นางฟ้าเปื้อนเลือด (แฟนตาซี) ตอนที่ 5

กระทู้สนทนา
ใช้เวลาไม่นานลูกน้องเฟเรซิสที่ร่วมมือกับเลสลีย์ก็จับกุมเหล่าปิศาจที่ออกอาละวาดในเขตศูนย์กลางสำเร็จ หลังจากการอธิบายยืดยาวหลายวันกองทัพเทพนับพันต่างไม่อยากเชื่อตาตนเองว่าผู้เสกคาถาพันธนานาการใส่พวกเขาคืออดีตผู้บัญชาการโทนาช เฟเรซิสขอร้องให้พวกเขาช่วยต่อต้านกองทัพปิศาจที่จะบุกทำลายเมืองต่างๆ
 
            “แต่ผู้นำทางนั้นคือโทนาชนะ ราชาเพลิงของกองทัพเทพ เจ้าจะสู้เขาได้อย่างไร” เพื่อนคนหนึ่งของเฟเรซิสพูดขึ้น 
 
            “ข้าก็ร่วมมือกับพอลไลน์สิ ถ้าเป็นไปได้พวกเจ้าก็จับกุมม่ายก็ฆ่าปิศาจ ส่วนข้าจะจัดการโทนาชเอง” เฟเรซิสให้กำลังใจเพื่อนทหารแต่ไม่สู้สำเร็จนัก ทั้งนี้เพราะความแข็งแกร่งของโทนาชทำให้หลายคนถอดใจที่จะเป็นศัตรูด้วย
 
            “พวกเจ้าไหวไหมเฟเรซิส เราต้องการกองทัพเพื่อสู้กับกองทัพปิศาจของโทนาช เรื่องการเคลื่อนย้ายไปสนามรบเอาไว้เป็นหน้าที่ข้า” พอลไลน์ชวนคุย
 
            “บางส่วนถอดใจเมื่อบอกว่าต้องสู้กับโทนาช แต่ส่วนมากไหว การต่อสู้กับปิศาจเป็นหน้าที่ของเผ่าเทพอยู่แล้ว” 
 
            “แล้ววันนี้ยังเหลือเวลาอีกครึ่งวัน ไปเที่ยวด้วยกันไหม” พอลไลน์ชวนเฟเรซิสไปเที่ยวดื้อๆทำให้เจ้าตัวคิดอะไรไม่ออกไปหลายวินาทีเลยทีเดียว
 
            “ยังก่อน ข้าอยากจัดการกองทัพให้เสร็จเสียก่อน เอาไว้สักมะรืนหรือมะเรื่อนี้ก็ได้” เฟเรซิสอยากไปเที่ยวกับมนุษย์ธรรมดาอย่างพอลไลน์เหมือนกัน แต่ติดที่งานป้องกันทวีปเทพ ไหนจะทำศพให้ผู้บัญชาการสูงสุดอีก
 
            “เรื่องวางแผนท่านไว้ใจเราได้ ท่านน่าจะพักก่อนสักสองสามวัน” อาเรฟ หนึ่งในคนรับใช้ใกล้ชิดของเฟเรซิสเอ่ย
 
            “จริงสิอาเรฟ ข้าขอกำลังพวกเจ้าสองคนไปอารักขาพ่อกับแม่ของข้าด้วย เผื่อเอาไว้น่ะ” เฟเรซิสหันมาสั่งการกับลูกน้อง “ส่วนตัวข้าขอไว้คนเดียวก็พอ ที่เหลือแบ่งกำลังไปคุมกองทัพเทพ”
 
            “ตกลงนายท่าน” อาเรฟตอบแล้วรีบไปทำตามคำสั่งทันที
 
            “แล้วท่านไม่มีอะไรทำหรือพอลไลน์ ตามข้าอยู่อย่างนี้ไม่เบื่อบ้างหรือ”
 
            “เลสลีย์ไปเที่ยว พีเตอร์ไปคุยกับทหารเทพที่ใช้ดาบเหมือนกัน ส่วนข้าก็มาชวนเจ้าเที่ยวอย่างนี้ไง”
 
            “ใจเย็นไปหน่อยไหมท่าน เราต้องต่อสู้กับกองทัพของโทนาชนะ” เฟเรซิสถอนหายใจใส่พอลไลน์
 
            “รีบเตรียมพร้อมไปเราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าฝ่ายนั้นจะเริ่มจากที่ไหนก่อน ไปเที่ยวกันดีกว่า น่าๆๆ” 
 
            แล้วนางฟ้าปีกขาวก็ทนลูกอ้อนของมนุษย์ธรรมดาไม่ไหว เฟเรซิสใช้เวลาไม่กี่นาทีสั่งงานให้กองทัพเทพแล้วตกลงไปเที่ยวรอบๆกับพอลไลน์ที่พิจารณาปีกของนางจนลองสัมผัสดู
 
            “ชอบปีกข้าหรือ มันมีพลังเวททำให้เบาเหมือนอากาศและเหลวเหมือนน้ำ ไม่ค่อยเหมือนของนกเท่าไหร่หรอก เราจึงใส่เสื้อผ้าปกติเหมือนมนุษย์และสามารถนอนท่าไหนก็ได้” เฟเรซิสอธิบายอย่างผู้เชี่ยวชาญ
 
            “แค่เริ่มเที่ยวกันครั้งแรกก็พูดเรื่องบนเตียงเลยหรือ” พอลไลน์หัวเราะ “มนุษย์อย่างเราล้วนฝันอยากบินบนท้องฟ้ากันทั้งนั้น พอได้เห็นเผ่าพันธุ์คล้ายกันที่บินได้ก็เลยสงสัย”
 
            “ข้าได้ยินว่ามนุษย์ใช้เวทมนตร์ทำให้บินได้นี่”
 
            “ผู้วิเศษจะใช้เวทลมคลุมตัวแล้วบังคับให้ลอยขึ้น ไม่เหมือนพวกเจ้าที่บินอย่างนกหรอก”
 
            “แล้วไปไหนกันดี โรงละครยังซ่อมอยู่เสียด้วย” เฟเรซิสเริ่มคิดเรื่องเที่ยวอย่างเป็นงานเป็นการ
 
            “หาอะไรทานก่อนไหม เที่ยงแล้ว” พอลไลน์ขอให้เฟเรซิสพาไปร้านอาหารใกล้ๆที่ประจำการของทหารเทพ
 
            ร้านอาหารที่หญิงสาวพาไปเป็นร้านขนาดปานกลางเน้นขายเหล่าทหารเทพที่หาอะไรกินช่วงกลางวัน โต๊ะเก้าอี้ไม้ไม่เข้าชุดทำให้ดูสบายๆ แม่ครัวผู้ใช้ผ้าพันปีกเพื่อความสะอาดกล่าวทักทายเฟเรซิสด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
 
            “วันนี้พาผู้ชายมาอีกแล้วเฟเรซิส” 
 
            “ข้าจะพาผู้ชายทั้งกรมกองมากินอาหารร้านท่าน คอยดูสิ” เฟเรซิสหัวเราะ นางจะเลื่อนเก้าอี้แต่พอลไลน์ชิงเลื่อนให้นางนั่งก่อน “ขอบคุณมาก เอ้านี่รายการอาหาร”
 
            “เล่าให้ข้าฟังได้ไหมว่าโรงเรียนของทวีปเทพเขาสอนอะไรบ้าง เจ้าเคยบอกว่าต้องมีการระเบิดทุกวันเลยนี่นา” เมื่อสั่งอาหารได้แล้วพอลไลน์ก็ถามด้วยความอยากรู้
 
            “หลักๆเลยก็ประวัติศาสตร์กับการบิน พออายุสิบเอ็ดก็ต้องเลือกเรียนตามความสนใจ ข้าเข้าเรียนโรงเรียนทหาร เขามีหลักสูตรทดสอบพลัง นี่ละที่ทำให้มีการระเบิดอยู่ทุกวี่วัน ข้าก็เคยทำระเบิดบ่อยไป บางครั้งก็แก้เครียดได้เวลาเราระเบิดอะไรสักอย่าง แล้วโรงเรียนของมนุษย์ล่ะ” 
 
            “ข้าเกิดที่เกียนในตระกูลผู้ใช้เวทมนตร์ ตอนอายุห้าขวบพวกเราต้องเข้าพิธีสาบานตนต่อสี่เสาหลักและจะได้รับพลังหนึ่งในสามอย่างมา ข้าได้เวทมนตร์จึงเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ต่างๆ ห้าธาตุหลักคือพื้นฐาน แล้วก็การควบรวมเวทมนตร์เป็นแขนงต่างๆอย่างการรักษา หรือม่ายก็สร้างสัตว์เวทขึ้นมา”
 
            “อย่างนั้นการเรียนเรื่องเวทมนตร์ก็เหมือนกันสินะ” เฟเรซิสพูดแล้วกล่าวขอบคุณบริกรที่นำอาหารมาให้ “พูดถึงเรื่องเรียน โทนาชเป็นที่หนึ่งในรุ่นเชียวละ ข้าเกร็งน่าดูเลยที่ต้องเป็นศัตรูกับเขา”
 
            “เรามาเที่ยวเล่นกันอย่าพูดเรื่องงานสิ” พอลไลน์พูด “แล้วปกติเผ่าเทพชายหญิงไม่ค่อยออกเที่ยวกันในฐานะเพื่อนสินะ”
 
            “ไม่หรอก หรือมนุษย์จะออกเที่ยวกันเฉพาะคู่รัก ถามทำไม”
 
            พอลไลน์ชี้มือไปด้านหลัง เฟเรซิสแทบสำลักอาหารกลางวัน เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งของนางกำลังเงื้อดาบหมายแทงกลางหลังพอลไลน์ แต่ไม่อาจทำได้เพราะมีกิ่งรากไม้จากพื้นงอกขึ้นรัดพันแขนขาและปีกทั้งคู่เอาไว้
 
            “หยุดเลยนะ เฟเรซิสเป็นของข้าเท่านั้น!” คนที่ถูกไม้ตรึงเอาไว้คำรามอย่างดุเดือดทั้งที่ไม่สามารถขยับได้แม้แต่แขนข้างเดียว
 
            “โทเอ ทำบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย!” เฟเรซิสร้องบ้าง 
 
            “คลื่นตรวจจับของข้ามันร้องเลยใช้ไม้จับตัวเขาไว้ เพื่อนเจ้าหรือ”
 
            “ใช่ เราเคยไปเที่ยวกันสองครั้ง” 
 
            “อย่าหลงคารมมนุษย์เฟเรซิส เสียเจ้าให้เผ่าเทพเหมือนกันยังพอว่า แต่กับมนุษย์ข้ารับไม่ได้!” โทเอเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งของเฟเรซิสทำให้นางกุมขมับ
 
            “มีสมองหรือเปล่าโทเอ เราเคยไปเที่ยวสองต่อสองกันแค่สองครั้งเจ้ากลับคิดว่าข้ามีใจให้ ไม่รู้หรือว่าข้าชวนผู้ชายเที่ยวเป็นงานอดิเรก ทุกคนคือเพื่อนกัน ข้าไม่เคยคิดกับใครเกินเพื่อนทั้งนั้น!” 
 
            “กับคนอื่นแค่ครั้งเดียวแต่ข้าเจ้ายอมตั้งสองครั้ง ข้าก็คิดว่าเจ้ามีใจให้น่ะสิ”
 
            “เผามันเลยพอลไลน์ ทหารเทพสมองทึบแบบนี้มีไว้ก็เปล่าประโยชน์” 
            แทนที่จะเผาตามคำยุ พอลไลน์กลับปล่อยตัวชายผู้นั้นเป็นอิสระราวกับจะบอกว่าเขาพร้อมเป็นเพื่อนกับทุกคน
 
            “สำนึกเอาไว้ด้วยล่ะว่าคู่ของข้าไม่ได้เลือกจากการเดินเที่ยวอย่างเดียวหรอก” เฟเรซิสสำทับอย่างเดือดดาล...
 

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่