่างนั้น ชอบใจอิริยาบถอย่างไหนทำอย่างนั้น เรื่องอิริยาบถนี่บอกกันมาเป็นปกติ ว่าจะนั่งก็ได้ จะนอนก็ได้ จะยืนก็ได้ จะเดินก็ได้ แล้วก็ยังมีหลายรายไม่มีความเข้าใจเป็นที่น่าเสียดาย

เอาละเวลาหมดแล้ว สำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ สวัสดี

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่