นางฟ้าเปื้อนเลือด ตอนที่ 12

กระทู้สนทนา
ท่ามกลางความงุนงงของเฟเรซิส วิเรียนยังคงเคาะหัวนางเล่นไม่หยุดมือพร้อมกับบ่นเรื่องความฉลาดแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของเฟเรซิส ผู้รักษาการแทนผู้บัญชาการสูงสุดอยากแย้งในหลายเรื่องแต่โดนสั่งให้คาบก้านดอกลิลลี่ขาวเอาไว้เพื่อให้สงบปากสงบคำ
 
            “เขากับข้าหวังกับเจ้าไว้มากมาย ซึ่งตัวเจ้าดันความรู้สึกช้าเกินจนไม่รู้เรื่องรู้ราว ถ้าไม่อยากให้จิ้มหัวข้าไปจิ้มตรงอื่น จะเอารึ!” ว่าที่ผู้บัญชาการสูงสุดเอ็ดเสียงแหลม “แผนของข้าเกือบล่มเพราะมีนักฆ่าไปหาเจ้าทำให้ต้องกลับศูนย์กลางก่อนเวลาที่คิดไว้ โชคดีที่ผู้กล้าพัวร์รีนเข้ามาเขาจึงแกล้งถอยทัพได้โดยไม่ต้องยุ่งกับเจ้า!”
 
            เฟเรซิสครางออกมาเป็นคำถามว่ากำลังพูดถึงใครอยู่ นั่นยิ่งทำให้วิเรียนใช้แรงหนักขึ้นอีกพร้อมถามกลับว่าใครกันที่เป็นตัวปัญหาสูงสุดในเวลานี้ คนเดียวที่นางคิดออกคือโทนาช!
 
            “เขาไม่ได้รวบรวมปิศาจไว้เพื่อเจตนาร้าย” วิเรียนจงใจขยี้หัวของเฟเรซิสอย่างหนักหน่วง “เขากำลังร่วมมือกับข้าเพื่อขุดรากถอนโคนกลุ่มหนุนหลังเทพอสูร พวกนั้นยื่นข้อเสนอมาเขาจึงแกล้งทำตามแล้วให้เจ้ากับข้ายืนอยู่อีกฟากฝั่ง ที่ต้องจัดฉากให้ผู้บัญชาการสูงสุดตายก็เพื่อไม่ให้ทางนั้นระแวง”
 
            เฟเรซิสมีคำถามมากมายอยากพูดในเวลานี้ หากอาการของนางทำให้วิเรียนปวดหัวมากขึ้นและบ่นว่าควรคุยกับคนที่คุยรู้เรื่องมากกว่า
 
            “ผู้กล้าพัวร์รีน ป่านนี้ท่านคงเตรียมพร้อมอยู่หน้าห้องเพื่อรอถามเกี่ยวกับพ่อของท่านแล้ว หากท่านช่วยข้าจัดการในห้องด้วยจะเป็นพระคุณอย่างมาก” วิเรียนยังคงสนุกกับการเคาะหัวของเฟเรซิสราวของเล่น “หน้าต่างบานที่สี่จากทางซ้าย มีอยู่สามตำแหน่ง เข้ามาแล้วข้าจะชี้บอก ใช้ยายนี่เป็นข้ออ้างก็ได้”
 
            เมื่อพูดจบวิเรียนก็หยุดเล่นหัวของเฟเรซิส นางมองหน้าต่างก่อนหันมาคุยเล่นกับคนที่นอนหนุนตักอยู่
 
            “เรามาแสดงละครกันดีกว่าเฟเรซิส ข้าน่าจะลองปิดปากเจ้าด้วยอย่างอื่นนอกจากดอกไม้นั่นนะ” ดวงตาของวิเรียนฉายแววชั่วร้ายขึ้นมาเหมือนกำลังเล่นละครอยู่ ดอกไม้ที่ปากของเฟเรซิสถูกดึงออกเพื่อเปิดโอกาสให้นางก้มลงหมายประกบปากกัน
 
            ราวกับทุกสิ่งผ่านการนัดแนะกันอย่างดี กำแพงห้องทำงานของวิเรียนตรงจุดที่ตั้งของหน้าต่างบานที่สี่จากทางซ้ายระเบิดจนเป็นช่องกว้าง! แสงตะวันยามเย็นเหมือนเปลวเพลิงฉายเข้ามาพร้อมเงาของคนผู้หนึ่ง
 
            เฟเรซิสลุกขึ้นดูการระเบิดทันทีที่ทำได้ นางสาบานว่าวิเรียนยิ้มมุมปากราวกับทุกอย่างเป็นไปตามแผน
 
            “ไร้มารยาทเสียจริงผู้กล้าพัวร์รีน พังห้องทำงานของข้าในเวลาแบบนี้ไม่ฉลาดเลยนะ” วิเรียนเชิดหน้าในขณะที่พอลไลน์ก็ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไร้รอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง “ประตูห้องอยู่ทางโน้น เดินออกไประวังแจกันนั่นด้วย ของแพงจากตะวันตะวันออกไกลเชียว”
 
            คำพูดของวิเรียนทำให้เฟเรซิสรู้สึกสับสนเล็กน้อย เหมือนนางเข้าใจได้แค่ครึ่งเดียวว่าวิเรียนต้องการชี้เป้าให้พอลไลน์ เพราะแจกันประดับที่ว่าอยู่คนละมุมห้องกับประตูทางออก
 
            “เฟเรซิสเป็นผู้หญิงของข้า ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!”  พอลไลน์พูดไปก็มองหาแจกันที่ว่าไปด้วย พอวิเรียนรู้ว่าเขาหาเจอแล้วก็พูดต่อ
 
            “มองหาอะไรหรือท่านผู้กล้า มนุษย์อย่างท่านก็ควรกลับไปแดนมนุษย์อยู่แล้ว อยู่ทางตะวันตกของทวีปเทพสินะ...” วิเรียนทำท่าจะชี้มือไปอีกฟากห้องตรงข้ามแจกันแล้วชักมือกลับ พลางบ่นว่านางหลงทิศเสมอเวลาอยู่ในห้องทำงาน “คงไปทางห้องน้ำของข้ากระมัง บ้านเกิดของท่านน่ะ” แม้จะฟังดูเหมือนคำหยามทว่าแววตาของวิเรียนมีท่าทีวิงวอนต่อคู่สนทนา
 
            ไม่ถึงอึดใจผู้กล้าหนุ่มก็มองเห็นจุดที่วิเรียนบอกผ่านคำพูดข้างต้นได้ทั้งหมด พอลไลน์แสร้งแสดงอาการไม่พอใจทางสีหน้าแล้วชูมือขึ้นเพื่อใช้เวทมนต์ ห้องของวิเรียนถูกระเบิดจนพินาศในพริบตาเดียว! น่าแปลกที่มีแค่จุดที่เจ้าของห้องบอกเท่านั้นที่เสียหาย ผงคลีและเครื่องตกแต่งกระจัดกระจายไปทั่ว
 
            วิเรียนเอ่ยคำสั้นๆ เวทมนตร์ตรวจจับของนางกระจายไปทั่วห้องราวกับค้นหาบางอย่าง จากนั้นนางก็ทำท่าโล่งใจแล้วหันมาขอบคุณพอลไลน์
 
            “ขอบคุณท่านผู้กล้าที่ช่วยข้าทำลายเครื่องสอดแนมทั้งสามอัน เท่านี้ข้าก็มีอิสระในห้องนี้จนกว่าพวกนั้นจะแอบเข้ามาติดตั้งมันอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้นคงต้องรบกวนท่านอีก” ว่าที่ผู้บัญชาการสูงสุดถึงกับยอมก้มหัวให้มนุษย์ด้วยความขอบคุณ “เล่นตามน้ำไปก่อน พวกทหารจะมาแล้ว”
 
            สิ้นเสียงของวิเรียนประตูห้องทำงานก็เปิดออก เหล่าทหารภายนอกเข้ามาดูเพราะได้ยินเสียงระเบิดจากข้างใน            เจ้าของห้องกับพอลไลน์ขอโทษทันที่ว่าเผลอตัวอาละวาดเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง  
            “ข้ากับสองคนนี่จะไปถกกันต่อในห้องของเฟเรซิส ฝากพวกเจ้าติดต่อพนักงานทำความสะอาดด้วย และห้ามใครมายุ่งกับห้องนี้เด็ดขาด หากสมบัติมีค่าหายไปผู้บัญชาการสูงสุดคนก่อนตายตาไม่หลับแน่”
 
            ว่าที่ผู้บัญชาการสูงสุดร้องขอรถเข็นคนป่วยสำหรับเฟเรซิสที่นั่งบื้ออยู่ ไม่ถึงอึดใจพวกเขาทั้งสามคนก็เดินไปยังห้องทำงานของเฟเรซิสที่อยู่อีกอาคารหนึ่ง พอลไลน์กับวิเรียนแย่งกันเข็นรถคนป่วยจนยอมให้พอลไลน์เข็นให้ตามมารยาท
 
            ท่ามกลางความเงียบช่วงสั้นๆพอลไลน์ก็พูดแก้เรื่องที่วิเรียนเรียกเขาว่าผู้กล้าทันที เฟเรซิสเห็นว่าไม่สำคัญจึงไม่เคยเรียกเขาว่าผู้กล้าเลยสักครั้ง ส่วนตัววิเรียนนั้นหันกลับมามองลอดแผงปีกสีเขียวแล้วอธิบายอย่างเป็นการเป็นงาน
 
            “กรุณาอย่าเอามารยาทของเฟเรซิสมาตัดสินพวกเราเผ่าเทพทั้งหมด” วิเรียนไม่แม้หันกลับมาสบตาตอนพูด “เผ่าเทพอย่าเราถือเกียรติยิ่งกว่าชีวิต โองการจากเทพเก่าแก่และสี่เสาค้ำจุนคือที่สุดของชีวิตพวกเรา ถือเป็นคุณค่าสูงสุดที่ได้รับใช้ผู้ควบคุมทุกชีวิตบนดินแดนนี้ ไม่ว่าคำสั่งนั้นจะฟังดูบ้าบอไร้แก่นสารแค่ไหนเราก็พร้อมปฏิบัติตาม และคำทำนายของเทพเก่าแก่บอกว่าท่านคือผู้กล้า พวกเราก็ต้องยึดถือตามนั้น” 
 
            เฟเรซิสรู้สึกเจ็บแปลบๆจากคำเหน็บของวิเรียน ทว่านางก็ไม่สามารถพูดอะไรเรื่องนี้ได้เช่นกัน
 
            “ท่านก็คงรู้ว่าพวกนอกลู่นอกรอยนั้นมีทุกเผ่าพันธุ์และเฟเรซิสก็เป็นอย่างนั้น นางจึงเป็นตัวตั้งตัวตีในกลุ่มทหารหญิงได้ ข้าออกจะอิจฉานางที่มีอิสระและมีความคิดที่เปิดกว้างกว่าสายเลือดทหารเก่าอย่างข้า...ข้าจึงทั้งรักทั้งหลงนางอย่างไรละ” 
 
            เฟเรซิสได้ยินคำบอกรักจากวิเรียนหลายครั้งแต่ไม่มีครั้งใดที่ทำให้รู้สึกดีเท่าครั้งนี้แม้จะรู้สึกเหมือนโดนตบหัวแล้วลูบหลัง นางชอบทำให้คนอื่นยอมรับจึงยินดีรับคำชมดังกล่าวไว้ วิเรียนเปิดประตูห้องทำงานของเฟเรซิสแล้วโค้งน้อยๆให้พอลไลน์เข็นเจ้าของห้องเข้าไปก่อน
 
            “ตามความคาดหมายของพวกนั้นเฟเรซิสต้องตายด้วยมือโทนาชไม่ก็โดนลอบสังหาร ดังนั้นในนี้จึงไม่ถูกติดเครื่องสอดแนมเหมือนห้องของข้า พวกนั้นเสียมารยาทมากที่ได้ไปทั้งภาพและเสียง โชคดีที่ยังเว้นข้างในห้องน้ำให้บ้าง” วิเรียนปิดประตูลั่นดานแล้วใช้เวทมนตร์ตัดเสียงออกไปข้างนอกอีกครั้ง
 
            “วิเรียน ท่านรู้เรื่องของพ่อข้าหรือไม่” พอลไลน์ป้อนคำถามทันที 
 
            ว่าที่ผู้บัญชาการสูงสุดยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมก่อนจะบอกว่านางรู้ทุกเรื่องเท่าๆกับโทนาช พอลไลน์เอ่ยถามข้อต่อรองทันที
 
            “ท่านต้องช่วยข้าก่อนท่านผู้กล้า ช่วยข้ากับโทนาชปราบผู้อยู่เบื้องหลังแล้วข้าจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง” วิเรียนทำเป็นเอียงคอรอให้อีกฝ่ายตอบรับข้อเสนอ “ข้าเชื่อว่าท่านเป็นคนมีเหตุผลพอหยุดฟังพวกเรา... ข้าอยากให้ท่านดำเนินการอยู่เบื้องหลัง”
 
            “หมดหมากแล้วสินะสำหรับว่าที่ผู้บัญชาการสูงสุด” พอลไลน์ลดความเคารพวิเรียนลงบ้างเพราะนางดึงดันเรียกเขาว่าผู้กล้า “ลองโดนติดเครื่องแอบมองถึงสามตัวในห้องแบบนี้คงมีสายของพวกนั้นอยู่ในศูนย์กลางเต็มไปหมด และท่านก็แสดงออกว่ารู้ตัวไม่ได้ด้วย”
 
            วิเรียนแค่นหัวเราะที่โดนพูดแทงใจดำ นางแก้ตัวว่าเป็นแค่คนรู้จักกับผู้บัญชาการสูงสุดก็โดนเพ่งเล็งแล้วว่าจะเป็นก้างขวางคอ
 
            “ก็โทนาชตอบตกลงกับพวกนั้นอย่างเหนือความคาดหมาย ข้าที่เป็นว่าที่ผู้บัญชาการสูงสุดจึงโดนเฝ้ามองด้วยกลัวว่าจะร่วมมือกับตานั่นเพื่อหักหลัง ซึ่งพวกนั้นคิดถูก ส่วนเฟเรซิสบทนางจะโง่ก็โง่จนข้าทนไม่ไหว”
 
            เฟเรซิสที่เป็นแค่ตัวประกอบในการสนทนาบ่นขอโทษที่ไม่ฉลาดเหมือนทั้งสองคน             
 
            “ตอนนี้แม้แต่หน่วยลับของพ่อข้าก็ถูกจับตามองอีกต่อหนึ่ง มีเพียงคนนอกอย่างท่านเท่านั้นที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เหล่าทหารไม่ยากยอมรับท่านเพราะเป็นมนุษย์แต่อย่างน้อยก็ได้รับเลือกเป็นผู้กล้า ไม่สังเกตหรือว่าไม่มีใครสงสัยการกระทำของท่านแม้จะไม่อยากรับความช่วยเหลือ และพวกนั้นก็ยังไม่คิดว่าท่านจะเป็นภัยด้วย เหมาะสมจะทำงานใต้ดินที่สุด”
 
(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่