อุโมงค์เก่าแก่มืดและแห้งสนิท ปีกของเฟเรซิสเรืองแสงด้วยมนตราเป็นแสงเดียวในที่แห่งนั้น หญิงสาวไม่ฟังคำทัดทานของลูกน้องจนลงมาตามทางใต้ดินหน้ารูปเคารพของเสาค้ำจุน สัมผัสบางอย่างบอกนางว่ามีคนเดินไปมาก่อนหน้านี้หมายความว่าการขนอสูรมืดมาตามทางเดินลับเป็นเรื่องจริง อย่างนั้นนางอาจคิดถูกเรื่องการบุกไปหาต้นตอตามทางเดินน่าสงสัย
เพดานอุโมงค์สูงราวสองช่วงตัวคนมีหินย้อยไม่สะดวกต่อการบินนางจึงรีบจ้ำสุดกำลังตามทางตรงไม่มีการโค้งเลยสักจุด พอเหงื่อเริ่มซึมเฟเรซิสก็เจอสี่แยก แนวซ้ายขวามีรอยเท้าคนย่ำผ่านหมายถึงการสัญจร ทางตรงไปข้างหน้ามีฝุ่นเกาะหนาท่ามกลางแสงจากปีกสองข้าง บางอย่างเรียกนางให้ไปทางนั้น บางสิ่งสุดปลายอุโมงค์สู่ทิศเหนือกำลังร้องเรียกให้หญิงสาวก้าวเท้าไปหา
ความเหนื่อยอ่อนจากสภาพอับอากาศรุมเร้าเฟเรซิสจนยอมรับการเชื้อเชิญดังกล่าว
ความเวิ้งว้างรอบตัวกับเสียงเดินของตัวทำให้หญิงสาวเกือบประสาทเสีย นานจนเฟเรซิสเกือบถอดใจบางสิ่งพลันส่องแสงแดงวาบเป็นจุดตามผนังถ้ำเหมือนตาของสิ่งมีชีวิต แสงสีแดงเรื่อปล่อยคลื่นบางอย่างเหมือนเวทมนตร์ตรวจจับ มนตราบางอย่างเหมือนม่านแผ่ออกมาจากผนังทุกทางจนสัมผัสร่างหญิงสาว ดวงแสงทั้งหลายสว่างขึ้นราวพบสิ่งแปลกปลอม!
เฟเรซิสรู้ตัวทันทีว่าตนเหยียบเข้ามาในเขตคุ้มกันบางอย่างโดยไม่ตั้งใจ นางก้าวไปด้านหลังคิดถอยกลับพื้นที่ปลอดภัยทว่ามันสายไปแล้ว บางสิ่งเร็วเหมือนลำแสงพุ่งทะลุสีข้างของผู้บุกรุกทันที!
หญิงสาวร้องโอดโอยคิดถอยกลับแต่ด้านหลังปรากฏดวงแสงสีแดงตามผนังถ้ำเช่นกัน! เฟเรซิสอยู่ในท่าหันตัวค้างคิดใช้ปีกกระโจนหนีไปทางเก่าให้เร็วที่สุด คราวนี้ระบบป้องกันปริศนายิงโดนกระดูกปีกข้างขวาจนไม่สามารถใช้การได้ กระนั้นนางยังฝืนพุ่งให้ไวที่สุดทั้งที่ปวดร้าวจากแผลสองจุด ความตกใจลดลงสัมผัสบางอย่างเริ่มทำงานแทนที่จนรู้ว่าอันตรายกำลังพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง!
เฟเรซิสกระโจนออกด้านข้างจนชนผนังแต่ยังขายังโดนยิงเป็นรอยถากตื้นๆ กลางความเจ็บปวดและตระหนกนางพบว่าแสงสีแดงบนผนังถ้ำเกิดจากผลึกแก้วบางอย่าง ผลึกอันเท่าฝ่ามือมีกลิ่นไอเวทมนตร์ประเภทแสงอยู่ อาจเป็นตัวนางหรือบางคนทำให้กับดักนี้ทำงาน ปัญหาคือนางไม่รู้ว่ากับดักนี้กินบริเวณกว้างแค่ไหน มันอาจย้อนไปไกลจนถึงทางแยกที่ผ่านมา!
อีกไม่กี่วินาทีกับดักจะยิงกระสุนอีกครั้ง เฟเรซิสรีบย้ายที่พร้อมกันนั้นก็ใช้ดาบใหญ่ฟาดฟันทำลายผลึกบนผนังถ้ำให้มากที่สุด หากมีคนสร้างของแบบนี้เอาไว้แสดงว่าลึกเข้าไปย่อมมีของสำคัญอยู่!
เฟเรซิสทั้งอ่อนเปลี้ยและไม่รู้ว่าหนีทางเดิมได้หรือไม่มุ่งทำลายผลึกทั้งหลายด้วยมานะหวังให้พื้นที่นี้ปลอดกับดักเพื่อพักหายใจ บางนัดเฉี่ยวบางนัดหลบไม่พ้นหากนางยังมุ่งทำลายผลึกทีละอัน การกระทำของนางยิ่งทำให้แสงจากผลึกทั้งหลายเข้มข้นและเปลี่ยนรูปแบบจากนัดเดียวเป็นสองนัด แทนที่นางจะหลบพ้นกลับโดนดักหน้าจนได้! กระสุนแสงนัดหนึ่งทะลุปอดข้างซ้ายจนร่างโทรมลงนอนกองกับพื้น หญิงสาวกัดฟันลุกขึ้นทั้งที่ฝุ่นและเลือดเปรอะเต็มตัว
หญิงสาวพยายามใช้ดาบฆ่าม้ายันตัวลุกทว่าขากับปอดทำงานไม่สัมพันธ์กันจนทรงตัวไม่ได้ นางกระอักเลือดในปอดออกขณะเดียวกันตาเริ่มพร่าเพราะเสียเลือด ปีกทั้งสองข้างไม่ส่องแสงอีกแล้วทำให้รอบด้านเต็มไปด้วยแสงพราวดุจความโกรธจากเบื้องบน ดวงตานางเริ่มหรี่ดับพอดีกับความช่วยเหลือมาถึง!
“ใจสู้ดี ถ้าไม่โดนยิงปีกอาจทำลายได้ทั้งหมด”
เฟเรซิสที่อยู่ในสภาพกลัวตายโล่งอกคิดว่าพวกลูกน้องตามมาช่วยทัน นางหมดเรี่ยวแรงจนไม่สามารถลืมตาหรือพูดได้ เสียงนั้นเป็นของผู้ชายไม่แน่อาจเป็นพอลไลน์
“ข้ารักษาให้ไม่ได้แต่เดี๋ยวจะพาไปส่งจุดปลอดภัย มาจัดการทางใต้ดินช้าไปวันเดียวเกือบเกิดเรื่องใหญ่”
หญิงสาวถูกจับพาประคองเดินทั้งที่แทบไม่เหลือสติ เสียงบ่นกับเสียงแผ่นเกราะกระทบกันดังตลอดทางเหมือนคอยเตือนไม่ให้หลับ
“หลังจากนี้เจ้ามาเป็นลูกน้องข้าดีไหม ข้าชอบคนที่การกระทำไม่ใช่พรสวรรค์หรือแนวความคิด แล้วเรามาผ่านทางนี้ไปด้วยกันเมื่อถึงเวลาในสภาพสมบูรณ์ที่สุด...โชคดียัยนั่นไหวตัวทันขอให้ข้ามาปิดทางใต้ดินจนกว่าจะครบแปดคน ไม่อย่างนั้นเราอาจต้องหาคนแรกกันใหม่ อย่าหลับนะข้าทำได้แค่ชวนคุย อย่างมากก็ใช้ผลึกน้ำแข็งห้ามเลือดให้เท่านั้น”
เสียงนั้นเพียงผ่านหูของเฟเรซิส เพราะนางแทบไม่เหลือแรงรักษาการรับรู้แล้ว ไม่นานหญิงสาวก็ลงไปนั่งพิงผนังถ้ำตอนหนึ่ง เสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ลูกน้องเจ้าตามมาแล้วนั่น เอาไว้เจอกันหลังจากนี้ว่าที่นักรบเทพ...รับมาดูแลคนละสอง พวกนั้นต้องตกใจแน่ที่ข้าคิดเรื่องนี้ได้ก่อน”
เสียงผู้ช่วยเหลือแผ่วลงเหมือนความรู้สึกสุดท้ายของเฟเรซิส นางผล็อยหลับเหมือนพร้อมรับความตายแล้ว...
ผู้รักษาการตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดฟื้นในอาคารพยาบาลของศูนย์กลางในสภาพปางตาย พอลไลน์กับคนอื่นๆพบนางนอนหายใจรวยรินเหมือนใกล้สิ้นลมเต็มที เฟเรซิสต้องขอบคุณวิเรียนที่ส่งพอลไลน์กับพวกทหารตามลงไปจึงช่วยรักษาเบื้องต้นก่อนถึงชีวิตเพราะเสียเลือดมาก แทนที่วิเรียนจะดีใจ นางกลับเอานิ้วเคาะหัวคนป่วยเล่นเหมือนเตือนให้ใช้สมองมากกว่านี้
“ในนี้มีสมองบ้างไหม เห็นคำสั่งข้าเป็นของเล่นหรือ” ความฉุนเฉียวของวิเรียนระบายออกมาทางการเคาะหน้าผากของเฟเรซิส “ข้าล่ะอยากผูกขาเจ้าติดกับท่านพัวร์รีนจะได้ไม่ก่อเรื่องอีก แล้วใครใช้น้ำแข็งห้ามเลือดให้เจ้า พวกนั้นพบเจ้านอนฟุบอยู่คนเดียวแต่มีรอยเท้าสองคู่”
เฟเรซิสอยากลุกขึ้นประท้วงแต่ความเจ็บปวดยังยึดจับเหมือนโซ่ตรวน แถมวิเรียนยังกดหัวนางแรงเหมือนอยากแกล้งตามใจชอบ หญิงสาวไม่ได้ยินคำพูดทุกคำทว่าพอประมวลได้ว่าผู้มาช่วยตอนนั้นคือใคร
“ไม่รู้” เฟเรซิสโกหก วิเรียนเท้าสะเอวเขม้นมองคนป่วยพร้อมประกาศว่าตนกำลังหัวเสีย
“เจ้าต้องรู้ว่าฝ่าฝืนคำสั่งข้าแล้วเป็นอย่างไร” วิเรียนหมดความอดทนในที่สุด “ข้าคิดเอาไว้ว่าถ้ามีคนทำลายเครื่องควบคุมอสูรมืดพวกนั้นจะต้องรีบมาตรวจสอบ หากเจ้าฟังข้ารีบกลับก็จะไม่โดนพบตัว กลายเป็นว่าฝ่ายตรงข้ามเห็นตอนเรานำเจ้าออกมาเพื่อส่งไปรักษาพยาบาล ท่านพัวร์รีนไล่พวกนั้นได้แต่เรื่องที่เจ้ายังมีชีวิตหลุดออกไปแล้ว”
วิเรียนหยุดพูดมองตาเฟเรซิสเหมือนถามว่าอยากฟังเรื่องเลวร้ายไหม เฟเรซิสรู้สึกแย่ทว่านางต้องรู้สถานการณ์ทั้งหมดจึงแข็งใจบอกให้อีกฝ่ายเล่าตามตรง
“เรื่องเล็กที่สุดคือโทนาชไม่ได้รับการเชื่อใจเหมือนเก่า เขาส่งข่าวมาว่าจะเข้าถึงตัวหัวหน้าเพื่อทำลายอีกฝ่ายพร้อมเค้นหาวิธีคืนชีพ...เรื่องใหญ่ที่สุดคือชาวบ้านมีโดว์ 4 คนโดนลูกหลงจากการต่อสู้จนตายไม่นับรวมทหารบาดเจ็บหลายนาย พวกนั้นต้องการสังหารเจ้าพร้อมท่านพัวร์รีนจึงเล็งคนธรรมดาเพื่อไม่ให้หนีได้สะดวก”
คำพูดของวิเรียนทำให้เฟเรซิสหน้าเสีย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เพียงนำความโชคร้ายมาสู่นางเท่านั้น ชาวเมืองที่ไม่รู้เห็นอะไรเลยต้องมารับเคราะห์จากการกระทำดังกล่าวด้วย แค่สี่คนแต่นั่นคือชีวิตเช่นกัน
“ตลอดมาเจ้าเคารพคำสั่งแบบครึ่งๆกลางๆแต่ก็รอดปากเหยี่ยวปากกาหวุดหวิด คงเห็นแล้วใช่ไหมว่าทุกชีวิตในทวีปเทพตอนนี้ขึ้นกับเจ้าเป็นหลัก ภาระหน้าที่ของเจ้าไม่ได้หยุดอยู่กับการควบคุมทหารแต่เหมารวมถึงชีวิตผู้คน...เจ้าชอบคิดอะไรแปลกใหม่แต่อยากให้คิดเรื่องผลที่ตามมาด้วย อย่างตอนยาเวลถือว่าดีที่เจ้าขนคนไปหาที่หลบภัย ดังนั้นเจ้าจะต้องรอบคอบและฟังคนวางแผนให้มากกว่านี้ การสูญเสียต้องมีแน่แต่เราจำกัดวงให้แคบลงได้ จำเอาไปคิดด้วย”
เฟเรซิสเปลี่ยนท่านอนตะแคงแอบน้ำตาซึมใต้ผ้าห่มบาง คราวนี้นางไม่อาจโทษใครได้นอกจากตัวเอง หญิงสาวกลายเป็นผู้นำพาความตายสู่คนบริสุทธิ์อีกครั้ง นางได้ยินวิเรียนถอนหายใจแรงๆก่อนวางมือไว้ต้นแขนหญิงสาวเพื่อปลอบ
“ยังมีเวลาแก้ตัวอีก บางทีเจ้าอาจต้องไปช่วยโทนาชทำลายเบื้องหลังทั้งหมด ไม่แน่มันอาจจบตรงนี้ล่ะ” วิเรียนทำให้เฟเรซิสรู้ว่านางปลอบคนไม่เก่ง นั่นทำให้หญิงสาวสบายใจขึ้นเล็กน้อยว่าทุกอย่างใกล้จบแล้ว “เอาไว้จบเรื่องเมื่อไรเรามาภาวนาให้ผู้ตายทุกคนสู่ชีวิตหลังความตายที่สงบสุข พวกเขาต้องไม่ตายเปล่า”
คนป่วยยังจมกับความทุกข์ใจ นางรอจนได้ยินเสียงวิเรียนเดินไปคุยเจ้าหน้าที่แผนกพยาบาลก่อนกลับสู่ความคิดของตัวเอง...
วันรุ่งขึ้นเฟเรซิสแปลกใจเล็กน้อยเมื่อพอลไลน์มานั่งอ่านหนังสือข้างๆเป็นเพื่อนทั้งที่ในห้องพยาบาลมีคนป่วยคนอื่นด้วย ห้องนอนคนป่วยทั่วไปของอาคารพยาบาลเป็นรูปครึ่งวงกลมด้านตัดคือฝั่งพยาบาลและประตูสู่แผนกอื่น เตียงผู้ป่วยหกจุดเรียงรายตลอดฝั่งโค้งติดหน้าต่างมีคนใช้งานสามเตียงรวมหญิงสาว แม้จะอยู่ในอาการวิตกกังวลนางก็อดถามไม่ได้ว่ามีเรื่องด่วนหรือไม่
ดวงตาสีฟ้าของพอลไลน์ปกติเปี่ยมด้วยความมั่นใจบัดนี้แสดงอาการลังเลว้าวุ่น ชายหนุ่มปิดหนังสืออย่างสงบบอกว่าจะนำถ้วยใส่น้ำกับอุปกรณ์แปรงฟันมาให้จัดการระหว่างการสนทนา
“อย่างน้อยเจ้าคงดีใจที่ไม่มีจำกัดเวลาหนึ่งอาทิตย์อีกแล้ว” พอลไลน์นิ่งเงียบราวมีเรื่องวุ่นวายต้องขบคิด “ทันทีที่เจ้าหาย เราสองคนจะต้องไปช่วยโทนาชต่อสู้กับคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ลำพังหมอนั่นทำคนเดียวได้แน่แต่เขาต้องการจับเป็นไม่ใช่จับตายจึงต้องประวิงเวลารอเรา วิเรียนอยากนำกำลังทหารเข้าไปตอนนี้แต่เรารู้ว่ามีทั้งการแทรกแซงและข่าวปลอม การทำเรื่องครึกโครมแบบนั้นไม่ฉลาดเลย”
เฟเรซิสใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าพลางคิดโทษตัวเองที่ทำให้แผนหลอกใช้ของโทนาชล่ม
“ก็ดี จะได้จบๆสักที” หญิงสาวขยุ้มผ้าลงข้างหมอนอย่างหัวเสีย ให้นางทำร้ายผู้บริสุทธิ์แบบนี้สู้ฆ่าให้ตายตั้งแต่แรกยังดีกว่า พอลไลน์ย้ายถ้วยใส่น้ำล้างหน้าไปวางบนพื้นห้อง ท่าทางสับสนจนเก็บความรู้สึกไม่ได้ “ท่านคิดอะไรอยู่หรือ”
“เมื่อคืนโทนาชมาพบข้ากับวิเรียนเรื่องนี้ เขาบอกให้ข้าทำใจหากอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับพ่อ หมายความว่าการสังหารของโทนาชมีเหตุผลสำคัญ อาจเป็นบางอย่างที่เกินรับอย่างการหันหลังให้เสาค้ำจุน การออกจากเมืองเพื่อตามล้างแค้นให้พ่อคือสิ่งเดียวสำหรับข้าเวลานี้ ข้าคิดแค่สิ่งที่จะทำหลังบรรลุเป้าหมายไม่ได้คิดเลยว่าถ้าเป้าหมายพังทลายลงจะเป็นอย่างไร ความเชื่อสำคัญต่อมนุษย์เหมือนคำสั่งของพวกเจ้า เราอยู่ไม่ได้หากปราศจากความเชื่อ”
เป็นครั้งแรกที่เฟเรซิสเห็นความอ่อนแอของพอลไลน์ หญิงสาวจับมือเขาราวขอให้เดินไปข้างหน้าด้วยกัน นางรู้สึกขอบคุณชายหนุ่มที่คอยเคียงข้างแม้จะหวังการแก้แค้นเป็นสิ่งตอบแทน ต่างคนต่างมองตากันอย่างเห็นอกเห็นใจว่าอีกฝ่ายกำลังพบปัญหาหนักเหมือนกัน
มือทั้งสองเกาะกันที่หนังสือบนตักของพอลไลน์พักหนึ่งก่อนผละออกด้วยรู้ว่าไม่ใช่เวลา เฟเรซิสเกรงสายตารอบด้านรีบตัดเข้าหน้าที่หลักทันที
(มีต่อ)
นางฟ้าเปื้อนเลือด ตอนที่ 15
เพดานอุโมงค์สูงราวสองช่วงตัวคนมีหินย้อยไม่สะดวกต่อการบินนางจึงรีบจ้ำสุดกำลังตามทางตรงไม่มีการโค้งเลยสักจุด พอเหงื่อเริ่มซึมเฟเรซิสก็เจอสี่แยก แนวซ้ายขวามีรอยเท้าคนย่ำผ่านหมายถึงการสัญจร ทางตรงไปข้างหน้ามีฝุ่นเกาะหนาท่ามกลางแสงจากปีกสองข้าง บางอย่างเรียกนางให้ไปทางนั้น บางสิ่งสุดปลายอุโมงค์สู่ทิศเหนือกำลังร้องเรียกให้หญิงสาวก้าวเท้าไปหา
ความเหนื่อยอ่อนจากสภาพอับอากาศรุมเร้าเฟเรซิสจนยอมรับการเชื้อเชิญดังกล่าว
ความเวิ้งว้างรอบตัวกับเสียงเดินของตัวทำให้หญิงสาวเกือบประสาทเสีย นานจนเฟเรซิสเกือบถอดใจบางสิ่งพลันส่องแสงแดงวาบเป็นจุดตามผนังถ้ำเหมือนตาของสิ่งมีชีวิต แสงสีแดงเรื่อปล่อยคลื่นบางอย่างเหมือนเวทมนตร์ตรวจจับ มนตราบางอย่างเหมือนม่านแผ่ออกมาจากผนังทุกทางจนสัมผัสร่างหญิงสาว ดวงแสงทั้งหลายสว่างขึ้นราวพบสิ่งแปลกปลอม!
เฟเรซิสรู้ตัวทันทีว่าตนเหยียบเข้ามาในเขตคุ้มกันบางอย่างโดยไม่ตั้งใจ นางก้าวไปด้านหลังคิดถอยกลับพื้นที่ปลอดภัยทว่ามันสายไปแล้ว บางสิ่งเร็วเหมือนลำแสงพุ่งทะลุสีข้างของผู้บุกรุกทันที!
หญิงสาวร้องโอดโอยคิดถอยกลับแต่ด้านหลังปรากฏดวงแสงสีแดงตามผนังถ้ำเช่นกัน! เฟเรซิสอยู่ในท่าหันตัวค้างคิดใช้ปีกกระโจนหนีไปทางเก่าให้เร็วที่สุด คราวนี้ระบบป้องกันปริศนายิงโดนกระดูกปีกข้างขวาจนไม่สามารถใช้การได้ กระนั้นนางยังฝืนพุ่งให้ไวที่สุดทั้งที่ปวดร้าวจากแผลสองจุด ความตกใจลดลงสัมผัสบางอย่างเริ่มทำงานแทนที่จนรู้ว่าอันตรายกำลังพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง!
เฟเรซิสกระโจนออกด้านข้างจนชนผนังแต่ยังขายังโดนยิงเป็นรอยถากตื้นๆ กลางความเจ็บปวดและตระหนกนางพบว่าแสงสีแดงบนผนังถ้ำเกิดจากผลึกแก้วบางอย่าง ผลึกอันเท่าฝ่ามือมีกลิ่นไอเวทมนตร์ประเภทแสงอยู่ อาจเป็นตัวนางหรือบางคนทำให้กับดักนี้ทำงาน ปัญหาคือนางไม่รู้ว่ากับดักนี้กินบริเวณกว้างแค่ไหน มันอาจย้อนไปไกลจนถึงทางแยกที่ผ่านมา!
อีกไม่กี่วินาทีกับดักจะยิงกระสุนอีกครั้ง เฟเรซิสรีบย้ายที่พร้อมกันนั้นก็ใช้ดาบใหญ่ฟาดฟันทำลายผลึกบนผนังถ้ำให้มากที่สุด หากมีคนสร้างของแบบนี้เอาไว้แสดงว่าลึกเข้าไปย่อมมีของสำคัญอยู่!
เฟเรซิสทั้งอ่อนเปลี้ยและไม่รู้ว่าหนีทางเดิมได้หรือไม่มุ่งทำลายผลึกทั้งหลายด้วยมานะหวังให้พื้นที่นี้ปลอดกับดักเพื่อพักหายใจ บางนัดเฉี่ยวบางนัดหลบไม่พ้นหากนางยังมุ่งทำลายผลึกทีละอัน การกระทำของนางยิ่งทำให้แสงจากผลึกทั้งหลายเข้มข้นและเปลี่ยนรูปแบบจากนัดเดียวเป็นสองนัด แทนที่นางจะหลบพ้นกลับโดนดักหน้าจนได้! กระสุนแสงนัดหนึ่งทะลุปอดข้างซ้ายจนร่างโทรมลงนอนกองกับพื้น หญิงสาวกัดฟันลุกขึ้นทั้งที่ฝุ่นและเลือดเปรอะเต็มตัว
หญิงสาวพยายามใช้ดาบฆ่าม้ายันตัวลุกทว่าขากับปอดทำงานไม่สัมพันธ์กันจนทรงตัวไม่ได้ นางกระอักเลือดในปอดออกขณะเดียวกันตาเริ่มพร่าเพราะเสียเลือด ปีกทั้งสองข้างไม่ส่องแสงอีกแล้วทำให้รอบด้านเต็มไปด้วยแสงพราวดุจความโกรธจากเบื้องบน ดวงตานางเริ่มหรี่ดับพอดีกับความช่วยเหลือมาถึง!
“ใจสู้ดี ถ้าไม่โดนยิงปีกอาจทำลายได้ทั้งหมด”
เฟเรซิสที่อยู่ในสภาพกลัวตายโล่งอกคิดว่าพวกลูกน้องตามมาช่วยทัน นางหมดเรี่ยวแรงจนไม่สามารถลืมตาหรือพูดได้ เสียงนั้นเป็นของผู้ชายไม่แน่อาจเป็นพอลไลน์
“ข้ารักษาให้ไม่ได้แต่เดี๋ยวจะพาไปส่งจุดปลอดภัย มาจัดการทางใต้ดินช้าไปวันเดียวเกือบเกิดเรื่องใหญ่”
หญิงสาวถูกจับพาประคองเดินทั้งที่แทบไม่เหลือสติ เสียงบ่นกับเสียงแผ่นเกราะกระทบกันดังตลอดทางเหมือนคอยเตือนไม่ให้หลับ
“หลังจากนี้เจ้ามาเป็นลูกน้องข้าดีไหม ข้าชอบคนที่การกระทำไม่ใช่พรสวรรค์หรือแนวความคิด แล้วเรามาผ่านทางนี้ไปด้วยกันเมื่อถึงเวลาในสภาพสมบูรณ์ที่สุด...โชคดียัยนั่นไหวตัวทันขอให้ข้ามาปิดทางใต้ดินจนกว่าจะครบแปดคน ไม่อย่างนั้นเราอาจต้องหาคนแรกกันใหม่ อย่าหลับนะข้าทำได้แค่ชวนคุย อย่างมากก็ใช้ผลึกน้ำแข็งห้ามเลือดให้เท่านั้น”
เสียงนั้นเพียงผ่านหูของเฟเรซิส เพราะนางแทบไม่เหลือแรงรักษาการรับรู้แล้ว ไม่นานหญิงสาวก็ลงไปนั่งพิงผนังถ้ำตอนหนึ่ง เสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ลูกน้องเจ้าตามมาแล้วนั่น เอาไว้เจอกันหลังจากนี้ว่าที่นักรบเทพ...รับมาดูแลคนละสอง พวกนั้นต้องตกใจแน่ที่ข้าคิดเรื่องนี้ได้ก่อน”
เสียงผู้ช่วยเหลือแผ่วลงเหมือนความรู้สึกสุดท้ายของเฟเรซิส นางผล็อยหลับเหมือนพร้อมรับความตายแล้ว...
ผู้รักษาการตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดฟื้นในอาคารพยาบาลของศูนย์กลางในสภาพปางตาย พอลไลน์กับคนอื่นๆพบนางนอนหายใจรวยรินเหมือนใกล้สิ้นลมเต็มที เฟเรซิสต้องขอบคุณวิเรียนที่ส่งพอลไลน์กับพวกทหารตามลงไปจึงช่วยรักษาเบื้องต้นก่อนถึงชีวิตเพราะเสียเลือดมาก แทนที่วิเรียนจะดีใจ นางกลับเอานิ้วเคาะหัวคนป่วยเล่นเหมือนเตือนให้ใช้สมองมากกว่านี้
“ในนี้มีสมองบ้างไหม เห็นคำสั่งข้าเป็นของเล่นหรือ” ความฉุนเฉียวของวิเรียนระบายออกมาทางการเคาะหน้าผากของเฟเรซิส “ข้าล่ะอยากผูกขาเจ้าติดกับท่านพัวร์รีนจะได้ไม่ก่อเรื่องอีก แล้วใครใช้น้ำแข็งห้ามเลือดให้เจ้า พวกนั้นพบเจ้านอนฟุบอยู่คนเดียวแต่มีรอยเท้าสองคู่”
เฟเรซิสอยากลุกขึ้นประท้วงแต่ความเจ็บปวดยังยึดจับเหมือนโซ่ตรวน แถมวิเรียนยังกดหัวนางแรงเหมือนอยากแกล้งตามใจชอบ หญิงสาวไม่ได้ยินคำพูดทุกคำทว่าพอประมวลได้ว่าผู้มาช่วยตอนนั้นคือใคร
“ไม่รู้” เฟเรซิสโกหก วิเรียนเท้าสะเอวเขม้นมองคนป่วยพร้อมประกาศว่าตนกำลังหัวเสีย
“เจ้าต้องรู้ว่าฝ่าฝืนคำสั่งข้าแล้วเป็นอย่างไร” วิเรียนหมดความอดทนในที่สุด “ข้าคิดเอาไว้ว่าถ้ามีคนทำลายเครื่องควบคุมอสูรมืดพวกนั้นจะต้องรีบมาตรวจสอบ หากเจ้าฟังข้ารีบกลับก็จะไม่โดนพบตัว กลายเป็นว่าฝ่ายตรงข้ามเห็นตอนเรานำเจ้าออกมาเพื่อส่งไปรักษาพยาบาล ท่านพัวร์รีนไล่พวกนั้นได้แต่เรื่องที่เจ้ายังมีชีวิตหลุดออกไปแล้ว”
วิเรียนหยุดพูดมองตาเฟเรซิสเหมือนถามว่าอยากฟังเรื่องเลวร้ายไหม เฟเรซิสรู้สึกแย่ทว่านางต้องรู้สถานการณ์ทั้งหมดจึงแข็งใจบอกให้อีกฝ่ายเล่าตามตรง
“เรื่องเล็กที่สุดคือโทนาชไม่ได้รับการเชื่อใจเหมือนเก่า เขาส่งข่าวมาว่าจะเข้าถึงตัวหัวหน้าเพื่อทำลายอีกฝ่ายพร้อมเค้นหาวิธีคืนชีพ...เรื่องใหญ่ที่สุดคือชาวบ้านมีโดว์ 4 คนโดนลูกหลงจากการต่อสู้จนตายไม่นับรวมทหารบาดเจ็บหลายนาย พวกนั้นต้องการสังหารเจ้าพร้อมท่านพัวร์รีนจึงเล็งคนธรรมดาเพื่อไม่ให้หนีได้สะดวก”
คำพูดของวิเรียนทำให้เฟเรซิสหน้าเสีย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เพียงนำความโชคร้ายมาสู่นางเท่านั้น ชาวเมืองที่ไม่รู้เห็นอะไรเลยต้องมารับเคราะห์จากการกระทำดังกล่าวด้วย แค่สี่คนแต่นั่นคือชีวิตเช่นกัน
“ตลอดมาเจ้าเคารพคำสั่งแบบครึ่งๆกลางๆแต่ก็รอดปากเหยี่ยวปากกาหวุดหวิด คงเห็นแล้วใช่ไหมว่าทุกชีวิตในทวีปเทพตอนนี้ขึ้นกับเจ้าเป็นหลัก ภาระหน้าที่ของเจ้าไม่ได้หยุดอยู่กับการควบคุมทหารแต่เหมารวมถึงชีวิตผู้คน...เจ้าชอบคิดอะไรแปลกใหม่แต่อยากให้คิดเรื่องผลที่ตามมาด้วย อย่างตอนยาเวลถือว่าดีที่เจ้าขนคนไปหาที่หลบภัย ดังนั้นเจ้าจะต้องรอบคอบและฟังคนวางแผนให้มากกว่านี้ การสูญเสียต้องมีแน่แต่เราจำกัดวงให้แคบลงได้ จำเอาไปคิดด้วย”
เฟเรซิสเปลี่ยนท่านอนตะแคงแอบน้ำตาซึมใต้ผ้าห่มบาง คราวนี้นางไม่อาจโทษใครได้นอกจากตัวเอง หญิงสาวกลายเป็นผู้นำพาความตายสู่คนบริสุทธิ์อีกครั้ง นางได้ยินวิเรียนถอนหายใจแรงๆก่อนวางมือไว้ต้นแขนหญิงสาวเพื่อปลอบ
“ยังมีเวลาแก้ตัวอีก บางทีเจ้าอาจต้องไปช่วยโทนาชทำลายเบื้องหลังทั้งหมด ไม่แน่มันอาจจบตรงนี้ล่ะ” วิเรียนทำให้เฟเรซิสรู้ว่านางปลอบคนไม่เก่ง นั่นทำให้หญิงสาวสบายใจขึ้นเล็กน้อยว่าทุกอย่างใกล้จบแล้ว “เอาไว้จบเรื่องเมื่อไรเรามาภาวนาให้ผู้ตายทุกคนสู่ชีวิตหลังความตายที่สงบสุข พวกเขาต้องไม่ตายเปล่า”
คนป่วยยังจมกับความทุกข์ใจ นางรอจนได้ยินเสียงวิเรียนเดินไปคุยเจ้าหน้าที่แผนกพยาบาลก่อนกลับสู่ความคิดของตัวเอง...
วันรุ่งขึ้นเฟเรซิสแปลกใจเล็กน้อยเมื่อพอลไลน์มานั่งอ่านหนังสือข้างๆเป็นเพื่อนทั้งที่ในห้องพยาบาลมีคนป่วยคนอื่นด้วย ห้องนอนคนป่วยทั่วไปของอาคารพยาบาลเป็นรูปครึ่งวงกลมด้านตัดคือฝั่งพยาบาลและประตูสู่แผนกอื่น เตียงผู้ป่วยหกจุดเรียงรายตลอดฝั่งโค้งติดหน้าต่างมีคนใช้งานสามเตียงรวมหญิงสาว แม้จะอยู่ในอาการวิตกกังวลนางก็อดถามไม่ได้ว่ามีเรื่องด่วนหรือไม่
ดวงตาสีฟ้าของพอลไลน์ปกติเปี่ยมด้วยความมั่นใจบัดนี้แสดงอาการลังเลว้าวุ่น ชายหนุ่มปิดหนังสืออย่างสงบบอกว่าจะนำถ้วยใส่น้ำกับอุปกรณ์แปรงฟันมาให้จัดการระหว่างการสนทนา
“อย่างน้อยเจ้าคงดีใจที่ไม่มีจำกัดเวลาหนึ่งอาทิตย์อีกแล้ว” พอลไลน์นิ่งเงียบราวมีเรื่องวุ่นวายต้องขบคิด “ทันทีที่เจ้าหาย เราสองคนจะต้องไปช่วยโทนาชต่อสู้กับคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ลำพังหมอนั่นทำคนเดียวได้แน่แต่เขาต้องการจับเป็นไม่ใช่จับตายจึงต้องประวิงเวลารอเรา วิเรียนอยากนำกำลังทหารเข้าไปตอนนี้แต่เรารู้ว่ามีทั้งการแทรกแซงและข่าวปลอม การทำเรื่องครึกโครมแบบนั้นไม่ฉลาดเลย”
เฟเรซิสใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าพลางคิดโทษตัวเองที่ทำให้แผนหลอกใช้ของโทนาชล่ม
“ก็ดี จะได้จบๆสักที” หญิงสาวขยุ้มผ้าลงข้างหมอนอย่างหัวเสีย ให้นางทำร้ายผู้บริสุทธิ์แบบนี้สู้ฆ่าให้ตายตั้งแต่แรกยังดีกว่า พอลไลน์ย้ายถ้วยใส่น้ำล้างหน้าไปวางบนพื้นห้อง ท่าทางสับสนจนเก็บความรู้สึกไม่ได้ “ท่านคิดอะไรอยู่หรือ”
“เมื่อคืนโทนาชมาพบข้ากับวิเรียนเรื่องนี้ เขาบอกให้ข้าทำใจหากอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับพ่อ หมายความว่าการสังหารของโทนาชมีเหตุผลสำคัญ อาจเป็นบางอย่างที่เกินรับอย่างการหันหลังให้เสาค้ำจุน การออกจากเมืองเพื่อตามล้างแค้นให้พ่อคือสิ่งเดียวสำหรับข้าเวลานี้ ข้าคิดแค่สิ่งที่จะทำหลังบรรลุเป้าหมายไม่ได้คิดเลยว่าถ้าเป้าหมายพังทลายลงจะเป็นอย่างไร ความเชื่อสำคัญต่อมนุษย์เหมือนคำสั่งของพวกเจ้า เราอยู่ไม่ได้หากปราศจากความเชื่อ”
เป็นครั้งแรกที่เฟเรซิสเห็นความอ่อนแอของพอลไลน์ หญิงสาวจับมือเขาราวขอให้เดินไปข้างหน้าด้วยกัน นางรู้สึกขอบคุณชายหนุ่มที่คอยเคียงข้างแม้จะหวังการแก้แค้นเป็นสิ่งตอบแทน ต่างคนต่างมองตากันอย่างเห็นอกเห็นใจว่าอีกฝ่ายกำลังพบปัญหาหนักเหมือนกัน
มือทั้งสองเกาะกันที่หนังสือบนตักของพอลไลน์พักหนึ่งก่อนผละออกด้วยรู้ว่าไม่ใช่เวลา เฟเรซิสเกรงสายตารอบด้านรีบตัดเข้าหน้าที่หลักทันที
(มีต่อ)