เป็นเรื่องชวนขบขันของเหล่าผู้มีสายเลือดเทพ เมืองที่เรียกกันว่าศูนย์กลางจนติดปากนั้นอยู่ทางตอนใต้ของทวีป ส่วนเมืองที่อยู่เกือบกลางทวีปกลับเป็นอิลซานอร์ เมืองนี้เป็นแหล่งรวมทุกสิ่งตั้งแต่เรือกสวนไร่นาทางตอนเหนือใกล้หมู่บ้านโนวิส ในตัวเมืองก็เป็นศูนย์กลางการค้าต่างๆ องค์กรหลายสิบล้วนมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองนี้ เรียกได้ว่าเมืองนี้คือแหล่งรวมความเจริญของทวีปเทพเอาไว้ ต่างกับศูนย์กลางที่เป็นแหล่งรวมกำลังทางการทหารเป็นหลัก
เฟเรซิสใช้เวลากว่าสองคืนหนึ่งวันเพื่อศึกษาระเบียบและข้อกฎหมายต่างๆที่กองทัพสามารถขอข้อมูลจากองค์กรได้ ในที่สุดเฟเรซิสกับพอลไลน์ก็ติดต่อไปทางสำนักงานใหญ่ขององค์กรสมานฉันท์อสูรได้ นางไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดชื่อที่สื่อถึงลางร้ายนี้อย่างน้อยก็ฟังดูดี
ผ่านไปเพียงครึ่งวันหลังจากนางติดต่อไปหาฝ่ายประชาสัมพันธ์ขององค์กรก็มีชายคนหนึ่งใช้มนตร์เคลื่อนย้ายมาหานางถึงศูนย์กลาง เขามีปีกสีน้ำตาลเข้มเหมือนดินในป่า เสื้อผ้าสีน้ำเงินดูภูมิฐานเหมือนนักวิชาการ ทรงผมหวีเรียบสร้างความประทับใจได้ดีในดงทหารที่ตัดผมสั้นเสียส่วนใหญ่
“ไปคุยกันในห้องทำงานข้าก็ได้ ขอเวลาข้าตามคนมาคุยด้วยอีกสักสองคน” เฟเรซิสโค้งหัวเคารพอีกฝ่ายที่เข้าวัยกลางคนแล้ว นางใช้ให้คนไปตามพอลไลน์กับพีเตอร์จากนั้นก็นำทางแขกไปคุยในห้องทำงานที่หลบหูหลบตาคนมากกว่านี้
“ข้าคือแผนกเก็บรักษาข้อมูลขององค์กร เนื่องจากท่านผู้รักษาการแทนผู้บัญชาการทางทหารยื่นคำร้องขอดูข้อมูลโครงการต่างๆของเรา ข้าจึงมาที่นี่พร้อมเอกสารแสดงโครงการพร้อมแนวทางขององค์กรเอาไว้ และข้อมูลบางส่วนของบุคลากรด้วย” ผู้มาเยือนวางกระเป๋าเอกสารบนโต๊ะรับรองพร้อมสำหรับการคุยงาน
“ข้า...เราอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ เอเมอร์ ชาวเผ่าเทพ โทมัส แฟรงไดม์ และ แม็ก โกฮบา” เฟเรซิสตัดเข้าเรื่องโดยไม่รอบริกรรินน้ำชาเสร็จ
พนักงานขององค์กรเงียบอยู่เกือบนาทีอย่างคิดหนัก ก่อนจะยอมให้ข้อมูลคร่าวๆกับทั้งสามคน
“โทมัสเป็นนักวิชาการ เขาทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ว่าเผ่าเทพและมนุษย์สามารถใช้ชีวิตอยู่กับเหล่าปิศาจได้อย่างสันติโดยมีแม็กเป็นผู้ช่วยวิจัย ส่วนเอเมอร์เป็นหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยให้ทีมงานที่ต้องเข้าไปทำงานกับปิศาจ...ข้ายอมรับว่าเผ่าเทพหัวรุนแรงที่ต้องการกำจัดปิศาจทั้งหมดนั้นมี และเผ่าปิศาจหัวรุนแรงที่ต้องการกำจัดทั้งเผ่าเทพและมนุษย์ก็มีด้วยเช่นกัน
“เมื่อประมาณครึ่งปีก่อนเกิดแก็สใต้ดินระเบิดทำให้เอเมอร์ตายระหว่างช่วยเหลือผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ หลังจากนั้นหลายเดือนก็มีการบุกครั้งใหญ่ของเหล่าปิศาจทำให้โทมัสกับแม็กบาดเจ็บเสียเลือดมากจนตาย”
“แต่เพื่อนของข้า ลูกของโทมัสกับแม็กบอกว่าเผ่าเทพคนหนึ่งเป็นคนฆ่าพ่อของพวกเขา” เฟเรซิสผายมือไปทางพอลไลน์กับพีเตอร์ที่นั่งฟังอยู่ด้วย
“พัวร์รีนกับพีเตอร์ใช่ไหม” ท่านเจ้าหน้าที่ถอนหายใจเฮือก “เรารู้มาหลายเดือนแล้วว่าเขาพยายามตรวจสอบเรื่องการตายของสองคนนั้นอย่างลับๆ แต่ทางเราไม่มีอะไรต้องปิดบัง และทางโน้นไม่แสดงท่าทีเป็นภัยจึงยื่นข้อเสนอให้มาช่วยสร้างระบบรักษาความปลอดภัยโดยใช้เวทมนตร์แลกกับข้อมูลตอนเกิดเหตุทั้งหมด แต่การกล่าวหาใครว่าฆ่าคนตายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ามีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมโปรดแสดงให้ทราบด้วย”
พอลไลน์ยกมือขอพูดต่อ
“ตอนรับศพ ข้ากับท่านอาตรวจศพอย่างละเอียดเพราะไม่เชื่อว่าพวกเขาตายเพราะเสียเลือดมากแน่ ในเลือดของทั้งสองคนมีพิษบางประเภทที่ยับยั้งการใช้มนตร์รักษา พวกเราใช้เวทมนตร์ตรวจสอบบาดแผลที่ใหญ่ที่สุดก็พบว่ามันเกิดจากอาวุธเวทมนตร์ประเภทหนึ่ง ไม่มีเผ่าปิศาจตนไหนใช้อาวุธเวทมนตร์ที่มีผลซับซ้อนแบบนั้น
“ข้าขอร้องอาจารย์ที่รู้จักกันช่วยตรวจสอบเวทมนตร์ตกค้างให้จนรู้ว่าเป็นเวทมนตร์ของเผ่าเทพ พิกัดที่คลื่นเวทมนตร์ชนิดนี้แผ่ออกมามากที่สุดคือศูนย์กลางของทวีปเทพ ในห้องทำงานของผู้บัญชาการทหารโทนาช...ตอนพบเขาข้าแกล้งทำเป็นมาแก้แค้นเพื่อดูปฏิกิริยา แล้วเขาไม่โต้แย้งเรื่องนี้เลย”
ท่านเจ้าหน้าที่กอดอกฟังพอลไลน์พูดอย่างครุ่นคิด เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะรายงานที่องค์กรได้รับตอนนั้นผิดไปจากคำบอกเล่าของพอลไลน์
“ตามรายงานที่ทางเราได้รับ วันนั้นเหล่าปิศาจที่อยู่ในเขตวิจัยเรื่องสภาพจิตและอารมณ์ของปิศาจเกิดอาละวาดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุแน่ชัด เราเชื่อว่าเป็นแผนของปิศาจหัวรุนแรงที่ต่อต้านเผ่าเทพจากภายใน ผู้บัญชาการโทนาชที่อยู่ใกล้ที่สุดมาระงับเหตุพร้อมทหารเทพกลุ่มหนึ่ง พวกเผ่าปิศาจบางตนมีอาวุธแต่เป็นอาวุธธรรมดาที่ไม่มีความพิเศษ
“สาเหตุการตายของโทมัสกับแม็กคือโดนเล็บเท้าของปิศาจนกตัวหนึ่งแทงทะลุทรวงอกและโดนเขี้ยวของปิศาจตัวหนึ่งขย้ำจนกระดูกแหลกเหลว ตอนกลุ่มช่วยเหลือหลักของเราไปถึงโทนาชกำลังใช้เวทมนตร์รักษาทั้งคู่แต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายพวกเขาก็ตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป คลื่นเวทมนตร์ที่ตรวจได้บนศพคงเป็นตอนนั้นกระมัง”
“อย่างนั้นทำไมเขาไม่ปฏิเสธตอนเรากล่าวหาเขาว่าเป็นคนฆ่าล่ะ” พีเตอร์ออกความเห็น “อาจจะฆ่าโดยอุปมาหรือไม่ตั้งใจ แต่ฟังเรื่องของเขาจากเฟเรซิสแล้วเขาไม่น่าเป็นคนน้ำเน่าแบบนั้น”
“อย่างนั้นก็ต้องจับตัวมาสอบสวน พอไหวไหมผู้รักษาการแทน ข้าได้ยินข่าวเรื่องเคลย์เกล็นแล้ว ต่อไปก็ยาเวลสินะ” ท่านเจ้าหน้าที่พูดกับเฟเรซิสอย่างเป็นห่วง
“พวกเรากำลังศึกษาเกี่ยวกับแรงผลักดันของเขาอยู่ ถ้ารู้อาจหยุดเขาได้ ข้าเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการตายของพ่อเขา เอเมอร์คนนั้น” เฟเรซิสที่รับหน้าที่ผู้รักษาการแทนผู้บัญชาการพูดถึงสาเหตุที่ต้องขอความร่วมมือจากองค์กร
“สาเหตุการตายของเอเมอร์เกิดจากการควบคุมปิศาจบกพร่อง พวกปิศาจที่มีตัวตนเป็นไอระเหยติดไฟได้รับความร้อนสูงจากการทดสอบในห้องข้างๆจึงเกิดการระเบิดขึ้น เอเมอร์ได้รับแจ้งเหตุร้ายจึงเข้าไปช่วยผู้คนและปิศาจข้างในศูนย์ทดลองทันที เพราะไฟเกิดจากสารเคมีจึงยากที่จะดับด้วยน้ำธรรมดา เอเมอร์กับหน่วยรักษาความปลอดภัยของเขาจึงทำได้แค่อพยพผู้คนออกมา
“สุดท้ายเขาก็โดนไม้คานต้นหนึ่งหล่นฟาดหัวจนเลือดตกในตายก่อนการรักษา ทุกอย่างเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ นอกจากว่าอดีตผู้บัญชาการโทนาชจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างเข้า...ซึ่งต้องจับตัวเขาให้ได้ก่อน”
“อย่างนั้นคงไม่รังเกียจหากข้าจะส่งสายของข้าเข้าไปสืบภายในองค์กรของท่าน” เฟเรซิสขุ่นใจเล็กน้อยที่ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยจึงลองพูดเล่นๆดู
เมื่อได้ยินว่าทางการทหารจะรุกโดยการส่งคนเข้าไปสืบในองค์กร แขกซึ่งทำหน้าที่เจรจาก็นิ่งอยู่นิดหนึ่งแล้วพูดด้วยเสียงที่เบากว่าเดิมทว่าหนักแน่นเหมือนเป็นเรื่องลับสุดยอด
“ข้าไม่ควรบอกท่าน แต่ภายในองค์กรมีหนอนบ่อนไส้อยู่ มันไม่ใช่แค่การยักยอกเงินหรือทรัพย์สิน แต่เป็นการส่งความลับไปให้กับพวกเผ่าเทพหัวรุนแรง
“โครงการของเราหลายครั้งเกิดอุบัติเหตุที่สืบหาต้นตอไม่ได้ทำให้เกิดความสูญเสียชีวิตและความเชื่อถือจากทั้งสองด้าน การตายของเอเมอร์ก็นับเป็นครั้งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ครอบครัวของผู้มีความสามารถที่มารวมกับเราถูกขู่ฆ่าทั้งที่รายชื่อทั้งหมดน่าจะเป็นความลับภายใน
“เราเคยจ้างคนนอกมาตรวจสอบทั้งโครงสร้างรวมไปถึงบุคลากรแล้วแต่ข้อมูลที่ได้สะเปะสะปะเกินไป หากทางทหารจะช่วยเข้ามาตรวจสอบให้เราก็ไม่บ่น แต่ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับให้โดยมีข้อแม้คือ ท่านจะต้องตรวจสอบหมดทุกอย่างแม้แต่ผู้บริหารของเราด้วย อาจฟังดูย้อนแย้ง แต่ถ้าจะมีคนที่เก็บกวาดทุกอย่างได้อย่างหมดจดคงเป็นระดับผู้บริหาร”
เฟเรซิสขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายยอมให้ตรวจสอบอย่างลับๆเช่นกัน
“เป็นวัฒนธรรมของเราที่ไม่เข้าแทรกแซงองค์กรหรือสมาคมอื่นโดยไม่มีเหตุ แต่นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย และหากเป็นคำขอร้องของท่านก็ช่วยไม่ได้ ข้าจะสั่งการไปที่แผนกเงามืดให้ช่วยดูแลเรื่องนี้ให้ ขอบคุณที่ยอมให้ทางเราตรวจสอบอย่างอิสระ” เฟเรซิสจดบันทึกทุกอย่างลงในหนังสือการประชุมส่วนตัว พร้อมสำหรับสั่งงานลูกน้องให้ทำงานเบื้องหลังเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง...
เมื่อแขกกลับไปแล้วทั้งสามคนก็ยังนั่งขบคิดเกี่ยวกับข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับมา พอลไลน์บอกว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่ขององค์กรบอกมามันตรงกับสิ่งที่เขากับพีเตอร์รู้ เฟเรซิสเห็นพ้องด้วยแต่ตอนนี้นางกำลังคิดสิ่งอื่นที่ต่างออกไป
“ในเมื่อโทนาชทำตัวมีปัญหาทำไมเราไม่เริ่มทุกอย่างที่ตัวเขาล่ะ” เฟเรซิสชี้ให้ทุกคนเห็นประเด็นของการสนทนาครั้งนี้ “ข้าจะให้ลูกน้องส่วนตัวของข้าวางเขตแดนไว้ทั่วยาเวล พอเขาปรากฏตัวจะต้องเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดกับเขาแน่ บางทีอาจเป็นเวทมนตร์แปลกๆที่เขาใช้ หรืออาจเป็นคนชักใยตัวจริงเบื้องหลังเขา วิธีทำซับซ้อนไม่ใช่เล่น แต่ถ้าเราหว่านแหแบบนี้ทุกเมืองที่เขาจะมาก็ต้องได้อะไรบ้างล่ะ”
“อย่างน้อยก็ต่อต้านการโจมตีของเขาได้บ้าง” พอลไลน์เห็นด้วย เฟเรซิสพยักหน้าน้อยๆอย่างมีแผนการ “แล้วทางองค์กรล่ะ เจ้าคงไม่มีคนพอทำงานทั้งสองด้านหรอกใช่ไหม”
“เราจะไม่ไปยุ่งกับองค์กรโดยตรง แต่จะให้แผนกเงามืดครึ่งหนึ่งละงานทุกอย่างมาตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่างโทนาชกับองค์กร และจะส่งคนที่ฝึกเพื่อเข้าแผนกเงามืดไปสืบหาหนอนบ่อนไส้ในองค์กรตามคำขอ ข้ายังยืนยันคำเดิมว่าไม่อยากเข้าแทรกแซงหรือวุ่นวายกับกลุ่มอื่นหากไม่มีเหตุ ที่พูดไปว่าจะตรวจสอบข้าแค่หยั่งเชิงเท่านั้นไม่คิดว่าทางนั้นจะเอาด้วย”
พอลไลน์กับพีเตอร์ฟังแผนของเฟเรซิสแล้วพยายามนึกภาพตาม นางคงอยากค้นให้พบว่ามันเกิดอะไรกับโทนาชมากกว่าความเป็นไปขององค์กรอื่นที่ไม่เกี่ยวกับนาง
“แล้วเรื่องแต่งตั้งผู้บัญชาการสูงสุดคนใหม่เป็นอย่างไรบ้าง” พีเตอร์ที่หัวไม่ดีเท่าพอลไลน์พยายามเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้มีเวลาคิดมากขึ้น เฟเรซิสจิบชาอย่างผ่อนคลายหลังขบคิดเรื่องยากๆ
“ทางเรามีธรรมเนียมการคัดเลือกและฝึกคนเพื่อรับตำแหน่งต่อจากตัวเองด้วยตัวเอง ตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดมีคนรับช่วงต่อแล้วแต่เขาอยากศึกษางานก่อนและอยากให้เรื่องวุ่นวายนี่จบเสียก่อนค่อยขึ้นรับตำแหน่ง”
“แล้วเจ้ากับโทนาชมีหรือเปล่า ทายาท ผู้สานต่อ หรืออะไรสักอย่างที่พวกเจ้าเรียกกัน” พอลไลน์เห็นเพื่อนสองคนคุยเรื่องเบาๆจึงร่วมด้วย
เฟเรซิสพยักหน้าแล้วบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของผู้มีตำแหน่งระดับสูงอยู่แล้ว นางตั้งให้เด็กฝึกหัดคนหนึ่งในหน่วยของนางรับการฝึกเพื่อรับช่วงต่อแทน ส่วนโทนาชก็กำลังฝึกทหารคนหนึ่งที่มีหน่วยก้านดีมารับช่วงต่อตำแหน่งตนเหมือนกัน
“คนนอกอย่างพวกท่านจะเรียกว่าเส้นสายก็ได้ แต่ทางเราไม่ได้แค่เลือกตามความชอบเท่านั้น เราต้องเฟ้นหาคนมีฝีมือและฝึกฝนเพื่อให้เหมาะกับตำแหน่งที่จะได้รับด้วย ถ้าไม่รุ่งก็เลือกคนใหม่แทนได้เหมือนกัน” เฟเรซิสอ่านสายตาตำหนิของเพื่อนชายอีกสองคนออก
“แล้วคนที่เลือกเจ้ามารับตำแหน่งแทนล่ะ” พีเตอร์ถาม เฟเรซิสมองเขาด้วยสายตาสงสัยเพราะเริ่มรู้แล้วว่าเขาไม่ชอบคุยเรื่องยากๆเหมือนพอลไลน์
(มีต่อ)
นางฟ้าเปื้อนเลือด ตอนที่ 7
เฟเรซิสใช้เวลากว่าสองคืนหนึ่งวันเพื่อศึกษาระเบียบและข้อกฎหมายต่างๆที่กองทัพสามารถขอข้อมูลจากองค์กรได้ ในที่สุดเฟเรซิสกับพอลไลน์ก็ติดต่อไปทางสำนักงานใหญ่ขององค์กรสมานฉันท์อสูรได้ นางไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดชื่อที่สื่อถึงลางร้ายนี้อย่างน้อยก็ฟังดูดี
ผ่านไปเพียงครึ่งวันหลังจากนางติดต่อไปหาฝ่ายประชาสัมพันธ์ขององค์กรก็มีชายคนหนึ่งใช้มนตร์เคลื่อนย้ายมาหานางถึงศูนย์กลาง เขามีปีกสีน้ำตาลเข้มเหมือนดินในป่า เสื้อผ้าสีน้ำเงินดูภูมิฐานเหมือนนักวิชาการ ทรงผมหวีเรียบสร้างความประทับใจได้ดีในดงทหารที่ตัดผมสั้นเสียส่วนใหญ่
“ไปคุยกันในห้องทำงานข้าก็ได้ ขอเวลาข้าตามคนมาคุยด้วยอีกสักสองคน” เฟเรซิสโค้งหัวเคารพอีกฝ่ายที่เข้าวัยกลางคนแล้ว นางใช้ให้คนไปตามพอลไลน์กับพีเตอร์จากนั้นก็นำทางแขกไปคุยในห้องทำงานที่หลบหูหลบตาคนมากกว่านี้
“ข้าคือแผนกเก็บรักษาข้อมูลขององค์กร เนื่องจากท่านผู้รักษาการแทนผู้บัญชาการทางทหารยื่นคำร้องขอดูข้อมูลโครงการต่างๆของเรา ข้าจึงมาที่นี่พร้อมเอกสารแสดงโครงการพร้อมแนวทางขององค์กรเอาไว้ และข้อมูลบางส่วนของบุคลากรด้วย” ผู้มาเยือนวางกระเป๋าเอกสารบนโต๊ะรับรองพร้อมสำหรับการคุยงาน
“ข้า...เราอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ เอเมอร์ ชาวเผ่าเทพ โทมัส แฟรงไดม์ และ แม็ก โกฮบา” เฟเรซิสตัดเข้าเรื่องโดยไม่รอบริกรรินน้ำชาเสร็จ
พนักงานขององค์กรเงียบอยู่เกือบนาทีอย่างคิดหนัก ก่อนจะยอมให้ข้อมูลคร่าวๆกับทั้งสามคน
“โทมัสเป็นนักวิชาการ เขาทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ว่าเผ่าเทพและมนุษย์สามารถใช้ชีวิตอยู่กับเหล่าปิศาจได้อย่างสันติโดยมีแม็กเป็นผู้ช่วยวิจัย ส่วนเอเมอร์เป็นหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยให้ทีมงานที่ต้องเข้าไปทำงานกับปิศาจ...ข้ายอมรับว่าเผ่าเทพหัวรุนแรงที่ต้องการกำจัดปิศาจทั้งหมดนั้นมี และเผ่าปิศาจหัวรุนแรงที่ต้องการกำจัดทั้งเผ่าเทพและมนุษย์ก็มีด้วยเช่นกัน
“เมื่อประมาณครึ่งปีก่อนเกิดแก็สใต้ดินระเบิดทำให้เอเมอร์ตายระหว่างช่วยเหลือผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ หลังจากนั้นหลายเดือนก็มีการบุกครั้งใหญ่ของเหล่าปิศาจทำให้โทมัสกับแม็กบาดเจ็บเสียเลือดมากจนตาย”
“แต่เพื่อนของข้า ลูกของโทมัสกับแม็กบอกว่าเผ่าเทพคนหนึ่งเป็นคนฆ่าพ่อของพวกเขา” เฟเรซิสผายมือไปทางพอลไลน์กับพีเตอร์ที่นั่งฟังอยู่ด้วย
“พัวร์รีนกับพีเตอร์ใช่ไหม” ท่านเจ้าหน้าที่ถอนหายใจเฮือก “เรารู้มาหลายเดือนแล้วว่าเขาพยายามตรวจสอบเรื่องการตายของสองคนนั้นอย่างลับๆ แต่ทางเราไม่มีอะไรต้องปิดบัง และทางโน้นไม่แสดงท่าทีเป็นภัยจึงยื่นข้อเสนอให้มาช่วยสร้างระบบรักษาความปลอดภัยโดยใช้เวทมนตร์แลกกับข้อมูลตอนเกิดเหตุทั้งหมด แต่การกล่าวหาใครว่าฆ่าคนตายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ามีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมโปรดแสดงให้ทราบด้วย”
พอลไลน์ยกมือขอพูดต่อ
“ตอนรับศพ ข้ากับท่านอาตรวจศพอย่างละเอียดเพราะไม่เชื่อว่าพวกเขาตายเพราะเสียเลือดมากแน่ ในเลือดของทั้งสองคนมีพิษบางประเภทที่ยับยั้งการใช้มนตร์รักษา พวกเราใช้เวทมนตร์ตรวจสอบบาดแผลที่ใหญ่ที่สุดก็พบว่ามันเกิดจากอาวุธเวทมนตร์ประเภทหนึ่ง ไม่มีเผ่าปิศาจตนไหนใช้อาวุธเวทมนตร์ที่มีผลซับซ้อนแบบนั้น
“ข้าขอร้องอาจารย์ที่รู้จักกันช่วยตรวจสอบเวทมนตร์ตกค้างให้จนรู้ว่าเป็นเวทมนตร์ของเผ่าเทพ พิกัดที่คลื่นเวทมนตร์ชนิดนี้แผ่ออกมามากที่สุดคือศูนย์กลางของทวีปเทพ ในห้องทำงานของผู้บัญชาการทหารโทนาช...ตอนพบเขาข้าแกล้งทำเป็นมาแก้แค้นเพื่อดูปฏิกิริยา แล้วเขาไม่โต้แย้งเรื่องนี้เลย”
ท่านเจ้าหน้าที่กอดอกฟังพอลไลน์พูดอย่างครุ่นคิด เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะรายงานที่องค์กรได้รับตอนนั้นผิดไปจากคำบอกเล่าของพอลไลน์
“ตามรายงานที่ทางเราได้รับ วันนั้นเหล่าปิศาจที่อยู่ในเขตวิจัยเรื่องสภาพจิตและอารมณ์ของปิศาจเกิดอาละวาดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุแน่ชัด เราเชื่อว่าเป็นแผนของปิศาจหัวรุนแรงที่ต่อต้านเผ่าเทพจากภายใน ผู้บัญชาการโทนาชที่อยู่ใกล้ที่สุดมาระงับเหตุพร้อมทหารเทพกลุ่มหนึ่ง พวกเผ่าปิศาจบางตนมีอาวุธแต่เป็นอาวุธธรรมดาที่ไม่มีความพิเศษ
“สาเหตุการตายของโทมัสกับแม็กคือโดนเล็บเท้าของปิศาจนกตัวหนึ่งแทงทะลุทรวงอกและโดนเขี้ยวของปิศาจตัวหนึ่งขย้ำจนกระดูกแหลกเหลว ตอนกลุ่มช่วยเหลือหลักของเราไปถึงโทนาชกำลังใช้เวทมนตร์รักษาทั้งคู่แต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายพวกเขาก็ตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป คลื่นเวทมนตร์ที่ตรวจได้บนศพคงเป็นตอนนั้นกระมัง”
“อย่างนั้นทำไมเขาไม่ปฏิเสธตอนเรากล่าวหาเขาว่าเป็นคนฆ่าล่ะ” พีเตอร์ออกความเห็น “อาจจะฆ่าโดยอุปมาหรือไม่ตั้งใจ แต่ฟังเรื่องของเขาจากเฟเรซิสแล้วเขาไม่น่าเป็นคนน้ำเน่าแบบนั้น”
“อย่างนั้นก็ต้องจับตัวมาสอบสวน พอไหวไหมผู้รักษาการแทน ข้าได้ยินข่าวเรื่องเคลย์เกล็นแล้ว ต่อไปก็ยาเวลสินะ” ท่านเจ้าหน้าที่พูดกับเฟเรซิสอย่างเป็นห่วง
“พวกเรากำลังศึกษาเกี่ยวกับแรงผลักดันของเขาอยู่ ถ้ารู้อาจหยุดเขาได้ ข้าเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการตายของพ่อเขา เอเมอร์คนนั้น” เฟเรซิสที่รับหน้าที่ผู้รักษาการแทนผู้บัญชาการพูดถึงสาเหตุที่ต้องขอความร่วมมือจากองค์กร
“สาเหตุการตายของเอเมอร์เกิดจากการควบคุมปิศาจบกพร่อง พวกปิศาจที่มีตัวตนเป็นไอระเหยติดไฟได้รับความร้อนสูงจากการทดสอบในห้องข้างๆจึงเกิดการระเบิดขึ้น เอเมอร์ได้รับแจ้งเหตุร้ายจึงเข้าไปช่วยผู้คนและปิศาจข้างในศูนย์ทดลองทันที เพราะไฟเกิดจากสารเคมีจึงยากที่จะดับด้วยน้ำธรรมดา เอเมอร์กับหน่วยรักษาความปลอดภัยของเขาจึงทำได้แค่อพยพผู้คนออกมา
“สุดท้ายเขาก็โดนไม้คานต้นหนึ่งหล่นฟาดหัวจนเลือดตกในตายก่อนการรักษา ทุกอย่างเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ นอกจากว่าอดีตผู้บัญชาการโทนาชจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างเข้า...ซึ่งต้องจับตัวเขาให้ได้ก่อน”
“อย่างนั้นคงไม่รังเกียจหากข้าจะส่งสายของข้าเข้าไปสืบภายในองค์กรของท่าน” เฟเรซิสขุ่นใจเล็กน้อยที่ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยจึงลองพูดเล่นๆดู
เมื่อได้ยินว่าทางการทหารจะรุกโดยการส่งคนเข้าไปสืบในองค์กร แขกซึ่งทำหน้าที่เจรจาก็นิ่งอยู่นิดหนึ่งแล้วพูดด้วยเสียงที่เบากว่าเดิมทว่าหนักแน่นเหมือนเป็นเรื่องลับสุดยอด
“ข้าไม่ควรบอกท่าน แต่ภายในองค์กรมีหนอนบ่อนไส้อยู่ มันไม่ใช่แค่การยักยอกเงินหรือทรัพย์สิน แต่เป็นการส่งความลับไปให้กับพวกเผ่าเทพหัวรุนแรง
“โครงการของเราหลายครั้งเกิดอุบัติเหตุที่สืบหาต้นตอไม่ได้ทำให้เกิดความสูญเสียชีวิตและความเชื่อถือจากทั้งสองด้าน การตายของเอเมอร์ก็นับเป็นครั้งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ครอบครัวของผู้มีความสามารถที่มารวมกับเราถูกขู่ฆ่าทั้งที่รายชื่อทั้งหมดน่าจะเป็นความลับภายใน
“เราเคยจ้างคนนอกมาตรวจสอบทั้งโครงสร้างรวมไปถึงบุคลากรแล้วแต่ข้อมูลที่ได้สะเปะสะปะเกินไป หากทางทหารจะช่วยเข้ามาตรวจสอบให้เราก็ไม่บ่น แต่ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับให้โดยมีข้อแม้คือ ท่านจะต้องตรวจสอบหมดทุกอย่างแม้แต่ผู้บริหารของเราด้วย อาจฟังดูย้อนแย้ง แต่ถ้าจะมีคนที่เก็บกวาดทุกอย่างได้อย่างหมดจดคงเป็นระดับผู้บริหาร”
เฟเรซิสขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายยอมให้ตรวจสอบอย่างลับๆเช่นกัน
“เป็นวัฒนธรรมของเราที่ไม่เข้าแทรกแซงองค์กรหรือสมาคมอื่นโดยไม่มีเหตุ แต่นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย และหากเป็นคำขอร้องของท่านก็ช่วยไม่ได้ ข้าจะสั่งการไปที่แผนกเงามืดให้ช่วยดูแลเรื่องนี้ให้ ขอบคุณที่ยอมให้ทางเราตรวจสอบอย่างอิสระ” เฟเรซิสจดบันทึกทุกอย่างลงในหนังสือการประชุมส่วนตัว พร้อมสำหรับสั่งงานลูกน้องให้ทำงานเบื้องหลังเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง...
เมื่อแขกกลับไปแล้วทั้งสามคนก็ยังนั่งขบคิดเกี่ยวกับข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับมา พอลไลน์บอกว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่ขององค์กรบอกมามันตรงกับสิ่งที่เขากับพีเตอร์รู้ เฟเรซิสเห็นพ้องด้วยแต่ตอนนี้นางกำลังคิดสิ่งอื่นที่ต่างออกไป
“ในเมื่อโทนาชทำตัวมีปัญหาทำไมเราไม่เริ่มทุกอย่างที่ตัวเขาล่ะ” เฟเรซิสชี้ให้ทุกคนเห็นประเด็นของการสนทนาครั้งนี้ “ข้าจะให้ลูกน้องส่วนตัวของข้าวางเขตแดนไว้ทั่วยาเวล พอเขาปรากฏตัวจะต้องเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดกับเขาแน่ บางทีอาจเป็นเวทมนตร์แปลกๆที่เขาใช้ หรืออาจเป็นคนชักใยตัวจริงเบื้องหลังเขา วิธีทำซับซ้อนไม่ใช่เล่น แต่ถ้าเราหว่านแหแบบนี้ทุกเมืองที่เขาจะมาก็ต้องได้อะไรบ้างล่ะ”
“อย่างน้อยก็ต่อต้านการโจมตีของเขาได้บ้าง” พอลไลน์เห็นด้วย เฟเรซิสพยักหน้าน้อยๆอย่างมีแผนการ “แล้วทางองค์กรล่ะ เจ้าคงไม่มีคนพอทำงานทั้งสองด้านหรอกใช่ไหม”
“เราจะไม่ไปยุ่งกับองค์กรโดยตรง แต่จะให้แผนกเงามืดครึ่งหนึ่งละงานทุกอย่างมาตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่างโทนาชกับองค์กร และจะส่งคนที่ฝึกเพื่อเข้าแผนกเงามืดไปสืบหาหนอนบ่อนไส้ในองค์กรตามคำขอ ข้ายังยืนยันคำเดิมว่าไม่อยากเข้าแทรกแซงหรือวุ่นวายกับกลุ่มอื่นหากไม่มีเหตุ ที่พูดไปว่าจะตรวจสอบข้าแค่หยั่งเชิงเท่านั้นไม่คิดว่าทางนั้นจะเอาด้วย”
พอลไลน์กับพีเตอร์ฟังแผนของเฟเรซิสแล้วพยายามนึกภาพตาม นางคงอยากค้นให้พบว่ามันเกิดอะไรกับโทนาชมากกว่าความเป็นไปขององค์กรอื่นที่ไม่เกี่ยวกับนาง
“แล้วเรื่องแต่งตั้งผู้บัญชาการสูงสุดคนใหม่เป็นอย่างไรบ้าง” พีเตอร์ที่หัวไม่ดีเท่าพอลไลน์พยายามเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้มีเวลาคิดมากขึ้น เฟเรซิสจิบชาอย่างผ่อนคลายหลังขบคิดเรื่องยากๆ
“ทางเรามีธรรมเนียมการคัดเลือกและฝึกคนเพื่อรับตำแหน่งต่อจากตัวเองด้วยตัวเอง ตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดมีคนรับช่วงต่อแล้วแต่เขาอยากศึกษางานก่อนและอยากให้เรื่องวุ่นวายนี่จบเสียก่อนค่อยขึ้นรับตำแหน่ง”
“แล้วเจ้ากับโทนาชมีหรือเปล่า ทายาท ผู้สานต่อ หรืออะไรสักอย่างที่พวกเจ้าเรียกกัน” พอลไลน์เห็นเพื่อนสองคนคุยเรื่องเบาๆจึงร่วมด้วย
เฟเรซิสพยักหน้าแล้วบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของผู้มีตำแหน่งระดับสูงอยู่แล้ว นางตั้งให้เด็กฝึกหัดคนหนึ่งในหน่วยของนางรับการฝึกเพื่อรับช่วงต่อแทน ส่วนโทนาชก็กำลังฝึกทหารคนหนึ่งที่มีหน่วยก้านดีมารับช่วงต่อตำแหน่งตนเหมือนกัน
“คนนอกอย่างพวกท่านจะเรียกว่าเส้นสายก็ได้ แต่ทางเราไม่ได้แค่เลือกตามความชอบเท่านั้น เราต้องเฟ้นหาคนมีฝีมือและฝึกฝนเพื่อให้เหมาะกับตำแหน่งที่จะได้รับด้วย ถ้าไม่รุ่งก็เลือกคนใหม่แทนได้เหมือนกัน” เฟเรซิสอ่านสายตาตำหนิของเพื่อนชายอีกสองคนออก
“แล้วคนที่เลือกเจ้ามารับตำแหน่งแทนล่ะ” พีเตอร์ถาม เฟเรซิสมองเขาด้วยสายตาสงสัยเพราะเริ่มรู้แล้วว่าเขาไม่ชอบคุยเรื่องยากๆเหมือนพอลไลน์
(มีต่อ)