นางฟ้าเปื้อนเลือด ตอนที่ 22

กระทู้คำถาม
นอกจากเรื่องทางลับเชื่อมโยงสองเมืองยังมีอีกเรื่องที่เพิ่งมีการเปิดเผยภายนอก ตามเรื่องเล่าเสาค้ำจุนสูงสุดกับเทพปิศาจเป็นคู่แข่งในทุกด้าน เมื่อฝ่ายหนึ่งบังคับธรรมชาติมอบพลังให้ผู้ถูกเลือกอีกฝ่ายก็ทำอย่างเดียวกันตามประสา ‘ขุนพลปิศาจ’ คือชื่อเรียกของนักรบฝั่งเทพปิศาจ เสาค้ำจุนสูงสุดใช้ชีพจรธรณีสร้างพลังอำนาจให้นักรบเทพ ส่วนเทพปิศาจใช้พลังโบราณในสายเลือดเก่าแก่เป็นตัวเลือกเฟ้นหมากฝั่งตัวเอง
 
            “ก็เหมือนเรื่องนักรบเทพ ขุนพลปิศาจเป็นแค่ข่าวลือจนถึงตอนนี้” โทนาชไม่วายย้ำกับมนุษย์อีกสองคนว่าเป็นแค่ฉายาที่ทางนั้นต้องการเท่านั้น แม้อุดมการณ์จะไปในทางสุดโต่งแต่ไม่ถึงกับทำลายทุกชีวิตอย่างปิศาจในนิทาน ต่อให้เป็นเผ่าปิศาจก็มีหลายจำพวกและไม่ชั่วร้ายทั้งหมด
 
            “แต่เราสู้ได้โดยไม่ต้องพึ่งนักรบเทพใช่ไหม” เฟเรซิสพยายามหนีชะตากรรม นักรบเทพคือผู้แปลกแยกจากเผ่าพันธุ์ ผู้มีเนตรแห่งเทพพยากรณ์มาส่งข่าวถึงศูนย์กลางแสดงว่าคนแรกอาจเป็นพวกเผ่าเทพ นอกจากนางซึ่งมีปีกสีขาวแล้วจะมีใครได้อีก!
 
            โทนาชกับวิเรียนมองนางอย่างฝากความหวัง พอลไลน์ผู้มีป้ายปักหัวว่าเป็นผู้กล้าเข้ามาช่วยคลายสถานการณ์ให้
 
            “คำทำนายมักคลุมเครือเป็นปกติ นักรบเทพตนแรกอาจเพิ่งเกิดตอนมีการส่งข่าวก็ได้” พอลไลน์เตือนให้อยู่กับความจริงตรงหน้าไม่ใช่สิ่งจับต้องไม่ได้ “เราต้องสู้ก่อนโดยไม่อาศัยของพรรค์นั้น งอมืองอเท้ารอผู้ช่วยเหลือเมื่อไรจะบรรลุเป้าหมายได้ เหล่าเสาค้ำจุนมอบหน้าที่ยิ่งใหญ่ให้พวกท่านไม่ใช่หรือ หรือจะบอกว่าไม่มีนักรบเทพแล้วทำอะไรไม่ได้!”
 
            พอลไลน์จี้ถูกจุดว่าทุกคนหวังพึ่งผู้ถูกเลือกมากเกินไป ลำพังเผ่าเทพก็แกร่งจนควบคุมความสงบได้ทั่วเอนโวลาโดยไม่ต้องมีผู้ได้รับแต่งตั้งอื่นคอยช่วย อดีตผู้บัญชาการแห่งศูนย์กลางเสนอให้ละเรื่องนักรบเทพไว้ก่อนทั้งที่มองเฟเรซิสราวบังคับให้ยอมจำนน
 
            “ในฐานะอดีตผู้บัญชาการข้าคิดว่าท่านพัวร์รีนพูดถูก” โทนาชทำให้พอลไลน์ประท้วงทางสายตาว่าเรียกชื่อผิด “นักรบเทพมีหน้าที่ช่วยเสาค้ำจุนในการต่อกรศัตรู ส่วนหน้าที่รักษาความสงบเป็นของเรา ต่อให้มีนักรบเทพก็ต้องประสานกับทางนี้อยู่ดี ดังนั้นต้องจัดการให้เรียบร้อยไม่ว่าจะมีนักรบเทพหรือไม่”
 
            ในเมื่อเกือบทั้งหมดเลี่ยงเรื่องนี้วิเรียนก็ต้องยอมอย่างช่วยไม่ได้ นางทำตามยุทธวิธีว่าด้วยการศึกษาข้อมูลของศัตรู เพราะเผ่าเทพมีหน้าที่สนับสนุนนักรบเทพอีกต่อ ถ้าขุนพลปิศาจเป็นศัตรูกับนักรบเทพก็เท่ากับท้าทายศูนย์กลางด้วย
 
            “ขุนพลปิศาจตนแรกเป็นวิญญาณธาตุ พวกนี้เข้าถึงธาตุได้มากกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆทำให้สามารถสร้างสิ่งที่เป็นแค่ทฤษฎีขึ้นมาได้” โทนาชรีบขอโทษว่าตนควรเน้นว่ากำลังสู้กับพวกไหนมากกว่า “ผู้อยู่เบื้องหลังคือสายเลือดเก่าแก่ซึ่งรับใช้เทพมังกรมาหลายชั่วอายุ พวกนั้นค้นหาคนที่กลุ่มพลังจากสายเลือดโบราณไปตกผลึกตามเจตนาของเทพปิศาจ พอรู้ว่าใช่ก็ก่อเรื่องอย่างที่เห็น”
 
            เฟเรซิสคิดว่างานนี้คงลำบากกว่าเผ่าปิศาจหัวรุนแรงทั่วไป ในเมื่อแฝงตัวได้แนบเนียนขนาดนี้คงพิสูจน์ความยาก ต้องใช้หลักฐานโน่นนี่เพื่อต้อนให้ยอมรับ และคงประมาทความจงรักภักดีไม่ได้ด้วย ไม่แน่อาจต้องใช้กำลังเข้าปราบปราม
 
            ในเมื่ออดีตผู้บัญชาการเผยข้อมูลทางวิเรียนก็คาดการณ์และวางแผนคร่าวๆว่าควรรับมืออย่างไร...
 
 
            วิเรียนกับพีเตอร์คอยควบคุมความเคลื่อนไหวของทหาร ส่วนเฟเรซิส โทนาช และพอลไลน์จะตามหาหัวหน้ากลุ่มก่อการร้าย ความจริงทั้งสี่ต้องการให้เฟเรซิสพักร่างกายจากการโหมสู้ตอนเช้าแต่ด้วยแรงรั้นทำให้ทุกคนยอมอย่างเสียไม่ได้ วิเรียนกำชับชายทั้งสองคนว่าห้ามปล่อยคนเจ็บออกสู้เองเด็ดขาด
 
            โทนาชใช้เวลาสั้นๆอธิบายว่าทางเชื่อมต่อระหว่างมิเลนนัสกับเลเลียน่าไม่ได้เป็นรูปธรรมอย่างอุโมงค์ถ้ำ แต่เป็นกระจกเงาตามจุดต่างๆอาทิเช่น ป้ายจารึกใต้รูปปั้นวีรชนในย่านการค้า กระจกแต่งตัวในวิหารสักการะเสาค้ำจุน ทะเลสาบกระจกซึ่งไม่มีวันแห้ง และหอนาฬิกาในสวนที่โทนาชต่อสู้กับนักโทษ ทั้งหมดที่กล่าวมาเมืองมิเลนนัสมีในจุดเดียวกันแต่อาจไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างอย่างเดียวกันราวจงใจสร้างให้เป็นเงาสะท้อนระหว่างกระจก และนั่นคือทางเข้าของมิติกระจก
 
            “เรากำลังมองหาเผ่าครึ่งสัตว์ประเภทมนุษย์กิ้งก่า ทหารทุกนายของทั้งสองเมืองพร้อมจับตรวจกลุ่มนี้ทุกตนในฐานะผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย ถ้าไม่ปลอมเป็นเผ่าพันธุ์อื่นก็ต้องใช้กระจกพวกนี้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องอยู่ในมิติกระจกระหว่างสองเมืองรอเหตุการณ์สงบ” 
 
            โทนาชพาเฟเรซิสกับพอลไลน์ไปตั้งหลักบนหลังคาหอกลางเมืองซึ่งเห็นได้ทั่วทุกทิศ พอลไลน์ไม่ค่อยมั่นใจเมื่ออยู่สูงจากพื้นมากเกินไป
 
            “คราวนี้ท่านพัวร์รีน พวกมันใช้อาคมหักลบเวทมนตร์จากปีกของเผ่าเทพ ถ้าตามหาโดยใช้เวทมนตร์ก็ต้องพึ่งมนุษย์อย่างท่าน” โทนาชเรียกเสียงประท้วงจากพอลไลน์อีกครั้ง “เฟเรซิสเตรียมผลึกสำหรับติดต่อทางไกล เราจะได้รู้กันว่าหมอนั่นจะออกมาเดินกลางหมู่ทหารหรือซ่อนตัวอย่างข้าคิด”
 
            เวทมนตร์ของพอลไลน์สร้างคลื่นตรวจสอบแบบเจาะจงเป็นวงกว้างไปทั่วเมือง หญิงสาวไม่ค่อยรู้เรื่องเวทมนตร์ของมนุษย์มากนักแต่เขาใช้เวทมนตร์ความเข้มข้นสูงได้เหมือนมีสำรองพลังมากกว่าคนอื่น คลื่นสะท้อนทรงกลมห้าจุดในเมืองบอกว่ามีเป้าหมายอยู่ตรงนั้น
 
            “บอกไว้ก่อนว่าเจาะจงเป็นชนิดๆไม่ได้ พวกนั้นเป็นพวกครึ่งสัตว์แน่นอนแต่ไม่รู้ว่ามีลักษณะแบบไหน” พอลไลน์เสริมว่าเครื่องหมายของตนจะหายในอีกไม่กี่นาทีแต่นั่นมากพอให้จดจำ
 
            ในบรรดาสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์เฟเรซิสชอบผลึกสื่อสารมากที่สุด มันช่วยฉายภาพผู้ติดต่อกับสภาพแวดล้อมได้พร้อมกันหลายคนในเวลาเดียวกัน คริสตัลแผ่นเรียบฉายพื้นที่ห้าแห่ง นางสั่งทหารให้ตามหาพวกครึ่งสัตว์ใกล้ๆก่อนยื่นให้โทนาชทันทีเพราะภาพเล็กจนมองลำบาก
 
            “ก็เก็บแว่นติดตัวตลอดเวลาสิ” โทนาชเตือนอย่างเหนื่อยหน่าย ทั้งห้าจุดเป็นหมาป่าสองตน สิงโต กระต่าย แมวป่า แล้วก็จระเข้ “ไม่ใช่ เราตามหากิ้งก่าแผงคอ พวกที่ชอบกางพังผืดรอบคอเวลาคุยโว” 
 
            เมื่อไม่พบทั้งกลุ่มก็ย้ายไปหากระจกมนตราที่ใกล้ที่สุด ตามสมมติฐานเป้าหมายอาจอยู่ในมิติกระจกไม่ก็ทะลุออกไปอีกเมืองแล้ว วิหารบูชาเสาค้ำจุนถูกสั่งเปิดเพื่อเข้าไปหากระจกในห้องแต่งตัว กระจกบานใหญ่กรอบไม้ตกแต่งหรูหราตามแบบของในสถานสักการะ หญิงสาวสำรวจหาสิ่งผิดปกติอยู่เกือบนาที
 
            “วิธีเปิดทางนั้นง่ายจนคาดไม่ถึง เฟเรซิส ขอขนปีกแบบสมบูรณ์สามเส้น เห็นชอบเอามาใช้ไม่เข้าท่าอยู่แล้วนี่” โทนาชอดพูดแซะไม่ได้เรื่องใช้ปีกอันน่าภาคภูมิใจทำอย่างอื่นนอกจากบินทั้งที่ตัวเองเคยเปลี่ยนเป็นไฟมานับครั้งไม่ถ้วน
 
            ขนปีกสีขาวบริสุทธิ์หลุดลอยไปหาอดีตหัวหน้าแบบฉุนๆ เขาจับมันเรียงแบบพัดแล้วใช้คำสั่งทางเวทมนตร์บางอย่างให้เปลี่ยนเป็นเกล็ดมังกรสีมุกมันวาว 
 
            “เวทมนตร์ย้อนสภาพขั้นสูง ต้องปรับลึกถึงแกนกลางชั้นในสุดถึงจะเปลี่ยนปีกเป็นเกล็ดได้” โทนาชทำให้เรื่องเล่ามีมูลมากขึ้น 
 
            เกล็ดของเผ่าเทพมังกรถูกประทับบนกรอบไม้ทำให้กลไกทำงาน แผ่นแก้วราบเรียบเปลี่ยนเป็นผิวคลื่นคล้ายแอ่งน้ำ อดีตผู้บัญชาการก้าวเข้าไปก่อน ส่วนอีกสองคนก็รีบตามเข้าไปอย่างกล้าๆกลัวๆ
 
            ภายในมิติกระจกคือแบบจำลองของเลเลียน่าทว่าทุกอย่างมีสภาพคล้ายภาพมายาไม่สามารถจับต้องได้ยกเว้นกระจกแฝดซึ่งหันหน้าเข้าหากัน อักขระโบราณคล้ายเส้นแสงเหนือแผ่นแก้วบอกให้รู้ว่าบานไหนเป็นของเมืองใด 
 
            ทั้งสามเดินผ่านโครงร่างวิหารสักการะอย่างเดินผ่านอากาศธาตุ รอบด้านประกอบด้วยมนตร์มายาคล้ายกระจกใสทว่าเมื่อทับซ้อนหลายชั้นก็ทำให้มองทะลุได้ยาก มิติแห่งภาพลวงตาน่าตื่นเต้นจนหญิงสาวเกือบลืมเป้าหมายกระทั่งโทนาชขอให้มนุษย์คนเดียวใช้เวทมนตร์ค้นหาอีกครั้ง
 
            คราวนี้คลื่นสะท้อนเป็นทรงกลมสูงแค่จุดเดียว มันหายไปทันทีแต่พอให้จดจำทิศทางคร่าวๆได้
 
            “ที่นี่ใช้เก็บซ่อนสิ่งของจากอดีตมากมายที่เราไม่เข้าใจ อย่าทำอะไรมั่วซัว และห้ามบินสูงเกินไปเพราะเมื่อแตะขอบของมิติมันจะส่งกลับภายนอกแบบสุ่มสถานที่ อาจโผล่บนทวีปเทพหรือที่ไหนสักแห่งในทวีปห่างไกล”
 
(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่