เมืองเกลียดัลที่เฟเรซิสมาสำรวจครั้งนั้มีวิทยาลัยทางเวทมนตร์อันโด่งดังอยู่ นางอยากไปเที่ยวชมแต่ติดตรงที่นางเป็นเป้าหมายของการลอบสังหาร หญิงสาวสามารถป้องกันตัวเองได้แต่คนอื่นอาจได้รับผลกระทบไปด้วย
“อย่างนั้นข้านอนโง่ๆอยู่ห้องก็ได้ รอจนกว่าถึงเวลาแล้วค่อยไปหาสายที่ร้านขนมปัง”
ตอนแรกนางคิดเช่นนี้แล้วล้มตัวลงนอนบนที่นอนหรู ด้วยความที่เฟเรซิสไม่ชอบอยู่เฉยๆ เพียงนอนได้หนึ่งอึดใจก็ต้องลุกขึ้นมาหาอะไรทำ สุดท้ายก็จำใจออกไปดูเมืองแล้วคอยป้องกันการลอบสังหารด้วยตัวเอง
ตลาดเมืองเกลียดัลไม่ค่อยมีคนมากนัก แม้จะระแวงนักฆ่าแต่อย่างน้อยนางก็มีคนคอยระวังหลังให้
“ท่านพ่อค้า ผ้ามัดพวกนี้ขายเท่าไร” เฟเรซิสเดินไปจนเจอร้านขายผ้า จึงคิดซื้อผ้ากลับไปให้แม่ตนตัดชุดใหม่ให้
ในไม่กี่วินาทีเฟเรซิสรู้สึกถึงเข็มบางอย่างพุ่งปักที่แขนนาง สติของนางหล่นวูบใกล้ดับแต่ด้วยร่างกายที่ฝึกมาอย่างดีทำให้ยาสลบไม่เป็นผลเท่าที่ควร หญิงสาวเซไปเกาะแผงขายผ้า นี่ต้องเป็นฝีมือนักลอบสังหารแน่ นางต้องหาวิธีออกจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้
“นั่นเฟเรซิสนี่ เป็นอะไรหรือเปล่า” สติที่ใกล้ดับวูบของหญิงสาวจำเสียงนั้นได้ พอลไลน์ที่เพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน
ทันทีที่มือของใครคนหนึ่งจับที่แขนนางความรู้สึกก็เปลี่ยนไป ความเจ็บปวดเริ่มบรรเทา ร่างที่แข็งเกร็งร้อนขึ้นแล้วคลายตัว สติเริ่มก่อตัวชัดเจนอีกครั้งหนึ่งดั่งนางได้รับการรักษาด้วยเวทมนตร์ฉะนั้น
มันเป็นเวทมนตร์รักษาจริงๆ! เฟเรซิสเบิกตาให้ชัดๆ มือของพอลไลน์จับแขนข้างหนึ่งของนางพร้อมกับใช้มนตร์รักษาสีขาวนวลตา ตัวพอลไลน์ก็เรียกสติของนางอยู่เรื่อยๆกระทั่งมั่นใจว่าพิษหายไปหมดแล้วจึงเลิกทำการรักษา
“ดีขึ้นหรือยัง” พอลไลน์ถาม พีเตอร์ก็ยืนเฝ้าระวังอยู่ข้างๆ
เฟเรซิสพยักหน้า นางดีขึ้นแต่ลำคอยังแห้งผากเหมือนกลืนทรายเข้าไป
“ตรงนั้นมีคนชุดดำกำลังวิ่งหนีพอลไลน์ ให้ตามจับไหม” พีเตอร์รายงานสถานการณ์โดยรอบ เริ่มมีคนมุงดูพวกเขาสามคนมากขึ้นว่าเกิดอะไร
“พานางไปพักที่ร้านน้ำชาตรงโน้นก่อนดีกว่า คนเริ่มมุงแล้ว นางจะได้พักด้วย” พอลไลน์ดึงมือเฟเรซิสไปหาที่นั่งพัก...
“ขอบคุณท่านสักล้านหนเลยพอลไลน์ ข้าสร้างเขตแดนรอบตัวป้องกันเวทที่เป็นอันตราย แต่มันไม่มีผลกับยาสลบกับที่เป่าลูกดอกนั่น” เฟเรซิสอาการดีจนเกือบเป็นปกติแล้วขอบคุณเพื่อนใหม่ทั้งสองคนที่ช่วยนางเอาไว้ หางนางสลบคงเปิดช่องให้นักฆ่าทำงานสะดวก
“เราเพิ่งลงรถมาเดินตลาด แล้วก็เจอเจ้ายืนโซเซจึงมาช่วย เกิดอะไรขึ้นเฟเรซิส” พอลไลน์ซัก
“ไม่รู้ใครเป่าลูกดอกอาบยาสลบใส่ข้า ข้าไม่รู้แน่ชัดว่าเขาต้องการอะไร” เฟเรซิสปาดเหงื่อ หากไม่มีพอลไลน์คอยช่วยคงแย่เหมือนกัน
“คงเป็นมิจฉาชีพกระมัง พวกที่ทำความดีไม่ได้เลยสักวันในชีวิต” พีเตอร์ถอนหายใจเฮือก “ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกนะ ปีกขาวของเจ้านี่เด่นเป็นบ้า”
“แล้วพักที่ไหนหรือเฟเรซิส เดินทางคนเดียวก็อันตรายแบบนี้ล่ะ”
“ซิลวี่ลากูน นานๆทีข้าอยากพักที่หรูๆบ้าง...ข้าไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณพวกท่านมาก” เฟเรซิสโค้งขอบคุณชายหนุ่มทั้งคู่แล้วทำท่าจะเดินเที่ยวต่อ
“ไปเที่ยวด้วยกันอีกไหม” พอลไลน์ชวน “ข้าเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่วิทยาลัยในเมืองนี้ คิดว่าจะพาพีเตอร์ไปดูนี่ละ”
เฟเรซิสไม่อยากให้เพื่อนใหม่สองคนมาโดนหางเลขการถูกลอบสังหารของนาง แต่การเที่ยวชมวิทยาลัยเวทมนตร์มันยั่วใจ
“อยากสิ” นางชั่งน้ำหนักระหว่างการลอบสังหารกับวิทยาลัยเวทมนตร์ “ถือเป็นวาสนาด้วยซ้ำที่เรามาเจอกันอีก”
แล้วทั้งสามก็ตกลงไปเที่ยวด้วยกันอีกครั้ง...
วิทยาลัยเวทมนตร์เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีต้นไม้ภายในทำหน้าที่ซอยเป็นห้องต่างๆ แม้แต่บันไดก็ยังเป็นกิ่งก้านของต้นไม้ เฟเรซิสประหลาดใจกับขนาดของมันในขณะที่พอลไลน์อธิบายว่าทุกห้องมีการลงอาคมป้องกันเวทมนตร์หลุดออกไปหรือเผาต้นไม้ที่เป็นเสาของอาคาร
“สวัสดีอาจารย์ไมริล ไม่พบกันนานนะท่าน” พอลไลน์เอ่ยทักอาจารย์คนหนึ่งที่มีปีกสีฟ้าอ่อน
“พัวร์รีนงั้นหรือ ไม่เจอกันนานตั้งแต่เจ้าเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเลยนะ” อาจารย์ของวิทยาลัยตอบการทักทาย “แล้วพ่อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ตายไปนานแล้วท่านอาจารย์” พอลไลน์ตอบ
“ก็ดันทำวิจัยเรื่องที่ขัดกับเผ่าเทพทั้งทวีปนี่นา จะโดนเก็บก็ไม่แปลกหรอก”
“เรื่องที่ว่าเราสามารถอยู่กับเผ่าปิศาจได้อย่างสันตินั่นหรือ” เฟเรซิสแทรก
“ใช่แล้วแม่หญิง...ปีกสีขาวนั่น ท่านคงเป็นเฟเรซิสแห่งกองทัพเทพใช่ไหม”
“ใช่แล้วท่านอาจารย์ แต่ข้าเห็นด้วยกับพอลไลน์นะ เผ่าปิศาจที่ดีก็มีเหมือนกัน เมื่อวันก่อนเรายังไปซื้อของที่ระลึกจากร้านที่มีปิศาจเป็นคนขายเลย” เฟเรซิสเสริมเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดว่านางเป็นเผ่าเทพหัวรุนแรง
วงสนทนาเงียบอยู่ครู่หนึ่งเมื่อทุกคนรู้ว่าเฟเรซิสเป็นคนของกองทัพ
“หรือพวกท่านคิดว่าคนของกองทัพเทพเป็นคนฆ่าพ่อของพอลไลน์!” เฟเรซิสหลุดปากออกมาในที่สุด “การฆ่ามนุษย์เป็นสิ่งต้องห้ามของเผ่าเทพ มันเป็นไปไม่ได้”
“นานๆเจอกันทีอย่าคุยเรื่องเครียดกันเลยท่าน” พอลไลน์พาทุกคนออกจากบทสนทนาที่อึมครึม “ข้ายังจำตอนที่เรียนแลกเปลี่ยนที่นี่ได้ ทุกคนต้อนรับข้าอย่างหรูหรา ตอนลากันก็มีของขวัญด้วย”
“แล้วตอนนี้ทำงานอะไรล่ะ” อาจารย์ของวิทยาลัยถาม
“คิดว่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับทวีปเทพท่านอาจารย์ ข้าจึงมาเที่ยวและเก็บข้อมูลไปด้วย”
“อย่างนี้นี่เอง ข้าต้องไปสอนแล้ว ขอให้โชคดีกับหน้าที่การงานนะ”
พวกเฟเรซิสโค้งส่งอาจารย์ของวิทยาลัยแล้วพากันเดินเที่ยวต่อ พวกเขาเดินผ่านห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือทุกตารางนิ้ว โรงอาหารที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล และห้องทดลองของนักเรียนที่ปิดป้ายระวังอันตรายเต็มไปหมด
“ดูอันตรายกว่าโรงเรียนเก่าข้าอีก ที่นั่นเรามีการระเบิดอย่างน้อยวันละสองครั้ง วันไหนไม่ระเบิดเหมือนวันนั้นยังไม่เริ่มการสอน” เฟเรซิสบอกทุกคน
พวกเขาใช้เวลากว่าชั่วโมงเที่ยวดูในวิทยาลัยจนทั่ว พอจะก้าวออกประตูหน้าไปนั้นเวทมนตร์แจ้งเตือนของเฟเรซิสก็ดังขึ้น หญิงสาวดึงพอลไลน์และพีเตอร์ให้หยุดก้าวออกไปพอดีกับไม้กางเขนเหล็กล่อฟ้าร่วงลงมาจากข้างบนหลังคาเสียบพื้นต่อหน้าต่อตา หากพวกนางเดินต่อเฟเรซิสคงโดนเสียบ
พอลไลน์และพีเตอร์ตกใจขีดสุดรีบออกจากอาคารของวิทยาลัยมาเพื่อดูว่ามีใครโยนลงมาหรือเปล่า เฟเรซิสก็ออกมาดูด้วย ปลายด้านที่ชี้ขึ้นของกางเขนผุกร่อน เป็นไปได้ว่ามันอาจโดนสนิมเกาะจนผุ หรือไม่ก็มีใครใช้เวทมนตร์เร่งเวลาให้เกิดสนิมจนมันร่วงลงข้างล่าง ในเมื่อเวทมนตร์ตรวจจับของนางทำงานย่อมเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
“ให้ปลาโดนส้อมแทงตายสิ ถ้าเจ้าไม่กันเราไว้ไม่ใครก็ใครคงโดนเสียบแน่” พีเตอร์หัวเราะเสียงแห้ง
หลังจากฟังคำขอโทษขอโพยจากเจ้าหน้าที่ส่วนสถานที่ของวิทยาลัยแล้วทั้งสามตกลงจะไปกินอาหารกันก่อนแยกย้ายอีกครั้ง
“หวังว่าคราวนี้ไม่มียาพิษนะ เพราะข้ามีเวทมนตร์ตรวจหาพิษ” พอลไลน์หัวเราะห้วนๆแต่เฟเรซิสยิ้มอย่างไม่คาดหวัง
พวกเขาเลือกร้านโพนี่เกือกแก้วซึ่งเป็นร้านอาหารที่พอลไลน์เคยมากินตอนมาเรียนแลกเปลี่ยน เฟเรซิสปล่อยให้สองชายเป็นคนเลือกอาหารก่อนแล้วครุ่นคิดเกี่ยวกับพอลไลน์ พ่อของเขาจะถูกเผ่าเทพฆ่าหรือไม่นางไม่รู้ นางสงสัยแค่พอลไลน์จะสานต่องานที่ใหญ่หลวงของพ่อตนหรือไม่ ถือเป็นครั้งที่สองกระมังที่นางได้สุงสิงกับมนุษย์ (ครั้งแรกที่เอสคอร์)
นางสนใจพอลไลน์เป็นพิเศษเพราะว่าบางครั้งเขาก็คิดอะไรเหมือนนาง แล้วมนุษย์เป็นแบบนี้ทุกคนหรือไม่ มีสง่าราศีและเสน่ห์เฉพาะตัว เข้ากับคนได้ง่าย มีอารมณ์ขัน และยังเป็นสุภาพบุรุษอีก เป็นคนที่ดีและน่าจดจำ โดยเฉพาะชื่อของเขาที่ผู้คนพากันเรียกผิดเป็นพัวร์รีนกันหมดโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ตาเจ้าแล้วเฟเรซิส สั่งเลย อร่อยทุกอย่าง” พอลไลน์ยื่นแผ่นเมนูอาหารมาเกือบทิ่มหน้านาง
“แนะนำหน่อยสิ เอาแบบที่กินเร็วๆนะ ข้ามีนัดตอนตะวันตกดิน”
“อย่างนี้ข้าก็หมดสิทธิ์จีบนางแล้วสิพอลไลน์” พีเตอร์ชวนทั้งกลุ่มหัวเราะอีกครั้ง
“นัดเพื่อนไว้ต่างหาก แล้วข้าเป็นทหารนะ ไม่กลัวหรือ” เฟเรซิสขู่ พีเตอร์ส่ายหน้า
“รู้ไหม เจ้าเหมือนเทพธิดาในอุดมคติของมนุษย์เลยนะ ปีกขาว ใจดี”
“แต่ข้ามีกล้ามด้วยนะดูสิๆ” เฟเรซิสถกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นแล้วเบ่งกล้าม
“ไม่เกี่ยวนี่นา แค่มีปีกขาวๆฟูๆก็พอแล้ว” พีเตอร์ตอบ
“อย่างนั้นถ้าเรายังมีโอกาสพบกันอีก ลองมาคบกันดูไหม ทั้งสองคนเลย” เฟเรซิสพูดเล่นๆ แล้วขอบคุณบริกรที่นำอาหารมาให้...
(มีต่อ)
นางฟ้าเปื้อนเลือด(แนวแฟนตาซี) ตอนที่ 3
“อย่างนั้นข้านอนโง่ๆอยู่ห้องก็ได้ รอจนกว่าถึงเวลาแล้วค่อยไปหาสายที่ร้านขนมปัง”
ตอนแรกนางคิดเช่นนี้แล้วล้มตัวลงนอนบนที่นอนหรู ด้วยความที่เฟเรซิสไม่ชอบอยู่เฉยๆ เพียงนอนได้หนึ่งอึดใจก็ต้องลุกขึ้นมาหาอะไรทำ สุดท้ายก็จำใจออกไปดูเมืองแล้วคอยป้องกันการลอบสังหารด้วยตัวเอง
ตลาดเมืองเกลียดัลไม่ค่อยมีคนมากนัก แม้จะระแวงนักฆ่าแต่อย่างน้อยนางก็มีคนคอยระวังหลังให้
“ท่านพ่อค้า ผ้ามัดพวกนี้ขายเท่าไร” เฟเรซิสเดินไปจนเจอร้านขายผ้า จึงคิดซื้อผ้ากลับไปให้แม่ตนตัดชุดใหม่ให้
ในไม่กี่วินาทีเฟเรซิสรู้สึกถึงเข็มบางอย่างพุ่งปักที่แขนนาง สติของนางหล่นวูบใกล้ดับแต่ด้วยร่างกายที่ฝึกมาอย่างดีทำให้ยาสลบไม่เป็นผลเท่าที่ควร หญิงสาวเซไปเกาะแผงขายผ้า นี่ต้องเป็นฝีมือนักลอบสังหารแน่ นางต้องหาวิธีออกจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้
“นั่นเฟเรซิสนี่ เป็นอะไรหรือเปล่า” สติที่ใกล้ดับวูบของหญิงสาวจำเสียงนั้นได้ พอลไลน์ที่เพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน
ทันทีที่มือของใครคนหนึ่งจับที่แขนนางความรู้สึกก็เปลี่ยนไป ความเจ็บปวดเริ่มบรรเทา ร่างที่แข็งเกร็งร้อนขึ้นแล้วคลายตัว สติเริ่มก่อตัวชัดเจนอีกครั้งหนึ่งดั่งนางได้รับการรักษาด้วยเวทมนตร์ฉะนั้น
มันเป็นเวทมนตร์รักษาจริงๆ! เฟเรซิสเบิกตาให้ชัดๆ มือของพอลไลน์จับแขนข้างหนึ่งของนางพร้อมกับใช้มนตร์รักษาสีขาวนวลตา ตัวพอลไลน์ก็เรียกสติของนางอยู่เรื่อยๆกระทั่งมั่นใจว่าพิษหายไปหมดแล้วจึงเลิกทำการรักษา
“ดีขึ้นหรือยัง” พอลไลน์ถาม พีเตอร์ก็ยืนเฝ้าระวังอยู่ข้างๆ
เฟเรซิสพยักหน้า นางดีขึ้นแต่ลำคอยังแห้งผากเหมือนกลืนทรายเข้าไป
“ตรงนั้นมีคนชุดดำกำลังวิ่งหนีพอลไลน์ ให้ตามจับไหม” พีเตอร์รายงานสถานการณ์โดยรอบ เริ่มมีคนมุงดูพวกเขาสามคนมากขึ้นว่าเกิดอะไร
“พานางไปพักที่ร้านน้ำชาตรงโน้นก่อนดีกว่า คนเริ่มมุงแล้ว นางจะได้พักด้วย” พอลไลน์ดึงมือเฟเรซิสไปหาที่นั่งพัก...
“ขอบคุณท่านสักล้านหนเลยพอลไลน์ ข้าสร้างเขตแดนรอบตัวป้องกันเวทที่เป็นอันตราย แต่มันไม่มีผลกับยาสลบกับที่เป่าลูกดอกนั่น” เฟเรซิสอาการดีจนเกือบเป็นปกติแล้วขอบคุณเพื่อนใหม่ทั้งสองคนที่ช่วยนางเอาไว้ หางนางสลบคงเปิดช่องให้นักฆ่าทำงานสะดวก
“เราเพิ่งลงรถมาเดินตลาด แล้วก็เจอเจ้ายืนโซเซจึงมาช่วย เกิดอะไรขึ้นเฟเรซิส” พอลไลน์ซัก
“ไม่รู้ใครเป่าลูกดอกอาบยาสลบใส่ข้า ข้าไม่รู้แน่ชัดว่าเขาต้องการอะไร” เฟเรซิสปาดเหงื่อ หากไม่มีพอลไลน์คอยช่วยคงแย่เหมือนกัน
“คงเป็นมิจฉาชีพกระมัง พวกที่ทำความดีไม่ได้เลยสักวันในชีวิต” พีเตอร์ถอนหายใจเฮือก “ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกนะ ปีกขาวของเจ้านี่เด่นเป็นบ้า”
“แล้วพักที่ไหนหรือเฟเรซิส เดินทางคนเดียวก็อันตรายแบบนี้ล่ะ”
“ซิลวี่ลากูน นานๆทีข้าอยากพักที่หรูๆบ้าง...ข้าไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณพวกท่านมาก” เฟเรซิสโค้งขอบคุณชายหนุ่มทั้งคู่แล้วทำท่าจะเดินเที่ยวต่อ
“ไปเที่ยวด้วยกันอีกไหม” พอลไลน์ชวน “ข้าเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่วิทยาลัยในเมืองนี้ คิดว่าจะพาพีเตอร์ไปดูนี่ละ”
เฟเรซิสไม่อยากให้เพื่อนใหม่สองคนมาโดนหางเลขการถูกลอบสังหารของนาง แต่การเที่ยวชมวิทยาลัยเวทมนตร์มันยั่วใจ
“อยากสิ” นางชั่งน้ำหนักระหว่างการลอบสังหารกับวิทยาลัยเวทมนตร์ “ถือเป็นวาสนาด้วยซ้ำที่เรามาเจอกันอีก”
แล้วทั้งสามก็ตกลงไปเที่ยวด้วยกันอีกครั้ง...
วิทยาลัยเวทมนตร์เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีต้นไม้ภายในทำหน้าที่ซอยเป็นห้องต่างๆ แม้แต่บันไดก็ยังเป็นกิ่งก้านของต้นไม้ เฟเรซิสประหลาดใจกับขนาดของมันในขณะที่พอลไลน์อธิบายว่าทุกห้องมีการลงอาคมป้องกันเวทมนตร์หลุดออกไปหรือเผาต้นไม้ที่เป็นเสาของอาคาร
“สวัสดีอาจารย์ไมริล ไม่พบกันนานนะท่าน” พอลไลน์เอ่ยทักอาจารย์คนหนึ่งที่มีปีกสีฟ้าอ่อน
“พัวร์รีนงั้นหรือ ไม่เจอกันนานตั้งแต่เจ้าเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเลยนะ” อาจารย์ของวิทยาลัยตอบการทักทาย “แล้วพ่อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ตายไปนานแล้วท่านอาจารย์” พอลไลน์ตอบ
“ก็ดันทำวิจัยเรื่องที่ขัดกับเผ่าเทพทั้งทวีปนี่นา จะโดนเก็บก็ไม่แปลกหรอก”
“เรื่องที่ว่าเราสามารถอยู่กับเผ่าปิศาจได้อย่างสันตินั่นหรือ” เฟเรซิสแทรก
“ใช่แล้วแม่หญิง...ปีกสีขาวนั่น ท่านคงเป็นเฟเรซิสแห่งกองทัพเทพใช่ไหม”
“ใช่แล้วท่านอาจารย์ แต่ข้าเห็นด้วยกับพอลไลน์นะ เผ่าปิศาจที่ดีก็มีเหมือนกัน เมื่อวันก่อนเรายังไปซื้อของที่ระลึกจากร้านที่มีปิศาจเป็นคนขายเลย” เฟเรซิสเสริมเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดว่านางเป็นเผ่าเทพหัวรุนแรง
วงสนทนาเงียบอยู่ครู่หนึ่งเมื่อทุกคนรู้ว่าเฟเรซิสเป็นคนของกองทัพ
“หรือพวกท่านคิดว่าคนของกองทัพเทพเป็นคนฆ่าพ่อของพอลไลน์!” เฟเรซิสหลุดปากออกมาในที่สุด “การฆ่ามนุษย์เป็นสิ่งต้องห้ามของเผ่าเทพ มันเป็นไปไม่ได้”
“นานๆเจอกันทีอย่าคุยเรื่องเครียดกันเลยท่าน” พอลไลน์พาทุกคนออกจากบทสนทนาที่อึมครึม “ข้ายังจำตอนที่เรียนแลกเปลี่ยนที่นี่ได้ ทุกคนต้อนรับข้าอย่างหรูหรา ตอนลากันก็มีของขวัญด้วย”
“แล้วตอนนี้ทำงานอะไรล่ะ” อาจารย์ของวิทยาลัยถาม
“คิดว่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับทวีปเทพท่านอาจารย์ ข้าจึงมาเที่ยวและเก็บข้อมูลไปด้วย”
“อย่างนี้นี่เอง ข้าต้องไปสอนแล้ว ขอให้โชคดีกับหน้าที่การงานนะ”
พวกเฟเรซิสโค้งส่งอาจารย์ของวิทยาลัยแล้วพากันเดินเที่ยวต่อ พวกเขาเดินผ่านห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือทุกตารางนิ้ว โรงอาหารที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล และห้องทดลองของนักเรียนที่ปิดป้ายระวังอันตรายเต็มไปหมด
“ดูอันตรายกว่าโรงเรียนเก่าข้าอีก ที่นั่นเรามีการระเบิดอย่างน้อยวันละสองครั้ง วันไหนไม่ระเบิดเหมือนวันนั้นยังไม่เริ่มการสอน” เฟเรซิสบอกทุกคน
พวกเขาใช้เวลากว่าชั่วโมงเที่ยวดูในวิทยาลัยจนทั่ว พอจะก้าวออกประตูหน้าไปนั้นเวทมนตร์แจ้งเตือนของเฟเรซิสก็ดังขึ้น หญิงสาวดึงพอลไลน์และพีเตอร์ให้หยุดก้าวออกไปพอดีกับไม้กางเขนเหล็กล่อฟ้าร่วงลงมาจากข้างบนหลังคาเสียบพื้นต่อหน้าต่อตา หากพวกนางเดินต่อเฟเรซิสคงโดนเสียบ
พอลไลน์และพีเตอร์ตกใจขีดสุดรีบออกจากอาคารของวิทยาลัยมาเพื่อดูว่ามีใครโยนลงมาหรือเปล่า เฟเรซิสก็ออกมาดูด้วย ปลายด้านที่ชี้ขึ้นของกางเขนผุกร่อน เป็นไปได้ว่ามันอาจโดนสนิมเกาะจนผุ หรือไม่ก็มีใครใช้เวทมนตร์เร่งเวลาให้เกิดสนิมจนมันร่วงลงข้างล่าง ในเมื่อเวทมนตร์ตรวจจับของนางทำงานย่อมเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
“ให้ปลาโดนส้อมแทงตายสิ ถ้าเจ้าไม่กันเราไว้ไม่ใครก็ใครคงโดนเสียบแน่” พีเตอร์หัวเราะเสียงแห้ง
หลังจากฟังคำขอโทษขอโพยจากเจ้าหน้าที่ส่วนสถานที่ของวิทยาลัยแล้วทั้งสามตกลงจะไปกินอาหารกันก่อนแยกย้ายอีกครั้ง
“หวังว่าคราวนี้ไม่มียาพิษนะ เพราะข้ามีเวทมนตร์ตรวจหาพิษ” พอลไลน์หัวเราะห้วนๆแต่เฟเรซิสยิ้มอย่างไม่คาดหวัง
พวกเขาเลือกร้านโพนี่เกือกแก้วซึ่งเป็นร้านอาหารที่พอลไลน์เคยมากินตอนมาเรียนแลกเปลี่ยน เฟเรซิสปล่อยให้สองชายเป็นคนเลือกอาหารก่อนแล้วครุ่นคิดเกี่ยวกับพอลไลน์ พ่อของเขาจะถูกเผ่าเทพฆ่าหรือไม่นางไม่รู้ นางสงสัยแค่พอลไลน์จะสานต่องานที่ใหญ่หลวงของพ่อตนหรือไม่ ถือเป็นครั้งที่สองกระมังที่นางได้สุงสิงกับมนุษย์ (ครั้งแรกที่เอสคอร์)
นางสนใจพอลไลน์เป็นพิเศษเพราะว่าบางครั้งเขาก็คิดอะไรเหมือนนาง แล้วมนุษย์เป็นแบบนี้ทุกคนหรือไม่ มีสง่าราศีและเสน่ห์เฉพาะตัว เข้ากับคนได้ง่าย มีอารมณ์ขัน และยังเป็นสุภาพบุรุษอีก เป็นคนที่ดีและน่าจดจำ โดยเฉพาะชื่อของเขาที่ผู้คนพากันเรียกผิดเป็นพัวร์รีนกันหมดโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ตาเจ้าแล้วเฟเรซิส สั่งเลย อร่อยทุกอย่าง” พอลไลน์ยื่นแผ่นเมนูอาหารมาเกือบทิ่มหน้านาง
“แนะนำหน่อยสิ เอาแบบที่กินเร็วๆนะ ข้ามีนัดตอนตะวันตกดิน”
“อย่างนี้ข้าก็หมดสิทธิ์จีบนางแล้วสิพอลไลน์” พีเตอร์ชวนทั้งกลุ่มหัวเราะอีกครั้ง
“นัดเพื่อนไว้ต่างหาก แล้วข้าเป็นทหารนะ ไม่กลัวหรือ” เฟเรซิสขู่ พีเตอร์ส่ายหน้า
“รู้ไหม เจ้าเหมือนเทพธิดาในอุดมคติของมนุษย์เลยนะ ปีกขาว ใจดี”
“แต่ข้ามีกล้ามด้วยนะดูสิๆ” เฟเรซิสถกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นแล้วเบ่งกล้าม
“ไม่เกี่ยวนี่นา แค่มีปีกขาวๆฟูๆก็พอแล้ว” พีเตอร์ตอบ
“อย่างนั้นถ้าเรายังมีโอกาสพบกันอีก ลองมาคบกันดูไหม ทั้งสองคนเลย” เฟเรซิสพูดเล่นๆ แล้วขอบคุณบริกรที่นำอาหารมาให้...
(มีต่อ)