ภายในสวนถูกถมด้วยไอระอุแห่งเปลวเพลิง จากการทดลองกับร่างกายตัวเองทำให้เฟเรซิสเริ่มสงสัยว่าตนกำลังทำบางอย่างซึ่งไร้สาระ ร่างกายบอบบางเพราะปอดเสียหายเริ่มแสดงอาการเหนื่อยทีละน้อย แบบนี้คงทำได้แค่ยืนมองเท่านั้น
กลางพื้นที่ป้องกันอดีตผู้บัญชาการกำลังสำแดงอำนาจบารมีคาดคั้นให้พวกที่นอนอยู่บอกข้อมูลผู้รู้วิธีคืนชีพคนตาย!
ในใจของหญิงสาวอยากช่วยเหลือผู้เดินหาความหวังแต่บางสิ่งไม่ถูกต้อง คนสิ้นชีพสมควรปล่อยไปตามวงจรแห่งชีวิต และเวลาขอร้องใครควรคุยกันอย่างผู้มีอารยะไม่ใช่จับมัดมือเท้าแล้วขู่ฆ่า! แต่ถ้าเฟเรซิสเป็นเขาคงทำแบบเดียวกันจึงต่อว่าไม่ลง พีเตอร์เรียกโทนาชเพื่อคุยเรื่องงานแต่มือเอื้อมไปแตะด้ามกระบี่เตรียมเอาไว้
“วิเรียนบอกว่าท่านจะคุยแผนกับข้าก่อน ทำไมอาละวาดขึ้นมาเฉยๆ” เฟเรซิสขวางการปะทะกันด้วยการนำเข้าภารกิจหลัก “ปล่อยพวกนั้นให้เป็นหน้าที่สืบสวนของพวกเรา ท่านเอาอารมณ์มาเกี่ยวข้องกับงานมากเกินไปแล้ว!”
โทนาชเก็บลูกแก้วบินได้กลับสู่มือ ท่าทางเป็นกังวลทำให้ริ้วรอยก่อนวัยชัดเจนขึ้น
“ข้าอยากรีดเรื่องสำคัญก่อน ถ้าพวกนี้เจอพัวร์รีนต้องพล่ามเรื่องพ่อเขาไม่หยุดแน่!” อดีตผู้บัญชาการไม่ยอมปล่อยนักโทษห้ารายให้แต่โดยดี ทั้งหมดน่าจะเป็นมนุษย์สอง วิญญาณธาตุสอง เผ่าเทพหนึ่ง นางอยากสอบสวนเผ่าเทพที่ไปเข้ากับฝ่ายมืดด้วยตัวเองแต่ยังไม่ใช่เวลา
“ไปเกี่ยวกับเขาตรงไหนล่ะนั่น” เฟเรซิสเท้าเอวเพราะเชื่อว่านักโทษรู้เรื่องเกี่ยวกับพวกพอลไลน์ ทหารภายนอกมองเห็นรอยแตกจึงพากับเข้ามา
การหาทางเข้าอาณาเขตแบบปกติคงเป็นฟางเส้นสุดท้ายของพีเตอร์ ในเมื่อมีผู้รู้ความจริงตรงหน้าเงื่อนไขการร่วมมือก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป กระบี่แห่งธาตุลมลอยออกจากฝักพุ่งเข้าหาผู้มีปีกสีเพลิงทันที! โทนาชถอยด้วยอารามตกใจ พันธนาการนักโทษคนหนึ่งคลายลงจนสามารถออกเสียงได้
“นั่นแหละ! ฆ่ามันซะ!” หนึ่งในคนร้ายร้องให้พีเตอร์สังหารอดีตผู้บัญชาการเสีย!
กระบี่พุ่งเข้าหาเป้าหมายเหมือนงูฉก โทนาชปัดป้องพยายามเปลี่ยนการต่อสู้เป็นการพูดคุย
“พวกเราทำสัญญากันแล้วทำไมย้ายข้างล่ะ!” โทนาชเรียกสติชายหนุ่ม
“คนทำสัญญาน่ะพอลไลน์!” พีเตอร์หมายทำตามเจตนาดั้งเดิมเมื่อย่างเท้าสู่ทวีปเทพ ดั่งความมีเหตุมีผลถูกอารมณ์ลบล้างจนหมด โทนาชเบี่ยงทิศกระบี่ขณะยืนกรานว่าตนคือฝ่ายถูก
เฟเรซิสเห็นพวกทหารในเครื่องแบบเข้ามาสงบเหตุจึงออกคำสั่งจับทั้งห้าคนบนพื้นให้แน่นหนา โทนาชสามารถป้องกันตัวจากพีเตอร์ไปพร้อมจับนักโทษด้วยเวทมนตร์ แต่ถ้าปล่อยไว้เรื่องอาจบานปลาย
“อย่าถามมาก ทำไมอยู่ๆเกิดขี้สงสัยกันจัง!” เฟเรซิสคำรามเพราะทหารบางนายแสดงอาการเป็นห่วงว่าเหตุใดไม่ไปหาหมอย่างป่าวประกาศ
ในเมื่อพวกพลทหารทำงานช้านักนางก็ต้องช่วย แผงปีกสีขาวผงาดขึ้นปล่อยขนปีกบางออกมาด้วยคำสั่งทางเวทมนตร์ แค่พริบตาขนเหล่านั้นก็หลายเป็นใบมีดพุ่งปลดสิ่งรัดตัวผู้ต้องหาให้ลูกน้องรวบตัวได้โดยง่าย
“ข้ารอให้จับพวกนี้ได้สักคนอยู่แล้ว ฟังกันก่อน!” โทนาชตั้งรับพีเตอร์อยู่ฝ่ายเดียว หากเขาใช้กำลังคงทำให้คุยกันยากยิ่งขึ้น
เมื่ออดีตผู้บัญชาการเห็นว่าไม่สามารถสนทนาได้จึงถอยหนีลดความเสียหายเป็นอันดับแรก ฝ่ายพีเตอร์ได้โอกาสตวัดกระบี่แทงใส่ปล่อยกระสุนลมเข้าหาดั่งยิงศรใส่นก! หากบินขึ้นฟ้าจะกลายเป็นเป้าให้ยิงร่วงง่ายๆ
เฟเรซิสถอนหายใจอย่างหงุดหงิดที่เหล่าพลทหารไม่กล้าเข้าไปห้ามสองคนนั้น หญิงสาวเดินเข้าไปหาสองคนซึ่งต่างรุกไล่กันเหมือนเล่นสนุก พลังจากบางแห่งซึ่งนางไม่เคยสัมผัสไหลออกมาอาบปีกทั้งสองข้างตามความต้องการยุติการใช้กำลัง
เวทมนตร์เสริมกำลังเลื่อนย้ายจากปีกสู่ขาสองข้างทันที หญิงสาวเริ่มรู้สึกล้าหากยังยืนได้ด้วยใจสู้ การกระโจนเพียงครั้งเดียวก็คว้าคอพีเตอร์ลงไปนอนกองกับพื้นอย่างง่ายดาย กระบี่ของเขาชี้ไปอีกทางจึงเสี่ยงน้อยกว่าที่คิด
“นี่ก็หัดฟังกันบ้าง!” เฟเรซิสพูดอย่างมีชัย พีเตอร์ยอมสงบเมื่อถูกจับกดกระแทกพื้น โทนาชก้าวเข้ามาหาคงคิดบอกให้ใจเย็น หญิงสาวยังรัดชายหนุ่มเอาไว้เหมือนนักมวยปล้ำเผื่อเกิดคลั่งขึ้นมาอีก
มีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นเพราะโทนาชหันมองนักโทษด้านหลัง พื้นดินใต้ร่างของเฟเรซิสสั่นเล็กน้อยเหมือนทุกครั้งที่มีเวทมนตร์ธาตุเข้ามาแทรก นางไม่สามารถลุกหรือหลบได้ทันทีเพราะแขนข้างหนึ่งไขว้กดรอบคอของพีเตอร์เพื่อตรึงให้อยู่กับพื้น!
หญิงสาวตัดสินใจเสี้ยววินาทีด้วยการพลิกตัวหมายหลบบางอย่างพร้อมกันทั้งคู่ เมื่อตระหนักได้ว่าไม่พ้นรัศมีเวทมนตร์ผู้แข็งแกร่งที่สุดก็ยื่นมือเข้ามาช่วย ร่างของเฟเรซิสกับพีเตอร์เคลื่อนห่างจากจุดเดิมก่อนเข็มโลหะหลายอันยื่นขึ้นจากดินเป็นแถบอย่างหลังตัวเม่น!
ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น! เฟเรซิสหันไปมองผู้ช่วยเหลือ โทนาชคงมัวแต่ช่วยพวกนางไม่ก็กะระยะผิด เข็มใหญ่สีเงินสองอันฝังส่วนปลายบนร่างของเขาอย่างไม่ถนัดนักเพราะสุดระยะพอดี กระนั้นยังเรียกเลือดออกมาจากร่างแกร่งได้สมความต้องการของผู้ถูกจับกุม!
“ถ้าหลุดมาอีกครั้งเตรียมรับข้อหาบกพร่องต่อหน้าที่ได้เลย!” เฟเรซิสไม่รู้ว่าตนตะโกนมากี่ครั้งแล้ว บางทีคงต้องให้วิเรียนพิจารณาเพิ่มการฝึกให้เข้มงวดมากกว่าเดิม หญิงสาวรีบลุกไปดูผู้บาดเจ็บทันที
แม้โทนาชจะแกร่งแต่ก็มีเนื้อหนังเหมือนชีวิตปกติบวกกับต่อสู้มาพักใหญ่ทำให้ร่างกายถดถอย ผู้มีปีกสีเพลิงทรุดนั่งหอบเหนื่อย ไม่มีเสียงครางใดๆลอดออกมาแต่เห็นชัดว่าฝืนยืนต่อไม่ไหว
“มันเกิดอะไรขึ้น” พีเตอร์ผู้ไม่เข้าใจเรื่องตรงหน้าลุกขึ้นคลำตัวว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง เฟเรซิสเล่าให้ฟังคร่าวๆว่านางตะครุบเขาลงพื้นแล้วโทนาชช่วยให้รอดพ้นจากเวทมนตร์ซึ่งยังมีหนามงอกจากดินเป็นทางยาว
“เอาไว้ถามตอนไปศูนย์พยาบาล ข้าไม่ยอมให้ซ้ำคนเจ็บเด็ดขาด!” หญิงสาวประกาศกร้าวว่าห้ามทำร้ายคนหมดสภาพสู้ นางรีบหันไปเร่งทหารส่วนหนึ่งให้นำโทนาชไปศูนย์พยาบาลของเมือง จากนั้นก็เดินไปหานักโทษห้าคนซึ่งจำกัดการเคลื่อนไหวทุกอย่างรวมถึงเวทมนตร์ “รู้สินะว่าถ้าปากแข็งแล้วจะพบกับอะไร!”
เฟเรซิสทำเป็นเก่งได้แค่จบประโยคเพราะความอ่อนล้าจากภายในถาโถมออกมาทันตาเห็น นางเก็บปีกให้พื้นที่ร่างลดแล้วเซไปเกาะไหล่พลทหารคนหนึ่ง ปากบอกว่าให้พานางไปพร้อมอดีตผู้บัญชาการเลย...
“เรียกเฟเรซิส ท่านเฟเรซิส” เฟเรซิสขู่พวกทหารทั้งที่อยู่บนเตียงชั่วคราว นางประกาศชัดเจนว่าหลังเรื่องนี้จบจะออกจากงานโดยไม่สนการรับรองจากตาแก่ทั้งหลายแหล่
โทนาชได้รับการรักษาขั้นต้นจากศูนย์พยาบาลของเมืองทันทีส่วนหญิงสาวต้องนอนพักให้ร่างกายฟื้นตัวอย่างสงบบนเตียงเสริมชั่วคราว
“เราคุมตัวนักโทษทั้งห้าคนไว้แน่นหนาที่สุดแล้วท่านเฟเรซิส” แม้เปลี่ยนชื่อเรียกแต่ความเป็นลูกพี่ลูกน้องยังคงอยู่ “ส่วนพีเตอร์แยกตัวไปติดต่อท่านพัวร์รีน เราป้องกันไมให้เขาถึงตัวท่านโทนาชได้ถนัดตามคำสั่ง ทางท่านวิเรียนคงมาถึงในอีกครึ่งชั่วโมง”
หญิงสาวมีลางสังหรณ์ว่าปล่อยพวกพอลไลน์คุยกับโทนาชแบบตัวต่อตัวไม่ได้เด็ดขาด อย่างน้อยนางอยากให้วิเรียนอยู่ด้วย หรือไม่ก็ต้องได้ยินเสียก่อนว่านักโทษเหล่านั้นรู้อะไร!
“ข้าจะไปคุยกับคนที่จับตัวมา หากโทนาชไปไม่ไหวก็จับนั่งรถเข็นไป อย่าให้พวกพีเตอร์รู้เรื่องนี้เด็ดขาด ต่อให้วิเรียนมาก็ให้นางรอข้างนอกจนกว่าข้าจะให้เข้าพบได้” หญิงสาวขบกรามยามลุกยืน ข้อต่อและกล้ามเนื้อปวดเมื่อยเหมือนเพิ่งบินทางไกลมา “ให้คนไปหาพีเตอร์ บอกให้เขาพาไปอธิบายเหตุการณ์เมื่อเช้าให้ฟังว่าเกิดอะไรมีความเสียหายตรงไหนบ้าง ถามให้ละเอียดที่สุดเท่าที่ทำได้ แบบนี้เราจะถ่วงเวลาได้เกือบชั่วโมง”
เฟเรซิสถูกลูกน้องจับนั่งรถเข็นไปศูนย์รักษาความสงบของเมืองเมื่อมั่นใจว่าพีเตอร์ไปไกลแล้ว โทนาชผู้อยู่ในการควบคุมตัวหลุดหัวเราะเพราะเขาแค่เสียเลือดซึ่งไม่เจ็บหนักขนาดต้องนั่งรถเข็น นั่นสร้างความอับอายแก่หญิงสาวมากพอจะยัดความผิดให้ลูกน้องเพื่อลงโทษก่อนตนออกจากตำแหน่ง
“พวกนั้นคืนชีพให้คนตายได้จริงๆหรือ” เฟเรซิสหยุดความเก้อเขินด้วยเรื่องจริงจัง นางไม่จำเป็นต้องกลัวพลทหารรอบตัวได้ยินเรื่องพวกนี้อีกแล้ว
“ไม่เคยเห็นตอนคืนชีวิตให้ แต่มีผู้ร้ายซึ่งตายไปแล้วกลับมาเดินได้อีกครั้ง มั่นใจว่าเป็นคนเดียวกันเพราะข้าเป็นคนส่งลงหลุมเอง รายงานการจับกุมและสังหารยังคงอยู่ที่สำนักงาน เมื่อสักสิบปีก่อนได้...มันเยาะเย้ยว่ากลับมาจากความตายเพื่อฆ่าอีกครั้ง ฝ่ายมืดรู้ความลับข้าจึงเอาเรื่องนี้มาต่อรอง”
“ขนาดข้ายังสงสัยเลยว่ายอดส่งเผ่าพันธุ์ต่างๆกลับถิ่นฐานและเขตรอยต่อไม่ตรงกับที่รวบรวมได้” เฟเรซิสเปรยว่ายิ่งตัวใหญ่เวลาพลาดก็ยิ่งก่อหายนะใหญ่ตามตัวไปด้วย “หลังจากนั้นก็อย่างที่วิเรียนบอก ท่านทำตัวเป็นพระเอกในดงศัตรู คิดจะตายอย่างวีรบุรุษหรือไง”
“จะว่าข้าเป็นพวกยึดติดหรือเห็นแก่ตัวก็ได้ คนเรามีสิทธิ์ฝัน จริงหรือเกินจริงมันไม่เกี่ยวหรอก” โทนาชทำให้หญิงสาวประท้วงถึงความเป็นปรัชญาในคำพูด “ข้าเลือกทางผิดจนเปลี่ยนชะตากรรมนางไม่ได้ ถ้าข้าไม่ดูดายความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนั่นคงไม่เป็นอย่างนี้ น่าแปลกที่คำภาวนาไม่เคยส่งถึงเสาค้ำจุนของเราเลย” โทนาชพูดถึงภรรยาซึ่งเสียไปแล้วอย่างมีอาลัย
“ข้าเชื่อว่าชีวิตเป็นล้านเคยภาวนาแบบนี้ ถ้าได้เฉพาะพวกเราก็ไม่ยุติธรรมสิ ความจงรักภักดีต่อเสาค้ำจุนควรเป็นสิ่งบริสุทธิ์ไม่เคลือบแฝง นั่นคือสิ่งที่พวกเรายึดถือกันมาตลอด ท่านต้องมีเส้นทางที่ต่างออกไปแน่ จะต้องมีความหมายบางอย่างในการตายของนาง แค่ท่านเชื่อในเสาค้ำจุนและเฝ้ารอ”
หญิงสาวแสดงเศษเสี้ยวความเถรตรงอย่างไม่ปิดบัง
“ถ้าข้าบอกว่ามีวิญญาณธาตุที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บถาวรของเจ้าให้หายขาดได้จะสนไหม” โทนาชทำนางนิ่งงัน หญิงสาวรู้ว่าเขากำลังสอนเหมือนทุกครั้งแต่มันเย้ายวนเหลือเกิน หากได้พบวิญญาณธาตุนั่นนางอาจลุกกวัดแกว่งดาบดังเดิมได้! “นั่นล่ะสำคัญ เราจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นกลลวงของฝ่ายมืดหรือการชี้นำของเสาค้ำจุน”
เฟเรซิสนิ่งครุ่นคิดเหมือนทุกครั้งที่โทนาชสอนเรื่องต่างๆ นางสลัดเรื่องวิญญาณธาตุทิ้งได้ในที่สุด
“แล้วของท่านคืออันไหนล่ะ” เฟเรซิสย้อนถาม
“การชี้นำ” โทนาชพูดโดยมีรอยยิ้มบางๆ หญิงสาวขมวดคิ้วเร่งถามว่าเหตุใดจึงมั่นใจนัก “เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า เรื่องเครียดกำลังมาแล้ว ไม่ต้องรีบขนเรื่องอื่นมาเพิ่มหรอก”
ในเมื่ออีกฝ่ายอยากลดความตึงเครียดหญิงสาวก็จัดให้ ต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะเลือกได้
“วิเรียนจะขึ้นเป็นผู้บัญชาการสูงสุด ส่วนข้าจะลาออกหลังเรื่องนี้ ท่านว่านางกับผู้สืบทอดของพวกเราจะทำงานได้ดีไหม” เฟเรซิสบ่นว่าการถูกลูกน้องบังคับนั่งรถเข็นคงเป็นหลักฐานมากพอให้อดีตผู้บัญชาการรับรองใบลาออกแล้ว โทนาชตอบขันๆว่าทุกอย่างคงดีกว่าเดิม
“นางถูกบังคับให้จมอยู่กับตำราตั้งแต่ยังเด็กเพราะมีลักษณะดี ตลอดมานางมองเด็กคนอื่นผ่านหน้าต่างและเห็นว่าการออกจากความคิดของผู้ใหญ่คงน่าสนุก แม้จะรู้สึกอย่างนั้นวิเรียนก็ไม่กล้าก้าวนอกเส้นที่พ่อตนวางไว้ให้ รับตำแหน่งเสร็จนางคงทำให้ศูนย์กลางมีอะไรใหม่บ้าง อาจคาดหวังได้มากกว่าตอนพ่อนางยังกุมชะตากรรมลูกสาวเอาไว้
(มีต่อ)
นางฟ้าเปื้อนเลือด ตอนที่ 20
กลางพื้นที่ป้องกันอดีตผู้บัญชาการกำลังสำแดงอำนาจบารมีคาดคั้นให้พวกที่นอนอยู่บอกข้อมูลผู้รู้วิธีคืนชีพคนตาย!
ในใจของหญิงสาวอยากช่วยเหลือผู้เดินหาความหวังแต่บางสิ่งไม่ถูกต้อง คนสิ้นชีพสมควรปล่อยไปตามวงจรแห่งชีวิต และเวลาขอร้องใครควรคุยกันอย่างผู้มีอารยะไม่ใช่จับมัดมือเท้าแล้วขู่ฆ่า! แต่ถ้าเฟเรซิสเป็นเขาคงทำแบบเดียวกันจึงต่อว่าไม่ลง พีเตอร์เรียกโทนาชเพื่อคุยเรื่องงานแต่มือเอื้อมไปแตะด้ามกระบี่เตรียมเอาไว้
“วิเรียนบอกว่าท่านจะคุยแผนกับข้าก่อน ทำไมอาละวาดขึ้นมาเฉยๆ” เฟเรซิสขวางการปะทะกันด้วยการนำเข้าภารกิจหลัก “ปล่อยพวกนั้นให้เป็นหน้าที่สืบสวนของพวกเรา ท่านเอาอารมณ์มาเกี่ยวข้องกับงานมากเกินไปแล้ว!”
โทนาชเก็บลูกแก้วบินได้กลับสู่มือ ท่าทางเป็นกังวลทำให้ริ้วรอยก่อนวัยชัดเจนขึ้น
“ข้าอยากรีดเรื่องสำคัญก่อน ถ้าพวกนี้เจอพัวร์รีนต้องพล่ามเรื่องพ่อเขาไม่หยุดแน่!” อดีตผู้บัญชาการไม่ยอมปล่อยนักโทษห้ารายให้แต่โดยดี ทั้งหมดน่าจะเป็นมนุษย์สอง วิญญาณธาตุสอง เผ่าเทพหนึ่ง นางอยากสอบสวนเผ่าเทพที่ไปเข้ากับฝ่ายมืดด้วยตัวเองแต่ยังไม่ใช่เวลา
“ไปเกี่ยวกับเขาตรงไหนล่ะนั่น” เฟเรซิสเท้าเอวเพราะเชื่อว่านักโทษรู้เรื่องเกี่ยวกับพวกพอลไลน์ ทหารภายนอกมองเห็นรอยแตกจึงพากับเข้ามา
การหาทางเข้าอาณาเขตแบบปกติคงเป็นฟางเส้นสุดท้ายของพีเตอร์ ในเมื่อมีผู้รู้ความจริงตรงหน้าเงื่อนไขการร่วมมือก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป กระบี่แห่งธาตุลมลอยออกจากฝักพุ่งเข้าหาผู้มีปีกสีเพลิงทันที! โทนาชถอยด้วยอารามตกใจ พันธนาการนักโทษคนหนึ่งคลายลงจนสามารถออกเสียงได้
“นั่นแหละ! ฆ่ามันซะ!” หนึ่งในคนร้ายร้องให้พีเตอร์สังหารอดีตผู้บัญชาการเสีย!
กระบี่พุ่งเข้าหาเป้าหมายเหมือนงูฉก โทนาชปัดป้องพยายามเปลี่ยนการต่อสู้เป็นการพูดคุย
“พวกเราทำสัญญากันแล้วทำไมย้ายข้างล่ะ!” โทนาชเรียกสติชายหนุ่ม
“คนทำสัญญาน่ะพอลไลน์!” พีเตอร์หมายทำตามเจตนาดั้งเดิมเมื่อย่างเท้าสู่ทวีปเทพ ดั่งความมีเหตุมีผลถูกอารมณ์ลบล้างจนหมด โทนาชเบี่ยงทิศกระบี่ขณะยืนกรานว่าตนคือฝ่ายถูก
เฟเรซิสเห็นพวกทหารในเครื่องแบบเข้ามาสงบเหตุจึงออกคำสั่งจับทั้งห้าคนบนพื้นให้แน่นหนา โทนาชสามารถป้องกันตัวจากพีเตอร์ไปพร้อมจับนักโทษด้วยเวทมนตร์ แต่ถ้าปล่อยไว้เรื่องอาจบานปลาย
“อย่าถามมาก ทำไมอยู่ๆเกิดขี้สงสัยกันจัง!” เฟเรซิสคำรามเพราะทหารบางนายแสดงอาการเป็นห่วงว่าเหตุใดไม่ไปหาหมอย่างป่าวประกาศ
ในเมื่อพวกพลทหารทำงานช้านักนางก็ต้องช่วย แผงปีกสีขาวผงาดขึ้นปล่อยขนปีกบางออกมาด้วยคำสั่งทางเวทมนตร์ แค่พริบตาขนเหล่านั้นก็หลายเป็นใบมีดพุ่งปลดสิ่งรัดตัวผู้ต้องหาให้ลูกน้องรวบตัวได้โดยง่าย
“ข้ารอให้จับพวกนี้ได้สักคนอยู่แล้ว ฟังกันก่อน!” โทนาชตั้งรับพีเตอร์อยู่ฝ่ายเดียว หากเขาใช้กำลังคงทำให้คุยกันยากยิ่งขึ้น
เมื่ออดีตผู้บัญชาการเห็นว่าไม่สามารถสนทนาได้จึงถอยหนีลดความเสียหายเป็นอันดับแรก ฝ่ายพีเตอร์ได้โอกาสตวัดกระบี่แทงใส่ปล่อยกระสุนลมเข้าหาดั่งยิงศรใส่นก! หากบินขึ้นฟ้าจะกลายเป็นเป้าให้ยิงร่วงง่ายๆ
เฟเรซิสถอนหายใจอย่างหงุดหงิดที่เหล่าพลทหารไม่กล้าเข้าไปห้ามสองคนนั้น หญิงสาวเดินเข้าไปหาสองคนซึ่งต่างรุกไล่กันเหมือนเล่นสนุก พลังจากบางแห่งซึ่งนางไม่เคยสัมผัสไหลออกมาอาบปีกทั้งสองข้างตามความต้องการยุติการใช้กำลัง
เวทมนตร์เสริมกำลังเลื่อนย้ายจากปีกสู่ขาสองข้างทันที หญิงสาวเริ่มรู้สึกล้าหากยังยืนได้ด้วยใจสู้ การกระโจนเพียงครั้งเดียวก็คว้าคอพีเตอร์ลงไปนอนกองกับพื้นอย่างง่ายดาย กระบี่ของเขาชี้ไปอีกทางจึงเสี่ยงน้อยกว่าที่คิด
“นี่ก็หัดฟังกันบ้าง!” เฟเรซิสพูดอย่างมีชัย พีเตอร์ยอมสงบเมื่อถูกจับกดกระแทกพื้น โทนาชก้าวเข้ามาหาคงคิดบอกให้ใจเย็น หญิงสาวยังรัดชายหนุ่มเอาไว้เหมือนนักมวยปล้ำเผื่อเกิดคลั่งขึ้นมาอีก
มีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นเพราะโทนาชหันมองนักโทษด้านหลัง พื้นดินใต้ร่างของเฟเรซิสสั่นเล็กน้อยเหมือนทุกครั้งที่มีเวทมนตร์ธาตุเข้ามาแทรก นางไม่สามารถลุกหรือหลบได้ทันทีเพราะแขนข้างหนึ่งไขว้กดรอบคอของพีเตอร์เพื่อตรึงให้อยู่กับพื้น!
หญิงสาวตัดสินใจเสี้ยววินาทีด้วยการพลิกตัวหมายหลบบางอย่างพร้อมกันทั้งคู่ เมื่อตระหนักได้ว่าไม่พ้นรัศมีเวทมนตร์ผู้แข็งแกร่งที่สุดก็ยื่นมือเข้ามาช่วย ร่างของเฟเรซิสกับพีเตอร์เคลื่อนห่างจากจุดเดิมก่อนเข็มโลหะหลายอันยื่นขึ้นจากดินเป็นแถบอย่างหลังตัวเม่น!
ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น! เฟเรซิสหันไปมองผู้ช่วยเหลือ โทนาชคงมัวแต่ช่วยพวกนางไม่ก็กะระยะผิด เข็มใหญ่สีเงินสองอันฝังส่วนปลายบนร่างของเขาอย่างไม่ถนัดนักเพราะสุดระยะพอดี กระนั้นยังเรียกเลือดออกมาจากร่างแกร่งได้สมความต้องการของผู้ถูกจับกุม!
“ถ้าหลุดมาอีกครั้งเตรียมรับข้อหาบกพร่องต่อหน้าที่ได้เลย!” เฟเรซิสไม่รู้ว่าตนตะโกนมากี่ครั้งแล้ว บางทีคงต้องให้วิเรียนพิจารณาเพิ่มการฝึกให้เข้มงวดมากกว่าเดิม หญิงสาวรีบลุกไปดูผู้บาดเจ็บทันที
แม้โทนาชจะแกร่งแต่ก็มีเนื้อหนังเหมือนชีวิตปกติบวกกับต่อสู้มาพักใหญ่ทำให้ร่างกายถดถอย ผู้มีปีกสีเพลิงทรุดนั่งหอบเหนื่อย ไม่มีเสียงครางใดๆลอดออกมาแต่เห็นชัดว่าฝืนยืนต่อไม่ไหว
“มันเกิดอะไรขึ้น” พีเตอร์ผู้ไม่เข้าใจเรื่องตรงหน้าลุกขึ้นคลำตัวว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง เฟเรซิสเล่าให้ฟังคร่าวๆว่านางตะครุบเขาลงพื้นแล้วโทนาชช่วยให้รอดพ้นจากเวทมนตร์ซึ่งยังมีหนามงอกจากดินเป็นทางยาว
“เอาไว้ถามตอนไปศูนย์พยาบาล ข้าไม่ยอมให้ซ้ำคนเจ็บเด็ดขาด!” หญิงสาวประกาศกร้าวว่าห้ามทำร้ายคนหมดสภาพสู้ นางรีบหันไปเร่งทหารส่วนหนึ่งให้นำโทนาชไปศูนย์พยาบาลของเมือง จากนั้นก็เดินไปหานักโทษห้าคนซึ่งจำกัดการเคลื่อนไหวทุกอย่างรวมถึงเวทมนตร์ “รู้สินะว่าถ้าปากแข็งแล้วจะพบกับอะไร!”
เฟเรซิสทำเป็นเก่งได้แค่จบประโยคเพราะความอ่อนล้าจากภายในถาโถมออกมาทันตาเห็น นางเก็บปีกให้พื้นที่ร่างลดแล้วเซไปเกาะไหล่พลทหารคนหนึ่ง ปากบอกว่าให้พานางไปพร้อมอดีตผู้บัญชาการเลย...
“เรียกเฟเรซิส ท่านเฟเรซิส” เฟเรซิสขู่พวกทหารทั้งที่อยู่บนเตียงชั่วคราว นางประกาศชัดเจนว่าหลังเรื่องนี้จบจะออกจากงานโดยไม่สนการรับรองจากตาแก่ทั้งหลายแหล่
โทนาชได้รับการรักษาขั้นต้นจากศูนย์พยาบาลของเมืองทันทีส่วนหญิงสาวต้องนอนพักให้ร่างกายฟื้นตัวอย่างสงบบนเตียงเสริมชั่วคราว
“เราคุมตัวนักโทษทั้งห้าคนไว้แน่นหนาที่สุดแล้วท่านเฟเรซิส” แม้เปลี่ยนชื่อเรียกแต่ความเป็นลูกพี่ลูกน้องยังคงอยู่ “ส่วนพีเตอร์แยกตัวไปติดต่อท่านพัวร์รีน เราป้องกันไมให้เขาถึงตัวท่านโทนาชได้ถนัดตามคำสั่ง ทางท่านวิเรียนคงมาถึงในอีกครึ่งชั่วโมง”
หญิงสาวมีลางสังหรณ์ว่าปล่อยพวกพอลไลน์คุยกับโทนาชแบบตัวต่อตัวไม่ได้เด็ดขาด อย่างน้อยนางอยากให้วิเรียนอยู่ด้วย หรือไม่ก็ต้องได้ยินเสียก่อนว่านักโทษเหล่านั้นรู้อะไร!
“ข้าจะไปคุยกับคนที่จับตัวมา หากโทนาชไปไม่ไหวก็จับนั่งรถเข็นไป อย่าให้พวกพีเตอร์รู้เรื่องนี้เด็ดขาด ต่อให้วิเรียนมาก็ให้นางรอข้างนอกจนกว่าข้าจะให้เข้าพบได้” หญิงสาวขบกรามยามลุกยืน ข้อต่อและกล้ามเนื้อปวดเมื่อยเหมือนเพิ่งบินทางไกลมา “ให้คนไปหาพีเตอร์ บอกให้เขาพาไปอธิบายเหตุการณ์เมื่อเช้าให้ฟังว่าเกิดอะไรมีความเสียหายตรงไหนบ้าง ถามให้ละเอียดที่สุดเท่าที่ทำได้ แบบนี้เราจะถ่วงเวลาได้เกือบชั่วโมง”
เฟเรซิสถูกลูกน้องจับนั่งรถเข็นไปศูนย์รักษาความสงบของเมืองเมื่อมั่นใจว่าพีเตอร์ไปไกลแล้ว โทนาชผู้อยู่ในการควบคุมตัวหลุดหัวเราะเพราะเขาแค่เสียเลือดซึ่งไม่เจ็บหนักขนาดต้องนั่งรถเข็น นั่นสร้างความอับอายแก่หญิงสาวมากพอจะยัดความผิดให้ลูกน้องเพื่อลงโทษก่อนตนออกจากตำแหน่ง
“พวกนั้นคืนชีพให้คนตายได้จริงๆหรือ” เฟเรซิสหยุดความเก้อเขินด้วยเรื่องจริงจัง นางไม่จำเป็นต้องกลัวพลทหารรอบตัวได้ยินเรื่องพวกนี้อีกแล้ว
“ไม่เคยเห็นตอนคืนชีวิตให้ แต่มีผู้ร้ายซึ่งตายไปแล้วกลับมาเดินได้อีกครั้ง มั่นใจว่าเป็นคนเดียวกันเพราะข้าเป็นคนส่งลงหลุมเอง รายงานการจับกุมและสังหารยังคงอยู่ที่สำนักงาน เมื่อสักสิบปีก่อนได้...มันเยาะเย้ยว่ากลับมาจากความตายเพื่อฆ่าอีกครั้ง ฝ่ายมืดรู้ความลับข้าจึงเอาเรื่องนี้มาต่อรอง”
“ขนาดข้ายังสงสัยเลยว่ายอดส่งเผ่าพันธุ์ต่างๆกลับถิ่นฐานและเขตรอยต่อไม่ตรงกับที่รวบรวมได้” เฟเรซิสเปรยว่ายิ่งตัวใหญ่เวลาพลาดก็ยิ่งก่อหายนะใหญ่ตามตัวไปด้วย “หลังจากนั้นก็อย่างที่วิเรียนบอก ท่านทำตัวเป็นพระเอกในดงศัตรู คิดจะตายอย่างวีรบุรุษหรือไง”
“จะว่าข้าเป็นพวกยึดติดหรือเห็นแก่ตัวก็ได้ คนเรามีสิทธิ์ฝัน จริงหรือเกินจริงมันไม่เกี่ยวหรอก” โทนาชทำให้หญิงสาวประท้วงถึงความเป็นปรัชญาในคำพูด “ข้าเลือกทางผิดจนเปลี่ยนชะตากรรมนางไม่ได้ ถ้าข้าไม่ดูดายความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนั่นคงไม่เป็นอย่างนี้ น่าแปลกที่คำภาวนาไม่เคยส่งถึงเสาค้ำจุนของเราเลย” โทนาชพูดถึงภรรยาซึ่งเสียไปแล้วอย่างมีอาลัย
“ข้าเชื่อว่าชีวิตเป็นล้านเคยภาวนาแบบนี้ ถ้าได้เฉพาะพวกเราก็ไม่ยุติธรรมสิ ความจงรักภักดีต่อเสาค้ำจุนควรเป็นสิ่งบริสุทธิ์ไม่เคลือบแฝง นั่นคือสิ่งที่พวกเรายึดถือกันมาตลอด ท่านต้องมีเส้นทางที่ต่างออกไปแน่ จะต้องมีความหมายบางอย่างในการตายของนาง แค่ท่านเชื่อในเสาค้ำจุนและเฝ้ารอ”
หญิงสาวแสดงเศษเสี้ยวความเถรตรงอย่างไม่ปิดบัง
“ถ้าข้าบอกว่ามีวิญญาณธาตุที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บถาวรของเจ้าให้หายขาดได้จะสนไหม” โทนาชทำนางนิ่งงัน หญิงสาวรู้ว่าเขากำลังสอนเหมือนทุกครั้งแต่มันเย้ายวนเหลือเกิน หากได้พบวิญญาณธาตุนั่นนางอาจลุกกวัดแกว่งดาบดังเดิมได้! “นั่นล่ะสำคัญ เราจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นกลลวงของฝ่ายมืดหรือการชี้นำของเสาค้ำจุน”
เฟเรซิสนิ่งครุ่นคิดเหมือนทุกครั้งที่โทนาชสอนเรื่องต่างๆ นางสลัดเรื่องวิญญาณธาตุทิ้งได้ในที่สุด
“แล้วของท่านคืออันไหนล่ะ” เฟเรซิสย้อนถาม
“การชี้นำ” โทนาชพูดโดยมีรอยยิ้มบางๆ หญิงสาวขมวดคิ้วเร่งถามว่าเหตุใดจึงมั่นใจนัก “เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า เรื่องเครียดกำลังมาแล้ว ไม่ต้องรีบขนเรื่องอื่นมาเพิ่มหรอก”
ในเมื่ออีกฝ่ายอยากลดความตึงเครียดหญิงสาวก็จัดให้ ต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะเลือกได้
“วิเรียนจะขึ้นเป็นผู้บัญชาการสูงสุด ส่วนข้าจะลาออกหลังเรื่องนี้ ท่านว่านางกับผู้สืบทอดของพวกเราจะทำงานได้ดีไหม” เฟเรซิสบ่นว่าการถูกลูกน้องบังคับนั่งรถเข็นคงเป็นหลักฐานมากพอให้อดีตผู้บัญชาการรับรองใบลาออกแล้ว โทนาชตอบขันๆว่าทุกอย่างคงดีกว่าเดิม
“นางถูกบังคับให้จมอยู่กับตำราตั้งแต่ยังเด็กเพราะมีลักษณะดี ตลอดมานางมองเด็กคนอื่นผ่านหน้าต่างและเห็นว่าการออกจากความคิดของผู้ใหญ่คงน่าสนุก แม้จะรู้สึกอย่างนั้นวิเรียนก็ไม่กล้าก้าวนอกเส้นที่พ่อตนวางไว้ให้ รับตำแหน่งเสร็จนางคงทำให้ศูนย์กลางมีอะไรใหม่บ้าง อาจคาดหวังได้มากกว่าตอนพ่อนางยังกุมชะตากรรมลูกสาวเอาไว้
(มีต่อ)